"ปัญญาชน" กับปรากฏการณ์ "เคอิโงะ"

แดง ใบเตย

 

 

1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
ข้อเขียนชิ้นนี้ เขียนขึ้นเพื่อโจมตีกลุ่มปัญญาชนเก๋ไก๋ทั้งหลาย ที่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์กระแส "เคอิโงะ"

 

 

 

2. ดวงของเคอิโงะ

แหม่มโพดำ


"เคอิโงะ" เสี่ยงได้ไพ่ "แหม่มโพดำ" ดวงดีมากมาย

 

 

3. บทกวีแด่เคอิโงะ

เ ร า ก็ ไ ม่ ท ร า บ ว่ า จู่ ๆ คุ ณ ดั ง  ขึ้ น ม า ไ ด้ เ ยี่ ย ง ไร "เ ค อิ โ ง ะ"

สำ ห รั บ ผ ม เ ริ่ ม แ ร ก ก็ อ อ ก จ ะ ห มั่ น ไ ส้ คุ ณ อ ยู่ ม า ก เ ล ย ที เ ดี ย ว

แ ต่ สำ ห รั บ ผู้ ที่ แ ส ด ง ค ว า ม ฉ ล า ด ห ลั ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ นี่ ยิ่ ง น่ า ห มั่ น ไ ส้ ก ว่ า

มั น ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อ ง ข อ ง ผ ม กั บ คุ ณ . . . "เ ค อิ โ ง ะ"

แ ต่ เ ป็ น เ รื่ อ ง ข อ ง พ ว ก เ ร า ห มู่ ม ว ล ม ห า ช น ค น เ สี่ ย ว ๆ ทั้ ง ห ล า ย

กั บ พ ว ก ปั ญ ญ า ช  น เ ห ล่ า นั้ น . . .

W e a r e t h e w o r l d - รั ก กั น รั ก กั น - เ พื่ อ ธ ร ร ม ช า ติ อั น ยิ่ ง ใ ห ญ่ ยื น ย ง !?

 

อ้ายแดง ใบเตย ของมอบให้น้อง เคอิโงะ
28 .. 52 .. น่าจะเข้าฤดูฝนแล้ว ณ ใบกระท่อมนักรบศรีวิชัย

 

 

 

4. ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ"
ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ" เกิดจากการปั่นกระแสของสื่อมวลชน ซึ่งจะเริ่มจากรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ของเฮียสรยุทธ์ ทางช่อง
3 (ซึ่งช่อง 7 ไม่ยอมน้อยหน้า ขุดหนูน้อยมะเร็งมาสู้ แต่โดนเคอิโงะตีตกพ่ายกระแสไป) จนเกิดการระบาดฟีเวอร์ไปทั่ว ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศต่างประโคมข่าวความน่าสงสารของเด็กน้อยลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น จนดังไปทั่วโลก แถมยังมีข่าวสินค้าต่างๆ รุมตอม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า และนำเรื่องราวชีวิตมาเขียนการ์ตูน

แทบไม่น่าเชื่อว่าจากกระแสความน่ารักเอ็นดูของ ดช.เคอิโงะ ซาโต เด็กกำพร้าชาวพิจิตร อายุแค่ 9 ขวบ แม่ตายออกตามหาพ่อชาวญี่ปุ่น จะมีคลื่นไต้น้ำคอยเจาะยาง และได้กลายเป็นกระแสหมั่นไส้ขึ้นมาดื้อๆ โดยเฉพาะเหล่า "ปัญญาชน" ทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ตามเวบบอร์ด หรือบลอก หรือหน้าคอลัมน์ตามนิตยสารเก๋ไก๋ต่างๆ ในสังคมไทย ที่มีคำวิจารณ์มากมายอาทิ..

"..เป็นอีกครั้ง ที่สื่อหากินกับความอนาถของคนอื่น.."

"..เพราะจากที่เคยเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องของเด็กตัวเล็กๆ ที่อยากเจอพ่อบังเกิดเกล้า ..มันก็เติบโต รุดหน้า และมุ่งเข้าหา สิ่งที่เรียกว่า "ความเสื่อม" ครั้งยิ่งใหญ่ อีกครั้ง ของเหล่าบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า สื่อมวลชน'.. "

"..จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เคอิโงะเองได้กลายเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยมไปแล้ว.."

"เรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องสังคมสงเคราะห์ แบบที่สื่อไทยกำลังเล่นกันอยู่"

และอีกบลาๆๆๆ

ทำไมนะ "ปรากฏการณ์เคอิโงะ" ถึงได้ไปเข้าทางตีน ของผู้รู้เหล่านี้จังเบ้อเร่อ

 

 

5.จริตของปัญญาชน
สังคมไทยจะมีคนกลุ่มหนึ่ง, พวกเขาเกินขั้นนักวิจารณ์ธรรมดาดาดๆ ทั่วไป พวกเขาไปถึงขั้นตรัสรู้และตัดสินความเป็นไปของสังคมด้วยตัวของเขาเองแล้ว "ปัญญาชน" คือคำนามและบ่งชี้คุณลักษณะของพวกเขา

ปัญญาชนเหล่านี้มักจะบอกว่าตัวเองเป็นพวกคนคิดนอกกรอบ ทวนกระแส สวนกระแส ต้านทุนนิยม ต้านบริโภคนิยม .. ต้านอะไรที่คนหมู่มากเขาชอบ เขาทำกัน เช่น ต้านการค้าเสรี ต้านระบบประชาธิปไตยเลือกตั้ง ต้านนายกทักษิณ ต้านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ต้านช่อง 3 5 7 9 ต้านละครหลังข่าว ต้านเพลงค่ายอาร์เอส ค่ายแกรมมี เป็นต้น

และก็มีความคิดความอ่านที่ไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์เท่าไร เพราะปัญญาชนเหล่านี้มักจะชอบพกหนังสือของ "ตุ๊ด นัด อัน" หรือไม่ก็ "บุ๊ดดะด๋าด คิกขุ" [1] เท่ๆ สักสองสามเล่ม ใส่รวมๆ ไว้กับเน็ตบุ๊คในย่ามสะพายข้างเก๋ๆ ออกเดินจาริกแสวงบุญตามร้านกาแฟหรือร้านหนังสือเล็กๆ มีสไตล์ จับกลุ่มสนทนาว่าด้วยเรื่อง "ปรัชญาสูงสุดของจักรวาล" - ทุกเรื่องในโลกไอ้พวกนี้จะตรัสรู้หมดทุกตัว (ทุกอย่างถูกอธิบายไว้หมดแล้วในหนังสือสองสามเล่มที่อยู่ในยามสะพายดังที่ได้กล่าวไป)

การต่อสู้ของเคอิโงะ สำหรับสายตาของปัญญาชนพวกนี้ดูเสี่ยวเกินไป เพราะไทยรัฐและช่อง 3 เล่นเรื่องนี้จนเกินคำว่าพองาม สำหรับนักปรัชญาพวกนี้ พวกเขาติดตามและให้ความสนใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆ จากอิหร่านในเวทีเทศกาลหนังยุโรป หรือการต่อสู้ของ ซูซาน บอยล์ สาวทึนทึกวัย 47 ปี บนเวทีคนล่าฝันของฝรั่งหัวแดง หรือไม่ก็เป็นเรื่องการต่อสู้ของ ซูจี กับ ทาไล ลามะ (2 เคสไฟต์บังคับที่ปัญญาชนต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ตกข่าวเชียว)

การต่อสู้ของไอ้โงะอาจจะไม่น่าสนใจเท่าแมวน้ำขั้วโลกกำลังทุรนทุรายเพราะได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอ หรือเรื่องของบลอกเกอร์ทิเบตถูกจับกุมที่อิรักเนื่องจากเขียนบลอกเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับพม่า ฯลฯ มากกว่า เหตุการณ์เสี่ยวๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองนี้

เช่นเดียวกับพวกซ้ายลูกเศรษฐี ปัญญาชนเหล่านี้จะสนุกสนานอยู่กับการวิเคราะห์ความเป็นไปในสังคม แต่ตนเองตีนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ  ...แต่ช่วงหลังซ้ายลูกเศรษฐีบ้านเราพฤติกรรมดีขึ้นมาหน่อย คือยอมลงไปถือป้ายประท้วงพวกอำมาตย์ ร่วมเป็นร่วมตายกับคนเสื้อแดง ได้หลบกระสุนหลบรถแก็สพอเป็นพิธี ได้เชื่อมโยงกับโลกที่มันเป็นจริงๆ มากกว่าหน้าจออินเตอร์เน็ต หรือหนังสือเท่ๆ --- สำหรับการเมืองเรื่องสี พวกปัญญาชนทั้งหลายนั้นยังคงทำตัวอยู่เหนือปัญหา ปวารณาตนเป็นพวกสองไม่เอาอยู่อย่างเคร่งครัด

จริตของพวกปัญญาชนเหล่านี้ มักจะเกลียดชนิดถึงขั้นรังเกียจกับสิ่งที่มันเป็น "ประชานิยม" (ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า "ปอปปูล่า" น่ะ!)

