1.
จินตวีร์ เกียงมี
หรือที่มีชื่อเต็มยศว่า จ.ส.ต.จินตวีร์ เกียงมี ซึ่งปัจจุบันรับราชการตำรวจ ตำแหน่ง งานธุรการอำนวยการกองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ใครต่อใครต่างรู้จักกันทั่วไปทั้งประเทศ และเลื่องลือไปถึงเมืองนอกเมืองนาในวันนี้ ในฐานะ จ่าตำรวจใจบุญ ที่แบกเป้เที่ยวตะลอนๆ ไปช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก แทบทุกหนทุกแห่งในประเทศ ที่ส่งเสียงร้องทุกข์โอดโอยมาให้เขาได้ยิน ซึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ และที.วี.แทบทุกช่องที่นำเรื่องราวของเขา มาบอกเล่าแก่สาธารณะชน
\\/--break--\>
โดยเฉพาะสื่อจากที.วี.
รายการ คนค้นคน ในช่อง 9 ของที.วี.บูรพา ที่นำเรื่องราวของเขามานำเสนอ และดำเนินรายการโดย สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ที่ดำเนินรายการด้วยน้ำเสียงทางภาษาแบบวรรณกรรมอันจริงจัง กระชับ คมคาย และเข้าใจง่าย ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและได้รับยกย่องการชื่นชมอย่างกว้างขวาง
เพราะรายการนี้ ถือกันว่า เป็นรายการเล่าเรื่องราวของผู้คน ที่ได้รับความนิยมและความเชื่อถือจากคนดูอย่างกว้าง ยิ่งกว่ารายการที.วี.ใด ๆในประเทศ ที่นำเสนอเรื่องราวในแนวเดียวกัน
ประมาณว่า ถ้าใครสักคนหนึ่งและเรื่องราวในชีวิตของเขา ได้รับการคัดเลือกและถ่ายทำไปออกอากาศทางที.วี.ในรายการ คนค้นคน สักครั้งหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมา...ในยามรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง เขาก็จะพบตัวเอง...กลายเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังในพริบตา เพราะมีคนรู้จักเขาและเรื่องราวของเขานับเป็นล้านๆคนทั่วประเทศ และถูกจับตามอง... เป็นบุคคลที่มีความสำคัญในแง่มุมใดมุมหนึ่ง ที่น่าสนใจของสังคมในเวลาต่อมา
ไม่ว่าใครจะมองรายการ คนค้นค้น ด้วยทัศนคติอย่างไร แต่นี่คือข้อเท็จจริง ที่เราไม่สามารถปฏิเสธ และมิอาจมิให้เครดิตรายการสื่อสารทางที.วี - ที่ทรงพลังอย่างยิ่งรายการนี้ของที.วี.บูรพา...
จำได้ว่า - ครั้งแรกที่ผมได้ดูรายการ คนค้นคน
นำเรื่องราวของเขามาบอกเล่าในที.วี.ช่อง 9 เมื่อเดือนเมษายน 2549 นอกเหนือจากความรู้สึกทึ่งในตัวเขา และสิ่งที่เขาได้กระทำ เหมือนอย่างที่ผมรู้สึกทึ่งในตัวคนและเรื่องราวของคนหลายๆคน ที่รายการ คนค้นคน นำมาบอกเล่า และอุทานบอกแก่ตัวเองในใจว่า เป็นไปได้ยังไงนะ... คนแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกด้วยหรืออย่างไร แต่กรณีของเขา ผมยังเลยเถิด...เกิดความสนใจในตัวตนของเขาอย่างลึกๆเงียบๆขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะจิตใจแบบสาธารณะชนของเขา ซึ่งหาได้ยากแสนยาก...ในสังคมที่มีแต่คนคอยจ้องจะเอาผลประโยชน์จากกันและกัน และคำว่าให้...มักจะถูกแปลว่า ลงทุนเพื่อจะได้ต้นทุนและกำไร - กลับคืนมามากกว่าในภายหลัง...
ด้วยสาเหตุที่เขาบอกเล่าผ่านสื่อต่างๆว่า
เป็นเพราะครั้งหนึ่งในชีวิต เขาเคยประสบปัญหาทางการเงิน มีหนี้สินหนักหนาสาหัสจนล้นพ้นท่วมตัว และเกือบจะลงมือฆ่าตัวตาย แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มีผู้ใจบุญที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้ยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือ ปลดเปลื้องหนี้สินให้โดยไม่คาดฝัน...
