Skip to main content
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง มีสัญลักษณ์เป็น “กระบอง”  ห้อยติดตัวอยู่ตลอดเวลา อำนาจของเขาอยู่ที่ “กระบอง” ที่เอาไว้ “ทุบคนที่น่าสงสัย”
กานต์ ณ กานท์
 ก่อนอื่นผมต้องขอขอบพระคุณ "3 องค์กรวิชาชีพสื่อฯ" 1 อันประกอบไปด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเป็นอย่างสูง ในความห่วงใยที่มีต่อเสรีภาพและสวัสดิภาพของสื่อมวลชน ที่ท่านได้กรุณาแสดงออกผ่าน "แถลงการณ์ร่วมองค์กรวิชาชีพ" 2 เนื่องในวันสื่อมวลชนโลก เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2551 ที่ผ่านมาอนึ่ง ผมเขียนบทความนี้ จากการทึกทักเอาเองว่า นอกจากห่วงใยต่อ ‘สื่อมวลชน’ ด้วยกันเองแล้ว องค์กรอันทรงเกียรติทั้ง 3 นั้น มีความห่วงใยต่อเสรีภาพและสวัสดิภาพของประชาชน ด้วยเช่นกัน (อันเนื่องมาจากคำขวัญที่ผมยังประทับใจไม่รู้ลืม คือ "เสรีภาพสื่อ คือเสรีภาพประชาชน" และ "คุกคามสื่อ - คุกคามประชาชน") …อย่างไรก็ตาม หากข้อทึกทักของผมผิดพลาดไป ต้องขออภัยอย่างสูงที่สำคัญ ผมเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อกังขาว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั้น มักจะนิยมใช้วาจาที่ส่อไปในทางก้าวร้าว หยาบคายผ่านสื่อสาธารณะอยู่บ่อยครั้ง และไม่น่าแปลกใจถ้าหากผู้ที่เป็นคู่สนทนา จะรู้สึกว่าเป็นการคุกคาม บิดเบือน ชวนทะเลาะรวมทั้งเห็นด้วยว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่อาจเรียกว่าเหมาะสมได้ ไม่ว่าจะในฐานะนายกรัฐมนตรี หรือสื่อมวลชน (ผู้ดำเนินรายการวิทยุ) ก็ตามผมจึงไม่รู้สึกมีปัญหาอันใดเลย กับการที่ "3 องค์กรวิชาชีพสื่อฯ" ได้ออกมาเขียนแถลงการณ์ตำหนิพฤติกรรมดังกล่าว กลับเห็นด้วยและรู้สึกขอบคุณ ดังที่ได้กล่าวไปในย่อหน้าแรก 
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร การกลายเป็นตัวตลกของ “มือสกปรกที่มองไม่เห็น” การเล่นจำอวดของตุลาการรัฐธรรมนูญในกรณียุบพรรค  การเดินขบวนไปบ้านสี่เสาเทเวศน์ ฯลฯและประเด็นที่กำลังจะกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ กระบวนการสร้างข่าวลวง ข่าวลือ การ ”ปั้นน้ำเป็นตัว” อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของสื่อที่เรียกตัวเองว่าเป็น “สื่อแท้” อย่างสื่อในเครือของผู้จัดการ  
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว “แรง” แบบนี้เป็นใครก็คงต้องสะดุดหยุดดู ผมพลิกไปอ่านโดยระทึกในดวงหทัยพลัน จึงได้ทราบว่าที่แท้แล้วคำนี้ได้มาจากบทสัมภาษณ์ของ “จรัญ ภักดีธนากุล”  ขอโทษ เขียนผิด ไม่ใช่ “จรัญ ภักดีธนากุล” แต่เป็น “จรัล ดิษฐาอภิชัย” ต่างหาก (ชื่อ “จรัล” จำนวนมากที่ขยันเป็นข่าวช่างชวนให้สับสนจริง)บทสัมภาษณ์ของ “จรัล ดิษฐาอภิชัย” ตีแสกหน้า “ธีรยุทธ  บุญมี” ตรง ๆ โดยไม่ต้องอ้อมค้อมให้น่ารำคาญ “จรัล  ดิษฐาอภิชัย” อ้างอิงไปถึง “ลาว คำหอม” นักคิดนักเขียนผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรที่ถอยหลังอย่างเช่นเรื่องการใช้กฎหมาย “มาตรา 7”   