และข่าวของเคอิโงะ มันก็ถูกสร้างมาในรูปแบบ "ประชานิยม" ดังกล่าว

 

 

6.คนมันสู้ (น่ะ!)
บนโลกทุนนิยมนี้ คุณจะจนอย่างไร คุณจะทุกข์ยากอย่างไร การนอนแบมือรอโอกาสอยู่ที่บ้านให้เหี่ยวเฉาตายไปทีละน้อย หรือนั่งเขียนแถลงการณ์เพื่อรัฐสวัสดิการวันละแผ่นสองสามแผ่น โดยไม่ได้ทำตัวเงินตัวทองอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เป็นผลดีแน่

การต่อสู้มีต้นทุนทั้งนั้น ก่อนจะมาเป็นเคอิโงะในวันนี้ ไอ้โงะเองก็ต้องบากหน้าเอาความเป็นเด็กกำพร้า แม่ตายด้วยโรคร้าย พ่อญี่ปุ่นทิ้ง เอาความเวทนาแลกมันมานะครับ -- คนน่ะถ้ามันไม่สุดๆ จริงๆ เขาไม่งัดเอาความเวทนามาขายกันหรอก

เคอิโงะ ไม่ได้นอนกระดิกตีนอยู่บ้าน แล้วต่อสายหาสรยุทธ์แบบว่า "เฮ่ย! ไอ้เผือก มรึงช่วยปั้นกรูออกรายการเล่าข่าวมรึงหน่อยเด๊ะ!" อะไรประมาณนั้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างพวกปัญญาชนทั้งหลายวิจารณ์นะครับ กว่าจะมีวันนี้ เคอิโงะเองก็ใช้เวลาไม่ใช่น้อยในการรณรงค์อยู่หน้าอุโบสถ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการที่จะเจอพ่อ ผ่านการถูกดูถูกเหยียดหยามมาแทบจะทุกชนิดแล้ว

สำหรับคนเสื้อแดง เราต้องแยกแยะเรื่องคนที่เข้ามาช่วยเหลือเคอิโงะ ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล อภิสิทธิ์ เสธ.หนั่น กษิต ฯลฯ เพราะเราก็รู้กันดีว่ามันเป็นไฟต์บังคับที่ผู้ใหญ่เหล่านี้ต้องดาหน้าออกมา - อย่าไปว่าเด็กมันเลย

อย่ามาพาลหมั่นไส้เด็กด้วยเรื่องพวกนี้ โตๆ กันแล้วต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬาระดับผู้ใหญ่กันสักหน่อย ดูเด็กมันเป็นแบบอย่างดีกว่า นี่แหละผลพวงของการออกมาต่อสู้ ... เคอิโงะเกือบจะเจอพ่อแล้ว ส่วนพวกเราคนเสื้อแดง ทนสู้กันไปอีกนิด ไม่นานคุณทักษิณก็ต้องได้กลับมาเป็นนายกอีกครั้ง

หรือจะหมั่นไส้เคอิโงะว่าได้คืบจะเอาศอก ที่ขอเล่นหนังเป็นดาราอะไรเทือกนั้น -- ก็เรื่องของไอ้โงะมัน เพราะต้องยอมรับว่ากว่าที่จะมีวันนี้ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า มันไม่ได้นอนงอแข้งงอขาอยู่ที่บ้านนะครับ มันออกมาตามหาพ่อมันนะ แบกความน่าเวทนาและผ่านแรงเสียดสีมาได้อย่างหวุดหวิด

สิ่งที่เคอิโงะได้รับมาในวันนี้ต้องยอมรับหน่อย น้ำพักน้ำแรงของมันทั้งนั้น (เช่นเดียวกับที่คุณทักษิณได้รับแรงใจจากคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา นี่ก็น้ำพักน้ำแรงที่เขาได้ทำตอนเป็นนายก)

คนเสื้อแดง ชาวนา กรรมกร นักรบโรนิน ผู้นิยมชมชอบลัทธิมาร์ก และเคอิโงะ นั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีที่ทางและวิธีการต่อสู้แตกต่างกันไป

ออกมาสู้ในแบบของคุณ จะดีจะเด่นจะดังจะดับ ยังไงมันก็เรื่องของคนที่ออกมาสู้! ... อย่าไปสนใจขี้ปากปัญญาชนทั้งหลายเลยน่ะ!