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาจึงได้ตั้งปณิธานแก่ตัวเองว่า จะขอเดินตามรอยผู้มีพระคุณ คือการทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน และอุทิศตนเพื่อคนด้อยโอกาส ดังที่เขาได้กระทำเป็นที่ประจักษ์ในวันนี้ แต่ดูเหมือนว่า เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เพราะสื่อแต่ละสื่อ มักจะไปเน้นเรื่องราวการช่วยเหลือคนของเขา และคนที่เขาช่วยเหลือมากกว่า
ผมบอกแก่ตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสพบปะเขาเมื่อไหร่ จะหาทางขุดค้นเอารายละเอียดคำตอบในเรื่องนี้ - จากตัวเขาให้จงได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะสาเหตุตรงนี้แหละ ที่ผมมองเห็นว่า มันเป็นจิตสำนึกอันยิ่งใหญ่งดงามและน่าศึกษา เป็นแก่นแกนและเป็นกลไกทางจิต ที่สั่งให้เขากระทำสิ่งที่ยากแสนยากที่จะหา...คนสักคนหนึ่งในล้านคนในโลกนี้ - เป็นและทำอย่างเขาได้...
2.
ผมเก็บอยากรู้อยากเห็นนี้ซุกซ่อนเอาไว้ในใจเงียบๆ
ผ่านมาจนกระทั่งปลายปี 2551 ที่เพิ่งผ่านไป ผมจึงมีโอกาสได้พบเขาโดยไม่คาดฝัน เมื่อเขาเดินทางขึ้นมาร่วมงาน ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ร่วมกับกลุ่มชาวเว็บไซด์ O.K. เนชั่น จากกรุงเทพ ที่เขาเพิ่งสมัครเข้าไปเป็นสมาชิก และพร้อมใจนัดหมายเพื่อนสมาชิกทั่วประเทศจากเว็บไซด์เดียวกัน มาพบปะสังสรรค์กันในงานนี้ ที่กองพันสัตว์ต่าง อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีสมาชิกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรีของนายทหารในกองพันเป็นเจ้าภาพ ดูแลสถานที่ จัดรายการกิจกรรม ที่พัก อาหาร เครื่องดื่ม และโปรแกรมท่องเที่ยวต่างๆ
หลังจากงานเลี้ยงนี้ได้เลิกราแล้ว
เขาและสมาชิก 5 - 6 คนที่มาด้วยกันจากกรุงเทพ ได้ติดตามคนข้างเคียงผม ที่อยู่ร่วมชายคาบ้านเดียวกัน ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ O.K. เนชั่น และไปร่วมงานนี้ มาเที่ยวต่อและกินข้าวกันที่โต๊ะกลมหน้ากระท่อมทุ่งเสี้ยวของผม และร่วมถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน
ตอนผมได้รับการแนะนำให้รู้จักเขา ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ รูปร่างสันทันทัด ค่อนข้างล่ำสัน แข็งแรง ผิวออกขาว หน้าตาดี ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า ควรจะทำอย่างไรดี จึงจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา เพราะต้องคอยบริการอำนวยความสะดวก จัดหาโน่นหานี่ให้แก่ทุกคนที่เป็นแขก ที่มีเขาคนเดียวเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งต่างก็หิ้วข้าวปลาอาหารและเครื่องดื่มมากันคนละไม้ละมือ แถมยัง
ต้องคอยก่อไฟหน้ากระท่อม คอยขับไล่ยุงและความหนาวเย็น ขณะกำลังย่างเข้าสู่ยามเย็นของปลายฤดูหนาวอันหม่นมัว...
จนกระทั่งถึงเวลาบอกลา เพื่อเข้าเมืองกัน ผมก็แว่วๆได้ยินคนข้างเคียงผม พูดกับใครสักคนหนึ่งว่า จ่าจินต์ยังไม่กลับ แต่จะนอนค้างที่นี่คืนหนึ่ง เพื่อไปเที่ยวโบราณสถานเวียงท่ากาน ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทุ่งเสี้ยว หมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของผมในวันพรุ่งนี้...
เมื่อแต่ละคนที่ต้องกลับล่ำลาจากไป
ผมจึงมีโอกาสค่อยๆได้พูดคุยจากับเขา เพื่อตีสนิทกับเขา และบอกเขาว่าผมสนใจเรื่องราวของเขามาก ก่อนจะค่อยๆซักถามโน่นถามนี่...เกี่ยวกับงานที่เป็นเสมือนสะพานบุญของเขา ที่แบกเป้ตะลอนๆออกไปช่วยเหลือคน จนพอจะสนิทกันได้ไม่ยาก เพราะเขาเป็นคนที่มีบุคลิกที่อบอุ่นน่าเข้าใกล้... เป็นคนเปิดเผย ซื่อและจริงใจ ช่างพูดช่างเจรจา ด้วยท่วงทีที่สุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี...
รุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากเขากลับจากไปเที่ยวดูโบราณสถานที่เวียงท่ากานกับคนข้างเคียงผม ก่อนจะบอกลากลับกรุงเทพในตอนเย็น ผมถามเขาว่า เขาเคยเขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา และงานที่เขาเดินทางไปช่วยคนเอาไว้ด้วยหรือเปล่า เขาบอกผมว่า เคยเริ่มต้นเขียนในนิตยสาร "ย้อนรอยกรรม" ชื่อคอลัมน์ "สะพานบุญ" และต่อมาได้โยกย้ายเปลี่ยนมาเขียนที่นิตยสาร "แรงบุญแรงกรรม" และเปลี่ยนชื่อคอลัมน์มาเป็น "ศาลาแรงบุญ" แต่หลักการยังเหมือนเดิม
เมื่อผมถามถึงรายละเอียดของคอลัมน์นี้ เขาก็ชี้แจงให้ผมฟังว่า เป็นคอลัมน์ที่เปิดให้คนที่มีความทุกข์และปัญหาชีวิต เขียนจดหมายมาบอกเล่าความทุกข์และปัญหาของตัวเอง และแจ้งมาว่า ต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง แล้วเขาก็จะเดินทางไปดูข้อเท็จจริง และกลับมาเขียนบอกเล่าพร้อมกับภาพถ่าย...แล้วชวนเชิญผู้ใจบุญที่มีจิตเมตตามาช่วยเหลือกัน - คนละไม้ละมือ ตามความจำเป็นของผู้ทุกข์แต่ละคน - แต่ละกรณี ทั้งโดยวิธีการส่งเงินและข้าวของไปช่วยเหลือผู้ทุกข์โดยตรง และผ่านตัวเขา
หลังจากที่เขาได้ริเริมใช้เงินเดือนส่วนตัว แบกเป้ออกไปช่วยคนโน้นคนนี้มีตามเกิด...แต่เพียงลำพังผู้เดียว มาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นตำรวจภูธรอยู่ที่อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ก่อนจะย้ายที่ทำงานมาอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2545 จนเพื่อนร่วมงานประจำมองกันว่าเขาเพี้ยนและบ้า...
ก่อนจะค่อยๆมีคนเข้าใจและชื่นชมศรัทธา และค่อยๆยื่นมือเข้ามาร่วมงานช่วยเหลือ ผู้คนที่ตกอยู่ในความทุกข์และยากไร้...ร่วมกับเขามากขึ้นทุกวัน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศใกล้เคียงในวันนี้ เรื่องของเขาจึงมิใช่เรื่องที่ใครจะมาตัดสินง่ายๆ ว่าเขาเพี้ยนและบ้า...อีกต่อไป และนับตั้งแต่วันที่เขาใช้เงินเดือนของตัวเอง...ในแต่ละเดือน หรือไม่ก็กู้ยืมคนอื่น...ออกไปช่วยเหลือคน ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้...ย่างเข้าปีที่ 12 เขาบอกผมว่า "ทั่วทั้งประเทศ มีเพียงแค่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ที่ผมยังไม่ได้ไป "
ผมมองเห็นช่องทาง ที่จะขุดค้นเรื่องที่ผมสนใจเกี่ยวกับตัวเขาแล้ว และใคร่ครวญดีแล้ว จึงพูดกับเขาว่า "พอจะค้นๆต้นฉบับที่เขียนในหนังสือทั้งสองเล่มนี้ ถ่ายสำเนามาให้พี่อ่านได้ไหม พี่อยากอ่าน พี่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และน่าจะคัดมารวมเล่มตีพิมพ์ ให้คนได้อ่านกันเยอะๆนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดีและมีคุณค่าแก่การรับรู้"
"พอหาได้ครับ" เขาร้องขึ้นด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ "แหม ถ้าได้รวมเล่มก็ดีนะพี่ ผมเคยฝันอยากจะมีหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่ม ตอนอยู่หนังสือ ย้อนรอยกรรม เขาเคยรวมงานของผมออกมาขายเล่มหนึ่ง แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเป็นงานของตัวเองสักเท่าไหร่"
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณกลับไปรวบรวมต้นฉบับทั้งหมดเท่าที่หาได้ เอามาให้ผมอ่าน แล้วผมจะทำหน้าที่เป็นคนคัดสรรงานสำหรับรวมเล่มให้ ส่วนเรื่องตีพิมพ์ค่อยคิดหาลู่ทางกันทีหลัง ดีไหม"
"ดี ดี ครับ"
เขาตอบตกลงด้วยความยินดี ผมเองก็ยินดีที่จะได้ค้นหารายละเอียดของสาเหตุที่หล่อหลอมให้จิตใจของเขา "เป็นอย่างที่เขาเป็น" ซึ่งผมคาดคิดว่าจะต้องค้นพบในงานเขียนคอลัมน์ของเขา ผมจึงไม่ได้ปริปากซักถามเรื่องนี้กับเขาในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งคงยากที่จะได้คำตอบแบบลงลึก และยินดีที่จะช่วยให้เขามีหนังสือสักเล่มหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกว่า เมื่อมีโอกาสได้รับการตีพิมพ์ออกมาแล้ว สามารถภาคภูมิใจได้ว่า - มันเป็นหนังสือของตัวเอง...
