Skip to main content
กวีประชาไท
ที่มาภาพ : Prachatai Burma, http://www.freeburmarangers.org, http://www.siamintelligence.com
กวีประชาไท
ยินเสียงครวญ  ร้องดัง  ห้องขังมืดเท้าเหยียดยืด  มือยัน  พยุงนั่งเปล่งเสียงร้อง  ก้องผ่านกรง  โลกจงฟังเสียงครวญดัง  จากห้องขัง  ห้องทรมานกระบองฟาด  สาดน้ำแข็ง แทงเหล็กกรวมร่างกายบวม  นวมช้ำ เลือดไหลพล่านไฟฟ้าช็อต  เฉียดปลิด ชีวิตญาณทรมาน...แสนทรมาน จักเหลือทนยินเสียงครวญ  ร้องดัง  ห้องขังร้ายเกือก-ล้อมกาย  หมายมั่นปลิด  ชีวิตคนโอดโอย  โอดครวญ  จำทวนทนกระเสือกกระสน ดิ้นรน  หลังชนฝาเสียงครวญก้อง  จากห้องขัง  กังวานไกลลมหายใจ  สุดท้าย  อยู่ตรงหน้าจิตสั่งเสีย  จงเข้มแข็ง  นะลูกจ๋าพ่อเหลือทน  ขอจากลา  กลับฟ้าไกลHutanmimpi *หนึ่งในความบอบช้ำที่ถูกส่งเข้าไปในจิตใจของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ความไร้มนุษยธรรมของเจ้าหน้าที่เลวบางคนที่กระทำซ้ำเติมต่อประชาชน การจับกุมตัวไปกักขัง แล้วใช้วิธีโหดด้วยการซ้อมทรมานเป็นวิธีการของความป่าเถื่อนสิ้นดี!! * Hutanmimpi หรือ ฮูตันมิมปี เป็นนามปากกาของกวี  เขาเป็นอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
กวีประชาไท
ฉันดื่มตัวฉัน  รินตัวเอง  เติมลงในจอกว่างเปล่าเช้า ตะวันเริงฉันตื่นขึ้น ระบำใจฝนที่ตกมาเมื่อวานปลุกดอกไม้ตื่นฝนฝักบัวเสื่อมมนตร์นกน้อยเสียงใส ร้องเพลงแต่ไกล  กึกก้องกังวานทรวงค่ำคืน  แสงดาวไม่ส่องฉายเพียงห้วงหาวมืดสนิทดวงตะวันสาดแสงในอกนกขับขานลำนำสายฝนกระหน่ำหนักภายในเทจอกของฉันออกแล้วเติมใหม่สับสน สิ้นไร้ใดชีวิตเติมถ้วยใหม่  ระบำจักรวาลรวิวาร
นาโก๊ะลี
อยู่บนโลกใบนี้สักกี่นานที่ประสบพบผ่านบนยุคสมัยกี่คลื่นลมทะเลคลั่งเป็นอย่างไรกี่ขอบฟ้าภูไพรเคยผ่านมาเพื่อจะได้บอกกล่าวเล่าความเพื่อจะนำเสนอนิยามแห่งคุณค่าเพื่อจะเขียนชีวิตธรรมดาเป็นหนทางแห่งกาลเวลาที่ทอดทอความจะคมเป็นคำโครงคอยขับเคลื่อนกระบวนการอันตอกเตือนเป็นทางต่อพบอยู่ใช่ไหมบางถ้อยที่คอยรอเป็นคำที่ชูช่อต่อยอดความลึกตื้นก็ตื่นตาเต็มรู้สึกหรือก่อร่างตกผลึกครุ่นไถ่ถามเรียนรู้เรียบเรียงต่อติดตามทั้งหมดในการพยายามของชีวิต………………………..ดิ่งด่ำสู่ผลึกรู้สึกเมื่อนั่งอยู่ตรงหน้าบทกวีมากมาย  ทั้งกวีรุ่นใหม่ กวีรุ่นเก่า  เห็นอะไรอยู่บ้างเล่าในบทกวีเหล่านั้น  ว่าไปก็เหมือนกับเห็นรอบทางของเส้นทางของกวีทั้งหลาย  ยิ่งเดินอยู่ในหนทางนี้นานเพียงใด ความล้ำลึกคมคายก็มีมากขึ้นเท่านั้น  ผู้ที่เดินมายังไม่นานนักนั้นเล่า ก็ใช่ว่าจะไม่มีคำอันเข้มคม  แต่มันก็คือคำในวาระของพวกเขาทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลายดอกไม้หลากพันธุ์ และสีสัน  แต่ดอกไม้ทั้งหมดงดงามตามวาระของตัวเอง  ผีเสื้อหลากหลายร้อยพันธ์ แต่ผีเสื้อก็งดงามตามวาระของตัวเองบทกวีนั้นเล่า  ยังหลากหลายร้อยวิถี  แต่บทกวีก็งดงามตามวาระของตัวเอง 
นาโก๊ะลี
ไม่ว่ายุคสมัยใด ตลอดช่วงเวลาของมนุษยชาติบนโลกใบนี้มีเรื่องราวมากมาย  แน่นอนว่าหลายเรื่องราวนั้นได้รับการบอกเล่ากล่าวขาน  บางเรื่องราวก็กลายเป็นตำนาน  ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องราวเหล่านั้นถูกใครนำมาบอกเล่า หรือถูกนำมาบอกเล่าในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี  มีเรื่องที่คล้ายกันนี้มากมายนัก  สมัยหนึ่งมีเพื่อนบอกว่า มีคนหน้าตาดีอีกมากมายที่ไม่ได้เป็นดารา  แม้ในยุคที่ดาราเกิดขึ้นมามากมายเท่าไหร่ก็ตาม  และมีคนที่ร้องเพลงเพราะมากมายที่ไม่ได้ประกอบอาชีพนักร้อง  หรือมีคนที่ประกอบอาชีพนักร้องมากมายที่ไม่ได้มีชื่อเสียง  เช่นกันว่า เรื่องราวที่นักเขียนบางคนนำมาบอกเล่า กลายเป็นเรื่องราวที่ผู้คนรู้จัก  และบางเรื่องราวของนักเขียนบางคนก็หายไปกับกาลเวลา....   แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวของเด็กกำพร้าสองคน.... ผู้คนเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ มีคนบอกอีกเหมือนกันว่า  คนฉลาดเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ และคนที่ฉลาดกว่าสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของคนอื่นด้วย  อย่างนั้น.... ความนัยของเรื่องนี้ก็คือ มีประสบการณ์มากมายของผู้คนมากมายที่หล่นหายไปตามกาลเวลาโดยไม่ได้ถูกยกมาเป็นเรื่องราวให้ผู้คนได้เรียนรู้  หรือชีวิตของคนธรรมดาในซอกหลืบของแผ่นดินที่ไม่มีใครเอามาเล่า  ว่าในแง่มุมที่น่าสนใจ  แง่มุมที่บางครั้งแม้คนใกล้ชิดก็มิได้มองเห็น  ใช่อยู่ว่า แง่มุมของคนดังก็มีเรื่องน่าสนใจ  แล้วในแง่มุมของคนไร้นามแล้วนั้นก็อาจมิได้ไร้เรื่องให้เรียน  อย่างนั้นกระมัง.....แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวของเด็กกำพร้าสองคน.....เทียบเคียงเรื่องเล่าของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคารพ มาอย่างนี้ว่า  เด็กกำพร้าคนที่หนึ่ง ชีวิตของเขาคือเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงต้องหม่นเศร้า และเดียวดาย  เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงประกอบกิจส่วนใหญ่ล้มเหลวเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงขาดแคลนความรักเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงไม่มีความรักให้เพื่อนมนุษย์เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงก้าวร้าวต่อโลกเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเรียนรู้ชีวิตได้น้อยเกินไปเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงขาดโอกาสเหมือนคนอื่นๆเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเปราะบางและคลอนแคลนเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึง.........................เด็กกำพร้าคนที่สอง  ชีวิตของเขาคือเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงดูแลความสดชื่นเบิกบานเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงมุ่งมั่นกระทำการงานด้วยความตั้งใจ และประสบผลสำเร็จเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเข้าใจว่ามีคนหลายคนรัก และเมตตาฉันเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงมีพลังที่จะรักเพื่อนมนุษย์เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงอ่อนโยนต่อโลกเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงแสวงหาความรู้ได้มากมายเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงมีโอกาสบางอย่างนอกเหนือจากคนอื่นๆเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเข้มแข็งและมั่นคนเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึง......................................เราทั้งหลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่บนโลกอย่างขาดวิ่นอยู่บางส่วน พอกัน…….ประสบการณ์จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราให้ความหมายมันยังไง........