อันโด่งดังที่เปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือที่เรียกว่าเป็นนายกพระราชทานและ “ธีรยุทธ  บุญมี” ก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนมาตรา 7 อย่างแข็งขัน   พอพูดถึง “ลาว คำหอม” ก็ให้รู้สึกว่านักคิดนักเขียนที่มีความคิดทางการเมืองก้าวหน้าแบบ “ลาว  คำหอม” นั้นหายากเต็มทีในสมัยปัจจุบันซึ่งถ้าไม่หมกมุ่นกับปัญหา “ตัวบุคคล”  อย่างอดีตนายก ฯ “ทักษิณ ชินวัตร”  จนคิดอะไรไม่ออก มองอะไรไม่เห็นก็เอาการเอางานกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” “คุณธรรม จริยธรรม” “บริโภคนิยม”  “ทุนนิยมสามานย์” ผมเคยบ่นกับบรรณาธิการใหญ่ท่านหนึ่งว่าทำไมนักเขียน (บางคน) จึงมีความคิดที่จะขับไล่อดีตนายก ฯ ทักษิณ  ชินวัตร แต่ขาดสติและปัญญาที่จะต่อต้านรัฐประหาร (ผมจำไม่ได้แล้วล่ะว่าบรรณาธิการใหญ่ท่านนั้นตอบว่าอะไร)ที่ “จรัล ดิษฐาอภิชัย” อ้าง “ลาว คำหอม” นั้นก็เพราะ “ลาว  คำหอม” เป็นบุคคลที่ “ธีรยุทธ  บุญมี” เคารพนับถือ
Hit & Run
วิทยากร บุญเรืองคณะสุภาพบุรุษ (เสี่ยว)กระแสหนังสือ ‘ลับ ลวง พราง: ปฏิวัติปราสาททราย' ของ คุณวาสนา นาน่วม กำลังมาแรง และวันนี้เราลองมาคุยกันถึงเรื่องนี้หน่อย ผมได้ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ของลูกพี่ไปอ่าน ทีแรกไม่ได้ตั้งใจอ่านม้วนเดียวจบ แต่คุณวาสนา เขียนได้ดี เขียนได้ถูกต้อง (?) น่าติดตาม และสนุกไปกับกลวิธีการเขียน --- ผมอ่านจากหน้าไปหลัง หลังไปหน้า ดูสารบัญแล้วเปิดอ่าน แต่สรุปแล้วก็อ่านจบทุกบท เพราะมันคล้ายๆ หนังสือกอสซิปดาราถามว่าอ่านแล้วได้อะไรบ้าง? สิ่งที่สำคัญที่ผมได้ก็คือ รู้สึกว่ากลยุทธ์ของทหารไทย ไม่ได้หนีไปจากยุคสามก๊กเท่าไร และมันทำให้ได้รู้ว่า ชายชาติทหารก็คือปุถุชนคนธรรมดา ที่มีดีเลวศักดิ์ศรีและความตอแหลคละเคล้ากันไปข้อเสียของทหารคือ ความโง่ที่ไม่ทันเกมโลกาภิวัตน์ของโลก และยังยึดติดกับปรัชญาจิตนิยมมากเกินไป รวมถึงการดูถูกระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนซึ่งข้อเสียเหล่านี้เราพูดถึงกันมามากแล้ว ดังนั้นบทความชิ้นนี้อยากลองใช้มุมมองของตัวปัจเจกในระบบทหารว่ายังไงๆ เขาก็เป็นคนแบบเราๆ ท่านๆก่อนเข้าเรื่องในหนังสือ ผมจะขอแนะนำเพื่อนของผมคือไอ้อ๋อ ที่จับพลัดจับผลูต้องไปรับใช้ชาติ เป็นทหารเกณฑ์ ไอ้เณรหัวเกรียน โดยขอนำเรื่องความเปลี่ยนแปลงในช่วงที่มันเป็นไอ้เณรมาเล่าให้ฟังก่อนในด้านกายภาพ จากน้ำหนักตัวเกือบแปดสิบกิโล แต่โดนรีดไปเหลือเพียงห้าสิบกว่าๆ เพราะดันไปโดนทฤษฎี ‘ร่างกายใต้บงการ' ในค่ายฝึกหฤโหด ทำให้น้ำหนักมันลดฮวบ รวมถึงสีผิวที่คล้ำลงมาก จนหลายคนใจหายนึกว่าภูมิคุ้มกันของมันบกพร่องไปเสียแล้วส่วนด้านพฤติกรรม ก่อนหน้านี้ไอ้เณรอ๋อ เป็นคนที่เกลียดการเป็นทหารมากที่สุด และบังเอิญซวยมากๆ ที่ต้องได้ไปรับใช้ชาติด้วยความไม่สมัครใจ ความเปลี่ยนแปลงของมันหลังจากเป็นทหารที่ผมเห็นได้ชัด ก็คือมันขี้เบ่งขึ้น และตอแหลมากขึ้น (จากเดิมก็เป็นคนตอแหลมากอยู่แล้ว)ตอนไปกินเหล้าด้วยกัน (ช่วงที่เขาปล่อยให้ทหารเกณฑ์กลับบ้านได้) มันเริ่มกร่าง หลังจากที่เป็นคนไม่สู้คน --- เริ่มโวยวาย