Skip to main content
บัณฑิตติดละคร
เสียงที่ไม่มีใครได้ยิน นำมาสู่คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่ทำให้ผู้คนในเมืองซุงวอนตกอยู่ในบรรยากาศของความหวาดกลัว ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจเอง ที่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวนี้ด้วย 
บัณฑิตติดละคร
Good Wife : คนตีสองหน้าในนามของความยุติธรรม
Mister American
              ท่ามกลางความวุ่นวายของการเมืองไทยที่ถึงจุดพลิกพันอีกครา หลังเกิดการัฐประหารขึ้นอีกครั้งได้ส่งผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์โดยรวม แน่ล่ะว่าภาพยนตร์ไทยที่สามารถทำรายได้มหาศาลในตอนนี้นั้นคงไม่พ้นหนังอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคที่ 5 ยุทธหัตถีที่กวาดร
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัด เนื่องจากในบางเส้นทางจะมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกกักตัวหรือขอตัวค้นรถตอนถึงด่าน   ทั้งยังสงสัยกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตรงด่านว่าใช่ตำรวจหรือไม่ มีอำนาจหน้าที่อะไ
Mister American
            “พ่อฉันเป็นตำรวจไล่กวดผู้ร้าย เป็นข้าราชการไทยเงินเดือนน้อย ดูแลความสงบสุขเรียบร้อย ถึงแม้เงินเดือนน้อยก็ส่งลูก ๆ เรียนจบ” เสียงเพลงร็อคแอนด์โรลของเสก โลโซ ชุดใหม่ที่แต่งขึ้นเพื่อส่งกำลังใจให้แก่ตำรวจของไทยดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดของยาม
Mister American
  “สิ่งที่เป็นความจริง เราไม่จำเป็นต้องเอามาพูดกันก็ได้ เราเอาเรื่องดี ๆ มาพูดกันดีกว่า” (1) คำพูดจากรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมท่านหนึ่งที่พูดในระหว่างเหตุการณ์แบนหนังเรื่องหนึ่งในปี 2554 ที่กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อมีคนบอ
suwanna
ไม่จริงมั้งทำไม คนต้องเกลียดตำรวจ "จริงครับ ผมถามแท็กซี่มาสิบคน เกลียดตำรวจทั้งสิบคนเลย" ผู้หมวดหนุ่มวัย 23 ตอบ แล้วตำรวจเป็นสีแดงจริงหรือเปล่า "ตำรวจเป็นสีกากี ....แต่พอเลิกงานคนนั่งข้างนี่ก็เปลี่ยนเสื้อแดงไปชุมนุม" สารวัตรวัยกลางคนบอกหันไปทางโต๊ะทำงานที่ว่างอยู่ "ตำรวจต้องซื้อเองทุกอย่างตั้งแต่ยางลบปากกา ไปจนโต๊ะเก้าอี้ ไม่มีใครเข้าใจตำรวจ" ...เดินออกจากโรงพักด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว สัญญากับตัวเองว่าจะต้องหาคำตอบ ถ้าตำรวจต้องหาอุปกรณ์เองทุกอย่างบางคนก็ต้องอดไม่ได้ที่ต้องรีดไถ เอาเงินมาซื้อของหรือเปล่า แล้วทำไมรัฐบาลไม่ดูแลเขา ทำไมประชาชน ชุมชนไม่ดูแล ทำไมปล่อยให้ตำรวจอยู่ในโลกของตัวเอง แล้วจริงหรือที่ตำรวจต้องซื้ออุปกรณ์ทำงานเอง "จริงซิ" เป็นคำตอบของ ตำรวจที่ได้เจอโดยบังเอิญอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา "ตำรวจต้องซื้อปืนเองดัวย เพราะปืนของรัฐ มันไม่ดี ใช้ไม่ได้" "ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเดิมกรมตำรวจเป็นแค่กรมในกระทรวงมหาดไทย งบประมาณได้มาก็ต้องแบ่งกับหน่วยงานอื่น ไม่เหมือนทหารที่มีกระทรวงของตัวเอง แต่ความรับผิดชอบของตำรวจก็สูงมาก เพราะต้องอยู่กับชุมชน. จำได้ว่าตำรวจเด็กที่โรงพักเล่าว่า ตำรวจที่นั่นมีอุปกรณ์ทันสมัย เงินเดือนก็สูง "ผมเห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้" ที่มาเลย์ ตำรวจอีกคนเล่าว่า เขาเดินเข้ามาทำงานโดยไม่ต้องซื้ออะไรเลย อุปกรณ์เสื้อผ้าครบถ้วน แถมพอถึงขั้นหนึ่ง เขาก็จะได้รถประจำตัว แต่ตำรวจไทย ซื้อเอง (ตามเคย) แม้แต่เครื่องแบบก็ต้องซื้อเองเพราะของหลวงมันยับเยินใส่ไม่ได้ (ก็รู้รู้กันอยู่ว่าทำไมถึงไม่เคยมีอะไรที่ดีพอ) "เราต้องปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำให้ตำรวจเป็นคนของประชาชน (ชุมชน) จ้างโดยประชาชน และโดนไล่ออกได้โดยประชาชนที่จ้างเขามา ดังนั้น เขาต้องทำตัวให้ดี เพื่อประโยชน์ของประชาชนเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ต้อง เพราะนักการเมืองลงมาล้วงลูก ให้คุณให้โทษกับตำรวจได้ ตำรวจก็ไม่ต้องเอาใจประชาชน แต่เอาใจนักการเมือง...แต่คงยากมากๆ พวกเราอาจไม่ได้อยู่เห็น" ความจริงก็คือ หลังการฝึกฝน ตำรวจใหม่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับจ่า นายดาบ ไม่เคยถูกเรียกให้กลับไปฝึกทีกรมอีกเลย ฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รับการอบรมเรื่องจริยะธรรมในหน้าที่ตำรวจ เรียกว่าปล่อยเสื้อ (พร้อมอาวุธ) เข้าป่า ถ้าโชดดีของประชาชนก็จะเจอตำรวจดี แต่ถ้าโชดร้ายละก็...เขาก็เรียกว่า ซวยนะสิ แล้วพวกเราจะปล่อยวงการตำรวจไปตามยะถากรรมอย่างนี้นะเหรอ ถึงเวลาประชาชนต้องเข้าไปดูแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ทำไมรัฐบาลไม่ยอมปฏิรูปตำรวจเสียที ตำรวจต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่เครื่องมือของนักการเมือง แล้วคุณล่ะ คิดว่ายังไง
suwanna
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
suwanna
ตำรวจของเรา...หรือเปล่า เมื่อคืนวันก่อน เราแวะไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความรถชนแล้วหนี เสร็จแล้วก็ขอถ่ายเอกสาร "ได้มั้ยคะ สารวัตร" "ได้ครับ แต่ช่วยค่าเช่าเครื่องถ่ายเอกสารซักสองบาท" "อะไรกัน เครื่องเอกสารราขการเนี่ยะนะ ต้องคิดเงินด้วย" แล้วสารวัตรก็เริ่มสาธยายว่า ไอ้ที่เห้นๆ วางๆ อยู่ เช่นเครื่องถ่ายเอกสาร พริ้นเตอร์ โน๊ตบุ๊ก แม้แต่โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ปากกาดินสอ ล้วนแล้วแต่ตำรวจต้องหาซื้อหรือเช่ามาเองทั้งนั้นนนน "จริงเพรอ" "จริงครับ" หมวดเด็กๆ ยิ้มกว้างๆ บอก เป็นร้อยตรี อายุแค่ 23 แต่ต้องมาเจอความจริงที่ว่าเป็นตำรวจ ต้องหาอุปกรณ์มาทำงานเอง "ถ้าบ่นมากเขาก็จะบอกว่าทำไม่ได้ก็ออกไป" แล้วหันไปดูเก้าอี้ราชการเก่าๆ เอียงกะเท่เร่อยู่ใกล้ๆ เทียบกับเก้าอี้ทำงานสบายๆ และโต๊ะที่มีสภาพดีที่มีโน๊ตบุ๊กและพริ้นเตอร์วางอยู่ "ซื้อเองหมดครับ" อะไรกัน แบบนี้ตำรวจจะเหลือตังค์เหรอ เราแอบคิดในใจ มิน่าต้องหาเงินพิเศษตามสี่แยก ใช่มั้ยเนี่ยะ (คิดในใจตามเคย)  (อ่านต่อตอน 2)
suchana
              จากเหตุการณ์ของเช้าวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงสลดใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  คงไม่มีใครอยากเห็นภาพคนไทยต้องฆ่าคนไทยด้วยกันเอง(เว้นเสียแต่นายทักษิณ  ชินวัตรที่คงสาแก่ใจ)            ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่สื่อสารผ่านสื่อโทรทัศน์โดยเฉพาะTHAI TPS    ASTVและหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆในวันรุ่งขึ้น คงไม่มีมูลเหตุจูงใจให้เชื่อว่าเป็นการสลายการชุมนุมอย่างนุ่มนวลดังที่ตำรวจระดับสูงบางคนให้สัมภาษณ์อย่างแน่นอน  เพราะนั่นคือภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม สยองขวัญคนไทยทั้งประเทศมากกว่า   หากภาพที่เห็นมีแต่ภาพข่าวไร้คำบรรยาย คนดูอาจเข้าใจว่าเป็นการทำสงครามกลางเมืองในประเทศใดประเทศหนึ่ง   หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำสงครามปราบปรามข้าศึกมากกว่าเป็นภาพที่ข้าราชการตำรวจไทยกระทำกับคนไทย ผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลตามสิทธิรัฐธรรมนูญที่พึงมี            เหตุการณ์ในวันนั้นคงสามารถยืนยันบางสิ่งบางอย่างในสังคมไทยได้ว่านักการเมือง ตำรวจ ทหารไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อผู้ชุมนุมและไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้กำลังอำนาจในการปราบปรามประชาชนเลยในทุกยุคทุกสมัยนับตั้งแต่เหตุการณ์ ๖ ตุลา  ๑๔ ตุลา  พฤษภาทมิฬและเหตุการณ์ต่างๆอีกหลายครั้ง  หนึ่งในเหตุการณ์คือเหตุการณ์ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๕ การสลายกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซธรรมและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลา แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่รุนแรงและป่าเถื่อนโหดร้ายเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่เบื้องหลังความคิดการปรามปราบประชาชนมาจากฐานความคิดทัศนคติเดียวกัน คือ การไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน และใช้อำนาจเป็นใหญ่  แม้วันนั้นไม่คนตายแต่ก็มีคนเจ็บ คนถูกจับกุม ทรัพย์สินเสียหายเช่นกัน ภาพเหมือนปาหี่การเมือง            ภาพที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พยายามดันทุรังที่จะเปิดแถลงนโยบายรัฐบาล แม้ต้องเข่นฆ่าคนไทยร่วมชาติก็ตาม สมชาย  วงศ์สวัสดิ์เข้ารัฐสภาโดยการเหยียบย่ำบนชีวิตและคราบรอยเลือดของเพื่อนร่วมชาติที่อาบท้องถนน เขาทำได้อย่างไร??? จิตใจเขาทำด้วยด้วยอะไร? ทำให้นึกถึงเหตุการณ์การจัดประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของโครงการท่อส่งก๊าซธรรมและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลาเมื่อปี ๒๕๔๓ ที่จัดโดยปตท. ประชาพิจารณ์ครั้งแรกไม่สำเร็จเนื่องจากประชาชนชุมนุมคัดค้าจำนวนมากจนประพิจารณ์ต้องล่ม  แต่ทางปตท.ไม่ลดละจัดประชาพิจารณ์อีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๓ โดยวันนั้นได้วางมาตการป้องกันกลุ่มคัดค้านอย่างเหนี่ยวแน่น แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านนับสองพันคนได้เดินทางมารอตั้งแต่คืนวันที่ ๒๐ โดยชุมนุมบริเวณประตูทุกด้านที่เข้าสู่สถานที่ประชาพิจารณ์ซึ่งใช้สนามกีฬาจีระนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะเป็นการประชาพิจารณ์ที่ไม่ชอบธรรมเพราะผิดกระบวนการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกรรมการประชาพิจารณ์เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการ ที่สำคัญเปิดโอกาสให้เฉพาะพรรคพวกตนที่สนับสนุนโครงการเข้าร่วมเท่านั้น เหตุการณ์รุนแรงก็เกิดขึ้นในเช้าวันที่ ๒๑ ตุลาคม เมื่อประธานกรรมการประชาพิจารณ์ คือ  พล.อจรัล  กุลละวณิชย์  ยืนยันจะต้องเข้าไปจัดประชุมรับฟังความให้ได้เพราะมีเป้าหมายต้องการผลักดันการดำเนินโครงการอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีการวางแผนร่วมมือกับตำรวจพร้อมชุดตำรวจปราบจราจล  ใครจะคิดว่ากรรมประชาพิจารณ์จะนั่งในรถตู้แล้วให้ตำรวจชุดหนึ่งการผลักดันและสลายการชุมนุม โดยมีตำรวจอีกหลายร้อยนายขนาบสองข้างรถคุ้มกันให้รถกรรมประชาพิจารณ์เข้าไปสู่สถานที่ประชุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทุบตีผู้ชุมนุมจนศีรษะแตกเลือดอาบไปหลายคน ฉุดกระชาดลากดึงและเหยียบย่ำไปบนร่างของผู้ชุมนุม สุดท้ายกรรมการก็สามารถจัดประชุมได้สำเร็จและใช้เวลาเพียงประมาณ ๒๕ นาทีก็สุดปิดการรับฟังความเห็น  โดยการถามที่ประชุมว่าใครเห็นด้วยยกมือซึ่งทั้งหมดก็ยกมือให้ดำเนินโครงการได้    ถือเป็นการเสร็จปิดฉากปาหี่ประชาพิจารณ์เลือด    จากนั้นพล.