Skip to main content

20080420

“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน
“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล
“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล

“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมาย
แห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารัก
เพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”
(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)

นอกจากปรีชา ช่อปทุมมา ศิษย์แห่ง “สำนักศานตินิเกตัน” โดยตรงซึ่งพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปีพ.ศ. 2526 แล้วยังมีนายแพทย์วิทุร  แสงสิงแก้ว อีกผู้หนึ่ง ที่แปลบทกวีล้ำค่าเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2512 ทั้งยังเคยได้รับเลือกให้เป็นหนังสืออ่านประกอบวิชาภาษาไทยในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เมื่อหลายปีมาแล้ว

แม้ว่าบทกวี “จันทร์เสี้ยว” นี้จะพูดถึงเรื่องเด็ก ตลอดจนความสัมพันธ์อันลึกล้ำระหว่างแม่กับลูก (หรืออาจเป็นพ่อกับลูกก็ได้แล้วแต่จินตนาการและความต้องการของผู้อ่าน) แต่ก็เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับใครก็ตามที่กำลังค้นหาแรงดลใจจากคุณค่าชีวิต  จากความสัมพันธ์อ่อนโยนระหว่างมนุษย์พึงมีกับมนุษย์

จำได้ว่า บทกวี “จันทร์เสี้ยว” นี้ ข้าพเจ้าเคยนำติดตัวอยู่เสมอในยามเดินทางท่องไปในวัยหนุ่มราวกับเป็นคัมภีร์ชีวิต สะท้อนสะท้านใจกับโลกของความเป็นเด็ก(ที่หลบซ่อนอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งในตัวเอง) ตลอดจนความรักที่ผู้เป็นพ่อหรือแม่มีต่อลูกน้อย และรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถของผู้ประพันธ์ที่วาดแต่งจินตนาการแห่งความเป็นเด็กใส่ไว้ในโลกของภาษาอย่างไพเราะ

บทกวี “จันทร์เสี้ยว” ทำให้เชื่อว่าความงามแห่งความเป็นมนุษย์และความรักอันสูงส่งนั้นมีอยู่จริงซึ่งไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล หากแต่สามารถหาได้จากความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวซึ่งในที่นี้คือแม่กับลูกน้อย

ข้าพเจ้าอ่านจนจำได้ขึ้นใจว่าแต่ละบทแต่ละคำนั้นไพเราะอย่างไร  จินตนาการของผู้ประพันธ์เกี่ยวกับเด็กนั้นช่างน่าพิศวงซึ่งมีแต่กวีที่แท้จริงเท่านั้นที่ทำได้ คนที่แสร้งทำเป็นกวีหรือนักแกะสลักถ้อยคำโดยทั่วไปนั้นไม่อาจทำเช่นที่ “รพินทรนาถ ฐากูร” กวีรางวัลโนเบลที่น่าภาคภูมิใจของโลกตะวันออกทำได้

อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับผู้แปลทั้งสองท่านด้วยที่นอกจากมีรสนิยมในการอ่าน การแปลแล้ว ยังสามารถในการเลือกสรรคำร้อยเรียงออกมาเป็นภาษาไทยซึ่งใครจะชอบสำนวนแปลของใครมากกว่ากันนั้นก็แล้วแต่ผู้อ่าน

คำว่า “จันทร์เสี้ยว” นั้น ผู้รู้บางท่านให้ความหมายว่าคือสิ่งสวยงามที่จุติมาครั้งแรกด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องและจะต้องเติบโตขึ้นไปจนเต็มที่ตามวันเวลาที่ผ่านไป เช่นเดียวกับความงามของพระจันทร์วันเพ็ญซึ่งค่อย ๆ สว่างมาจากรัศมีของพระจันทร์เสี้ยวในคืนแรก ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนขอบฟ้า

ข้าพเจ้าขอยกบทกวีมาให้อ่านสักบทหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงจินตนาการของผู้ประพันธ์ที่เสมือนเข้าไปนั่งอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเด็ก

