Skip to main content

เรื่องราวความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่งที่ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่ประการใด หลังจากนั้นมีปัญหาเรื่องมือที่สามเข้ามา ทำให้ครอบครัวฝ่ายชายมาปรึกษาเพราะกลัวว่าจะถูกหลอกและปอกลอกทรัพย์สินไปจนหมด

ชายคนนี้ได้แต่งงานตามประเพณีกับผู้หญิงที่มีลูกติด 1 คน โดยระหว่างอยู่กินร่วมกันนั้นทั้งคู่ไม่มีลูกด้วยกันเพิ่มเติมแต่อย่างใด   ส่วนสาเหตุที่ไม่จดทะเบียนสมรสนั้นก็เนื่องจากฝ่ายชายเห็นว่าเดี๋ยวจะมีความยุ่งยากในการทำธุรกิจ เนื่องจากฝ่ายชายนั้นมีการหมุนเวียนเงินในธุรกิจส่วนตัวเป็นจำนวนมากและในบางครั้งก็อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการล้มละลาย หรือเป็นคดีฟ้องร้องกันจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล   เกรงว่าฝ่ายหญิงจะติดร่างแหไปด้วยเมื่อมีคดีความขึ้นมา   เลยตัดปัญหาโดยการอยู่ด้วยกันโดยให้ครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับรู้แต่ไม่ต้องมีภาระหน้าที่ทางกฎหมายติดพันตามมาด้วย   ทั้งนี้ฝ่ายชายก็ได้เลี้ยงดูส่งเสียหญิงและบุตรอย่างต่อเนื่อง

เมื่อแต่งงานกันมาได้ 3 ปี ฝ่ายชายได้ไปทำงานต่างประเทศจึงต้องห่างภรรยาไปไม่สามารถดูแลได้อย่างใกล้ชิด แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งขว้างภรรยาไปโดยได้ส่งเงินกลับบ้านให้ภรรยาจ้างคนดูแลสวน ทำการต่อเติมบ้าน และส่งเสียลูกเรียนหนังสือ มาตลอดไม่เคยบกพร่อง

แต่ด้วยความไว้ใจแต่ไม่สามารถให้ความใกล้ชิด ทำให้ผู้หญิงมีชายคนใหม่เข้ามาเทียวไล้เทียวขื่อจนสุดท้ายได้พาชายคนนั้นเข้ามาอยู่ที่บ้านกลางค่ำกลางคืนในหลายวันๆ ที่ทางญาติของฝ่ายชายไปเห็น   ซ้ำหญิงนั้นก็ได้นำเงินแบ่งให้ชายคนดังกล่าว จนไม่สามารถนำเงินไปใช้ทำงานตามภารกิจต่อเติมบ้านตามที่สั่งไว้ โดยเงินที่ชายคนนั้นส่งกลับมาบ้านให้มีปริมาณร่วมหลักล้านบาท

เหตุการณ์เริ่มบานปลาย เนื่องจากมีญาติฝ่ายชายเตือนผู้ชายเกี่ยวกับพฤติกรรมของภรรยาแล้ว แต่ผู้ชายกลับไม่เชื่อ แต่เมื่อหมดสัญญาทำงานในต่างประเทศ ชายดังกล่าวกลับมาพบว่าภรรยาไม่ได้ทำตามที่ให้จัดการจริง จึงมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะชายเริ่มเห็นคล้อยตามไปกับคำที่ญาติว่าไว้ จึงซักไซ้ไร่เรียงถึงที่มาที่ไปของเงินว่า หญิงเอาไปใช้ทำอะไรตั้งมากมายแต่ไม่ได้เอาไปต่อเติมบ้านตามที่สัญญากันเอาไว้   เพราะเงินที่เสียไปก็มากกว่าล้านบาท  

ก่อนที่เรื่องจะบรรเทาลงเมื่อ ฝ่ายหญิงได้ตกลงกับสามี ว่าจะเลิกพฤติกรรมดังกล่าว    โดยญาติมารู้ภายหลังว่านอกจากไม่เลิกร้างกันไปแล้วหญิงยังชักจูงให้สามีโอนบ้านพร้อมที่ดินให้เป็นชื่อฝ่ายหญิงเสียด้วย และฝ่ายสามีก็ตกลงตามนั้นโดยที่ไม่มีญาติคนใดหรือใครจะคัดค้านได้  ทำให้สถานะทางทรัพย์สมบัติตอนนี้ของชายนอกจากเงินสดติดตัวในบัญชีธนาคารแล้วก็มีเพียงรถยนต์เท่านั้น   ไม่มีบ้านเป็นชื่อของตัวเองอีกต่อไป   ทั้งที่ได้สร้างเนื้อสร้างตัวมานับสิบปี

