Skip to main content

กิตติพันธ์ กันจินะ


บางทีแล้วการที่เราออกมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้น มันก็มีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามบริบทของการทำงานและพื้นที่สภาพแวดล้อม ซึ่งนั่นล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการทำงานของกลุ่มคนที่มากมายหลายประเภทเฉกเช่นดอกไม้ในสวนน่ายล


ท่ามกลางบรรยากาศสังคมอมยิ้มไม่ออกเช่นนี้ เยาวชนคนหนุ่มสาวก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่เข้าไปอยู่ในบริบทของความย้อนแย้งขัดเกลาเราเขาเช่นนี้ กล่าวคือมีทั้งเยาวชนที่เห็นด้วยกับแนวทางของซีกพันธมิตร และเยาวชนที่ไม่เห็นด้วยก็มีมาก ส่วนกลุ่ม “สองไม่เอา” นั่นก็มีไม่น้อย ทว่า กลุ่มที่ดูจะมีคือ “กรูไม่เอาสักอย่าง” เสียอีกที่มีเยอะ


คำถามเดิมๆ คือ ทำไมเยาวชนคนหนุ่มสาวหลายคนไม่สนใจใคร่ตระหนักในการบ้านการเมืองเลย อันนี้คนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดคือ “เยาวชน” นั่นเอง ซึ่งเราไม่อาจจะบอกได้ว่าเพราะเหตุใด นั่นเพราะแต่ละคนย่อมมีเหตุปัจจัยในการให้ความสำคัญ สนใจแตกต่างกันไป


เป็นไปได้ไหมว่า บางทีเรื่องสังคมการเมืองทำนองนี้อาจไกลตัวเกินไปหรือบางทีเรื่องเหล่านี้อาจถูกทำให้ว่าเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม “ผู้สูงวัย” เท่านั้น หรือเรื่องต่างๆ เหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะใช้ปัญญาของเราเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือแค่เรื่อง “กินขี้ปี๊นอน” ของตัวเองก็มีมากอยู่แล้ว “ชั้นจะมาปวดหัวอะไรกันอีกกับเรื่องการเมืองหว่า”


อืม....เอาเป็นว่า ผม “ไม่คาดเดา” ดีกว่าครับ ถ้าใครอยากจะรู้ว่าทำไมคนหนุ่มสาวไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองเท่าไหร่ ก็ลองถามๆ คนเยาว์วัยรอบๆ ข้างของท่านจะดีกว่า......


ทีนี้อีกด้านหนึ่ง ยังคงมีเพื่อนๆ เยาวชนที่สนใจใคร่ตระหนักรักบ้านรักเมืองและอยากเห็นสังคมไทยก้าวไปไกลกว่าเดิม โดยกลุ่มเหล่านี้บางกลุ่มก็ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตร และบางกลุ่มก็เคลื่อนไหวกับกลุ่มริบบิ้นขาว และบางกลุ่มก็แอบเคลื่อนอยู่เงียบๆ


มาถึงตรงนี้ ผมต้องบอกก่อนว่ารูปแบบการพัฒนาสังคมของเยาวชนคนหนุ่มสาวนั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่ ณ ที่นี่ จะขอพูดถึงเฉพาะในเรื่อง “ซึ่งๆ หน้า” ก่อนนะครับ


มาว่ากันที่คนหนุ่มสาวกลุ่มที่สนใจการเมืองดูบ้าง, ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งเรียนมัธยมปี 3 และได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองที่มีการจัดขึ้นโดยกลุ่มเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย


เขาเล่าว่า การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศเราเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าด้านดีหรือร้าย เราจึงสมควรสนใจไว้ ไม่ใช่ปล่อยให้ใครทำอะไรกับประเทศก็ได้ “ที่บ้านชอบคุยเรื่องการเมืองกัน ทำให้ผมเข้าใจความเป็นไปของการเมืองมาตั้งแต่เล็ก เมื่อมีการตรวจสอบพบนักการเมืองที่ทุจริต มีการจัดชุมนุมแบบนี้ ผมจะออกมาร่วมด้วย มันดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้”