อจรัล  กุลละวณิชย์  ก็รีบเพ่นหนีออกจากสถานที่ประชุมอย่างไร้เกียรติและศักดิ์ศรี และได้แถลงว่าการประชาพิจารณ์เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการประชาพิจารณ์ที่สั้นที่สุดในโลก ซึ่งคงไม่แตกต่างกับการแถลงนโยบายของนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ที่ใช้เวลาแถลงนโยบายบริหารประเทศเพียง ๒๐ นาทีเท่านั้นจากนั้นก็ปีนกำแพงหนีขึ้นเฮลิคอปเตอร์   พล.อจรัล  กุลละวณิชย์  รั้นจะจัดประชาพิจารณ์ให้ได้เพื่อสร้างสร้างความชอบธรรมในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญบังคับให้ต้องจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนดำเนินโครงการ   ด้านนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ดื้อด้านต้องประชุมแถลงนโยบาย  เพราะต้องการเข้าบริหารประเทศเพื่อสืบทอดระบอบทักษิณและช่วยเหลือพี่เมียตัวเองให้พ้นผิดจากคดีๆต่างเพื่อกลับมาสืบทอดอำนาจ ซึ่งทำให้นายสมชายถอยไม่ได้แม้ต้องกินเลือดกินเนื้อเพื่อนร่วมชาติ            ตำรวจแสดงจุดยืนชัดเจนมาตลอดทุกยุคสมัยว่ายืนเคียงข้างระบบทุนและระบบอำนาจรัฐเท่านั้น  ไม่ว่ายุคสมัยใดไม่เคยยืนเคียงข้างประชาชนผู้เป็น "นาย"ที่แท้จริงของพวกเขา บทเรียนสำนักงานตำรวจแห่งชาติจากการสลายการชุมนุม            สำนักงานตำรวจแห่งชาติคงลืมบทเรียนสำคัญบทที่หนึ่ง ที่มีเนื้อหาใจความว่าด้วย (๑)พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผบ.ตร.และข้าราชการตำรวจระดับสูงอีก ๕ นายยังอยู่ในฐานะจำเลยคดีอาญา ข้อการใช้อำนาจไม่ชอบและการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย จากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ บริเวณโรงแรมเจบีหาดใหญ่ คดียังอยู่ในชั้นศาลของศาลจังหวัดสงขลา (๒) ศาลปกครองจังหวัดสงขลาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ชุมนุมคนละ ๑๐,๐๐๐ บาทจำนวน ๒๔ คน จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม  บทเรียนบทที่หนึ่งที่ตำรวจไม่จดจำอาจเป็นเพราะตำรวจไม่เคยเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาบทเรียนอันน่าจดจำเล่านี้จึงไม่แทรกซึมเข้าสู่สมองอันน้อยนิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ว่าสมองน้อยนิดด้วยความเคารพไม่ได้คิดดูถูกแต่เป็นความจริงเพราะตำรวจส่วนมากไม่ใช้มันสมอง  ความคิดและจิตวิญญาณของตัวเองว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนควรกระทำไม่ควรกระทำพวกเขาถูกอบรมและฝึกฝนมาเพียงว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งนายเท่านั้น  "นายสั่งต้องทำ" หลักสูตรของตำรวจไทย  : ว่าด้วยบทที่ ๑   การสลายการชุมนุมต้องใช้ความรุนแรงเท่านั้นอยากเป็นตำรวจดีต้องถือหางนักการเมืองและนายทุน รุมทำร้ายประชาชน ณ เวลานี้เริ่มเชื่อแล้วว่าตำราที่ตำรวจไทยคงถูกฝึกและสอนให้ทำร้ายประชาชนผู้เสียภาษีจ้างพวกเขา เมื่อมีประชาชนที่ไหนชุมนุมประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมต้องไม่เห็นใจ ไม่ต้องฟังเสียงประชาชน ให้ฟังคำสั่งนักการเมืองและนายทุนเท่านั้น  ไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรมหาช่องทางและโอกาสใช้กำลังผลักดันสลายการชุมนุม  