แสงดาว ศรัทธามั่น
( ๑ )     เ พ ล ง อ รุ ณอ รุ ณ รุ่ ง  อั น รั ง ร อ งแสงทองส่องงามผ่องหล้าเกื้อชีพ เกื้อชีวาคุณค่าหนอ  งดงามนักโอ... เ พ ลง รุ่ งอ รุ ณ ฉ า ยพริ้มพราย  พร้อมพรักโ ล ก นี้ มี ค ว า ม รั กงามประจักษ์มอบแด่เพื่อนมนุษยชนดอกไม้ ผี เสื้อแมลงปอ   ระเริงร่าวิหค   นกกา  ทุกแห่งหนรำร้องบทเพลงฉ่ำกมลล่วงหลุดพ้นจิตอัตตา สว่างชีวัน
กวีประชาไท
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/sakyaputto/images/songkran02.jpg              กังวลร้อนชั่วร้าย            ฤๅสราญ  สงกรานต์เอย        สร้างแต่งแม้ปราการ           ฝ่าฟื้น        เธอฉันเช่นเทศกาล             กรายเยี่ยม  เวียนมา        ได้ผุดภวังค์พื้น                  ผ่านครั้งสาละวน  ฯลฯ        ภาวะใด ใดขวาง                ไหวหวั่นกาง วางไว้ด้น    ร้อยเรื่อง ภาระตน                   จัดเรียงแต้ม เพื่อแย้มพราย  ฯ        เห็นฟอง น้ำ เล็ก เล็ก          ผุดวัยเด็ก สะท้อนฉาย    นอนแผ่ เมษากราย -               แววละหาน สงกรานต์มา  ฯ        สรงเนา เก่าใหม่แว่ว            กระซิบแผ่ว สรงน้ำหนา    หยดเผื่อ ทิพย์สุธา -                สุธาธาร ทานแผ่นดิน  ฯ        ท่านให้ ระลึกถึง                 น้ำพรมซึ้ง ซึ่งถวิล    ชะล้างระมลทิน                      ที่ก่ายกั้น ๙ ปราการ ...        หนึ่ง โกรธโกรธาหนา          น้ำล้างหน้า ล้างขุ่นขาน    กล่าวกลั่นดั่งดวงมาลย์ -          โดยดอกแก้ว จำรูญใจ  ฯ        สอง เคยลบหลู่ท่าน            น้ำชื่นหวาน แง้มขานไข    เปิดจิต ไว้คิดใด      -               นึกขมผ่าน ม่านขุ่นเคือง  ฯ        สาม คิดริษยา                    น้ำล้างหน้า ผลัดผ้าเปลื้อง    ความเด่น ด้อยเปล่าเปลือง       ได้ปลูกไว้ ให้ชีวี  ฯ        สี่ ตระหนี่ ถี่เหนียว              น้ำใจเปลี่ยว ล้างหน้าหนี    น้ำใจ รับให้ดี                         น้ำใจกับรับให้งาม  ฯ        ห้า มายาเจ้าเล่ห์                น้ำสาดเท สราญคร้าม    คืนเย็น ร้อนผ่อนตาม                น้ำหยดย้ำ ฉ่ำเย็นพร  ฯ        หก โอ้อวด เลว - ดี -           น้ำวจี อุทาหรณ์    วลี ที่ราน รอน                        ให้ละลาย คลาย วดี  ฯ        เจ็ด กล้ำ คำพูดปด             สลายคด เสื่อมสูญนี้    เหนือใต้ ธรณี                       น้ำขุ่นใส ไว้ใจจริง  ฯ        แปด เปื้อน น้ำใจร้าย          ให้หื่นหาย เหลือบแร้งสิง    ปราการ ที่ย่ำอิง                    อาบชำระ หน้าดวงใจ  ฯ        เก้า มิจฉาทิฐิ                   ความรู้ผลิ ละอองไหว    ซ่านผิด – ถูกวางไว้              แย้มแยก-รด-หยด-พร เย็น  ฯ        ภวังค์ภาวะร้อน                น้ำค้างย้อนสายบ่ายเร้น    โลกหวังใฝ่ฝันเป็น                ล้างชำระฝ่าปราการ .                                                             