เพื่อนที่โรงเรียนไม่ค่อยมีใครสนใจการเมือง” เด็กชายตอบ แล้วเล่าให้ฟังต่อถึงการเรียนการสอนในระบบของที่โรงเรียนจะสอนให้รู้ถึงหลักประชาธิปไตยว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้สอนแบบเจาะลึกว่าประชาชนมีสิทธิที่จะกระทำอะไรได้บ้าง ทำให้เด็กคนอื่นที่ไม่รู้เรื่อง พานคิดไปว่าการชุมนุมทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ทำให้รถติด เศรษฐกิจแย่ แต่สำหรับ กันตธัชกลับมองต่างไป เขามองว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ให้เด็กรู้ว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชน เป็นเรื่องของทุกคน เด็กต่อไปก็ต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ต้องเรียนรู้เอาไว้

มาที่นี่ได้เรียนรู้ประชาธิปไตยแบบทางตรง ซึ่งถือเป็นทางออกของประชาชนที่สามารถแสดงออกได้ ผมเองตอนนี้เป็นเด็กแต่ก็ถือเป็นประชาชนคนหนึ่ง ต้องมาศึกษาเอาไว้ มันได้อะไรมากกว่าที่ตำราเคยสอน ที่นี่เราสามารถแสดงออกได้ มาที่นี่ก็มีเพื่อนที่มาช่วยกันทุกเย็นสิบกว่าคน มีหลากหลายโรงเรียน ระดับมหาวิทยาลัย ปริญญาโทก็มี ได้คุยเรื่องการเมืองกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน” เด็กชายตอบเสียงร่าเริง


คำสัมภาษณ์ของน้องคนดังกล่าวทำให้ผมคิดถึงระบบการศึกษาไทยที่ไม่ได้สร้างการเรียนรู้อย่างจริงจังต่อเยาวชนให้สนใจการเมือง หรือแม้แต่มองเห็นความสัมพันธ์ของตัวเองกับสังคม คำถามคือทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?


หากย้อนดูนโยบายที่เกี่ยวกับเยาวชนคนหนุ่มสาวแล้ว พบว่าในช่วงปี 2520 เป็นต้นมา ภายหลังจากเหตุการณ์ปี 6 ตุลาคม 2519 แล้ว รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเยาวชนในด้านการลดกิจกรรมอาสาพัฒนาชนบทลง แต่ให้เพิ่มกิจกรรมนันทนาการเพิ่มขึ้น เช่น กีฬาสี ชมรมเชียร์ เป็นต้น เพราะว่าช่วงตรงกลางระหว่างปี 2516 ถึง 2519 กิจกรรมนักศึกษานั้นมีความตื่นตัวมากในเรื่องการเข้าไปทำกิจกรรมในชุมชน การทำงานในหมู่บ้าน ชนบทท้องถิ่นทุรกันดารต่างๆ


แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แล้ว ทิศทางนโยบายของรัฐบาลเผด็จการทหารจึงเปลี่ยนเข็ม กำหนดหมายหมุดใหม่ให้กิจกรรมเยาวชนในสถาบันการศึกษาลดกิจกรรมพัฒนาชุมชนแต่เพิ่มกิจกรรมนันทนาการ เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้......


มาถึงตรงนี้ จุดที่ผมคิดว่าน่าสนใจกว่าคือการที่สังคมนับแต่ปี 2520 เป็นต้นมาเริ่มให้ความสำคัญกับบทบาทของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่จะมาทำกิจกรรมทางสังคมน้อยลงหรือเรียกได้ว่า “ถูกจำกัด” ไปเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นหากความฝันและอุดมการณ์ของใครที่ไม่มั่นคงหรือเข้มแข็งพอก็เป็นไปได้ว่าจะไม่สามารถต่อยอดคนหนุ่มสาวให้เข้ามาสนใจสังคมเลย