โดยไม่ต้องคำนึงถึงขั้นตอนการสลายการชุมนุมของนานาอารยะประเทศหรือของสากลที่ปฏิบัติกัน ไม่ต้องมีการเจรจา  ไม่ต้องประกาศให้ผู้ชุมนุมรู้ตัวว่ากำลังจะมีการสลายการชุมนุม  ไม่ต้องใช้ความนุ่มนวลละมุนละม่อมกับประชาชนผู้ไม่ยอมจำนนบทที่ ๒  ต้องใส่ร้ายป้ายสี ปัดความผิด เมื่อใช้ความรุนแรงกับประชาชนผู้ชุมนุมเกิดกระแสประฌามจากสังคมให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกมาจัดแถลงข่าว กล่าวหาว่าผู้ชุมนุมว่าเป็นผู้ก่อความวุ่นวายกับบ้านเมืองก่อน  มีกรณีศึกษาที่หนึ่ง  กรณีการสลายผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ้างว่าต้องสลายเพราะผู้ชุมนุมกำลังจะขับรถยนต์หกล้อฝ่าแผงเหล็กกั้นของตำรวจเพื่อบุกยึดโรงแรมเจบี หาดใหญ่ที่ทักษิณ ชินวัตรใช้เป็นสถานีประชุมครม.สัญจร ทั้งที่ประชาชนนั่งล้อมวงรับประทานอาหาร บ้างก็ละหมาด ความเป็นจริงคือตำรวจตั้งแถวอ้อมแผงเหล็กกั้นเข้าหาฝั่งผู้ชุมนุมเพื่อผลักดัน ทุบตี และทำร้ายร่างกาย  นักศึกษาศีรษะแตกเลือดอาบเย็บหลายเข็มพ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข กลับให้การในศาลว่านักศึกษาคนดังกล่าวเอาสีจากกระเป๋ากางเกงมาป้ายบนศีรษะ  จากการสลายการชุมนุมทำให้ผู้หญิงเสื้อผ้าฉีกขาดด้านหลังจนเห็นเสื้อชั้นใน  พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์กลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง กรณีศึกษาที่สอง การสลายการชุมนุมเมื่อเช้าวันที่ ๗ ตุลา ตำรวจออกมาชี้แจงว่าต้องสลายเพราะผู้ชุมนุมเอาน้ำมันราดถนนบนถนนรัฐสภาเพื่อเตรียมจุดไฟเผา  และบอกว่าผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตพกพาระเบิดติดตัวมาเอง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีคนตาย ซึ่งเขาและเธอไม่มีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาปกป้องตนเองหรืออธิบายแก้ข้อกล่าวใดๆพล่อยๆของตำรวจได้เลย  การใส่ร้ายป้ายสีปัดความผิดคือความเชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะทางของตำรวจไทยบทที่ ๓ สร้างหลักฐานเท็จยัดเยียดความผิดจากเหตุการณ์เช้าวันที่ ๗ ตุลาตำรวจเป็นฆาตกร เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมาคราบรอยเลือดผู้บริสุทธิ์ยังไม่ทันแห้งเหือดกลับบอกจะเอาผิดตั้งข้อหาผู้ชุมนุม  ซึ่งเชื่อมั่นว่าตำรวจจะทำอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเท่ากับยอมรับและจำนนต่อความผิด ซึ่งชายชาติตำรวจไทยไม่มีวันให้เป็นเช่นนั้น  เห็นได้ชัดจากกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านโครงการการก่อสร้างและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ทั้งที่ตำรวจผิดอย่างชัดเจนกลับจับกุมผู้ชุมนุมและตั้งข้อหาร้ายแรง ทำสำนวนเท็จเพื่อตั้งข้อกล่าวหายัดเยียดความผิด  ความเป็นจริงของสังคมไทยตำรวจและอัยการสามารถทำสำนวนให้คนถูกกลายเป็นคนผิด คนผิดกลายเป็นคนถูกได้เสมอมา             ต้นเหตุอันนำไปสู่เหตุการณ์วันที่ ๗ ตุลาคมคือระบอบทุนนิยมสามานย์ทักษิณ ทำให้คนไทยต้องฆ่าคนไป สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์ ๗ ตุลาคมผ่านเลยไปต้องมีกระบวนลงโทษฆาตกรและผู้บังคับบัญชาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ผู้กระทำผิดต้องได้รับผลกรรมทั้งทางธรรมและทางกฎหมาย  ฆาตกรมือเปื้อนเลือดและจิตใจเลือดเย็นอย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ไม่มีความชอบธรรมใดๆเลยที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทยอีกต่อไป