หลังจากนั้นพฤติกรรมของภรรยาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใดเพราะยังคงมีคนเห็นเธอไปมาหาสู่คบชู้คนเดิมอยู่เนืองๆ แม้จะพยายามไม่ให้เรื่องหนักข้อไปถึงการพามาอยู่กันที่บ้าน แต่ฝ่ายชายก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก   เนื่องจากฝ่ายชายยังคงต้องเดินทางเพื่อไปทำธุรกิจ และรับจ้างสารพัดรูปแบบเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว รวมถึงต่อเติมบ้านให้เสร็จเรียบร้อยดังที่หวังไว้  

หลังจากทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของฝ่ายหญิง และรู้สึกถึงความสูญเปล่าของความรักความปรารถนาดีที่ทุ่มเทลงไปแต่ไม่เคยได้รับความไว้วางใจกลับมา   สามีจึงได้มาปรึกษาญาติพี่น้อง ซึ่งทุกคนยอมที่จะช่วยเหลือฝ่ายชายอย่างเต็มที่ โดยตกลงกันว่าจะนำเรื่องขึ้นฟ้องต่อศาลเพื่อนำทรัพย์สินทั้งหมดของฝ่ายชายกลับคืนมาให้ได้ 

แต่คืนก่อนไปศาลนัดแรก  ฝ่ายหญิงมาอ้อนวอนขอพบฝ่ายชายเพื่อที่จะคุยโดยบอกทุกคนว่าขอเวลาเพื่อว่าจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างโดยไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล   โดยญาติๆเข้าใจว่า หญิงคงไม่อยากขึ้นศาลจึงอาจมีขอยอมความแล้วไปจัดการทรัพย์สินก่อนจะแยกย้ายกันไป    แต่หลังจากที่คุยกันเสร็จ ฝ่ายชายกลับมาบอกญาติว่าจะล้มคดี และจะโอนรถยนต์ให้กับฝ่ายหญิงอีกด้วย ซึ่งบุคคลที่จะให้ความช่วยเหลือก็งงไปตามกัน

ปัจจุบันผู้หญิงก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม โดยที่ฝ่ายชายก็ไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด เรื่องนี้ได้สร้างความมึนงงกับญาติฝ่ายชายเป็นอย่างมากว่าคืนที่ฝ่ายหญิงมาคุยกับฝ่ายชายเกิดอะไรขึ้นทำไมฝ่ายชายจึงได้เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน   และพอมีทางใดที่ญาติจะสามารถช่วยไม่ให้ชายคนนั้นโดนหลอกและตกเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวในบั้นปลายชีวิตทั้งที่เป็นคนขยันขันแข็งมาตลอด

วิเคราะห์ปัญหา

1.                  การอยู่กินกันของหญิงชายคู่นี้มีสถานะทางกฎหมายอย่างไร ผลในเรื่องความสัมพันธ์ และทรัพย์สินระหว่างคนทั้งคู่นั้นมีข้อผูกพันกันด้วยประการใด

2.                  การมีชู้หรือมีบุคคลที่สามเข้ามาในความสัมพันธ์จะมีผลอย่างไร ฝ่ายชายจะเรียกร้องค่าเสียหายหรือฟ้องร้องบุคคลที่สามได้หรือไม่

3.                  ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู และค่าต่อเติมบ้านที่ชายให้หญิงแต่ไม่มีการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้จะเรียกคืนได้หรือไม่  และเรียกเงินคืนจากบุคคลที่สามซึ่งหญิงเอาเงินไปปรนเปรอได้ไหม

4.                  ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายยกให้กับหญิงเพื่อให้เป็นภรรยาที่ดีของตน แต่หญิงไม่ปฏิบัติตนตามที่ตกลงนั้น ชายจะทวงคืนทรัพย์สินมาจากหญิงได้หรือไม่

5.                  ข้อพิพาทเหล่านี้จะมีวิธีจัดการอย่างไร ญาติพี่น้องจะเข้าไปช่วยดำเนินการได้หรือไม่ หากต้องฟ้องร้องต้องฟ้องไปยังศาลใดกันแน่

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.                  กฎหมายครอบครัวจะคุ้มครองคู่สมรสที่เป็นชายหญิงซึ่งได้จดทะเบียนสมรสกันต่อหน้าเจ้าพนักงานเท่านั้น   การอยู่กินกันในทางพฤตินัยไม่มีผลใดๆในทางกฎหมาย แต่ถ้ามีลูกชายอาจเซ็นรับรองบุตรได้ แต่กรณีนี้ไม่มี หญิงชายคู่นี้จึงไม่มีสถานะและคู่ผูกพันทางกฎหมายทั้งสิทธิหน้าที่ต่อกันฉันท์คู่สมรส

