ปลิวไสวในความทรงจำ

1 July, 2009 - 00:00 -- moon

 

เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ

 

ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน

 

ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์

แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น

.....................

คุณตาของฉันเป็นทหารม้า แม่เล่าว่าคุณตาเคยมีม้าเทศสีขาวหม่นตัวหนึ่ง ชื่อ เงินดีแท้ และแม่ก็เคยขี่มันด้วย แต่ตอนที่ฉันโตพอจำความได้ บ้านคุณตาเหลือแต่หมา แมว และไก่ในเล้า

 

คุณตาเคยพาฉันเข้าไปที่กองเสบียงสัตว์ในค่าย แล้วชี้ให้ดูโรงม้า กับโรงเก็บหญ้า วันหนึ่งโชคดีได้เห็นทหารจูงม้าออกมาเดินอยู่ไกลๆ ฉันชะเง้อมองเจ้าสี่ขาตัวสูงใหญ่ด้วยความทึ่ง

 

ครั้งหนึ่งในโอกาสพิเศษอะไรสักอย่าง โรงเรียนพาเด็กๆ ไปชมภาพยนตร์ เป็นครั้งแรกที่ฉันดูหนังในโรง

หนังเรื่องนั้นชื่อ Black Beauty เล่าถึงม้าสีดำตัวหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของคนแล้วคนเล่า ผ่านความลำบากและทารุณสารพัด


ฉันจำรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดไม่ได้ นอกจากความรู้สึกว่า สัตว์ก็มีหัวใจ และความเมตตากรุณาเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นจะมีแต่ความสุขสงบและร่มเย็น

 

ภาพที่จำได้ติดตา คือความงดงามของเจ้าสี่ขาที่วิ่งฉิวอย่างสง่า มองเห็นแผงคอพลิ้วไสวในสายลม

......................

สนามม้าอยู่บนเส้นทางที่มุ่งไปสถานีรถไฟประจำจังหวัด นับว่าไกลเอาเรื่องถ้านับจากบ้านฉัน ต้องต่อรถสองแถวถึงสองสาย บางครั้งแม่จึงพาลูกสาวตัวเล็กๆ ไปเป็นเพื่อน

ฉันไม่ชอบที่ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า แต่อยากไปกับแม่

ครอบครัวเราไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวไหน ฉันเป็นเด็กที่ไม่รู้จักการเที่ยวนอกบ้านในวันหยุด ได้แต่ฟังเพื่อนที่โรงเรียนแลกกันเล่าถึงการไปเที่ยวทะเล เที่ยวน้ำตก เที่ยวสวนสัตว์ หรือแม้แต่เที่ยวตลาด

การไปทำงานกับแม่นับว่าฉันได้ไปเที่ยวเหมือนกัน แม้จะรู้สึกภายหลังว่า สถานที่นั้นไม่มีวันเป็นที่สำหรับการไปเที่ยวก็ตามที

......................

ในความทรงจำของฉัน สนามม้าไม่ใช่สถานที่แห่งความรื่นรมย์ น่าแปลกที่ผู้คนจำนวนนับหมื่น หลั่งไหลมาชุมนุมกัน แออัด เบียดเสียด เคร่งเครียด และ(บางคน)บ้าคลั่ง

เมื่อเสียงปืนดังขึ้น และม้าทุกตัวถูกปล่อยพุ่งทะยานออกจากซองราวกับลูกธนู ผู้คนในสนามก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำร้อน ไม่มีใครอยู่นิ่ง บ้างร้องตะโกน บ้างกระโดดโลดเต้น ชูมือเร่าๆ สารพัดเสียงอื้ออึงแทบฟังไม่ได้ศัพท์

 

คุณตาบอกว่า ม้าเป็นสัตว์ที่มีคุณค่ามาตั้งแต่โบราณ ทั้งในการทหาร การกีฬา การงาน และการเดินทาง ม้าจึงงามสง่าเสมอในความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง

แต่ฉันไม่เคยเข้าใจความสนุกในการพนันแข่งม้า สิ่งที่จำได้มีเพียงม้าหลากสีที่ควบสุดฝีเท้าอยู่บนลู่ กับแส้ที่จ๊อกกี้หวดลงบนตัวมันเพื่อเร่งความเร็ว

ฉันได้แต่ภาวนาให้การแข่งขันสิ้นสุด เพื่อที่พวกมันจะได้เจ็บน้อยลง

.....................

บางคราวมีผู้ใหญ่นึกสนุก อุ้มฉันขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ ให้คอยส่งเงินทอนให้คนที่เบียดเสียดอยู่หน้าช่องขายตั๋ว บางคนบอกให้ฉันเลือกเบอร์ม้าให้ เขาว่าเด็กๆ อาจจะให้โชค ฉันได้แต่ทำหน้าเหรอหรา

 

เคยมีคนซื้อขนมมาให้ฉันถุงใหญ่ คนที่ขายตั๋วอยู่กับแม่บอกว่า เขาตบรางวัลที่ฉันบอกเบอร์ม้าให้เขา แล้วม้าตัวนั้นบังเอิญเข้าวิน ฉันจำอะไรไม่ได้เลย อาจพูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็ก

 

แม่ห้ามไม่ให้ฉันบอกหรือตอบอะไรใครอีก

"ถ้าเขาโชคดีก็ดีไป แต่ถ้าเขาโชคร้ายขึ้นมา เราอาจจะโชคร้ายไปด้วย"


เมื่อเกิดความผิดพลาด บางคนถนัดที่จะโทษคนอื่นมากกว่าพิจารณาตัวเอง

 