เอะอะ และหาเรื่องคนอื่นมากขึ้น แต่ขอโทษ! ต้องแต่งชุดให้ชาวบ้านรู้ว่ามันเป็นทหารก่อนนะครับ! (ถึงแม้จะโดนเกณฑ์ไปเป็นก็ตาม)รวมถึงความตอแหลที่มีมากขึ้น รู้ว่าใครควรขู่ ใครไม่ควรขู่ และยังมีพฤติกรรม ‘ลับ ลวง พราง' --- ต้องไปเที่ยวสถานบันเทิงในที่ลับตาสารวัตรทหาร, ลวงสาวๆ ร้านคาราโอเกะว่ามันไม่ใช่ทหารเกณฑ์ แต่เป็นระดับนายร้อย (แต่ให้ทิปแม่งน้อยชิบหาย), ใส่อุปกรณ์ลายพราง (เสื้อ กางเกง) ไว้เบ่งในที่สาธารณะ โชว์เหล่าธารกำนัล ว่ากูนี่คนมีสีนะ! ลับ ลวง พราง ของไอ้เณรอ๋อ จึงมีความหมายที่ว่า ตอแหลให้มากๆ และเบ่งให้เยอะๆ ถึงจะใช้ชีวิตทหารเกณฑ์ได้คุ้มค่า!วกกลับไปคุยเรื่องหนังสือเล่มนี้ ทั้งๆ ที่มันเพิ่งออกไม่ถึงเดือน แต่มันกลับเป็นปรากฏการณ์ที่สะเทือนวงการทหารพอสมควร และเชื่อว่าคุณวาสนาอาจจะเสียแหล่งข่าวไปบ้าง นายทหารในคณะ คมช.บางคนถึงกับประกาศว่า จะไม่แตะหนังสือเล่มนี้...แต่ขอโทษ...คงอ่านไปแล้วล่ะ หรือคงให้คนอื่นเปิดอ่านให้มั้ง :-)คุณวาสนาได้นำเหตุการณ์ตั้งแต่รัฐประหารจนถึงความล่มสลาย หลังฝ่ายการเมืองกลับมาชนะได้ภายหลัง โดยได้ประมวล ความคิด คำพูด การกระทำ ของเหล่านายทหารผู้ก่อการทั้งหลาย จากที่ดูกำลังจะเป็นฮีโร่ (ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมบ้าจริยธรรม) จนกลายมาเป็นคนไร้ราคาได้อย่างไรคุณวาสนาได้ทำให้เราเห็นภาพลางๆ ว่า ในการรัฐประหารที่ผ่านมา ใครเต็มใจ ไม่เต็มใจบ้าง ในการก่อการ ซึ่ง เสธ.แดง นักรบคนดังเคยวิเคราะห์ว่าคณะ คมช.นั้น อยู่ฝ่ายทักษิณ 4 โง่ 1 เป็นกลาง 1 (ซึ่งหลายคนก็คงรู้ๆ กันอยู่แล้ว) และทำไมค่ำคืนนั้นไม่มีการปะทะกันระหว่างทหารสองฝ่าย กลัวประชาชนสูญเสีย หรือทหารกลัวตายกันแน่?ที่สำคัญมันได้ตอกย้ำอีกครั้งว่า ทหารที่ถึงแม้จะเป็นความเป็นสถาบันที่เข้มแข็งที่สุดของสังคมไทย แต่ภายในกรอบสถาบันนั้น ถึงที่สุดแล้วเรื่องปัจเจกและผลประโยชน์พวกพ้องคือเรื่องสำคัญที่สุด เหมือนกับสถาบันอื่นๆ ในสังคมแหละ!และมันได้เป็นบทเรียนของกลุ่มคนใดก็ตามว่า ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงสังคม ความเป็นสถาบันที่มีอุดมการณ์จริงๆ มันจะต้องถูกสร้างมาก่อนที่จะก่อการเปลี่ยนแปลงสังคม รวมถึงต้องลบการชูประเด็นฮีโร่ขายปัจเจกออกไป ถ้าไม่อยากล้มเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้คนระดับนายพล ไม่ได้แตกต่างจากไอ้เณรอ๋อเพื่อนผม..ทุกคนมีชีวิตที่ดิ้นรนต่อสู้กันไปวันต่อวัน ตอแหลและใช้อำนาจในเครื่องแบบดิ้นรนกันไปวันต่อวันและนี่คือหนังสือที่โปรโมทคนในกองทัพได้น่ารักแสบคัน เล่มหนึ่ง(โปรดไปหามาอ่านเพื่อลงลึกในรายละเอียดกันเอง ขี้เกียจเล่าเนื้อหา) 