ดังนั้น จึงเริ่มมีการปรับตัว ก่อเกิดการรวมกลุ่มของนักศึกษา ของเยาวชนที่อยู่นอกโรงเรียน นอกมหาวิทยาลัยมากขึ้น เกิดกลุ่มหนุ่มสาวในหมู่บ้าน เกิดกลุ่มเยาวชนที่ทำงานในประเด็นต่างๆ ขึ้นมา และการทำงานก็มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ปัญหามากกว่าจะเป็นเรื่องของสังคมการเมือง เนื่องเพราะการถูกจำกัดบทบาทจากรัฐและรวมถึงการเข้ามาปะทะกันระหว่างทุนนิยมกับชุมชน


ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป สังคมเริ่มมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น สิ่งแวดล้อม ยาเสพติด เอดส์ การละเมิดสิทธิมนุยษชน และปัญหาก็พัฒนาทำให้เกิดการทำงานในกลุ่มต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเพิ่มมากขึ้น จนหลายคนในหลายกลุ่มลืมไปว่า ปัญหาต่างๆ เหล่านี้มีรากเหง้าอันเกิดจากสภาพสังคมและการเมืองที่ไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย


มาถึงตรงนี้แล้ว ผมสันนิษฐานว่าผู้ใหญ่หลายคนก็คงเริ่มจะทนไม่ได้กับพฤติกรรมทั่วไปของเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินเที่ยวเพื่อน เรื่องเรียน เรื่องชีวิตทางเพศ ยิ่งช่วงหลังปี 2542 เป็นต้นมากระแสเยาวชนที่ถูกทำให้เป็น “ปัญหาสังคม” ก็ยิ่งทำให้เยาวชนถูกตีตราจากสังคมว่าเป็นตัวปัญหา


การแก้ปัญหาของเยาวชนจึงมุ่งเน้นไปสู่การ “จำกัดสิทธิ” โดยการห้าม ควบคุม กำกับ ไม่ให้ล้ำเส้น หรืออกนอกลู่นอกทาง ทำให้เยาวชนขาดการสนับสนุนในเชิงบวก และเป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้ใหญ่ เพิ่มช่องว่างระหว่างสังคม และช่องว่างระหว่างตัวเองกับคนอื่นมากยิ่งขึ้น


นั่นจึงไม่แปลกที่เยาวชนหลายคนไม่สนใจใคร่ตระหนักรักในบ้านเมืองเหมือนที่ผู้ใหญ่หลายท่านได้วิจารณ์ไว้....


ส่วนเยาวชนที่สนใจสังคมและออกมาทำกิจกรรมในด้านต่างๆ ผมคิดว่าเราควรจะคิดถึงจุดสำคัญในหลายมุม


มุมแรก คือ สนับสนุนให้เยาวชนรวมกลุ่มทำกิจกรรมทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง โดยให้เยาวชนเริ่มต้นดำเนินการด้วยตนเอง เรียนรู้ที่จะคิด วางแผน ดำเนินการและติดตามผลการดำเนินการอย่างเต็มที่โดยคำนึงถึงความเป็นพลเมืองของเยาวชนและเข้าใจในความสามารถหรือศักยภาพของคนที่ต่างกัน


มุมที่สอง คือ ต้องเชื่อมั่นว่าคนพัฒนาได้ คนมีศักยภาพ หากได้รับการส่งเสริมทักษะ วิธีคิด และโอกาสในการเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน ทำกิจกรรมเพื่อตนเองและผู้อื่น ตลอดจนการให้คุณค่ากับเยาวชนให้ได้ตระหนักและเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ในสิ่งที่ตัวเองดำเนินการ


มุมที่สาม คือการสนับสนุนพื้นที่ทางสังคมแก่เยาวชน โดยเฉพาะการมีปากมีเสียงทางสังคม ตลอดจนการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ เช่น โรงเรียนการเมือง โรงเรียนชาวนา โรงเรียนนักกิจกรรมสังคม เป็นต้น เพื่อให้เกิดบรรยากาศว่าการเมืองและสังคมเป็นเรื่องใกล้ตัวและเป็นเรื่องของคนทุกคน – ทุกคนสามารถเข้าถึงการเมืองได้


อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญต่างๆ เหล่านี้ เริ่มมีองค์กรภาครัฐและประชาสังคมหลายแห่งที่เข้าใจและใช้หลักการดังกล่าวมาสนับสนุนการทำงานร่วมกับเยาวชนคนหนุ่มสาว มาถึงตรงนี้จุดสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งระยะยาวและระยะสั้นอย่างไร เพื่อนำมาปรับใช้กับสังคมไทยในปัจจุบัน


เพราะเรา (เยาวชนหรือผู้ใหญ่) จะได้เข้าใจร่วมกันว่า ต่อไปพวกเราจะอยู่อย่างไรในสังคมไทยที่เป็นดั่งทุกวันนี้...

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา
กิตติพันธ์ กันจินะ
ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ
กิตติพันธ์ กันจินะ
สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ
กิตติพันธ์ กันจินะ
เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น…
กิตติพันธ์ กันจินะ
หายไปเสียนานกับบ้าน “หนุ่มสาวสมัยนี้” เพราะต้องทำงานโครงการป้องกันเอดส์ และเพศศึกษากับเพื่อนๆ เยาวชนในหลายๆ ภาค ทำให้เวลาในการเขียนขีดมีน้อยกว่าเมื่อก่อน ทว่าตอนนี้ก็สามารถจัดการเวลากับตัวเองได้ลงตัวมากขึ้นทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้นทีเดียว
กิตติพันธ์ กันจินะ
อุ่นใจ บัว เขาเสยผมที่ยาวประ่บ่าแล้วรวบไว้ด้านหลังเบาๆ พลางเอื้อมมือดันเพื่อปิดประตูห้องหมายเลข 415 วันนี้เป็นวันที่เขาต้องขนย้ายข้าวของและสัมภาระต่างๆ กลับบ้านที่ต่างจังหวัด หลังจากเมื่อสี่ปีที่แล้ว เขาเดินทางออกจากบ้านเพื่อย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างเต็มตัว สี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เขากำลังนึกถึงภาพของความหลังครั้งอดีต โดยเฉพาะความหลังที่เกิดขึ้นภายในห้องพักที่อยู่เบื้องหน้า หนึ่งในเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในม่านความคิดของเขาก็คือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวห้าคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
  กิตติพันธ์ กันจินะ -1-วันอาทิตย์สัปดาห์นี้ผมน้อมนำกายไว้ที่กรุงเทพฯ เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะกลับเชียงรายเลย และอยากให้วันอาทิตย์นี้เป็นของขวัญแก่ตัวเองในการพักผ่อน หยุดขยับเรื่องงาน และเอาใจมาคิดถึงเรื่องด้านในของตัวเองด้วย เช้าตรู่ของวันอาทิตย์นี้ ผมตื่นนอนตามปกติ ไม่สายและไม่เช้าจนเกินไป และอยู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่ามีโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้โทร.กลับหนึ่งสาย นั้นคือ พี่จ๋อน แห่งมะขามป้อมนี้เอง สำหรับพี่จ๋อนและพี่ๆ มะขามป้อมแล้ว ผมถือว่ารู้จักมักคุ้นกับพี่ๆ มานานหลายปี โดยผมเริ่มรู้จักกับมะขามป้อม เมื่อตอนยังเด็กเลยแหละ จนถึงทุกวันนี้ก็นานพอควร พี่บางคนพอจำกันได้…
กิตติพันธ์ กันจินะ