หมายเหตุ ; งานเขียนชิ้นนี้ เดิมทีผมเขียนไปให้นิตยสารรายสัปดาห์ชั้นนำฉบับหนึ่ง ในระหว่างที่ผมทำหน้าที่อาสาเป็นบก.ดูแลต้นฉบับ ให้คุณจินตวีร์ เพื่อช่วยให้ความฝันที่อยากจะมีหนังสือสักเล่มหนึ่ง ของคุณจินตวีร์เป็นจริง แต่เขาคงไม่เอา ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเงียบหายไปหลายเดือนแล้ว นับตั้งแต่ผมส่งงานชิ้นนี้ไป...
ผมจึงนำงานชิ้นนี้ มาเป็นคำนำ - งานร่วมเล่มของคุณจินตวีร์ ( ตามความตั้งใจครั้งที่สอง ) ที่กำลังอยู่ในระหว่างการตีพิมพ์ และมีกำหนดที่จะวางตลาดในเดือนตุลาที่กำลังจะมาถึงนี้ และนำงานชิ้นนี้มาลงที่นี่...ก่อนหนังสือจะออก เพื่อยืนยันความตั้งใจครั้งแรกของตัวเอง ที่ต้องการจะบอกเล่าในเชิงวิเคราะห์ และยกย่องคนที่เราควรจะยกย่อง แบบลงลึกและแสดงให้เห็นที่มาที่ไปของเขา -- ในสื่อสาธารณะ ก่อนหนังสือของเขาจะออก หลังจากแน่ใจแล้วว่า ความหวังที่จะพึ่งพาสื่อหนังสือชั้นนำ ที่คงเต็มไปด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัด ได้ล้มเหลวไปแล้ว...
ครับ กว่าประชาไทจะทยอยลงงานชิ้นนี้หมด หนังสือที่ผมตั้งชื่อว่า " จินตวีร์ เกียงมี สะพานบุญ แด่ คนทุกข์ผู้ยากไร้" ของเขา คงจะปรากฏตัวอยู่บนแผงหนังสือแล้ว และผมเชื่อมั่นว่า หนังสือของคนคิดดี พูดดี และทำดี เล่มนี้จะไปด้วยดี เพราะเพียงแค่คุณจินตวีร์ออกข่าวในบล็อก โอเค. เนชั่น เมื่อสอง - สามอาทิตย์ก่อน ปรากฏว่า มีคนไทยทั้งในและนอกประเทศ ที่เขารู้จักการประกอบคุณงามความดีเพื่อสาธารณะชน ของคุณจินตวีร์ เกียงมี พากันติดต่อเข้าไปสั่งจองกันที่คุณจินตวีร์ 100 กว่าเล่มแล้ว...
ซึ่งผมถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี ทั้งทางสำนักพิมพ์ คุณจินตวีร์ ตัวผมเอง และท่านที่อยากรู้เรื่องราวของคุณจินตวีร์ ในลักษณะที่เป็น MASS ( มวล ) ที่มีน้ำหนัก พอที่จะเห็นได้อย่างลึกซึ้ง ถึงความเป็นมา ตัวตน และงานเพื่อสาธารณะชน ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ตามแบบฉบับของเขา ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความอบอุ่น ความเป็นกันเอง ต่อผู้ทุกข์และยากไร้ในสังคมไทย ราวกับว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาเอง ซึ่งถ้าขืนรอความช่วยเหลือจากรัฐ ที่เต็มไปด้วยระเบียบกติกา และขั้นตอนสารพัดเรื่อง ที่ก่อให้เกิดความล่าช้า พวกเขาคงจะตายกันไปเสียก่อน ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ที่ว่ากันว่า เป็นกลไกของสังคม -- ที่ปราศจากหัวใจของความเป็นมนุษย์มากที่สุดในโลก โดยเฉพาะกับความทุกข์และปัญหาของคนยากคนจน ที่ปราศจากปากเสียงและขาดอำนาจในการต่อรอง - ขอได้รับความขอบคุณ.
18 มิ.ย. - 15 ก.ย. 2552
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่