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ผมมองว่าโลกของการเสพยาเสพติดคือการปลดปล่อยตนเองจากกฏระเบียบน่ารำคาญของสังคมที่เข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว ก่อนหน้านี้ ผมมองว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่จะเสพยาเสพติด (ชนิดใดก็แล้วแต่) หรือแสวงหาประสบการณ์สุดขั้วอันเป็นความสุขหรือความทุกข์ส่วนตนที่สังคมไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ก่อนหน้านี้ ผมมองว่าการเสพยาเสพติดเป็นวิธีการในการตอบโต้กับค่านิยมกระแสหลัก เป็นการกบฎเล็ก ๆ ต่อระเบียบข้อบังคับของสังคมที่ปัจเจกชนและเสรีชนกลืนไม่ลง คือการหาความสุขที่หาไม่ได้จากสังคมที่รกรุงรังด้วย “ศีลธรรม”  ทัศนะแบบนี้จางคลายกระทั่งแปรเปลี่ยนไปเมื่อวัยเพิ่มขึ้น หรือเมื่อต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคนอื่น ผมย้อนกลับไปมองตนเองผ่านการเปลี่ยนแปลงความคิดแล้วก็เข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิตบางประการ...
หัวไม้ story
  หัวไม้ story - คือ ภาคต่อของรายการทีวีอินเทอร์เน็ต ‘สมาคมหัวไม้' ที่เป็นคล้ายๆ บทบรรณาธิการของกอง บก.ประชาไท เกิดจากการพูดคุย ถกเถียง วิวาทะ เกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจของความเป็นไปในสังคมรอบตัว และอยากจะเน้นย้ำให้ผู้อ่านประชาไทได้รับรู้ไปพร้อมกัน ทุกๆ สัปดาห์ จากนั้นจะมีการรายงานความคืบหน้าในประเด็น ‘หัวไม้' อีกครั้งหนึ่ง ผ่านพื้นที่ของ ‘หัวไม้ story' ในส่วนของบล็อกกาซีน-ประชาไท (ปลายสัปดาห์)  หากย้อนดูปรากฏการณ์การเคลื่อนขบวนของประชาชนออกมาแสดงพลังขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลไทยรักไทย ที่ผ่านมานับแต่การเริ่มต้นเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งแรก การเคลื่อนไหวของพันธมิตรอบสองนี้ นับว่าเป็นจังหวะก้าวที่คุ้นเคยยิ่ง โดยเริ่มการเปิดโปงและเรียกร้องความโปร่งใสในกรณีจำเพาะเจาะจง จากนั้นจึงขยายมูลความผิดออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนำไปสู่การต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทยในฐานะที่เป็นระบอบทักษิณ ด้วยข้อหาอุกฉกรรจ์ คือ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำลายพุทธศาสนาด้วยกรณีสังฆราช 2 องค์ คอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารชนิดที่เมืองไทยไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน แม้เมื่อเทียบกับยุคเผด็จการ ทั้งกรณีเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิ (CTX) ขายชาติโดยเอาทรัพย์สินของชาติไปขายในนามของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ไหนจะเป็นสำนึกเห็นแก่ได้ไม่ยอมเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กองทุนสัญชาติสิงคโปร์อีกเล่าเรื่องราวครั้งนั้นจบลงที่การรัฐประหาร ดังที่เราท่านรู้ๆ กันดี ครานี้ พันธมิตรฯ เริ่มอีกครั้ง หลังจากที่ดูเหมือนว่าระบอบทักษิณจะเป็นเชื้อชั่วไม่ยอมตาย และกลายพันธุ์มาในรูปแบบใหม่ที่ไม่รู้จะดื้อยากว่าเก่าหรือเปล่า โดยพรรคนอมินีอย่าง พลังประชาชน นำโดยผู้นำพรรคอย่างนายสมัคร สุนทรเวช โดยพันธมิตรระบุความผิดพลาดของรัฐบาลสมัครที่ทำให้ต้องออกมารวมตัวกันอีกครั้งได้แก่ 1. มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และฝ่ายนิติบัญญัติที่มีประวัติด่างพร้อย และมีมลทิน อันเป็นการจงใจหยามเหยียดเกียรติภูมิของประเทศ และดูถูกศักดิ์ศรีของคนในชาติ2. มีการเร่งรัดในการโยกย้ายข้าราชการเพื่อแทรกแซง และตัดตอนกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้พ้นจากคดีความที่มีความเกี่ยวพันกับระบอบทักษิณ3. มีการโยกย้ายข้าราชการตำรวจเพื่อล้างแค้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตแกนนำอดีตพรรคไทยรักไทย และแกนนำพรรคพลังประชาชนให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นสัญญาณการสร้าง "รัฐตำรวจ" ให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อปูทางสร้างฐานให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้มาเป็นผู้คุมดูแลรัฐตำรวจในอนาคตอันใกล้4. มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการอย่างอุกอาจสำคัญๆ เช่น เลขาธิการองค์การอาหารและยา (อย.) และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อย่างไร้เหตุผล อันเป็นการกระทำการโยกย้ายใช้อำนาจแบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์อย่างโจ่งแจ้ง ดังที่เคยปรากฏมาแล้วเหมือนในอดีตในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อดีตนายกรัฐมนตรีกุมอำนาจตัดสินใจสั่งการแต่ผู้เดียว ทำลายระบบคุณธรรม ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง บริหาร สั่งราชการ และตัดสินใจในการดำเนินการใดๆ ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่เพียงผู้เดียว5. มีการแทรกแซงสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี โดยการยิงสัญญาณก่อกวนเพื่อปิดกั้นข้อมูลข่าวสารไม่ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นลักษณะของการก่อการร้ายสากล และยังให้เคเบิลทีวีท้องถิ่นในหลายพื้นที่งดการถ่ายทอดรายการจากสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ตรงไปตรงมา6. รัฐบาลได้จุดประเด็นดำเนินนโยบายบ่อนเสรีสร้างอบายมุขเหยียบย่ำศีลธรรม เป็นการจงใจที่จะทำลายรากเหง้าและฐานรากวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงามของสังคมไทย เพื่อแลกกับผลประโยชน์มหาศาลเฉพาะหน้า ทำลายแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่ใส่ใจกับการล่มจมของประเทศชาติสลายในอนาคต7. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สื่อสารมวลชนต่างประเทศเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม และมีเป้าหมายกลับมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างชัดเจน ตลอดจนมีการพาดพิงไปถึงสถาบันอันสำคัญของประเทศว่าเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังนี่คือภาคต่อเนื่องของพันธมิตรฯ และชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นเป้าหมายอันใหญ่ที่พันธมิตรต้องการจะหยุดแบบถอนรากถอนโคน ดังที่ปรากฏในแถลงการณ์พันธมิตรฯ ที่ออกมาในปี 2549
หัวไม้ story
หัวไม้ story - คือ ภาคต่อของรายการทีวีอินเทอร์เน็ต ‘สมาคมหัวไม้' ที่เป็นคล้ายๆ บทบรรณาธิการของกอง บก.ประชาไท เกิดจากการพูดคุย ถกเถียง วิวาทะ เกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจของความเป็นไปในสังคมรอบตัว และอยากจะเน้นย้ำให้ผู้อ่านประชาไทได้รับรู้ไปพร้อมกัน ทุกๆ สัปดาห์ จากนั้นจะมีการรายงานความคืบหน้าในประเด็น ‘หัวไม้' อีกครั้งหนึ่ง ผ่านพื้นที่ของ ‘หัวไม้ story' ในส่วนของบล็อกกาซีน-ประชาไท (ปลายสัปดาห์) 
