สวย...เลือกได้?

มาริยา มหาประลัย


 
 10_7_01
 

เวลาได้ยินคำว่า “สวยเลือกได้” (แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงฉัน) ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “สวย” ในที่นี้เรา “เลือก” กันได้จริงเหรอ

เพราะเอาเข้าจริง ความขาว สวย หมวย อึ๋ม ตี๋ ล่ำ หำใหญ่ จมูกโด่ง ฯลฯ ที่เราเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความสวย-หล่อ” นั้น ชาติมหาอำนาจเป็นคนกำหนดรูปแบบขึ้นมาและใช้มันเป็นอาวุธในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ความสวยจึงไม่ใช่เรื่อง “สวยๆ” อย่างเดียว แต่มันยังแฝงเรื่องอำนาจและชนชั้นทางสังคมมาอย่างแยบคายภายใต้เปลือกอันน่ามอง

เช่น ความตี๋หมวยบ่งบอกว่าเป็นลูกหลานคนจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางไปจนถึงผู้มีอันจะกิน (แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณโน้น คนจีนในไทยกลับถูกมองว่าเป็น ”เจ๊ก” ไม่ใช่ “ตี๋” ซึ่งดูอินเทรนด์กว่าเป็นไหนๆ) รูปร่างกำยำล่ำสันแสดงว่าเป็นผู้มีเวลาว่างและสตางค์มากพอจะออกกำลังกายในฟิตเนส แถมยังมีระเบียบวินัยในการดูแลตัวเองอย่างดีเยี่ยม ผิวขาวเนียนใสไร้สิวเป็นเครื่องแสดงว่าใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ไร้มลพิษ กรรมกรหน้าไหนจะหน้าขาวขึ้นมาได้ต่อให้โบกครีมกันแดด SPF 50 ในเมื่อยังต้องตากแดดตากลมเพื่อนมสองเต้าและลูกอยู่...ชิมิเคอะ!

เรื่องความขาวนั้น ฉันเคยนึกว่ามีแต่บ้านเรานี่ล่ะว้าที่บ้าความขาว จนกระทั่งเมื่อฉันไปเที่ยวมัลดีฟท์แล้วเจอโฆษณาครีมไวเทนนิ่งสำหรับผู้ชาย อ๊ายส์! เห็นแล้วขนลุกซู่ นี่เราไม่ได้ทำการล่าอาณานิคมด้วยปืนรบกันอีกแล้ว แต่ใช้วัฒนธรรมเป็นอาวุธแทน เหมือนจะไม่รุนแรงเพราะไม่มีใครนองเลือดให้เห็นกันจะๆ แต่มันคือการกลืนชาติในนามของโลกาภิวัตน์ซึ่งมีอเมริกาเป็นศูนย์กลางจักรวาล

มนุษย์ต่างดาวคงงงพิลึกถ้าโฉบมาบนโลกแล้วพบว่า โลกที่เคยเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์กลายเป็นโลกที่ผู้คนล้วนจมูกโด่ง ตัวขาว ตาสองชั้น ฯลฯ แทบจะโขกโป๊กออกมาจากพิมพ์เดียวกันหมดเด๊ะๆ!

ความหล่อความสวยยังขึ้นอยู่กับบริบทของเวลาและสถานที่ อั้ม พัชราภาเป็นได้อ้ำอึ้งแน่ถ้าเธอไปอยู่ในหมู่เกาะแถบแปซิฟิกใต้ ซึ่งผู้หญิงที่นั่นต้องอ้วนมากๆถึงจะเรียกว่าสวย ผู้หญิงเอว 24 จะกลายเป็นคนอ้วนทันทีถ้าอยู่ในยุควิคตอเรียนที่ผู้หญิงถูกคอร์เซ็ทบีบรัดจนผู้ชายสามารถโอบรอบเอวผู้หญิงได้ด้วยแขนข้างเดียว และต่อให้คุณเกิดมาสวยเหมือนแอนเจลิน่า โจลี แต่ดันเกิดในประเทศจีนสมัยก่อนราชวงศ์ชิง คุณก็จะไม่มีสิทธิ์ “เกิด” ตราบใดที่ไม่ได้มี “เท้าดอกบัว” และไม่ใช่ริมฝีปากอันน่าจูบนั้นหรอกที่จะเป็นตัวดึงดูดทางเพศ เพราะข้อเท้าเปล่าเปลือยต่างหากที่ผู้ชายสมัยนั้นถือว่ามันเย้ายวนรัญจวนใจเป็นที่สุด เช่นเดียวกับปัจจุบัน ความมหึมาของเครื่องเพศชายจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้ามันไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงจุดสุดยอดได้...ชิมิเคอะ!