ความเห็นใจ

ถ้าผมเป็นเพียงลูกหมาตัวเล็ก ๆ ไม่ใช่ลูกแม่ละก้อ เมื่อผมพยายามจะกินอาหารจากจาน แม่ครับ, แม่จะพูดไหมว่า “ไม่เอานะ”
แม่จะไล่ผม และตวาดไหมว่า “ไปให้พ้น ไอ้ลูกหมาซุกซน”
ไปซิครับแม่ ผมจะไปเด็ด ๆ ! จะไม่เดินเข้ามาหาเมื่อแม่เรียก จะไม่ยอมให้แม่เลี้ยงอีกเลย
ถ้าผมเป็นเพียงนกแก้วขนเขียวตัวเล็ก ๆ ไม่ใช่ลูกแม่ละก้อ แม่ครับ, แม่จะล่ามโซ่เพราะเกรงว่าผมจะบินหนีไหม แม่จะชี้นิ้วและดุไหมว่า “ไอ้นกเนรคุณ จิกโซ่ได้ทั้งวันทั้งคืน”
ไปซิครับแม่, ผมจะไปจริง ๆ ! จะบินเข้าป่า ไม่ยอมให้แม่กอดอีกแล้ว.
                    (สำนวนแปล ปรีชา ช่อปทุมมา)

ความไร้เดียงสาน่ารักในวัยเด็กถูกแปรรูป และยกระดับขึ้นให้กลายเป็นความงดงามที่จรรโลงใจโดยถ้อยคำง่าย ๆ ลองดูอีกบทหนึ่ง

เมื่อใดและทำไม

เมื่อใดที่พ่อนำของเล่นสารพัดสีมาฝากเจ้า ลูกเอ๋ย พ่อเกิดความเข้าใจขึ้นว่า ทำไมจึงมีการเล่นสีสันบนก้อนเมฆ บนท้องฟ้าและบนกลีบผกา...เมื่อพ่อนำของเล่นสารพัดสีมาฝากเจ้านั่นแหละ
เมื่อใดที่พ่อร้องเพลงเพื่อเป็นจังหวะให้เจ้าเต้น พ่อรู้ชัดว่าทำไมจึงมีเสียงดนตรีจากใบไม้และทำไมคลื่นจึงประสานเสียงบำเรอโสตแห่งแผ่นดิน...เมื่อพ่อร้องเพลงเป็นจังหวะให้เจ้าเต้นนั่นแหละ
เมื่อใดที่พ่อยื่นขนมใส่มือตะกละของเจ้า    พ่อรู้ชัดว่าทำไมจึงมีน้ำหวานในกระเปาะดอกไม้และทำไมผลไม้แผกพันธุ์จึงถูกเติมด้วยรสเลิศอย่างลึกลับ...เมื่อพ่อยื่นขนมใส่มือตะกละของเจ้านั่นแหละ
เมื่อใดที่พ่อจูบแก้มเจ้าเพื่อเย้าให้ยิ้ม ลูกเอ๋ย พ่อเกิดความรู้สึกว่าลำแสง จากท้องฟ้ายามเช้าและสายลมเย็นแห่งคิมหันต์นำความสุขเพียงใดมาสู่พ่อ...เมื่อพ่อจูบแก้มเจ้าเพื่อเย้าให้ยิ้มนั่นแหละ

                                   (สำนวนแปล ปรีชา  ช่อปทุมมา)

ข้าพเจ้ากลับมาอ่าน “จันทร์เสี้ยว” อีกครั้งหนึ่งเพื่อค้นหาแรงดลใจให้กับตัวเอง กลับบ้านหนนี้ข้าพเจ้าจึงนำ “จันทร์เสี้ยว” ติดตัวไปด้วย
                                                 