ณรงค์ยุทธ  โคตรคำ                
นาโก๊ะลี
เพื่อนคนหนึ่งเคยเชื้อเชิญให้พวกเราได้มีเวลาสำรวจบาดแผลของชีวิต  เบื้องแรกหลายคนคิดว่าให้สำรวจบาดแผลของจิตใจ  ความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญในช่วงเวลาที่ผ่านมา  แต่เพื่อนคนนั้นยืนยันว่า ให้สำรวจบาดแผลทางร่างกายจริงๆ  นั่นก็อาจหมายความว่า ให้เราได้กลับมาสำรวจ และเรียนรู้บาดแผล เพราะนั่นมันอาจเป็นความทรงจำอันดี  เพราะบาดแผลแต่ละครั้ง มันคือการเรียนรู้  มันเป็นประสบการณ์ของชีวิต แผลคือการจารึกเรื่องราว  เพราะทั้งหมดนั้นวันหนึ่งมันจะกลายเป็นทรงจำที่อาจประทับใจใช่แต่บาดแผลเท่านั้นกระมัง  การเผชิญเรื่องราวอันตื่นเต้น  ความเจ็บปวดร้าวในแต่ละครั้ง  ณ ขณะนั้นมันอาจเป็นภาวะที่เลวร้ายยิ่งนัก  แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว  เรื่องราวทั้งหมดมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าอันน่าประทับใจ เจ้าตัวอาจนำมาเล่า  ครั้งแล้วครั้งเล่า และมันก็จะกลายเป็นประสบการณ์อันน่าเรียนรู้  อันไม่รู้จบช่วงเวลาเช่นนี้มันจึงเป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย ว่าก็คือช่วงแห่งความทุกข์ยาก เจ็บปวด อันไม่ว่าจะในระดับใด ทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ หรือกระทั่งโลกใบนี้นั่นเอง  ในภาวะเช่นนี้ บางคราวเราก็รอ รอให้มันผ่านไป  และมันเป็นไปไม่ได้หรอกกระมังที่มันจะไม่ผ่านไป  เพราะไม่ว่าอะไรมันก็จะผ่านไป  ไม่ว่าบางสิ่งเราอยากจะยึดมันไว้แค่ไหน  มันก็จะไม่สามารถดำรงอยู่อย่างนั้นตลอดไป  ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ดีงามหรือเลวร้าย  บาดแผลที่สำคัญส่วนหนึ่งนั้นก็คงเป็นบาดแผลของวัยเยาว์  วัยที่สามารถเข้าไปคลุก ขลุกกับอะไรก็ได้โดยปราศจากความหวาดหวั่นใดใด  ความซุกซน อาจเป็นตัวแทนของความอยากรู้อยากเห็น  ความตื่นตาตื่นใจ  และนั่นเองก็คือสาเหตุของบาดแผลมากมาย  เมื่อฟังเรื่องคราวเป็นเด็กของหลายๆ คน  มักมีการบาดเจ็บ  ที่มาของบาดแผลคล้ายๆ กัน  เช่น แผลเป็นที่เข่า  อันเกิดจากการหกล้มครั้งแล้วครั้งเล่า  หรือการตกจากที่สูง มีดบาด หัวแตก  บางอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคของความตื่นตาตื่นใจเลย  