Skip to main content

...ผมไม่คิดว่าการมีวันพ่อวันแม่มันจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับคนที่ "มีพ่อมีแม่" (หรือแม้แต่ตัวคนเป็นพ่อเป็นแม่) แต่ขณะเดียวกันมันกลับเป็นวันที่ "ซ้ำเติม" คนที่ "ขาดพ่อขาดแม่" ซึ่งโดยปกติก็อาจจะมีชีวิตที่รันทดเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว..


โดย Chotisak Onsoong


เมื่อวาน อ.สุพศ ซึ่งเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คกับผมเขียนสเตตัสเกี่ยวกับความไม่ประทับใจ "วันพ่อ" เพราะอาจารย์ไม่มีพ่อไปร่วมงานวันพ่อ (และไม่มีพ่อในชีวิตประจำวัน)
(อ่านโพสต์ดังกล่าวของ อ.สุรพศได้ที่นี่ )

ผมอ่านโพสต์ของ อ.สุรพศแล้วนึกถึงสมัยตัวเองเรียนมัธยม ที่ขึ้นมาเรียนกรุงเทพฯและพักอยู่กับอาซึ่งมีอาชีพเป็นครู
พอถึงวันพ่อวันแม่ (หรือหลังจากวันงานเล็กน้อย) ผมก็มักจะได้ยินอาและเพื่อนๆครูของอาบ่นถึงความน่าสงสารของนักเรียนบางคนที่ไม่มีพ่อหรือแม่มาร่วมงาน

ผมก็เลยสงสัยว่าเรามีวันพ่อวันแม่กันไปทำไม

มันมีประโยชน์ต่อคนที่ "มี" พ่อ "มี" แม่ ยังไง?
(แน่นอนครับว่าในความเป็นจริงทุกคนมีพ่อมีแม่ แต่ในที่นี้ผมหมายถึงคนที่มีแบบจับต้องได้ ไม่ใช่คนที่พ่อแม่ตายไปตั้งแต่เด็ก หรือพ่อแม่แยกทางกันจนในวัยเด็กแทบไม่เคยเจอหน้าพ่อหรือแม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของตัวเองคือใคร)

เราคิดถึง/ระลึกถึงพ่อแม่เฉพาะวันพ่อแม่หรือเปล่า?

แล้วถ้าไม่มีวันพ่อวันแม่เราจะไม่คิด/ไม่ระลึกถึงพ่อแม่กันเหรอ?

ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่คงตอบว่า "เปล่า"

แล้วตกลงวันพ่อวันแม่มีประโยชน์อะไร?

อันนี้ผมตั้งเป็นคำถามทิ้งไว้แค่นี้ เพราะสิ่งที่อยากจะพูดจริงๆคือด้านที่แย่ของมัน

อย่างที่ได้เกริ่นมาตั้งแต่ต้นวันพวกนี้มันนำความหดหู่ นำความเจ็บปวดมาสู่คนกลุ่มหนึ่ง
วันพวกนี้มันตอกย้ำ "บาดแผล" ของคนกลุ่มหนึ่งคนซึ่งในชีวิตประจำวันก็อาจจะรู้สึกรันทดเจ็บปวดจากเรื่องนี้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว (แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกวินาที เพราะคงไม่มีใครคิดอยู่เรื่องเดียวตลอดเวลา-มีอารมณ์ความรู้สึกเดียวอยู่ตลอดเวลา)

ผมไม่คิดว่าการมีวันพ่อวันแม่มันจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับคนที่ "มีพ่อมีแม่" (หรือแม้แต่ตัวคนเป็นพ่อเป็นแม่)
แต่ขณะเดียวกันมันกลับเป็นวันที่ "ซ้ำเติม" คนที่ "ขาดพ่อขาดแม่" ซึ่งโดยปกติก็อาจจะมีชีวิตที่รันทดเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

ดังนั้นยกเลิกวันพ่อวันแม่กันดีกว่าครับ

บล็อกของ ประกายไฟ

ประกายไฟ
แถลงการณ์ กลุ่มประกายไฟ 
ประกายไฟ
...ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการสังคมหลังทุนนิยมข้างต้นนี้ถือเป็นเป้าหมายหลัก และเป็นผลผลิตโดยตรงของการเติบโตของขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐาน ที่พยายามเสนอทางเลือกใหม่ในการพัฒนาท่ามกลางซากปรักหักพังของโลกสังคมนิยม ในทศวรรษ 1990 ที่นักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมต่างประกาศว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือแล้วนอกจากระบบทุนนิยมกลไกตลาดและระบอบ ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะยังไม่บรรลุ แต่คุณูปการที่สำคัญที่สุดที่ขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐานได้สร้างไว้ก็คือ ความหวังที่ว่า “โลกใบใหม่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นคำขวัญของขบวนการสมัชชาสังคมโลกนับตั้งแต่ ค.ศ.2001 เป็นต้นมา
ประกายไฟ
“..รู้สึกว่าธรายอาร์มไม่ใช่แค่กางเกงใน แต่มันแสดงถึงสัญญะบางอย่างของการต่อสู้ ซึ่งเห็นไหมคะ แค่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นกางเกงในของธรายอาร์ม คนที่สงสัยเขาก็ต้องหาเรื่องราวของมันบ้างล่ะค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้สื่อเรื่องความไม่เป็นธรรมนอกจากแคมเปญหลักของงานนี้..” - ลูกปัด 1 สวาผู้ร่วมรณรงค์ 
ประกายไฟ
 “...พวกนายทุนจึงต้องหาทางให้ปัญหาเหล่านี้ทุเลาเบาบางลง ไม่อย่างนั้นการผลิตในระบบทุนนิยมอาจต้องล่มสลาย จึงต้องสร้างกติกากลางขึ้นมาเพื่อให้การขูดรีดยังดำรงตนต่อไปได้...”
ประกายไฟ
...ผมไม่คิดว่าการมีวันพ่อวันแม่มันจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับคนที่ "มีพ่อมีแม่" (หรือแม้แต่ตัวคนเป็นพ่อเป็นแม่) แต่ขณะเดียวกันมันกลับเป็นวันที่ "ซ้ำเติม" คนที่ "ขาดพ่อขาดแม่" ซึ่งโดยปกติก็อาจจะมีชีวิตที่รันทดเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว..
ประกายไฟ
...แต่เชื่อไหม (เหมือนถาพในหนัง) ใบหน้าคนเหล่านั้นลอยออกมาปะทะสายตาเรา เรามองไม่เห็นความกลัวในใบหน้าของคนเหล่านั้น บางคนด่าไปอมยิ่มไป บางคนด่าไปก็แสดงอาการท้าทายไป มันต่างกันมาก ต่างกันจริงๆ เราเคยเห็นคนในม็อบเสื้อแดงช่วงที่มีการสลาย ทั้งวันที่ 10 เมษา และ 19 พฤษภา เราเห็นแววตาคนที่กลัวตาย เห็นแววตาคนที่มีห่วงเห็นแววตาคนที่พร้อมจะยอมตาย แต่คนเหล่านั้นไม่กร่างเท่านี้นะ
ประกายไฟ
...ที่มาที่ไปของ "เสื้อแดง" มันไม่เกี่ยวกับเรื่อง "รักเจ้า" หรือ "รักทักษิณ" ..