หัวไม้ story
  หัวไม้ story - คือ ภาคต่อของรายการทีวีอินเทอร์เน็ต ‘สมาคมหัวไม้' ที่เป็นคล้ายๆ บทบรรณาธิการของกอง บก.ประชาไท เกิดจากการพูดคุย ถกเถียง วิวาทะ เกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจของความเป็นไปในสังคมรอบตัว และอยากจะเน้นย้ำให้ผู้อ่านประชาไทได้รับรู้ไปพร้อมกัน ทุกๆ สัปดาห์ จากนั้นจะมีการรายงานความคืบหน้าในประเด็น ‘หัวไม้' อีกครั้งหนึ่ง ผ่านพื้นที่ของ ‘หัวไม้ story' ในส่วนของบล็อกกาซีน-ประชาไท (ปลายสัปดาห์)  เพียงไม่นานหลังจากที่ นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช พูดออกอากาศในรายการ ‘สนทนาประสาสมัคร' ณ วันที่ 2 มีนาคม 2551 ว่า อยากให้มี ‘บ่อนการพนันถูกกฎหมาย' เกิดขึ้นในประเทศ วิวาทะระหว่างผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านแนวคิดดังกล่าวก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมไทยเมื่อปล่อยให้สังคมตื่นตัวและถกเถียงเรื่องแนวคิด ‘บ่อนถูกกฎหมาย' ได้สักพัก รัฐบาล ‘หมัก 1' ก็กลับลำแก้เกี้ยวได้ทันเวลา โดยอ้างว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนโยบายของรัฐ แต่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของ นายกฯ สมัคร เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าการ ‘โยนหินถามทาง' ในครั้งนี้จะได้รับคำตอบเรียบร้อยแล้ว โดย ‘ผู้คัดค้าน' เสียงดังกว่า ‘ผู้สนับสนุน' เกือบเท่าตัวถึงกระนั้นก็ตาม นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกที่ตัวแทนรัฐบาลพูดถึงการนำเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบ โดยคาดหวังว่าผลประโยชน์จากเศรษฐกิจใต้ดินจะช่วยให้คนในสังคมส่วนใหญ่มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านก็ยังยืนกรานด้วยเหตุผลเดิมๆ ว่า การคำนึงถึงศีลธรรม, คุณธรรม และจริยธรรม คือสิ่งที่จำเป็นกว่า เพราะเงินที่ได้มาจากอบายมุขหรือวิธีการที่ ‘ไม่สะอาด' ย่อมไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืนและปกติสุข
เมธัส บัวชุม
ก่อนอื่นคงต้องขอยอมรับในความสามารถของชัย ราชวัตร ที่สามารถตรึงใจผู้อ่านคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมายาวนานหลายปีจนกระทั่งถึงปัจจุบันและดูเหมือนว่าสามารถสร้างแฟนการ์ตูนรุ่นใหม่ ๆ ได้ไม่น้อย ความน่าสนใจประการหนึ่งของการ์ตูนคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” อยู่ที่การสร้างบทสนทนาระหว่างตัวการ์ตูนเพียงไม่กี่ประโยค แต่สื่อความหมายได้มากมายเสียยิ่งกว่าบทความที่ยาวเต็มหน้ากระดาษชัย ราชวัตร ใช้วาจาสั้น ๆ ในการเสียดสีหรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันหรือบางครั้งเป็นการกล่าวหาใส่ความเกินจริง โดยที่เขาตัวเขาเองไม่ต้องรับผลอันใดจากการกระทำของตนเอง ตัวอย่างเช่นไทยรัฐ, 26 กุมภาพันธ์, 51.
