ในความรับรู้ของข้าพเจ้า 'รงค์ วงษ์สวรรค์ (3)

 

ตัวเป็นๆ 

 ‘อาว์’ อยู่บนรถเข็น มองมาด้วยดวงตาลึกงัน รอบข้างคือความเคลื่อนไหว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การพูดคุยโบกไม้โบกมือ สตริงควอเท็ตมือสมัครเล่นจบไปแล้วค่ำนั้น งานหนังสือในสวน  ข้าพเจ้าเดินผ่านสายตากราดปะทะ แต่มิได้เข้าไปหา  เหมือนโลกหยุดนิ่งชั่วขณะ ช่วงเวลาอันควรมาถึง แต่ข้าพเจ้ากลับปล่อยผ่าน ลูกและสามีเร่งยิกๆ ให้กลับ เฉกเช่นด้านบัดซบของความจนปล่อยลอยผ่าน รวมเรื่องสั้นรอซื้อสำหรับส่งไปบูชาครู รดน้ำดำหัวที่โป่งแยงคราวสงกรานต์ ข้าพเจ้าให้เผอิญอยู่ไกล ไม่ได้ข่าว ขาดงบประมาณบ้าง มิได้กราบอาว์จริงๆ สักครั้ง

ที่เชียงใหม่ เขามิได้ปรากฏแค่ในตัวหนังสือ แต่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีตัวตนจริง ผู้เป็นประธานทางใจแก่เหล่าพี่น้อง หลายปีมาแล้ว พบครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์ จ.ลำพูน ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เจ็บป่วยสูงวัย บนรถสองล้อพยุง หากแต่กำลังใจ วีรภาพแกล้วกล้า ลุกโชนอยู่ในแววตาเรืองอำนาจ  สังขารอาจร่วงโรย แต่กำลังแห่งใจฟ้อง ไม่ล่วงถอย  จากนั้นพบอาว์หลายงาน ไม่ว่างานเล็กงานน้อยเพียงใด มาร่วมเป็นกำลังใจ พูดคุยเสวนา เท่าที่จะเป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง จัดงานใหญ่วรรณศิลป์วัฒนธรรมครั้งใด พี่น้องเชียงใหม่มีอาว์เป็นที่ปรึกษา อบอุ่น มีกำลัง

‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ชีวิตจริง เขาเป็นผู้ใหญ่ที่เมตตา ให้เกียรติผู้เยาว์ และส่งกำลังใจอย่างยิ่งแก่นักเขียนรุ่นน้อง ชีวิตการประพันธ์ เขาคือพญาอินทรีแห่งป่าอักษร คือศิลปินแห่งชาติ หลักหมายเกียรติยศวรรณกรรมไทย สำหรับข้าพเจ้า เขาคือผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างสมค่าจวบจนวาระสุดท้าย ในฐานะคนทำงาน เขาคือบุคคลพึงเอาเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะสาขาอาชีพที่ดูดกินความฝัน ย่อยเลือดเนื้อและกลั่นวิญญาณตัวเองเช่นการเขียนนี้

“ ชีวิตอย่างพวกเรานี่น่ะ มันไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะมึง...แต่ต้องดิ้นรนตะเกียกตะกายอย่างสาหัส กว่าจะได้มา”  เขากล่าวยืนยันเอาไว้ *


.......................................................

สายควันสีเทาลอยเอื่อย ลมสูงบนฟ้าหนาวพาพัดไปเหนือแม่ปิง ข้ามดอยสุเทพ สูงถึงเมืองฟ้า  วันที่หมอกเหมยยังห่มคลุมยามเช้าของเดือนมกราฯ พิธีพระราชทานเพลิงศพดำเนินไปอย่างสมเกียรติ  ญาติมิตร ลูกหลาน เพื่อนพ้องและนักอ่านร่วมเดินทางมาคารวะอาลัย ความสูญเสียอันน่าใจหายตอกย้ำความจริงของมันเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายนี้จากโลกแล้ว เหลือไว้เพียงรอยจดจำรำลึก ...

