ดวงและกรรม

มาริยา มหาประลัย


(
หมายเหตุ – อะแฮ่ม! ขอออกตัวว่าฉันเป็นคนรู้เรื่องศาสนาเพียงน้อยนิด ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตตามภูมิความรู้ที่มี ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ เพียงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ใครจะกรุณาแลกเปลี่ยนทัศนะเพื่อช่วยให้แตกกิ่งก้านสาขาเซลส์สมองของฉัน ก็ขอกราบแทบแนบตักขอบพระคุณงามๆ มา ณ ที่นี้ด้วย...ชะเอิงเอย)

วันที่ 9 เดือน 9 ปีนี้ ฉันและผองเพื่อนมีวาระแห่งชาติในการปฏิบัติภารกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ แต่จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลหรือสะพานมัฆวานฯ ใครจะกู้ชาติ กู้โลก หรือกู้เจ้าโลกก็ขอเว้นวรรคความใส่ใจสักวันเถอะ วันนี้พวกเราเหล่าปัญญาชนทั้งหลายจะรวมตัวกันไป แถ่นแถ้นนนน!!!...ดูดวงคร้าบ!!!

ความอยากดูดวงของฉันมีเป็นพักๆ แต่ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย แม้ว่าทุกวันนี้ถ้าบังเอิ๊ญ...บังเอิญเปิดผ่านไปเจอคอลัมน์ดูดวงในนิตยสาร ฉันอาจจะหยุดแวะปราดตาดูที่ลัคนาราศีมังกือของฉันสักหน่อยพอเพลินๆ แต่ไอ้ครั้นจะให้เสด็จออกจากบ้านไปหาหมอดูน่ะเรอะ...ยากส์พ่ะย่ะค่ะ!! เอะอะเลี้ยวเข้าเซ็นทรัลเวิลด์ พารากอน เอ็มโพเรียมเรื่อยเลย! (เข้าไปเดินสวยๆ เชิดๆ งั้นแหละแต่ไม่มีปัญญาซื้ออะไรกลับบ้าน)

แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ฉันและผองเพื่อนถึงเกิดอาการกระสันอยากดูดวงขึ้นมาซะงั้น อาจเป็นเพราะเพื่อนของเราคนหนึ่งแนะนำและประทับตรารับประกันคุณภาพว่า “แม่นจนน่าขนลุกซู่” เลยชักอยากรู้ขึ้นมา ยิ่งเพื่อนนางนี้ถ่ายทอดว่า ที่นี่ใช้การเพ่งกระแสจิต ขุดรากกรรมเก่าเอามาตีแผ่ดวงชะตาขนาดนี้ อู้ว! ฟังแล้วต้องครางว่า “เสียวโว้ย” ขึ้นมาทันใด

ว่าแล้วพวกเราก็นัดกันล่วงหน้าเป็นวาระแห่งชาติ แล้วแยกย้ายกันไปทำบุญกลบบาปของเราเสียก่อนที่หมอดูจะขุดเอามาประจาน ซึ่งผลปรากฏว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เราทั้งสี่ก็แยกย้ายกันไปทำบาปกันถ้วนหน้ามากกว่าเดิม!

คุณเอ๊ย! พอถึงเวลาดูดวงจริงๆ มันยิ่งกว่า “เสียวโว้ย” ที่คิดไว้อีกนะ แต่ละนางนายกลัวจนเกี่ยงกันสุดฤทธิ์ว่าใครจะโดนถีบขึ้นแท่นพิพากษาก่อน มันน่ากลัวนะคุณที่จะได้รู้ว่าชาติก่อนเราไปทำอะไรไว้ ยัยมาริยาเอ้ย! อีทีตอนวิพากษ์สังคมล่ะกล้านัก แต่พออยู่ต่อหน้าหมอดูล่ะหัวหดตัวลีบ! ชิ! เชอะ! ฮิ! ฮะ!!!

เพื่อนสาวนางหนึ่งโดนถีบให้เป็นคนแรก (ฉันใช้มารยาหญิงเกิดปวดฉี่ขึ้นมาซะเลยไม่ต้องเป็นคนแรก) นั่งฟังไปก็ใจเสียวโว้ยจริงๆ เพราะแม่หมอแม่นเหมือนซ้อเจ็ดมาเองจริงๆ!