2.                  เมื่อทั้งสองมิใช่สามีภรรยากันตามกฎหมาย ชายจึงไม่อาจฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากชายชู้ ต่างจากคู่ที่จดทะเบียนสมรสซึ่งเรียกค่าเสียหายทางแพ่งฯได้ฐานละเมิด

3.                  ค่าใช้จ่ายนั้นอาจมีข้อยุ่งยากในการเรียกคืนเนื่องจากมิได้มีวัตถุประสงค์เชิงเป้าหมายอย่างชัดเจนให้ยกเป็นข้อเรียกร้องว่าได้ทำผิดสัญญา แต่ค่าต่อเติมบ้านนั้นมีวัตถุประสงค์ชัดเจนจึงอาจฟ้องเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ทางอาญาและเรียกเงินคืนได้เพราะไม่นำเงินไปใช้ตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งเรื่องเงินที่ชายชู้ได้ไปหากสืบทราบได้ว่าเป็นจำนวนเท่าใดก็เรียกจากชายได้ หรือถ้าจะให้ง่ายกว่าก็ฟ้องเอาจากหญิงแล้วให้หญิงนั้นรับภาระเป็นคนไล่เบี้ยเอาเอง

4.                  ทรัพย์สินที่ชายยกให้หญิงจึงมิใช่สินสมรสแต่เป็นการยกทรัพย์สินของชายให้หญิงไปตามหลักการให้โดยเสน่หา ซึ่งกฎหมายแพ่งฯได้มีเงื่อนไขให้เรียกทรัพย์คืนได้หากผู้รับกระทำการอกตัญญู ซึ่งก็ต้องไปนำสืบให้ศาลประจักษ์ในชั้นศาลต่อไป

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.                  เนื่องจากกรณีนี้มิใช่คู่สมรสตามกฎหมายและไม่มีประเด็นเกี่ยวกับบุตร จึงไม่อาจฟ้องร้องคดีไปยังศาลคดีเยาวชนและครอบครัวซึ่งเป็นศาลชำนัญพิเศษแต่อย่างใด คดีจึงเป็นเรื่องที่ต้องฟ้องไปยังศาลยุติธรรมทั่วไป

2.                  การฟ้องให้หญิงรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์อาจเริ่มจากการแจ้งความไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วให้อัยการสั่งฟ้องไปที่ศาลอาญาและเรียกทรัพย์ที่ยักยอกพร้อมดอกเบี้ยมาพร้อมกันได้เลย

3.                  การฟ้องเรียกร้องทรัพย์ที่ยกให้โดยเสน่หา จำต้องตั้งทนายขึ้นฟ้องไปยังศาลแพ่งฯ เพื่อบังคับให้ทรัพย์กลับคืนผ่านคำสั่งศาล

4.                  หากชายมิได้ตั้งญาติเป็นตัวแทนก็ต้องดำเนินการเอง ญาติมิอาจเข้าไปแทรกแซงจัดการแทน  ญาติพี่น้องจะดำเนินการแทนได้ก็ต่อเมื่อชายได้ตั้งให้เป็นตัวแทน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องคดีเฉพาะตัว  

สรุปแนวทางแก้ไข

                ใช้หลักกฎหมายครอบครัว นิติกรรมและทรัพย์ รวมถึงกระบวนการทางแพ่งเป็นหลัก   ซึ่งกรณีนี้เป็นเรื่องทางแพ่งทั้งสิ้นจึงขึ้นอยู่กับผู้เสียหายหรือคู่ความที่จะตกลงระงับข้อพิพาทกันอย่างไร   ยิ่งถ้าไม่มีการแต่งงานเป็นการจดทะเบียนตามหลักนิตินัย ยิ่งทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของแต่ละฝ่าย ใช้ได้เพียงหลักการให้โดยเสน่หามาปรับใช้และเรียกคืนทรัพย์เมื่อผู้รับเนรคุณต่อผู้ให้เท่านั้น แต่อย่างไรก็แล้วแต่ก็เป็นเรื่องทรัพย์ขึ้นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของจะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่การแสดงเจตนา   เว้นกรณียักยอกทรัพย์ที่แจ้งความเป็นคดีอาญาและเรียกทรัพย์ที่ยักยอกคืนมาได้