แววตาบนรถเข็นฝังตรึงความรู้สึก หาใช่ประกายตาคนผู้แหวกว่ายอาบอิ่มในโลก หากแต่เป็นดวงตาที่จ้องมองมาจากชายแดนชีวิต ซ่อนซุกความลับอันยิ่งใหญ่ ชายบนรถเข็น ผู้ซึ่งแม้ล่วงเข้าบทสุดท้ายแห่งนิยายชีวิตตน ลมหายใจไม่เคยสูญเปล่า เขาผลิตข้อเขียนต่อเนื่องทุกสัปดาห์ อดทนกับพยาธิสภาพในร่าง ยังชีวิตอยู่แต่มีมรณาเดินเคียงคู่ ใครเลยอาจล่วงรู้ ห้วงลึกแห่งนักประพันธ์ บัดนี้ อาว์นำความลับนั้นติดตัวไปแล้ว สุญญากาศเวิ้งว้างผุดขึ้นพร้อมข่าวเศร้า ค้างคาอยู่ในใจทุกผู้ และคงอีกนานกว่าจะสลายไป จนกว่าจะกลายเป็นความทรงจำเปล่งประกาย เนื่องจากกาลเวลาช่วยขัดสีรอยหม่นเศร้า
.........................................................

ขอกราบบูชาครูอักษร
รวิวาร

* นิรันศักดิ์ บุญจันทร์ ,กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ,17 มี.ค 2552
   ภาพประกอบ ลายเส้น เทพศิริ สุขโสภา

 

 

ความเห็น

Submitted by โยทะกา สีชมพู on

เคยเจออาว์ปุ๊ ในงานแต่งงานเพื่อนปุ้ดที่โรงแรมแห่งหนึ่งตอนนั้นท่านยังสบายดีอยู่มีมุขเด็ดๆแววเจ้าบ่าวเป็นที่ครื้นเครง หลายสิบปีมาแล้วแต่งอ่านงานอาว์ไม่ขาด ขอน้อมคาราวะ

Submitted by บ่อน้ำกลางทุ่ง on

ไม่เจอนาน คิดถึงจัง

ส่งเสียงมาจากออสค่ะ

อยู่ยาวอีกหลายปี ทำฝันให้เปนจริงอยู่นะ พ้นจากบ้าน มาอยู่อีกบ้าน บรรยากาศเปลี่ยน คนเปลี่ยน คงต้องค่อย ๆ เดินทางไปสู่จุดหมาย

สนุกมากค่ะ เรียนที่ uni of queesland น่ะคะ
พึ่งเปิดเทอม แต่ก็โดนแก้หัวข้อบทความวิชาการเสียแล้ว
แต่ชีวิตยังดำเนินต่อไปค่ะ

คิดถึงพี่และพี่โต้งน่ะ
สบายดีไหมคะ

Submitted by พี่ฝน on

บ่อน้ำน้อย
พี่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลย นึกว่าหนูคือพี่บี
ส่งกำลังใจนะ ถึงดินแดนใหม่แล้ว ขอให้เบิกบาน สนุกสนานกับชีวิตใหม่
ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆที่น่าสนุก เหงาๆ ก็เขียนมาใหม่เน้อ
รัก-พี่ฝน

Submitted by บ่อน้ำกลางทุ่ง on

แหม อย่างงั้นเชียว

ที่นี่ร้อนตับแตก (คอนเฟริม) ทะเลทรายดีๆ นี่เอง
ร้อนเว่อร์มาก

มาเรียน MA of Communication
เลือกเมเจออร์แล้วล่ะเปน communication for social changes

คาดว่า คงตกงาน ห้าห้า เพราะเรียนแต่เรื่องการสื่อสารเพื่อการพัฒนา
หลายปีจากนี้ไป อาจเจอคนที่จบป.โท จากออส ไปขาบน้ำเต้าหู้หลังมช. ค่ะ

ห้าห้า

คนใต้ดิน

บ่อน้ำ... คำนี้ช่างชุ่มเย็นหวานฉ่ำ ซุกซ่อนอยู่ในร่มเงาไม้ ที่ละอองไอชื้นแผ่มาจากบ่ออิฐตะไคร่คร่ำ เมื่อลัดจากทุ่งร้อนเปรี้ยงหรือผ่านมาตามถนนสีแดง คนเดินทางถูกดึงดูดสู่ร่มเงา ถอยจากเปลวแดดเต้นยิบ ความกระหายเผารมลำคอ เขาก้มมองลงไป มืด ชื้นฉ่ำ ได้ยินเสียงน้ำเย็นเสนาะใสอยู่เบื้องใต้ หันซ้ายแลขวา พบหลักไม้ กิ่งไม้ หรืออาจวางเค้เก้อยู่บนดิน ครุ กระชุชันยา หรือถังน้ำพร้อมเชือก...