ตัดฉับมาที่ตัวฉัน หมอดูวัน เดือน ปีเกิด แล้วเขียนเลข วาดตารางแกรกๆ พูดไปก็ดมยาดมไปด้วยความเหนื่อยใจ แถมมีการพาดหัวไว้ด้วยว่า “มากราคะนะเรา” อ๊ายส์! แค่เริ่มต้นก็ชวนขนลุกแล้ว!! ฉันได้แต่ทำหน้าสวยสู้หมอเข้าไว้ ที่ฮาครืนกว่านั้นคือ แม่หมอบอกว่า “ทำวจีกรรมไว้เยอะ เลิกพูดส่อเสียดได้แล้ว” อ๊ายส์!!!! หมอยังบอกอีกว่า เพราะชาติก่อนฉันทิ้งเขาไว้เยอะ ชาตินี้เลยต้องอยู่บ้านคนเดียวจนเหงา ระวังปัญหาสุขภาพด้วยเพราะตามพื้นดวงแล้วฉันมีสิทธิ์เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด ความคัน อ๊ายส์! ความดัน ความอ้วน อย่ากินอาหารไขมันสูง เอ๊ะ! นี่แม่หมอดูดวงหรือรับปรึกษาปัญหาสุขภาพกันแน่คะเนี่ย อ๊ายส์! เผลอทำวจีกรรมอีกแล้วช้านนน!!

เพื่อนเก้งกวางของฉันสิเปรี้ยวกว่า แม่หมอลากตารางแกรกๆ แล้วบอกว่าชอบผู้ชายใช่ไหม อ๊ายส์! แม่หมอมีเกย์ดาร์ด้วยหรือเนี่ย แม่หมอบอกว่าดูจากจิตก็รู้ แถมวัน เดือน ปีเกิด เวลาตกฟากยังบอกอีกว่าเป็น ต๊าย! ใครเกิดวันนี้ เวลานี้เป็นเกย์หมดเลยใช่ไหมนี่ คนเป็นเกย์หรือไม่เป็นนี่ดูกันได้ตั้งแต่อุแว้แรกคลอดกันได้เลยแฮะ แถมยังบอกอีกว่า ชาติก่อนเพื่อนฉันเกิดเป็นนายทหารผู้มีอำนาจ และมากภรรยา เพราะมีเมียไปทั่วนี่แหละชาตินี้เลยเกิดเป็นเกย์ ข้อสงสัยของฉันก็คือว่า ชาตินี้ทำไมความเป็นทหารถึงไม่ตามมาถึงชาตินี้ด้วย เพราะความเป็นนักรบกับเพื่อนฉันคนนี้ห่างไกลกันเหมือนความคิดทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตร ใกล้ที่สุดก็คือเป็นนักรบอัศวินดาราเซเลอร์มูนนี่แหละค่า!!!

อะแฮ่ม! เรื่องแม่น – ไม่แม่นอันนี้ฉันมิทราบมิแซ่บได้ แต่ฉันว่าคำอธิบายเรื่อง “กรรม” ที่หมอให้ไว้ “น่าสนใจ” มากกว่า

ตกลงว่าการเป็นเกย์ ไม่ได้เป็นเพราะสังคมปรุงแต่ง “ความเป็นเกย์” อย่างที่ซีโมน เดอ โบวัวร์บอกว่า “ผู้หญิงไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง แต่ถูกทำให้เป็นผู้หญิง” แต่เป็นเรื่องกรรมเก่าแต่ปางก่อนที่เป็นนายทหารเจ้าชู้ที่เที่ยวไข่ไว้ทั่ว แหม...”เป็นทหารให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด” อย่างที่หนุ่ม ศรราม บอกจริงๆ ด้วยเว้ยเฮ้ย

ว่าก็ว่าเถอะ ติ๊ต่างว่าเพื่อนฉันเคยเกิดเป็นนายทหารเชี่ยวชาญการศึกขึ้นมาในสมัยโบราณจริง การมีเมียหลายคนในสมัยก่อนก็ไม่ได้ผิดตรงไหนในสังคมสมัยนั้น เพราะตามบริบทของสังคมสมัยก่อนนั้น การมีเมียน้อยไม่ได้เป็นเรื่องของความเจ้าชู้ไปเสียหมด บางครั้งเจ้าเมืองเมืองหนึ่งก็ส่งลูกสาวมาเป็นมเหสีรองของกษัตริย์อีกเมืองเพื่อดำรงฐานอำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างสองเมืองไว้ สังคมสมัยก่อนใช้ความสัมพันธ์ทางเพศในการสร้างฐานอำนาจทางการเมือง ในเรื่องนี้ “อำนาจ” จึงเป็นเรื่องที่มาพร้อมเรื่องเพศ คนที่มีอำนาจมากก็ต้องมีเมียมาก ดูเรื่อง “นางทาส” งี้ซิ หรืออย่างพ่อขุนแผนแสนเสน่ห์พระเอกที่เรายกย่องนั่นก็มากเมียเหมือนกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้