ตรงกันข้าม ในวัยเด็กเราได้เข้าไปผจญกับภัยอันตรายเล็กๆ น้อยๆ เสมอ อย่างไม่หวาดหวั่น  และในความตื่นตาตื่นใจนั่นเองที่เป็นสื่อกลางในการทำความรู้จักกับโลกผู้คนมากมายตามหาวัยเยาว์ของตัวเอง  ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม   ผู้คนมักมีความสุขเสมอเวลาที่พูดถึงวัยเยาว์ของตัวเอง  แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะค้นพบหัวใจของวัยเยาว์นั้นในตัวเอง  ยิ่งก็โดยเฉพาะเมื่อเราอายุสูงวัยมากขึ้น  หลายครั้งที่เราจะพบว่า  เราไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่นัก เวลาที่พานพบเรื่องราวที่น่าสนุกสนาน  เราไม่ตื่นเต้นเวลาเห็นอะไรใหม่ๆ  และนั่นก็อาจหมายความว่าสื่อที่จะนำเราไปทำความรู้จักกับโลกนั้นมันหดหายไปนั่นเองเช่นนั้นแล้ว....  การกลับไปสำรวจบาดแผลของชีวิต  ก็อาจเพื่อการนำเราไปสู่บาดแผลใหม่ๆ  ซึ่งมันหมายถึงความกล้า ที่จะเรียนรู้ อย่างนั้นหรือเปล่า...มั้ง
กวีประชาไท
ที่มาภาพ : www.oknation.net1เหตุการณ์ตะวันออกไม่เปลี่ยนแปลง        แดดแรง – คนล้า – เมษาฯ ร้อนน้ำมูนเหลืองขอดเหลือตะกอน        แต้มอีสานไม่อาทรต่อใดใดนกกระจาบบินเร็วรีบหลบแดด        แสงแผดปีกเจ้าทุกเช้าไหนต่อกลางวันสลดเศร้าเรื่องราวใคร        ร้อนแล้งทุรนทุรายแห่งสายน้ำ...สายน้ำมูน มูนมัง ความหวังสิ้น        แผ่นดินนี้ของใคร ใยลึกล้ำรับรู้สึกแทนผองชนผู้โดนกระทำ        ก่อเกิดเป็นลำนำ คนน้ำมูนเธอมิใช่คนน้ำมูน คนนู้น หรือคนที่ไหน?    ใยห่วงหาอาทรใด ให้ว้าวุ่นเกิดเป็นรอยโรคร้ายไม่สมดุล        กระนั้นยังหยัดเทิดทูน ยุติธรรม์ยุติธรรม์เพื่อใคร และไม่ใช่เพื่อใคร...    โลกใบใหม่ในจิตเกินปิดกั้นจึงหลอมรวมให้ตัวตนโดนลงทัณฑ์        เพื่อจำนรรจ์ ทายท้าโลกบ้าใบ้บ้าใบ้เหมือนถูกปิด ถูกบิดเบือน        แสงหนึ่งหยั่งสะเทือนสะท้อนไหววูบต่อการชำระ...หมดภาระใจ        จึ่งฉายโชนประทีปไป ปลดระวาง2เหตุการณ์ตะวันออกบอกเราว่า        แดดยิ่งแรง คนยิ่งกล้า ไม่ลาร้างน้ำมูน น้ำแม่เหมือนน้ำนมนาง        หลอมคนให้ชิมลาง แล้วถางทิศเดินไปสู่หนทางทุกบางใคร            ขณะทุกห้วงหัวใจคล้ายลิขิต –จากสายน้ำ สายไหนให้หยุดคิด        จึงหลอมรวมทุกชีวิตสู่ทิศไทฯ3สายน้ำตะวันออก เพียงบอกข่าว        เรื่องราวเล็กเล็กแต่ยิ่งใหญ่วูบของดาวทิ้งดวงดับลับฟ้าไกล        ขณะหนึ่งแสงสุดท้ายได้ฉายแรงเพียงเสี้ยวดาวร่วงหล่นดวงดับ        ก่อนลับขอบหล้าลาลำแสง –กระพริบจ้ากล้าจรัสจรุงแจง         คล้ายบอกกล่าวไม่เสแสร้งในแสงสุดท้าย...แด่...เธอผู้นั้นไหมฟ้าชายขอบเมืองดอกบัว 