หลากหลายแบบเราๆ

ก่อนหนาวคลาย เขามีงานมหกรรมดนตรีชนเผ่าที่ค่ายเยาวชนใกล้ๆน้ำพุร้อน ปะทะกับแคมป์ดนตรี ชีวิต วิญญาณของชาวญี่ปุ่น  หนึ่งในสามสี่คืน บนเวทีใหญ่ พี่น้องหลากเผ่าทั่วเชียงดาว ไต ลีซู ลาหู่ ดาระอั้งฯลฯ ส่งตัวแทนขึ้นแสดงนาฏการบนเวที แจมด้วยดนตรีโฟล์คซองจากหนุ่มญี่ปุ่น  คืนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นของชาวแจแปน  มีอยู่คืนเหมือนว่าเป็นคืนของเรา เรียกเรา นั่นล่ะ ด้วยว่าพรรคพวกหมู่เฮามากันหลาย  สุดสะแนนปิดร้านยกวงมา พี่ตุ๊ก บราสเซอรี่กีตาร์เทพก็มา รวมทั้งน้าหงา น้าหว่องและวงคาราวาน  คืนนั้นมากหน้าหลายตา แต่ก็คนกันเอง รู้จักคุ้นหน้า บ้างมาร่วมงานเฉยๆบ่ได้แจมดนตรี  บ้างขึ้นอ่านบทกวีโดยมีบอดี้การ์ดคอยพยุง กวีผมสีดอกเลาหัวใจหนุ่มแน่นตลอดกาล อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น-แสงเมา ศรัทธาม่วนนั่นเอง

น้ำแล้งริมสายน้ำ

* แต หรือเขียง สิ่งก่อสร้างสำหรับแบ่งน้ำในลำเหมือง มี ต๊าง บากเป็นช่องสำหรับให้น้ำผ่านตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะปันให้นาแต่ละเจ้าเท่าใด
* อ่าน จุดจบแห่งจินตนาการ  อรุณธตี รอย

รอยทางบำรุงเลี้ยง

คุณไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น แต่กลับอาศัยงาน ภารกิจเล็กๆที่รับมอบพาไหลเลื่อนไปสู่ประตูที่เปิดกว้าง  บ้าน หญิงสูงวัย รั้วไม้ไผ่ที่เถาถั่วสีเขียวอมม่วงเลื้อยอิง กระจุกดอกเล็กๆกลีบอ่อนนุ่มและฝักสีม่วงชุ่มชูทาบท้องฟ้า ฟ้าสีฟ้าแจ่มแห่งฤดูหนาวเท่านั้น คุณมีสมุด ปากกา กล้องถ่ายรูปมาด้วย จริงอยู่ ปากขยับ ไถ่ถาม แนะนำตัว บอกที่มา คุณมาทำไม มาขอข้อมูลถั่วที่ออกดอกใหม่เอี่ยมนั่นไง  เหมือนมีตัวเองอยู่สองชั้น พูด ยิ้ม ถาม หัวเราะและหยุด สัตว์สังคมที่ฝึกมากับภายในซึ่งไร้ภาษา ซึมซับสิ่งที่ดวงตาดูดดื่ม สีหน้าของหญิงทั้งสอง  สำเนียงยองดอยสะเก็ดจากใบหน้า เหนือคิ้ว และบางแววตาซึ่งซ่อนความนิ่งขรึม กับอีกดวงหน้างาม วาจาไพเราะ เจือความสุขความเอื้อเอ็นดูอยู่ในทุกกระแสเสียง

เมืองดาว

ฉันมองโลกจากตัวฉัน เฝ้าดู เพ่งพินิจพิจารณาสิ่งละอันพันละน้อยที่อยู่รอบตัวด้วยดวงตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดักจับภูมิภาพตามลักษณะอารมณ์ความคิดแห่งเพศของเธอ  มักไม่ใคร่เห็น ตื่นเต้นเลยไกลถึงสิ่งยิ่งใหญ่ ขับดันโลก ไม่สนิทสนมคุ้นเคยเกี่ยวแก่การบ้านการเมือง จดจำตัวเลข สถิติ หรือข้อมูลทางวิชาการไม่ใคร่ได้ เพียงคิด ดู และพรรณนาไปตามความรู้สึก หญิงอื่นอาจรอบรู้เก่งกาจแตกต่าง แหละความเป็นหญิงอาจไม่ใช่ข้ออ้าง ฉันเพียงบอกเล่าจากมุมของตน