  มาริยา มหาประลัย1เมื่อเดือนก่อน คุณพี่เอก บก. (อันย่อมาจากบรรณาธิการ ไม่ใช่บ้ากาม) นิตยสารผู้ชายฉบับหนึ่งที่ฉันเคยอาศัยเงินเดือนเขายาไส้ แถมยังเป็นเจ้านายที่น่ารักที่สุดตั้งแต่ฉันเคยร่วมงานด้วย โทรศัพท์ตรงดิ่งวิ่งปรี่มาหาฉัน บอกว่ามีงานเขียนให้ฉันทำ คุณพี่เอกยังหยอดคำหวานปานพระเอกลิเก(ย์)อ้อนแม่ยกอีกว่า พอได้รับโจทย์ปุ๊บ หน้าฉันก็โผล่พรวดเด้งดึ๋งขึ้นมาปั๊บ เห็นทีจะเป็นลิขิตจากนรก เอ้ย! สวรรค์ชั้นเจ็ดที่ส่งให้ฉันมาเขียนเรื่องนี้ อู้ย! อยากรู้จริงเชียวว่าเรื่องอะไรหนอ..."คุณพี่อยากให้คุณน้องเขียนเรื่อง Safe Sex ของเกย์ให้เกย์อ่าน"อ๊ายส์! อ๊ายยยส์!!อ๊ายยยยยยส์!!!…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย (หมายเหตุ – อะแฮ่ม! ขอออกตัวว่าฉันเป็นคนรู้เรื่องศาสนาเพียงน้อยนิด ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตตามภูมิความรู้ที่มี ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ เพียงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ใครจะกรุณาแลกเปลี่ยนทัศนะเพื่อช่วยให้แตกกิ่งก้านสาขาเซลส์สมองของฉัน ก็ขอกราบแทบแนบตักขอบพระคุณงามๆ มา ณ ที่นี้ด้วย...ชะเอิงเอย) วันที่ 9 เดือน 9 ปีนี้ ฉันและผองเพื่อนมีวาระแห่งชาติในการปฏิบัติภารกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ แต่จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลหรือสะพานมัฆวานฯ ใครจะกู้ชาติ กู้โลก หรือกู้เจ้าโลกก็ขอเว้นวรรคความใส่ใจสักวันเถอะ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย สาบานได้ว่า พิธีเปิดโอลิมปิกที่ปักกิ่งซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปสร้างความตะลึงพรึงเพริศ และสามารถตรึงขนทุกเส้นของฉันให้ลุกชันได้ยิ่งกว่าตอนนั่งดูกระโดดน้ำชายเสียอีก (เพราะกระโดดน้ำชายทำให้อย่างอื่นลุกและคันมากกว่า นั่นแน่! คิดอะไร! นั่งดูทีวีนานๆ ยุงมันกัดเลยต้องลุกขึ้นมาเกาเฟ้ย! อ๊ายส์!)  “แม่เจ้าโว้ย! อะไรมันจะ %$#@*&+ ขนาดนั้นฟะเนี่ย!!!” ฉันไม่รู้จะหาคำวิเศษณ์คำไหนมาบรรยายความวิเศษของภาพตรงหน้าได้ ตลอด 3 ชั่วโมงนั้นฉันเผลออ้าปากค้าง ทำตาโต ตบอกผางไปไม่รู้กี่ครั้ง และหลายครั้งเล่นเอาความตื้นตันมาชื้นอยู่ตรงขอบตาเชียวล่ะคุณ อะไรจะขนาดนั้น!
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย    เวลาได้ยินคำว่า “สวยเลือกได้” (แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงฉัน) ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “สวย” ในที่นี้เรา “เลือก” กันได้จริงเหรอ เพราะเอาเข้าจริง ความขาว สวย หมวย อึ๋ม ตี๋ ล่ำ หำใหญ่ จมูกโด่ง ฯลฯ ที่เราเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความสวย-หล่อ” นั้น ชาติมหาอำนาจเป็นคนกำหนดรูปแบบขึ้นมาและใช้มันเป็นอาวุธในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ความสวยจึงไม่ใช่เรื่อง “สวยๆ” อย่างเดียว แต่มันยังแฝงเรื่องอำนาจและชนชั้นทางสังคมมาอย่างแยบคายภายใต้เปลือกอันน่ามอง