 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การพัฒนาสิทธิแรงงานรับจ้างอิสระ (Freelancer) ต้องยึดโยงกับหลักกฎหมายสำคัญเรื่องการประกันสิทธิของแรงงานอันมีสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐาน (Human Rights-Based Approach – HRBA) ไว้ เพื่อเป็นรากฐานทางกฎหมายในการอ้างสิทธิและเสนอให้ภาครัฐสร้างมาตรการบังคับตามสิทธิอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การประกันรายได้รูปแบบ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของปัจเจกชนจากการเก็บข้อมูลและประมวลผลโดยบรรษัทเอกชนจำต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลตามมาตรฐานที่กำหนดหน้าที่ของผู้ควบคุมระบบตามกฎหมายด้วย เนื่องจากบุคคลหรือกลุ่มองค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเจ้าของข้อมูลในหลายรูปแบบ อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับสภาพปั
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บุคคลแต่ละคนย่อมมีทุนที่แตกต่างกันไปทั้ง ทุนความรู้ ทุนทางเศรษฐกิจ ทำให้การตัดสินใจนั้นตั้งอยู่บนข้อจำกัดของแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นการไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี ขาดความรู้ทางการเงิน ไปจนถึงขาดการตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อสุขภาพตนเองและผู้อื่นในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นรัฐไทยยังมีนโยบายที่มิได้วางอยู่บนพื้นฐานข
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บทบัญญัติกฎหมายที่ใช้เป็นรากฐานในการอ้างสิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น จะพบว่ารัฐไทยได้วางบรรทัดฐานทางกฎหมายที่รับสิทธิของประชาชนในการรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงออกในประเด็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากหลักการพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องสิทธิม
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
เทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่เข้ามามีอิทธิพลแทบจะทุกมิติของชีวิต ส่งผลให้พฤติกรรมด้านการปฏิสัมพันธ์ของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีประชาชนจำนวนมากที่ใช้เทคโนโลยีในการหา “คู่” หรือแสวง “รัก” ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการกระทำความผิดที่เรียกว่า Romance Scam หรือ “พิศวาสอาชญากรรม”&
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
เมื่อถามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนว่าอยากเห็นสังคมไทยเป็นเช่นไรในประเด็นการมีส่วนร่วมต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ หรือมีความคาดหวังให้รัฐไทยปรับปรุงอะไรเพื่อส่งเสริมการพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของกลุ่มเสี่ยง   นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทยได้ฉายภาพความฝัน ออกมาดังต่อไปนี้
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้คร่ำหวอดอยู่ในสนามมายาวนานได้วิเคราะห์สถานการณ์การคุกคามผ่านประสบการณ์ของตนและเครือข่ายแล้วแสดงทัศนะออกมาในหลากหลายมุมมอง ดังนี้
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
สถานการณ์ในด้านสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศนั้น มีความสัมพันธ์กับหลายปัจจัยที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการละเมิดต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศที่เกิดจากข้อค้นพบจากกรณีศึกษา มีปัจจัยดังต่อไปนี้1. สถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับบริบทภายในประเทศ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บทวิเคราะห์ที่ได้จากการถอดบทสัมภาษณ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมากประสบการณ์ ในหลากหลายภูมิภาคไปจนถึงความแตกต่างของการทำงานกับกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาสิทธิแตกต่างกันไป   เป็นที่ชัดเจนว่าเขาเหล่านั้นมีชีวิตและอยู่ในวัฒนธรรมแตกต่างไปจากมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนและนิติรัฐที่ปรากฏในสังคมตะวันตก ซึ่งสะ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้ถูกรับรองไว้โดยพันธกรณีระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ให้ความสำคัญประกอบจนก่อให้เกิดอนุสัญญาเฉพาะสำหรับกลุ่มเสี่ยงนั้น ๆ ประกอบไปด้วย สตรี, เด็ก, เชื้อชาติ และ แรงงานอพยพ รวมถึง ผู้พิการ โดยกลุ่มเสี่ยงมีสิทธิที่ถูกระบุไว้ในปฏิญญาว่าด้วย
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
แนวทางในการสร้างนโยบาย กฎหมาย และกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนจากการสอดส่องโดยรัฐมาจาการทบทวนมาตรฐานและแนวทางตามมาตรฐานสากลเพื่อสร้างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายครอบคลุม 2 ประเด็นหลัก คือ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
ต้นปี 2563 หลังจากการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ถูกกดไว้มาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง เกิดการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐบาลกระจายไปทั่วทุกจังหวัดในรัฐไทย จุดสำคัญและเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏขึ้นมาก่อนในหน้าประว