กวีประชาไท
ใครแบ่งโลกออกเป็นสองฝ่ายกำหนดข้างดีร้ายคนละฝั่งแล้วทุ่มเทถกเถียงใครเสียงดังแล้วใครมีกองกำลังตั้งประจันนั่นเขานี่เราชัดแตกต่างนั่นทางเขานี่เราทางเป็นอย่างนั้นหากบางครั้งทางของเรามาพบกันเสียงโห่ร้องฆ่ามันให้ตกตายเราฝ่ายดี เขาฝ่ายเลวนั่นชัดแจ้งธรรม,อธรรมมิแอบแฝงในความหมายเขาอธรรมนำความโลกให้วอดวายเราคือธรรมส่งฉาย โลก แผ่นดินสืบค้นโลกก่อนหน้านี้กาลสมัยความขัดแย้งก็เป็นไปไม่จบสิ้นทุกข์ท่วมทับสงครามเลือดหลั่งรินสายน้ำตาท่วมถิ่นถึงท้องทะเลและสุขก็ยังดำรงคงอยู่เป็นทางเคียงคู่มิได้หักเหต่างต่อสู้บนอุดมการณ์อย่างทุ่มเทแพ้ ชนะ ก็ปนเปว่ากันไปโลกอาจย่อมมีข้างเป็นบางคราวร่วมหรือต้านจะนานยาวสักเพียงไหนอุดมการณ์ก็ผันแปรคนเปลี่ยนใจเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ไม่รู้แล้วเพียงเห็นโลกผ่านมาสมัยนี้เรา,เขาชัดชี้ได้คล่องแคล่วไม่ใช่เราก็เป็นเขาถือตามแนวต่างทางต่างทอแถวตามทางตนแล้วโลกของพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรจะคุยกับใครได้ในยามสับสนหากไม่รู้เป็นเขา,เราในฝูงชนกว่าจะเสาะจะสืบค้นฝ่ายเดียวกันถามอีกครั้งใครแบ่งข้างให้กับโลกแบ่งมนุษย์ร่วมทุกข์โศกมาแข่งขันแบ่งความดีความเลวแบ่งเผ่าพันธุ์แล้วถ้าขอให้แบ่งปัน ได้ไหมหนอ                         นาโก๊ะลี
นาโก๊ะลี
จอมยุทธผู้หนึ่งกล่าวกับขุนศึกผู้ท้อแท้ทอดอาลัยต่อการศึกและการฆ่าฟันในสมรภูมิที่ยังไม่สิ้นศึกว่า      “ท่านสามารถเลือกได้ว่าท่านจะใช้กระบี่เพื่อปกป้องหรือเพื่อทำลาย”  ด้วยคำพูดนี้ ขุนศึกก็กลับสู่สมรภูมิอีกครั้ง ชายหนุ่มปกาเกอะญอเล่าเรื่องการเรียนดาบว่า  เมื่อเริ่มเรียน ทุกคนเข้าไปอยู่ร่วมกันในป่า ผู้เรียนทุกคนต้องร่วมพิธีกรรมบางอย่าง นั่นก็คือการเรียนรู้กันและกัน สืบค้นความเมตตาในใจ เปิดเผยตัวตนของตัวเองต่ออาจารย์และเพื่อน ปลดเปลือยตัวเอง เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรียนวิถีดาบ ในกระบวนการเรียนรู้นั้นห้ามคนนอกเข้าไปเพื่อให้ผู้เรียนทุกคนได้ไว้วางใจกันและกัน  บางคนเมื่อเข้าไป ด้วยพกความแค้นบางอย่าง และหวังว่าความรู้เชิงดาบจะทำให้เขาสามารถต่อสู้  แต่เมื่อเวลาผ่านไป จวบจนการเรียนจบลง พวกเขาพบว่า ทุกคนกลายเป็นคนใจเย็น และเปี่ยมไปด้วยความสุขุม และเมตตา  อาจารย์ของจอมยุทธเมื่อแรกสอนวิชากระบี่ กล่าวกับศิษย์ว่า ความหมายของกระบี่คือความรัก  ความเมตตา นัยหนึ่งของการฝึกกระบี่ก็คือการเจริญเมตตาภาวนา และที่สุดของวิชากระบี่ คือการทำให้กระบี่กับตัวเราเป็นสิ่งเดียวกัน  