 

 

ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ"

 

เด็ก 9 ขวบแม่ตายรอพ่อญี่ปุ่นหน้าโบสถ์นานนับปี

 

คมชัดลึก 11 พฤษภาคม 2552

 

หนูน้อยวัย 9 ขวบ สุดอนาถแม่ป่วยตายสั่งเสียพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นให้ไปรอตรงหน้าโบสถ์วัดท่าหลวง เมื่อเห็นรถทัวร์ท่องเที่ยววิ่งถามรู้จักพ่อหนูไหม สุดรันทดรับจ้างขัดรองเท้าขายอาหารปลาหน้าวัดรอพ่อ

 

นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวกราบไหว้หลวงพ่อเพชรพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพิจิตรต่างรันทดใจ เมื่อเห็นภาพหนูน้อยวัย 9 ขวบ วิ่งถือรูปพ่อที่เป็นชาวญี่ปุ่นให้กำเนิดแล้วแยกทางกับแม่หายไป ส่วนแม่หลังแยกทางกับพ่อไปทำงานในกรุเทพฯต่อมาได้เสียชีวิต ปล่อยให้ลูกเผชิญชะตากรรม

 

หนูน้อยคนดังกล่าวคือเด็กชายเคอิโงะ หรือ "เคโงะ" ซาโต อายุ 9 ปี เล่าว่า มีแม่ชื่อนางทิพย์มณฑา ซาโต อายุ 33 ปี เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา

 

ด้านนางปัทมา จตุพิศ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 686 ถ.บุษบา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นป้า ของเด็กชายเคอิโงะ เล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2542 นางทิพย์มณฑาได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เป็นสาวอายุประมาณ 15 - 16 ปี บอกเพียงว่า ไปทำงานในกรุงเทพฯ

 

จากนั้นก็หายไปกลับมาอีกทีก็อุ้มท้องมาบ้านที่จังหวัดพิจิตรพร้อมกับสามีซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ชื่อนายคัทซูมิ ซาโต มาพบนายปรีชา จันทร์ประทุม อายุ 60 ปี ผู้เป็นพ่อ ปัจจุบันป่วยเป็นอัมพาตมากว่า 5 ปี แล้ว เพื่อแนะนำให้รู้จักกับคนในครอบครัวที่เป็นชาวไทย

 

จากนั้นก็หายไปอีก 3 - 4 ปี ประมาณ พ.ศ.2543 กลับมาอีกครั้ง คราวนี้นางทิพย์มณฑา ก็หอบเอาลูกชายสายเลือด นายคัทซูมิ ซาโต ชาวญี่ปุ่น ที่อายุได้เพียง 4 เดือน มาทิ้งไว้ให้ญาติ ๆ เลี้ยงดูโดยไม่ยอมบอกว่า เกิดอะไรขึ้นแล้วก็กลับไปทำงานสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ ส่งเงินมาให้เพียง 2 - 3 ครั้ง เป็นค่านมลูกแล้วก็ขาดการติดต่อไป

 

จนกระทั้ง พ.ศ.2545 แม่ของเด็กชายเคโงะ และ นายคัทซูมิ ซาโต สามีชาวญี่ปุ่นมาจังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมลูกเป็นครั้งสุดท้าย โดยในคราวนั้นลูกอายุได้ 3 ขวบ ก่อนจะเงียบหายไป ทั้งแม่และพ่อชาวญี่ปุ่น โดยปล่อยให้เด็กชายเคโงะใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังอดมื้อกินมื้ออยู่กับญาติ ๆ ที่ฐานะยากจน โดยหากินด้วยการไปขายอาหารเลี้ยงปลาหน้าวัดท่าหลวงพระอารามหลวง เป็นการยังชีพ และทุกวันพระ ก็จะได้รับความเมตตาจากพระให้อาหารหรือไข่เค็ม บะหมี่สำเร็จรูป ขนม ที่คนเอามาทำบุญให้เอาไว้กิน

 

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อวันสงกรานต์ปี 2551 นางทิพย์มณฑาก็กลับมาบ้านเพราะป่วยหนัก กอดลูกและพร่ำบ่นถึงสามีที่เป็นพ่อชาวญี่ปุ่น ให้ลูกฟังว่า พ่อจะต้องกลับมาหาลูก และจะต้องมาที่วัดท่าหลวง

 

นางปัทมา กล่าวว่า หลังจากนางทิพย์มณฑากลับมาเด็กชายเคโงะมักจะพาแม่มานั่งที่หน้าอุโบสถหลวงพ่อเพชรทุกวัน พร้อมกับถือรูปพ่อชาวญี่ปุ่น ที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่มอบให้ ทุกครั้งที่มีรถทัวร์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาจอด เด็กชายเคโงะ ก็จะถามว่า "เห็นพ่อหนูไหม" พร้อมกับโชว์รูปของพ่อให้ดู แต่เวลาผ่านไป 2 ปีกว่า ก็ไม่มีวี่แววของพ่อชาวญี่ปุ่นจะกลับมา แถมอาการป่วยหนักขึ้นจนกระทั้ง ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นางทิพย์มณฑามีอาการหนักขึ้นใกล้ตายพร้อมกับสั่งเสียลูกว่า