 

ที่คนสมัยนั้นไม่รู้สึกแปลกที่จะมีเมียหลายคนก็เพราะแนวคิดเรื่อง “ผัวเดียวเมียเดียว” ซึ่งเป็นคาทอลิ้ก...คาทอลิกนั้น บ้านเราเพิ่งนำเข้ามาไม่กี่ร้อยปีนี่เอง ว่าก็ว่าเถอะ ตอนที่เอาเข้ามา เจ้าขุนมูลนายทั้งหลายต่อต้านด้วยซ้ำ ถ้าพูดกันถึงสังคมปัจจุบัน ฉันก็เข้าใจได้อยู่หรอกว่าทำไมต้องผัวเดียวเมียเดียว ทำไมต้องศีล 5 ทำไมไม่ควรมีกิ๊ก แต่นี่ในเมื่อตอนนั้นเพื่อนฉันเป็นนายทหารในสมัยก่อนโน้น กรอบความคิดเรื่อง “ผัวเดียวเมียเดียว” ยังไม่มาถึงด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าชาติก่อนเพื่อนฉันจะเป็นนายทหารที่มากเมียไปเสียหน่อย นั่นเป็นเพราะเพื่อนฉันทำตามสิ่งที่สังคมปูแนวทางไว้ในเรื่องอำนาจและความเป็นชาย ไม่ใช่เพราะเพื่อนฉันทำชั่ว ว่ามะ! งี้ผู้ชายสมัยนั้นเกิดมาอีกชาติคงเป็นเกย์กันหมดโดยไม่รู้ตัวเลยมั้งชิมิเคอะเนี่ย!

ตกลงว่ากรรมจากศีลข้อ 5 นี่กินความไปแค่ไหน ใครรู้วานช่วยเมตตาบอกฉันที

เรื่องต่อมา การที่ฉันต้องอยู่บ้านเหงาๆ คนเดียว ก็ไม่ได้เป็นเพราะความเจริญที่กระจุกตัวในเมืองหลวงจนคนต่างจังหวัดต้องส่งลูกหลานมีเรียนที่กรุงเทพฯ เพื่อโอกาสทางการศึกษาและความก้าวหน้าในชีวิต ไม่ได้เป็นเพราะที่สังคมเมืองมีสภาพเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น แต่เป็นเพราะกรรมที่ชาติก่อนทิ้งให้คนอื่นอยู่คนเดียวเยอะ กิ๊วๆ! โดนซะมั่ง สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ!

หรือการที่ฉันมีร่างสังขารอ้วนอึ๋มอวบอั๋นตอนเด็กๆ (แต่ปัจจุบันดิฉันสวยมาก...ขอบอกและนี่ไม่ใช่วจีกรรม!) ไม่ได้เป็นเพราะนิสัยการกิน ไม่ได้เป็นเพราะฐานะทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นเพราะโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรอาหารมีมากกว่า แต่เป็นเพราะเพราะพื้นดวงกำหนดไว้อยู่แล้ว

มันน่าคิดต่อเหลือเกินว่า การมีนักการเมืองเส็งเคร็งเฮงซวยบริหารประเทศมากี่รัฐบาล การมีความเหลื่อมล้ำทางสังคม การอยู่ในสังคมที่นิยมการใช้ความรุนแรงเป็นทางออก รถจะติด น้ำมันจะแพง ทองราคาจะตก ข้าวจะขายได้ราคาไหม จะมีปฏิวัติอีกหรือเปล่า ทำไมฟุตบอลไทยไม่ไปบอลโลก โลกจะแตกหรือยัง ฯลฯ มันก็เป็นเพราะกรรม กรรม กรรม กรรม และกรรมแต่ชาติปางก่อนของเราทั้งนั้นแหละ...

ว่าแล้วก็ปลงแล้วก้มหน้าก้มตารับกรรมไปซะ แทนที่จะไปเรียกร้องประชาธิปไตยหรือเรียกร้องความเป็นธรรมอะไรกันก็หันหน้าเข้าวัด เดินจงกลม ยุบหนอพองหนอ กินมังสวิรัติกันเถิดจะเกิดผล...

ฉันอดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นยังไงหนอถ้ามหาตมะ คานธี เห็นว่าการถูกอังกฤษปกครองอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเรื่องเวรกรรมของคนอินเดีย จะเป็นยังไงหนอถ้าผู้หญิงในสหรัฐฯ ไม่ออกมาเรียกร้องสิทธิการเลือกตั้งเพราะเห็นว่าเกิดเป็นผู้หญิงเพราะทำบุญมาน้อย จะเป็นยังไงหนอถ้ารัชกาลที่ 5 ทรงไม่ประกาศเลิกทาสเพราะมีพระราชดำริว่า คนเกิดมาเป็นทาสก็เพราะทำกรรมเลวไว้ ฯลฯ

ฉันไม่ได้มองว่าคำอธิบายของหมอในเรื่อง “กรรม” เป็นเรื่องไร้สาระ แต่กลับมองว่ามันน่าสนใจ อย่างที่ออกตัวไว้ตั้งแต่ต้นว่าฉันมีความรู้เรื่องนี้น้อยนัก มีอีกหลายอย่างที่น่าเรียนรู้ และฉันไม่ได้ยึดติดว่าโลกต้องเป็นไปตามที่ฉันคิดเสมอไป ฉันชอบการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคมโดยใช้หลายมุมมอง หลายสมมติฐาน หลายทฤษฎีมากกว่า จะทางโลกหรือทางธรรมก็น่าสนใจทั้งนั้น เพราะการยึดติดกับมุมเดิมคงให้ภาพเราได้แค่มุมเดียว แม้ยืนจากมุมเดิมแต่ให้อีกคนมาดูก็ยังเห็นไม่เหมือนกัน ยิ่งจับโลกมาพลิกแพลงตะแคงคว่ำดูมิติอื่นจากมุมอื่นบ้างคงทำให้เราเข้าใจโลกได้ลึกซึ้งมากขึ้นด้วย

คำถามก็คือ เราพร้อมและกล้าแค่ไหนที่จะเรียนรู้สิ่งที่เราคิดต่าง เราพร้อมและกล้าแค่ไหนที่จะยอมรับว่าโลกนี้ไม่ได้เป็นของเราคนเดียว เราพร้อมและกล้าแค่ไหนที่จะอดทนฟังสิ่งที่อยู่ไกลจากสิ่งที่เราเชื่อเหลือเกิน

สังคมไทยกำลังต้องการคำตอบตรงนี้อยู่

แต่ที่แน่ๆ ฉันตอบได้เลยว่า หากชาติหน้าไปดูดวง หมอดูต้องบอกอีกแน่ว่า “ชาติไหนๆ เกิดมาก็ปากหมาตลอดเลยนะเอ็ง”!!!

 

 

ความเห็น

Submitted by alisa aaa on

ขอชมว่าเขียนดี อ่านสนุก แต่อยากบอกว่า ไม่เคยเชื่อหมอดู ไม่เ

Submitted by alisa aaa on

ขอชมว่าเขียนดี อ่านสนุก แต่อยากบอกว่า ไม่เคยเชื่อหมอดู ไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า หรือชาติก่อน นอกจากชาตินี้

Submitted by Arai Araya on

กรรมที่ทำไว้ก็เป็นบ่อเกิดของผลที่ตามมา เพียงแต่ว่าไม่ได้มี ชาติก่อน ชาตินี้ หรือชาติหน้าหรอก ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นอยู่ในระยะเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ทั้งนั้นล่ะ หมอดูบอกว่าจะเป็นนู่น เป็นนี่ ยังไงก็ขอหลักฐานมายืนยันซักนิดนึง จะบอกว่าเค้าเห็น เค้ารู้ก็เพราะว่าเราเชื่อเค้าไปก่อนแล้ว อีกอย่างนึง เรื่องการเจ็บป่วยในอนาคตนั้นน่ะ ใคร ใคร้ ก็พูดได้ ถึงเวลานั้นแล้วจริง ๆ มีใครจำได้บ้างมั้ยว่าหมอดูเคยบอกว่าอะไร ถ้าไม่เป็นจริงอย่างที่หมอดูทายไว้ มีใครกลับไปเอาเรื่องบ้าง มีอีกเย้อะแย้ะ คนทายเก่ง ๆ ก็เป็นคนช่างสังเกต แล้วก็ฝึกพูดมาอย่างดีทั้งน้านนนน...เฮ้อ...หากินกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยเร้อ...

Submitted by แพนด้า on

ไปดูที่ไหนมาคะ พอบอกได้มั้ยอยากดูมั่ง

เพศวิถีมีชีวิต : การเปลี่ยนแปลงจากภายใน อะไรที่ท้าทายเรา?

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

เพศวิถีมีชีวิต : เพศวิถีของวัยรุ่นในวันที่โลกหมุนเปลี่ยน

โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา

เพศวิถีมีชีวิต: เคารพในความหลากหลาย รักเลือกได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

เพศวิถีมีชีวิต: ชีวิตทางเพศ เริ่มคุยจากตัวเอง

สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ

เพศวิถีมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงจากภายใน

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน

ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์