(นอกเรื่อง : ที่บอกว่า ‘Size doesn’t matter’ น่ะมันพูดโดยผู้ชาย และเอาไว้บอกกับผู้ชายทั้งนั้นแหละ ต่อให้ยกข้อมูลทางการแพทย์มาว่าจีสปอตไม่ได้ลึกขนาดต้องการจู๋ยาวๆก็เถอะ แต่อย่าลืมว่าเวลาเราร่วมเพศ เราไม่ได้ร่วมเพศกันแค่ทางกายภาพ แต่เราร่วมเพศกันทางจิตวิทยาด้วย...ชิมิเคอะ!)

ทาทา ยังเคยให้สัมภาษณ์เมื่อคราวโกอินเตอร์อัลบั้มแรกว่า เธอต้อง “ยุบหนอ-พองหนอ” เพื่อเอาใจแฟนๆแต่ละประเทศ ครั้นไปอินเดียก็ต้องเร่งอึ๋มเข้าไว้ เพราะที่นั่นชอบสาวอวบ พอไปเกาหลีก็ต้องสะเด็ดไขมันออกให้ผอมอย่างที่คนกิมจิชอบ ส่วนบียอนเซ่ ก็เคยสารภาพว่า ที่จริงเธอชอบให้ตัวเองมีเนื้อหนังมากกว่านี้ หล่อนจีบปากให้สัมภาษณ์ว่า “ผอมแบบนี้มันไม่สมกับเป็นสาวผิวสีเอาเสียเลยค่ะคุณขา”

สาวๆค่อนโลกอยากมีหุ่นผอมเพรียวอย่างเธอ หนุ่มๆเองก็น้ำลายหกพลางครางซี้ดซ้าดเวลาเห็นเธอ สาวๆกรีดร้องอยู่หน้ากระจกว่า “อ๊ายส์! ฉันอยากผอมเหมือนบียอนเซ่!” แต่อีกฟากหนึ่งของโลกจะมีเสียงบียอนเซ่ตะโกนอยู่ว่า “อ๊ายส์! ฉันอยากอ้วน! คิดดูแล้วมันน่าเจ็บปวดไม่น้อยที่เกิดมาเป็นสาวผิวสีแล้วไม่สามารถเป็นอย่างสาวผิวสีได้ ไม่ต่างอะไรกับที่ผู้หญิงบ้านเราที่อยากหมวย ผู้ชายมัลดีฟท์ต้องทาไวเทนนิ่ง หรือเกิดเป็นเกย์ต้องก้ามปู…ชิมิเคอะ!

ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายบอกฉันว่า “มาริยาครับ ผมไม่ได้รักคุณที่หน้าตานะครับ แต่ผมรักคุณที่หัวใจมากกว่า” เหมือนจะโรแมนติคแต่บังเอิญคนฟังดันเป็นคนกวนตีนและคิดเยอะอย่างฉัน เลยฟังแล้วแทบระเบิดหัวเราะก๊ากออกมาลั่นโลก อ๊ายส์! พูดมานี่ไม่มวนท้องคล้ายลูกในท้องดิ้นรึไงคะคุณขา ’ไรยะ! หนังหน้าดิฉันนี่มันเข้าขั้นวิกฤตจนรักหน้าตาฉันไปด้วยไม่ได้หรือไงคะ! ต๊าย! แล้วนี่ถ้าขืนเป็นแฟนกันไป ปากคุณไม่ต้องบอกรักฉันพะงาบๆ แต่ตาต้องคอยมองไปไกลๆ ที่ขอบฟ้าจะได้ไม่เห็นหน้าฉันเรอะ! เพราะขืนเห็นหน้าเมื่อไรคงคุณต้องรีบสะกดจิตตัวเองว่า “โอม...ฉันรักเธอที่หัวใจ” แล้วลืมหนังหน้าของฉันไปซะ…ชิมิเคอะ!