 

"ให้รอพ่อที่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวงพระอารามหลวง จะได้เจอพ่อชาวญี่ปุ่น " ในที่สุดวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา นางทิพย์มณฑา ผู้เป็นแม่ของเด็กชายเคโงะ ก็สิ้นชีวิตลง

 

ทุกวันนี้เด็กชายเคโงะ ยังคงเฝ้ารอพ่อชาวญี่ปุ่นอยู่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวงพระอารามหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร และ เฝ้าวิงวอนว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะช่วยให้ได้เจอพ่อผู้ให้กำเนิดที่เป็นชาวญี่ปุ่น ทั้งที่ทุกวันนี้ชีวิตสุดแสนลำเค็ญอีกไม่กี่วันนี้ก็จะเข้าชั้นเรียน ป.4 ที่โรงเรียนท่าหลวงสงเคราะห์ อ.เมือง จ.พิจิตร ขณะที่ญาติ ๆ ทุกคนก็ยากจน จึงวอนขอสังคมช่วยถ้าพบพ่อชาวญี่ปุ่น ติดต่อนาง ปัทมา ผู้เป็นป้า โทร....

 

 

จากนั้นปรากฏการณ์สิบกว่าวันยิ่งกว่านิยายของ "เคอิโงะ" จึงบังเกิดขึ้น ..

 

 

 

เชิงอรรถ

[1] "ตุ๊ด นัด อัน" และ "บุ๊ดดะด๋าด คิกขุ" คือสองสุดยอดนักคิดที่กลายเป็นมหาเมพบร๊ะเจ้าของเหล่าปัญญาชนทั้งหลาย ไม่ใช่แค่งานเขียนเท่านั้น แม้แต่ตดของมหาเมพบร๊ะเจ้าทั้งสองนี้ก็มีความหมายอันลึกซึ้งเกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาสามัญที่ไม่ใช่พวกมันจะเข้าถึงได้ สำหรับเหล่าลูกศิษย์ลูกหานักปรัชญาทั้งหลาย

ความเห็น

Submitted by คนชอบฝาก on

ไอ้ เเดง ใบเตย ขยันหางานจังเลยนะมรึง......!!!!!!!

Submitted by Gneisenau on

โหย....ชอบๆๆ ช่างพรรณาถึงดัดจริตชนได้สุดตรีนจริงเรย

Submitted by ท่านโอยาชิโร่ on

ผู้เขียนต้องหาหนังเรื่องนี้มาดูน่ะ จะได้เมพขิง ๆ บทความนี้มันยังนู๊บสาดเกินไป
http://www.youtube.com/watch?v=JpNB2SoNfyg

Submitted by ปัญญาชน on

โห่ว นึกว่าอะไร ที่แท้ก็ข้อเขียนของไอ under dog ตัวนึง
ไม่น่าเลยกรู ปัญญาแปดเปื้อนหมด

Submitted by คัทซึมิ on

เด็กมันทำไปตามน่าที่ อาจจะมีคนหมั่นไส้และหมั่นไส้เยอะบ้าง โดยฌฉพาะปัญญาชน อันปัญญาชนนั้นคือคนใช้ปัญญา ที่ว่าปัญญานั้นเป็นของดี ดีที่มีปัญญา แต่อย่าไปว่าเด็กมันเลย ที่ว่าอย่าไปว่าเด็กมันนั้น เพราะเด็กมีหน้าที่ หน้าที่ที่ต้องเป็นเด็กดี ที่ว่าเด็กดีนั้นคือเด็กไม่เลว

Submitted by SecTau on

อย่างน้อยเคอิโงะก็ตามหาพ่อด้วยตัวเองนานนับปีจึงมีสื่อมาสนใจ ไม่ใช่มาหาสื่อโดยตรงให้ช่วยตามหาพ่อ

Submitted by kaaati on

ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นได้ หยาบ ดิบ สด ดี เหมาะกับจุดยืนต่อต้านปัญญาชนของตนอย่างยิ่ง

โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังด่าตัวเองอยู่ เอิ๊กๆๆๆ

เหมารวมและหยาบไปหน่อยนะครับ คำว่า "ปัญญาชน" ของคุณน่ะ

Submitted by faye on

ขอยกความคิดเห็นที่โพสต์ไว้ในบล๊อกอื่นมาแปะที่น่ี่อีกที

ติดใจเรื่อง "จริตปัญญาชน"ค่ะ คุณกำลังเหมารวมและกล่าวกว้างเกินไปหรือเปล่า
เราว่าความรู้สึกที่มีต่อเรื่องราวของเคโงะ, การประชาสัมพันธ์เรื่องของเคโงะ, การรับสารในเรื่องของเคโงะ เป็นความรู้สึกที่ผสมปนเป ไม่ต่างจากความรู้สึกที่มีต่อปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดในประเทศของเรานี้ การออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวของเคโงะ มันใช่การมองว่าเป็นเรื่อง"เสี่ยวๆ "เรื่องนึงแค่นั้นจริงหรือ
เราคงมาแก้แทนคนอื่น ๆไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าที่คุณได้อ่านได้รับสารมาจากพวกปัญญาชนที่มีจริตเหล่านั้น มันชี้นำให้คิดไปด้านนั้นหรือไม่ เพียงแต่ในมุมมองของเรา เรื่องเคโงะกลายเป็นเรื่องที่เรียกว่า silly เพราะการประโคมข่าวแบบ superficial ทำให้เรื่องที่"จริงที่สุดกลายเป็นเรื่องที่เหนือจริงที่สุด"ไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อในเรื่องการต่อสู้ของเด็กคนนึงเพื่อให้ได้เจอกับพ่อ แต่เรากำลัง"สงสัย"ในสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง การลวงตา การสร้างเรื่องราวการต่อสู้/ความดี/ความรัก/ความผูกพันในอุดมคติ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เสริม"วาทกรรม"เรื่องไหนอยู่รึเปล่า

Submitted by faye on

ต่ออีกนิดค่ะ

การมองข้ามเรื่องของรัฐ-ชาติไปถึงเรื่องของ"โลก" และความเป็นโลก ถือว่าเป็นจริตของปัญญาชนที่ทำตัวเหนือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ควรประนามและไม่ ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างจริงหรือ

การสนอกสนใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองไม่มองออกไปข้างนอกนั่นต่างจากสำนวน "กบในกะลา" หรือไม่

และสุดท้าย การที่คุณใช้คำอย่าง "ฝรั่งหัวแดง" แฝงจริตแบบชาตินิยมหรือไม่

Submitted by BLeAm on

ปัญญาชนสำหรับคุณคืออะไร?ปัญญาที่ว่านี่ทางโลกหรือทางพุทธ?วิธีการแยกแยะปัญญาชนออกจากคนทั่วไปของคุณคืออะไร?หลังจากอ่านองค์ประกอบปัญญาชนในสายตาคุณแล้วผมรู้สึกแปลกๆคุณเคยพิจารณาความหมายของคำว่าปัญญาชนจริงๆมั้ยว่ามันหมายถึงอะไรหรือแค่ได้ยินมาแล้วคิดไปว่ามันเป็นคำที่เข้าใจได้ตั้งแต่สำนึกแรกตามอัตโนมัติแล้วก็ยึดเอาความเข้าใจตามอัตโนมัติแบบผ่านๆนั้นมาใช้มาอธิบายสิ่งต่างๆไปตลอดชีวิต?หรือสิ่งที่คุณทำผ่านบทความนี้คือการบอกเล่าเรื่องราวว่าคุณไปเจอคนกลุ่มนึงมาซึ่งพยายามจะpresentตัวเองว่าเค้าเป็นปัญญาชนแล้วคุณก็เชื่อว่าเค้าเป็นอย่างนั้นคุณก็เลยเริ่มต้นวิพากษ์เชิงเสียดสีสิ่งที่คุณเชื่อว่าเค้าเป็นแบบเหมารวม?ลักษณะนี้มันไม่ต่างกับคุณไปทำบุญวัดแถวบ้านแล้วเจอพระสงฆ์ทำตัวไม่เหมาะสมมั่วสีกาเสร็จแล้วกลับบ้านเขียนบล็อกว่าพระสงฆ์แม่งเลวชาติมารสังคมหนักแผ่นดินโดยลืมไปว่าที่พูดถึงน่ะมันแค่พระแถวบ้านคุณ คุณกำลังยึดติดกับภาพลักษณ์หรือปล่าว แค่เห็นโกนหัวนุ่งเหลืองและอยู่ในวัดก็คือพระ?นี่เรียกว่าขาดปัญญาในการแยกพิจารณาหรือปล่าว?เมื่ออารมณ์เกิดคุณลืมใช้ปัญญาพิเคราะห์เหตุการณ์ แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าคุณรู้จักปัญญาชนล่ะ .

