Skip to main content

วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม

ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)


 

ข้าวสาร ๒ กิโล อย่าถามเลยว่าจะหุงได้อีกกี่วัน แค่มื้อเดียวยังไม่พอ

เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้ม...กลุ้มใจ กลุ้มใจ

กลุ้มอยากมีเงินทอง กลุ้มอยากจองที่ดิน กลุ้มอยากมีทรัพย์สิน มีที่ดินซักห้าพันไร่

กลุ้มอยากมีรถเบ๊นซ์ กลุ้มอยากเป็นคนดัง กลุ้มอยากมีสตางค์ ชี้นิ้วนั่งได้เป็นคุณนาย.....

อุ๊ยตาย! เผลอถอนใจเป็นเพลง “คิดแล้วกลุ้ม” ของพุ่มพวง ดวงจันทร์

 

บ้านสี่ขาซื้อข้าวให้หมาเดือนละ ๓-๔ ท่อน(หมายถึงกระสอบ) ท่อนหนึ่งมี ๔๙ กิโล

ไม่นับกับข้าว (โถ คุณขา หมาก็มีหัวใจ จะให้กินข้าวเปล่าๆ อย่างไรได้คะ) กับอาหารเม็ดอีกเดือนละ ๕ ถุง (ถุงละ ๒๐ กิโล)

แล้วก็ยังไม่นับอาหารสำหรับแมวอีกกว่า ๕๐ ตัว

ภาวนาอยู่ทุกวันว่าอย่ามีตัวไหนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ปรากฏว่ามีเกือบทุกวันจนอยากมีสัตวแพทย์ประจำบ้าน จะได้ไม่ต้องอุ้มบ้าง แบกบ้าง ทุลักทุเลไป ๓๐ กว่ากิโลเมตรกว่าจะถึงตัวจังหวัด

โหะโหะ! ทุกวันนี้ทำงานงกๆ หาเลี้ยงลูกหลานสี่ขาแท้ๆ ทีเดียว

 

จริงๆ ก็ไม่กระไรนักหรอก ยังพอมีแรงทำมาหากินด้วยความเต็มใจ แต่บางทีหาไม่ทันก็ได้นั่งกลุ้มใจเล่นบ้าง อย่างเช่นวันนี้เป็นต้น

ความจริงข้าวสารมีขายในตลาดหน้าอำเภอ อาเฮียก็ยินดีอย่างมากที่จะขาย ติดขัดอยู่แค่ฉันไม่มีเงินไปซื้อ (แถมยังต้องมีค่ารถรับจ้างไปแบกกลับมาด้วย เพราะแบกกระสอบข้าวพร้อมขี่จักรยานยนต์เองไม่ไหว)

 

แหม อยากขอร้องจริงๆ นะ คนที่ชอบทิ้งหมาทารุณแมว พอเสียทีเถิด หากไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตใดๆได้ตลอดรอดฝั่ง หรือรู้ว่าตัวเองอดทนไม่พอกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ดั่งใจ ก็อย่าได้คิดเลี้ยงสัตว์ชนิดใดเลย

เลี้ยงครึ่งๆกลางๆ แล้วเผลอ (หรือตั้งใจ?) ทิ้งขว้างซะงั้น

คิดดู๊...ถูกทิ้งมาทั้งที ยังให้เจอคนอุปการะที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีปัญญาซื้ออาหารดีๆ ให้กิน ไม่เคยซื้อของเล่นให้กัด แถมบ่อยครั้งยังเงินขาดมือซื้อข้าวสารไม่ทัน

น่าสงสารพวกมันจะตายไป!

 

แล้วฉันจะทำอย่างไรให้ข้าวสารที่เหลือ ๒ กิโลพอกินทั้งบ้าน พรุ่งนี้อีกล่ะ?

อะโห! ช่างเป็นปัญหาท้าทายยิ่งนัก พุทธศาสนสุภาษิตบอกว่า ปัญหามา ปัญญามี

แต่ตอนนี้ ปัญญายังไม่มี ก็เลยนั่งกุมขมับไปพลางๆ

 

อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง

อยากถามคุณค่ะว่า ถ้ามีเงินอยู่ ๗๐ บาท คุณจะทำอะไรได้บ้างคะ?

 

ช่วงหนึ่งในชีวิต ฉันทำงานเกี่ยวข้องกับโรงเรียนบนภูเขาลูกหนึ่งที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

งานของฉันไม่ใช่ครู แต่เป็นการเก็บข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของเด็กๆ ในภาคอีสาน

โรงเรียนนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในพื้นที่รับผิดชอบและฉันก็มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมเยียนไม่บ่อยนัก เพราะเส้นทางลำบากแสนสาหัส

 

ในวันหนึ่งที่แสนวุ่นวาย มีจำนวนครูอาสาไม่พอสอนเด็ก บางคนวิ่งหลายห้อง

ราวๆ สิบโมงเช้า ฉันกำลังสำรวจเพิงที่สร้างหยาบๆ จากไม้ไผ่ให้เป็นโรงครัว พื้นเป็นดินแข็ง มีไม้ฟืนเหลือกองอยู่ไม่กี่ท่อน ก้นหม้อและกระทะดำปี๋ด้วยเขม่า

ครูสาวคนหนึ่งโผล่หน้ามันๆ มาบอกว่า

พี่อยู่ตรงนี้พอดีเลย ช่วยทำอาหารกลางวันให้หน่อย พวกหนูไม่มีเวลาทำ”

แล้วเธอก็ผลุบออกไป ไวปานกามนิตหนุ่ม

 