ครั้งหนึ่ง ขณะชะเง้อมองผู้คนที่เบียดเสียดแย่งกันซื้อตั๋ว ฉันมองเห็นใบหน้าที่คุ้นตา เขาเป็นพ่อของเพื่อนที่โรงเรียน

ใบหน้านั้นแดงก่ำคร่ำเครียด ฉันเห็นเขาฉีกตั๋วเป็นชิ้นๆ แล้วตะโกนอะไรสักอย่างเมื่อการแข่งขันเสร็จสิ้น ท่าทางนั้นทำให้ฉันกลัว การพนันทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้


นึกถึงเพลงกราวกีฬาที่ครูสอน "กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน"

แต่เมื่อกีฬากลายเป็นการพนัน ยาวิเศษนั้นก็กลายเป็นยาพิษ

..........................

 

"ม้าแข่งมันเกิดมาเพื่อที่จะวิ่งแข่ง ถ้าไม่ได้แข่งมันจะเฉาตาย" ใครบางคนเคยพูด แต่ฉันไม่เชื่อ

เหมือนที่ไม่เชื่อว่า ไก่ชนเกิดมาเพื่อจะชนกัน หรือปลากัดเกิดมาเพื่อจะกัดกัน

สัตว์ทุกชนิดในโลกมีวิถีทางของมัน ไก่คงไม่ได้ตั้งใจจะเดินเข้าไปแลกเดือยกับอีกตัวหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่ไม่ได้มีแรงจูงใจตามธรรมชาติของสัตว์ เช่นการแย่งคู่ การหาอาหาร หรือการป้องกันอาณาเขต

ปลากัดคงไม่ได้ตั้งใจจะลงไปอยู่ในขวด รอที่จะกัดกับตัวที่อยู่ในอีกขวดหนึ่ง


คนต่างหากที่กำหนดความเป็นไปให้สัตว์ อาศัยสัญชาตญาณของสัตว์ เพื่อสร้างความรื่นรมย์ส่วนตน หรือเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างของตน

 

เมื่อตะวันใกล้จะตกดิน ทั้งสนามก็เงียบสงบ เห็นแต่เศษกระดาษและขยะนานาชนิดปลิวเรี่ยตามพื้น ฉันเคยเห็นบางคนนั่งคอตกอยู่ริมถนนเหมือนไม่อยากกลับบ้าน

 

คนเลี้ยงม้าแข่งจูงเจ้าสี่ขาตัวสูงเดินกุบกับผ่านหน้าไป เจ้าม้าจะรู้ไหม ว่ามันเป็นทั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ และอาจทำให้ผู้คนมากมายฝันสลายในไม่กี่นาที

........................

เมื่อคุณตาคุณยายทราบว่าแม่ขายตั๋วแทงม้า ก็สั่งให้ลาออก และส่งหลานๆ ไปอยู่กับท่านในวันหยุดเรียนและทุกๆ ปิดเทอม เสียงอื้ออึงที่ฉันได้ยินในทุกวันอาทิตย์จึงค่อยๆ เลือนหายไป

 

ทุกวันนี้ไม่มีสนามม้าแห่งนั้นแล้ว หลายปีผ่านมาที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด จึงเห็นว่าสนามหญ้ากว้างใหญ่ส่วนหนึ่งกลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียน ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าม้าแข่งเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหน และมันจะเฉาตายจริงหรือเปล่า

ฉันภาวนาให้พวกมันมีโอกาสวิ่งเล่นอย่างมีความสุขในทุ่งกว้างๆ ได้ใช้สัญชาตญาณที่ธรรมชาติให้มา ตามประสาสัตว์ที่มีอิสระ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีความกดดัน ไม่มีแส้โบยตี

 

ท่ามกลางความทรงจำสีหม่นในสนามม้า ภาพที่ยังคงสดใสเสมอมา คือเจ้าสี่ขาที่วิ่งฉิวอย่างงามสง่า ขนแผงคอพลิ้วไสวอยู่ในสายลม

 

 

 

ความเห็น

Submitted by คนอยากไปสนามม้า on

สนามม้าเป็นสถานที่ปริศนาที่เราอยากไปนานแล้ว
แต่ไปไม่ถึงซะที เร็วๆนี้แหละจะรวบรวมความกล้าและหาเพื่อนไป

ใครเคยทะเลาะกับแม่บ้าง

19 February, 2010 - 00:00 -- moon

เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ”

The Joy Luck Club

 

 

สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า

 

ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก

บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น

วันที่กินข้าวคลุกน้ำปลาอย่างเดียวก็เคยมี ฉันไม่รู้สึกแย่อะไร เพราะว่าอร่อยดี แต่แม่เดือดร้อนมาก

แม่จึงมักหอบลูกๆ ดั้นด้นไปไว้กับตายายทุกวันหยุดและทุกปิดเทอม เพราะอยู่บ้านตายายนั้น “ยังไงก็ไม่อด”

ราดหน้าสูตรใหม่ กับความโล่งใจของหมา(ภูเขา)

8 February, 2010 - 00:00 -- moon

ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ

แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น

เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน

ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่
มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร

ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าราคา ๗๐ บาท

30 January, 2010 - 00:00 -- moon

วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม

ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)

เรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงไปทั้งหมู่

21 January, 2010 - 10:51 -- moon




...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา

 

ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว

ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า)

บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา

(จะดราม่าไปไหน?)

เมี้ยวววว!

8 January, 2010 - 12:01 -- moon



หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์
อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย
ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา
แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น