Submitted by BLeAm on

ต่อนะครับ
คนบางกลุ่มเชื่อว่าปัญญาหมายถึงความฉลาดคนกลุ่มนี้อ่านไซอิ๋วแล้วจะตีความว่าเฮ่งเจียคือตัวแทนของปัญญาซึ่งถ้าใช้โดยไม่ควบคุมก็จะทำให้เกิดปัญหาได้แต่โดยส่วนตัวอาจจะเห็นต่างไปบ้างเพราะคิดว่าปัญญาน่าจะหมายถึงสิ่งที่นำไปสู่คำตอบ/ทางออก ถามว่าคำตอบหรือทางออกของอะไรมันก็แล้วแต่ว่าจะนำปัญญาไปใช้กับเรื่องอะไรใช้กับชีวิตก็เป็นปัญญาในแบบทางโลกใช้เพื่อหลุดพ้นก็เป็นปัญญาทางพุทธไปเพราะฉะนั้นในความคิดผมสิ่งที่เฮ่งเจียเป็นหรือมีอย่างมากก็แค่ศักยภาพและปัญญาชนน่าจะคือคนที่ใช้แนวทางแห่งปัญญาในการดำเนินชีวิตหรือปล่าว?แล้วกลุ่มคนที่คุณบัญญัติว่าเป็นปัญญาชนนั้นสิ่งที่เค้าทำหรือแสดงออกมันนำไปสู่คำตอบหรือทางออกของปัญหาอะไรสักอย่างหรือปล่าว?ถ้าคำตอบคือไม่ใช่แต่สุดท้ายคุณก็ยังจะเขียนด่าถึงคำว่าปัญญาชนเพื่อเป็นการเสียดสีถึงคนกลุ่มนั้นหรือยังไงก็แล้วแต่ผมในฐานะคนอ่านก็อดจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้ การใช้คำรวมๆมันกินความหมายกว้าง เหมือนเขียนบทความ"มุสลิมหัวรุนแรงหนักแผ่นดิน"แล้วเขียน ปล. กำกับตอนท้ายไว้หน่อยว่ามุสลิมที่หัวไม่รุนแรงอย่าร้อนตัว อย่างนี้มันอดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่สร้างสรรค์ถึงผมจะไม่ใช่มุสลิมก็ต

Submitted by BLeAm on

สุดท้าย
ในประเด็นเคอิโงะ วันแรกที่เห็นออกข่าว โดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกหรือเกิดทรรศนะอะไรเลย ฟังผ่านๆ เหมือนข่าวทั่วไปแต่ในวันต่อมาพอมีข่าวว่าได้รับความช่วยเหลือและสนใจจากบางส่วนในแบบที่ผมคิดเอาเองว่ามากไป ก็ยอมรับตรงๆว่าเกิดความรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างว่านี่มันสำคัญขนาดนั้นเลย? แต่ผ่านมาอีกสักพักก็คิดว่าเหตุการณ์นี้มันไม่ได้ส่งผลร้ายอะไรกับใครไม่มีใครเสียผลประโยชน์จากเรื่องนี้เพราะงั้นก็มองว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้เห็นเด็กคนนึงมีความสุขที่ได้รับจากสิ่งที่หวังที่ตั้งใจ(เป็นความรู้สึกดีตามปกติที่ได้เห็นเด็กๆ มีความสุข) ส่วนทรรศนะสุดท้ายที่เกิดกับเรื่องนี้คือเหตุการณ์วันที่นักข่าวมารับเด็กไปคุยโทรศัพท์กับพ่อระหว่างนั้นก็สัมภาษณ์ไปพลางๆ สิ่งที่คิดคือ เด็กพูดเพราะสุภาพดี ส่วนนักข่าวพูดกับเด็กห้วนไปนิด

Submitted by Fever.... เกาะกระแส on

ข้อเขียนชิ้นนี้ เขียนขึ้นเพื่อโจมตีกลุ่มคนไทยตามกระแสทั้งหลาย ที่ป่วยทางจิตติดกระแส "เคอิโงะ" ฟีเวอร์
555
ถ้าไม่เกิด "เคอิโงะ" ฟีเวอร์ขึ้นมา คนไทยใจเมตตาตามกระแสพวกนี้ รับรู้ว่ามีเด็กตามหาพ่อ ก็....คงดู...คงฟัง....แล้วผ่านเลยเหมือนทุกเรื่องที่ไม่เกิดฟีเวอร์
555