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
-1- หลานเกิดปีเดียวกับที่ผมเดินทางออกจากบ้าน มุ่งหาประสบการณ์และไล่คว้าหาความหมายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต  คืนวันของหลานที่เติบโตขึ้นด้วยความเอาใจใส่ของพ่อแม่คือจำนวนเวลาที่ผมจากบ้านเกิดเมืองนอน
นาลกะ
    คงเป็นเพราะรูปเล่มงามตาน่าหยิบจับและเครดิตก่อนเข้าสู่เนื้อเรื่องที่บอกว่า “เล็กน้อยมากจนสามารถนั่งอ่านข้าง ๆ เตียง ยิ่งใหญ่มากจนสามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิต” เร้าความสนใจให้เปิดพลิกและลงมืออ่าน
นาลกะ
-1- ฉันเดินตัดผ่านสนามหลวงเพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับหอพักเกือบทุกวัน เรื่องราวที่แทบจะเป็นแบบฉบับและเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ที่ได้พบเห็นจากผู้คนแห่งสนามหลวงวันแล้ววันเล่า ทำให้เกิดภาพประทับในใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อฉันได้รู้จักกับสนามหลวงมากขึ้น ฉันก็ได้พบว่าสถานที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาอย่างแท้จริง ที่แห่งนี้มีเรื่องราวชีวิตของคนระดับล่างมากมาย แต่ละคน แต่ละชีวิตนั้นน่าจะปรากฏอยู่ในนิยายมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง คนเหล่านี้ไม่ควรจะมีอยู่จริง!
นาลกะ
“ลูกผู้ชายหัวใจมีรัก(Man and Wife)” คือนิยายอันละเมียดบรรจงของ Tony Parsons เป็นผลงานภาคต่อจาก “ลูก(ผู้)ชายหัวใจคุณพ่อ (Man and Boy)” ซึ่งเคยสร้างความเกรียวกราวในแวดวงนักอ่านได้มากพอสมควร(ผมเคยวิจารณ์ไว้แล้วที่ http://blogazine.prachatai.com/user/nalaka/post/1562 ) ฝีมือแปลโดย ภัสรี สิงหเดช  
นาลกะ
โดยทั่วไปแล้ว หนังสือของสำนักพิมพ์ “ผีเสื้อ” สามารถการันตีคุณภาพ(แต่ไม่การันตียอดขาย) ได้ในระดับหนึ่ง เรียกได้ว่าไม่มีคำว่าผิดหวังในแทบทุกเล่มเพราะว่าโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นวรรณกรรมแปล! “พ่อผมไม่เคยฆ่าใคร” ซึ่งเขียนโดย ฌ็อง-หลุยส์ ฟูร์นิเย่ร์ และแปลโดย วัลยา วิวัฒน์ศร ก็เช่นเดียวกัน
นาลกะ
วรรณกรรมเยาวชนรางวัลชมเชยประเภทบันเทิงคดีสำหรับเยาวชน ก่อนวัยรุ่น (12-14) จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติปี 2530 และได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 100 เล่ม ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน โดยฝีมือการประพันธ์ของนักเขียนซึ่งเป็นรู้จักกันดี "อัศศิริ ธรรมโชติ"
นาลกะ
ด้วยชื่อเรื่องที่ไม่คุ้นหู และหน้าปกเป็นรูปน้ำตกกลางป่าสวยงาม วรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้ชวนให้สะดุดใจและเปิดอ่าน ซึ่งก็ใช้เวลาอ่านไม่นานนักก็จบเล่มเพราะมีความหนาไม่ถึง 50 หน้ารวมภาพประกอบ
นาลกะ