กระบี่หาใช่สิ่งของภายนอก แต่มันคือแขนที่ยาวขึ้นของเราจอมยุทธหนุ่มกล่าวว่า  เมื่อเขาฝึกยุทธ เขาพบว่า มันคือการฝึกฝนขัดเกลาภายใน พร้อมกับการส่งเสริมดูแลสุขภาพร่างกาย  นั่นเองเขาพบว่า มีความปรารถนาใหม่และงดงามก่อเกิดขึ้นช้าๆ ในใจ  นั่นก็คือความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คน  บัดนั้นเขาพบว่า ในศิลปะการต่อสู้ทั้งหลายนั้น หากมันเป็นไปในทางที่ดีงามแล้วไซร้ ศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดก็คือการเจริญเมตตาภาวนานั่นเอง“ท่านสามารถเลือกได้ ว่าท่านจะใช้กระบี่เพื่อปกป้องหรือเพื่อทำลาย”รูปแบบของอาวุธ รูปแบบของกระบี่ของวันนี้อาจเปลี่ยนไป  เมื่อทอดตามองออกไปในมือของผู้คนทั้งหลายต่างก็ถืออาวุธอยู่ในมือ เช่นนั้นหรือเปล่า...มั้ง....  ในมือของบางคนคือ ปากกา ถ้อยคำ  ในมือของบางคนคือดนตรี ในมือของบางคนคือกองกระดาษที่เรียกว่ากฎหมาย ในมือของบางคนคือเงิน  หรือในมือของบางคนมันคือนามธรรมที่จับต้องไม่ได้  เราอาจเรียกสิ่งเหล่านั้นว่า อำนาจ  หรืออาจคือตำแหน่งหน้าที่ การงาน ชาติตระกูล หรืออะไรต่อมิอะไร..... ในมือของผู้คน หรือกระทั่ง ปืน แต่ทั้งหมดนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าท่านจะใช้อาวุธที่อยู่ในมือ เพื่อปกป้องหรือเพื่อทำลาย
นาโก๊ะลี
เมื่อการกลับมาครั้งที่หนึ่งกวีหนุ่มเล่าว่า....หลังจากเดินทางไปเมืองไกลหลากหลายเมือง หลากหลายชนบท  หลากถิ่นฐาน พานพบผู้คนมากมายทั้งในระหว่างทาง และในจุดหมายมากมายหลายแห่งนั้น  หลายคราวก็มักมีเรื่องราวให้เรียนรู้ ใคร่ครวญ  บางคราวก็พบเรื่องราวเล่าขาน  และบางคราวเหล่านั้นก็ได้เก็บสะสมเรืองราว อารมณ์ ความรู้สึกจากหลากที่ถิ่นทางเหล่านั้นนั่นเอง  และการเดินทางทั้งหมดนั้น....นานแสนนานกว่าจะได้กลับมา  และในคราวนั้นเอง เขาเล่าเอาไว้ว่า  ปั่นจักรยานออกจากบ้าน   ถึงร้านรวงหลายแห่ง  ผ่านถนนหลายสาย  ล้วนร้านรวง และถนนที่เขาเคยผ่านในวัยเยาว์  นั่นจึงคล้ายกับการได้กลับมาบอกกล่าวส่งข่าวคราวของการเดินทางไกล  บอกกับถนนหลายสายนั้น  บอกกับร้านรวงเหล่านั้น บอกกับต้นไม้ใบหญ้า ทุ่งนาเรือกสวนเหล่านั้น  ว่า ณ วันนี้ เขากลับมาแล้ว......กวีหนุ่ม ได้กลับมาเดินทางในถนนสายเดิมอีกครั้ง  ทักทายต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ เก่าหรือใหม่ แต่ในผืนแผ่นดินเดิม   แล้วในที่สุดด้วยการท่องท่อมไปบนถนนแห่งวัยเยาว์เหล่านี้  เขาได้พบตัวเองกลับมา....และคล้ายต้นไม้ ใบหญ้า ถนน หนทางทางได้บอกกล่าวกับเขาว่า  “ถึงบ้านเสียทีนะกวี”