Fever..........
Nothing more than fever...............
555

คนไทยใจเมตตาหาใดเทียบ....................
เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก

Submitted by ป. on

เคอิโงะ
กะ
หมีออกลูก
เป็นผลงานของหนูง่ะ

เห็นไหมหนูก็มีผลงานเหมือนกันนะ

ฮ่า

แค่ผัวเมียทะเลาะกัน...ครับ

 
โจว ชิงหมาเกิด
 
 
ประเด็นฮอตฮิตในรอบสัปดาห์นี้หนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือบทสัมภาษณ์ "สมชาย หอมละออ"แย้มผลสอบสลายชุมนุมพฤษภา′53 ผัวเมียทะเลาะกัน... ผิดทั้งคู่ (วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 14:00:45 น. สัมภาษณ์พิเศษ โดย พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์)
 
 

ด้วยรักและไว้อาลัยแด่การสอบโอเน็ต (และบทสัมภาษณ์ 'ติ่งหู' กับ 'ผู้ไม่เชี่ยวชาญ')

เดือนมีนาคมแล้วค่ะท่านผู้อ่าน

ช่วงเวลาที่นักเรียนชั้น ม.6 ต้องจำจากจรสถาบันอันเป็นที่รักเพื่อก้าวไปข้างหน้า ทั้งจากความต้องการของตัวเองและกระแสสังคมที่ต่างคาดหวังว่าการ ศึกษาคือหนทางแห่งการเป็น “เจ้าคนนายคน”

หากท่านผู้อ่านเคยผ่านช่วงเวลาของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นระบบเอนทรานซ์หรือระบบแอดมิชชันคงยังจำช่วงเวลาหฤโหดของการเข้าห้องสอบที่แบกเอาความฝันของตัวเอง ความคาดหวังของผู้บุพการี และหน้าตาของสถาบันระดับมัธยมศึกษา (ที่มักจะวัดกันด้วยจำนวนนักเรียนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้)ตลอดจนท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู อาจารย์ ไปจนถึงผู้บริหารสถานศึกษาก็ต่างลุ้นตัวโก่งกับผลการเข้ามหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ….ช่างเป็นช่วงชีวิตที่ลืมไม่ลง เสียจริง ๆ

รักเทอซะให้เข็ด ..แม่เจ็ดสาวลีโอ

ปีนี้บรรยากาศเหน็บหนาวที่มาพร้อมกับลานเบียร์หลายแห่งตามห้างสรรพสินค้า มีเรื่องสนุกสนานทวีคูณมากขึ้น เมื่อเกิดปรากฏการ “สาวลีโอ” ที่ยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังเมื่อไปพันกับการเมืองยุคอำมาตย์ฝึกหัดครองเมือง

เมื่อมาถึงปลายปีที่มีบรรยากาศหนาวๆ ชวนให้เปล่าเปลี่ยว ธรรมเนียมปฏิบัติของบรรษัทค่ายน้ำเมาต่างๆ จะต้องมีแคมเปญอะไรมาเป็นของกำนัลให้กับหนุ่มๆ คึกคักมีชีวิตชีวา โดยปฏิทินรูปแบบวาบหวามมักจะถูกเข็นออกมาในช่วงนี้ และลีโอก็ไม่เคยพลาด หลังจากที่ได้ “ลูกเกด - เมทินี กิ่งโพยม” มาช่วยเป็นแม่ทัพดูแลการผลิตด้านสื่อหวาบหวิวให้ค่ายลีโอ เป็นส่วนหนึ่งในการฟาดฟันต่อสู้กับค่ายช้างจนทำให้เบียร์ลีโอเป็นเบียร์อันดับหนึ่งของประเทศ โดยกลยุทธการตลาดที่สำคัญนั้นก็คือการขายความเซ็กซี่และมีระดับกว่าช้างมาหน่อย

ขออนุญาต "ไม่แปล"

สถานการณ์ในเมืองไทยตอนนี้ทำให้พวกเราไม่สามารถนำเสนออะไรหลายอย่างได้โดยเฉพาะสิ่งที่มาจากต่างประเทศ ก็เพราะประเทศสยามกำลังพยายามปิดกั้นไม่ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลจากสื่อต่างชาติ หรือถ้าจะให้รับรู้ก็จะถูกบิดเบือนหรือรับเอามาดัดแปลงให้เป็นวาทศิลป์มุ่งสำเร็จความใคร่ในการทำลายล้างศัตรูของตนเอง โดยไม่สนถึงผลกระทบที่ตามมาว่าจะบานปลายร้ายแรงขนาดไหน