ผลงานเรื่องนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ จากการประกวดวรรณกรรมเยาวชนรางวัลแว่นแก้ว ครั้งที่ 2 ผู้เขียนคือ “เก็ตตะหวา” วาดภาพประกอบโดย ธีระพงษ์ บัวระเพชร และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค เจ้าเก่า แก่นแกนของเรื่องคือพัฒนาการของเด็กผู้หญิงที่ชื่อ “ผิงผิง” ซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อแม่บุญธรรม และไม่ใคร่จะชอบพ่อที่แท้จริงนักเพราะคิดว่าพ่อทอดทิ้งเธอซ้ำยังปล่อยให้แม่ตาย แต่ที่จริงแล้วพ่อของเธอนั้นรักเธอมาก เหตุที่ต้องฝากเธอไว้กับคนอื่นนั้นเพราะหน้าที่การงานที่เป็นนักมายากลต้องตระเวณแสดงไปตามที่ต่าง ๆ ทั้งคนที่นำลูกไปฝากไว้นั้นก็เป็นเพื่อนเก่าและเป็นนายอำเภอที่ไม่มีลูกของตนเองสามารถดูแลผิงผิงได้
นาลกะ
  เรื่องเล่ามหาสนุกจากทุ่งหญ้าสีเขียว เป็นวรรณกรรมเด็กที่โด่งดังของธอร์นทัน ดับบลิว. เบอเกตส์ (Thornton W. Burgess) เขาได้แต่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ป่าและธรรมชาติเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับลูกชาย ปลูกฝังให้ลูกชายเติบโตขึ้นอย่างมีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ ต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือชุดรวม 20 เล่ม ได้รับผลสำเร็จอย่างมาก จนเขาได้แต่งเรื่องเล่าเพิ่มเติมรวม 170 เรื่อง
นาลกะ
  วันนี้ขอเปลี่ยนจากวรรณกรรมไทยมาเป็นวรรณกรรมต่างประเทศกันบ้าง หลังจากอ่านวรรณกรรมเล่มนี้จบแล้ว ยอมรับว่ารู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมเยาวชนของไทยและต่างประเทศ ทั้งสำนวนภาษา ทั้งเทคนิคลีลาการเล่าเรื่องและความเข้มข้นจัดจ้านของเนื้อหา ขอบ่นนิดหนึ่งว่าเท่าที่อ่านและเขียนถึงวรรณกรรมเยาวชนของไทย จำนวนไม่น้อยถ้าไม่เล่าเรื่องชนบทเรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นติดตามแล้วก็มักจะบรรเจิดเพริศแพร้วในเรื่องจินตนาการมากเสียจนกลายเป็นนิทานก่อนนอนไปหรือไม่ก็เขียนสำหรับให้เยาวชนอ่านเท่านั้น ไม่ท้าทายผู้อ่านวัยอื่น ๆ แต่อย่างไรเสีย เชื่อว่าวรรณกรรมเยาวชนไทยคงจะได้พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ…
นาลกะ
"โลกนี้ยังมีเพื่อน" คือหนังสือรวมนิทานยอดเยี่ยม รางวัลมูลนิธิเด็ก หนังสือเล่มนี้รวมนิทานไว้ทั้งหมด 7 เรื่องด้วยกัน ตั้งชื่อเล่มตามชื่อนิทานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากการประกวดในปีที่ 12 นอกจาก "โลกนี้ยังมีเพื่อน" ซึ่งได้รับรางวัลนิทานยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีเรื่องนิทานเรื่อง "นักวาดพู่กันวิเศษ" ที่โดดเด่นจนได้รับรางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม ส่วนที่เหลืออีก 5 เรื่องได้รับรางวัลชมเชย
นาลกะ
ลูกแม่น้ำโขง วรรณกรรมเยาวชนรางวัลพระราชทาน "แว่นแก้ว" ชนะเลิศรางวัลที่ 3 คืออีกหนึ่งผลงานจากนานมีบุ๊ค เขียนโดย "เขมชาติ" แม้ว่าลูกแม่น้ำโขงจะเดินตามขนบวรรรกรรมเยาวชนแบบที่เขียน ๆ กัน ที่มักพูดถึงชนบทอันงดงามที่ผู้คนพึ่งพาช่วยเหลือกัน สภาพธรรมชาติที่ผูกพันแวดล้อมวิถีชีวิต การเล่นซนของเด็ก ๆ และข้อคิดทางด้านคุณธรรม เป็นต้นว่า การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ความมีน้ำใจ  ถึงกระนั้น ลูกแม่น้ำโขง ก็ยังคงน่าอ่านด้วยการบรรยายอย่างมีชีวิตชีวา  เพราะแม่น้ำโขงแม้นจะไหลอย่างที่เคยไหลก็ยังคงน่ามองและมีเสน่ห์อยู่เสมอ