หน้าเพิงมีแม่ๆ ยืนอยู่ ๓-๔ คน ล้วนแต่ยังสาว ทุกคนเป็นชาวถิ่นกับชาวลัวะ และเป็นแม่ของเด็กในโรงเรียนที่ผู้ใหญ่บ้านให้ผลัดกันมาช่วยงานครู

คนหนึ่งอายุราว ๒๐ ปี มีลูกเล็กมัดผ้าขาวม้าไว้ข้างหลัง กำลังหลับคอพับคออ่อน

อีกคนวัยพอๆ กัน มีลูกอ่อนมัดไว้ข้างหน้า กำลังดูดนมแม่อยู่อย่างเอาจริงเอาจัง

ฉันมองหน้าเธอทั้งหลาย พวกเธอก็มองหน้าฉันอย่างซื่อๆ ท่าทางรอว่าฉันจะสั่งอะไร

ทำไงดีเนี่ย” ฉันเผลอรำพึงเสียงดัง

แม่คนหนึ่งชี้ไปที่ไม้กระดานแผ่นเล็กที่ตอกอยู่ในครัว เขียนด้วยชอล์กว่า “วันพุธ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า”

แล้วฉันจึงเห็นว่าบนพื้นดินกลางครัว มีห่อใบตองใส่เส้นก๋วยเตี๋ยววางอยู่ราวๆ ๓ กิโล กับน้ำมันหมูเป็นถุงๆ และน้ำตาลทรายสีตุ่นๆ ถุงหนึ่ง

ข้างเพิงมีผักกองหนึ่ง เป็นพืชไร่ที่ชาวบ้านเก็บมาให้ เป็นความร่วมมือในการหาอาหารกลางวัน ใครมีอะไรก็เอามา ผักกองนั้นจึงมีทั้งกะหล่ำ มะเขือ ฟักเขียว บวบ แตงร้าน และผักป่าที่ฉันไม่รู้จักชื่ออีก ๒-๓ ชนิด

ทำเป็นกันไหมคะ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า” ฉันถาม

ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง!

 

อึ้งอยู่ครึ่งนาที จึงวิ่งไปตามหาครูอาสาคนที่มอบหมายงานอันทรงเกียรติให้ฉัน พบเธอกำลังจับปูใส่กระด้งอยู่ในชั้นเด็กเล็กที่จับรวมกับชั้นป.

ทำไมมีแค่นั้นล่ะคะ เด็กเกือบสองร้อยนะ” ฉันถามแบบยังไม่หายอึ้ง

ก็มีแค่นั้นแหละค่ะพี่” เธอเงยหัวฟูขึ้นมาตอบอย่างซื่อๆ

เหรอ..เออ..แล้วทำราดหน้ากับอะไรล่ะ ไม่เห็นมีเนื้อหมู” ฉันหลุดปากถามโง่ๆ ออกไป เธอก็อธิบายซื่อๆ อีกว่า

งบประมาณอาหารกลางวันหมดค่ะ เหลือแค่ ๗๐ บาท เงินเดือนครูพวกหนูก็ยังไม่ได้รับ ไม่มีจะซื้อหมูค่ะพี่ ลงไปหล่มเก่าซื้อมาได้แค่นั้น ยังดีมีเส้นก๋วยเตี๋ยว เด็กๆ ยังไม่เคยกินราดหน้าเลย ก็เลยอยากกินกัน”

 

..แสงเรืองๆ ที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง

เหนื่อยยากอย่างไรไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง ครูนั้นยังลำพองในเกียรติของตนเสมอมา...

 

ฉันอยากตะโกนร้องเพลง “แม่พิมพ์ของชาติ” ของวงจันทร์ ไพโรจน์ เพื่อแสดงความชื่นชมครูอาสาตัวเล็กๆ ทั้งหลายที่ตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างไม่ย่อท้อ แถมรับสภาพความจริงอย่างเป็นเรื่องธรรมดาอีกด้วย

 

แต่แหม..ไม่มีโปรตีนเลยนะ เสียดายอาหารไม่ครบ ๕ หมู่” ฉันอดบ่นงึมงัมไม่ได้

เออ โปรตีนก็มีเหมือนกันแหละพี่” เธอพยักหน้าไปอีกด้าน ฉันมองตามไป เจอหมาภูเขาผอมๆ หน้าตาซื่อๆ ๒-๓ ตัวนอนผึ่งแดดอยู่ใกล้เสาธงไม้ไผ่ เห็นแล้วคิดถึงบรรดาสี่ขาที่บ้าน

อืม จริงด้วย แต่อย่าไปรบกวนมันเลย พี่ว่ามันคงไม่เต็มใจมั้ง” ฉันรู้ใจหมา

หนูก็ว่างั้นแหละ” เธอหัวเราะ ฉันก็หัวเราะ

 

ใกล้เที่ยงแล้ว ฝากด้วยนะคะพี่” เธอมองหน้าฉันอย่างเชื่อมั่น (ยิ่งกว่าตัวฉันเองเสียอีก)

 

เอาละ(วะ) ปัญหามา ปัญญามี ฉันผงกหัวหงึกหงัก ถึงแม้ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าจะไม่ใช่บะหมี่ปรุงสำเร็จ ที่ปรุงเสร็จตั้งแต่ในซอง แต่ฉันผู้ถนัดทำกับข้าวให้หมา จะไม่มีปัญญาทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้าให้คนกินก็ให้มันรู้ไป

 

เดินกลับไปโรงครัวอย่างมุ่งมั่นที่จะทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้าราคา ๗๐ บาทให้เด็กดอยเกือบ ๒๐๐ คนได้อร่อย ถึงแม้จะยังนึกไม่ออกว่าจะใช้สูตรไหนก็เถอะ

โปรดติดตาม(พร้อมเอาใจช่วย) ในตอนต่อไป!

 


..ฝันเอาค่ะ ราดหน้าจานนี้

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…