ของแบบนี้มันมาเป็นแพ็คเกจคู่ จะเอาหัวใจแบบนี้ก็ต้องเอาหน้าตาแบบนี้ไปด้วย เอาความคิดแบบนี้ เอาการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ทุกองค์ประกอบที่ก่อเกิดเป็นตัวตนของฉันไปด้วย จะมาชำแหละเป็นส่วนๆแบบเขียงหมู อันนี้เอา อันนี้ไม่เอาคงไม่ได้หรอก ฉันขายเป็นอาหารเซ็ทนะเฟ้ย! ไม่ได้ขายอาหารตามสั่ง!

 

แต่เอาเถอะคุณผู้อ่านขา กะเทยชาย อ๊ายส์! กระทาชายนายนั้นปลอดภัยจากดิฉันแล้ว แต่เห็นฉันมั่นๆเริ่ดๆเชิดๆแบบนี้ เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่งความมั่นใจของฉันเคยแหว่งวิ่นไปเหมือนกัน เพียงเพราะเข้าไปดู Hi5 ของหลายๆ คนมากๆ เข้า นี่อาร้าย! ทำไมแม่คุณทูนหัวทั้งหลายถึงหน้าตาดีราวกับหลุดมาจากภาพแฟชั่นที่รีทัชเรียบร้อยแล้วกันเช่นนี้ จะทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทำตาโปนแก้มก็ยังน่ารัก ฉันลองแลบลิ้นแบบนางๆทั้งหลายบ้างก็พบว่าตัวเองตัวอะไรไม่รู้พยายามตวัดลิ้นกินเศษอาหารที่ติดอยู่มุมปาก อ๊ายส์! เสียรมณ์!

ได้แค่พาลบ่นกับตัวเองไปอย่างนั้นแหละคุณขา เพราะข้าพเจ้าคนหนึ่งล่ะก็ชอบคนสวยๆเหมือนกัน พอสติกลับมา (แต่สตางค์ไม่เคยกลับมา) ก็คิดได้ว่า ถ้าเทียบกันที่หนังหน้า ฉันก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชก แต่ถ้าดวลกันที่ความกวนตีนและช่างสำบัดสำนวน ฉันคิดว่าหมัดฮุกและฟุตเวิร์คของฉันใช้การได้ดีเสมอ คริๆฮิฮะ

แม้สังคมป่วยๆจะกำหนดความสวยแบบป่วงๆขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเกิดมาหน้าตาผิดระเบียบความสวยแล้วคุณจะไม่มีสิทธิ์หายใจได้เต็มปอดมิใช่หรือ ไม่ต้องรอให้โฆษณามาบอกว่าคุณต้องหน้าขาวไม่งั้นผู้ชายจะไม่รักเหมือนโฆษณาพอนด์ส เอากระปุกพอนด์สปาหัวผู้ชายที่มันมองคนแค่นั้นแม่งเลย (แต่พอเป็นอั๋น-วิทยา ก็ยั้งมือไว้ทันที) คุณนั่นแหละที่ควรจะตอบตัวเองให้ได้ว่าคุณจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร จะปล่อยให้คนสวยเลือกได้แต่ฝ่ายเดียวจนเราได้แต่รอเก็บเศษโอกาสที่เขาไม่เอาแล้วได้ไง...ชิมิเคอะ!

 

หึหึ...ว่าแล้ว พรุ่งนี้ฉันก็ต้องไป “หาหมอ” เสียหน่อย เสร็จแล้วจะไปเข้าฟิตเนส ตกเย็นทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก่อนนอนพอกครีมที่หน้า เพื่อดำรง “อำนาจ” ไว้

และไม่ลืมพัฒนาความกวนตีนให้ยิ่งขึ้นไปไม่ให้เสีย “อำนาจ” เช่นกัน

ความเห็น

Submitted by vagabond on

บทความคุณ มันส์ดีมากเรย
เห็นด้วยๆ

Submitted by thaina on

มารยาทส่อสันดาน กิริยาก่อสกุล

คิดมากไม่ดี

Submitted by nana on

เจ๋ง!!!

เพศวิถีมีชีวิต : การเปลี่ยนแปลงจากภายใน อะไรที่ท้าทายเรา?

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

เพศวิถีมีชีวิต : เพศวิถีของวัยรุ่นในวันที่โลกหมุนเปลี่ยน

โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา

เพศวิถีมีชีวิต: เคารพในความหลากหลาย รักเลือกได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

เพศวิถีมีชีวิต: ชีวิตทางเพศ เริ่มคุยจากตัวเอง

สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ

เพศวิถีมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงจากภายใน

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน

ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์