Music
  ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรพวกนี้ออกมาหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตต้านโลกร้อนที่เข้าใจเกาะกระแสเรื่องที่คนทั่วโลกสนใจ (แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจลึกไปในระดับไหน) มาสร้างเวทีคอนเสิร์ตให้สนุกสุดเหวี่ยง เวลามีคนมาถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมมักจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ ถ้ามันจะดีมันก็ดีในแง่ที่มีคอนเสิร์ตมาให้สนุกกัน ส่วนศิลปินก็ได้หน้าได้ตากันไป เพราะโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าศิลปินจะรู้ลึกรู้จริงรู้จังอะไรกันเรื่องนี้มากมาย ไม่ต้องกระไรมาก ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงเรื่องหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อน ผมได้รู้เรื่องที่มีคนอยากจะจัดคอนเสิร์ตรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ในทีแรกผมก็รู้สึกสนใจว่ามีคนเล่นดนตรีที่เข้าใจประวัติศาสตร์ตรงนี้ด้วยหรือ (ขออภัยผมไม่ได้จงใจดูถูกสติปัญญาของนักดนตรี แต่เท่าที่ผมเจอมาเป็นแบบนี้จริง ๆ) แต่พอผมได้รู้จักเขา ก็ดูท่าว่าเขาจะไม่ได้รู้ประวัติศาสตร์ของวันวันนี้ลึกไปกว่าว่ามันมีคนตายเลย (เผลอ ๆ ที่ลุงหมักพูดว่าตายหนึ่งศพยังจะฟังดูน่าเชื่อถือกว่าให้ไอ่หมอนี่พูดถึงเสียอีก) นั่นทำให้เวลามีคนจัดคอนเสิร์ต ไม่ว่าจะเป็น Live Aid ที่มีภาพของการช่วยเหลือประเทศโลกที่สาม หรือพวก Earth day/Live Earth ที่เป็นแนวอนุรักษ์ธรรมชาติก็ตาม ผมมักจะไม่รู้สึกถึงประเด็นที่พวกนี้พ่วงมากับการจัดคอนเสิร์ตด้วยสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ศิลปินพวกนี้พูดบนเวทีมันก็เป็นสิ่งที่พูดกันมาแต่ไหนแต่ไร อยู่แล้ว ไม่พักต้องชวนให้เข้าใจว่าประเด็นพ่วงมาพวกนี้มันทำให้งานคอนเสิร์ตทั้งหลายดูดีขึ้นกว่าการเป็นแค่ความบันเทิงธรรมดา ทั้งที่จะให้มันเป็นความบันเทิงโดด ๆ ไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนี่นา โดยส่วนตัวผมจึงสนใจ “เนื้อหา” กับ “รูปแบบ” ทางดนตรีที่ศิลปินสื่อออกมามากกว่าประเด็นพ่วงที่ชวนให้รู้สึกว่ามันเบาหวิวลอยลม แต่คราวนี้ มันไม่ใช่แค่ไลฟ์คอนเสิร์ทน่ะสิ ประเด็นสีเขียวมันถูกโยงใยมาสู่เรื่องขั้นตอนของการผลิตงานด้วย แล้วถ้ามีใครมาถามความรู้สึกผมในเรื่องนี้ผมก็จะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ อยู่ดี ไม่ก็เลี่ยงไปพูดเรื่องตัวผลงานเลยว่ามันดีมันแย่ยังไง มันเจ๋งกว่าอัลบั้มที่ไม่ได้ใช้พลังเขียวในการผลิตด้วยเหรอ? แต่ในคอลัมน์นี้ ยังไงผมก็ขอพูดถึงมันเสียหน่อย ว่าจริง ๆ แล้วอัลบั้ม Sleeping Through The Static ของ Jack Johnson ที่มีคนเชียร์นักหนาในเรื่องของการบันทึกเสียงโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (ถึงขั้นโยงไปถึงเรื่องโลกร้อน) มันมีคนเคยทำมาก่อนแล้ว คือ วงร็อคที่ชื่อ Wolfmother ไม่พักต้องบอกต่ออีกว่า เจ้า Andrew Stockdale นี้มันแสดงตัวตนว่า ‘เขียว’ เอาการ ไม่นับแค่ขั้นตอนการอัดเพลง ไอ่หมอนี่ยังรณรงค์ใช้จักรยาน การใช้ไบโอดีเซล (ซึ่งแลกมาด้วยการไปเบียดเบียนการกินอยู่ของคนจน) การใช้พลังงานทางเลือกจากแสงอาทิตย์ จนล่าสุดหมอนี่มันจริงจังถึงขั้นจะค้นหาโน้ตที่ให้เสียงแบบเขียว ๆ สำหรับการบันทึกลงอัลบั้มต่อไปเลยทีเดียว ผมนับถือเจ้า Stockdale ในแง่ของการที่มันจริงใจกับความคิดตัวเอง แต่ถ้ามีคนมาถามเรื่องนี้ ผมก็คงจะบอกว่า เฉย ๆ กับประเด็นพ่วงและพฤติกรรมแบบเขียว ๆ ของเขาอยู่ดี และจะบอกต่อด้วยว่า อัลบั้มที่ได้รางวัลยอดเยี่ยมสาขาการแสดงแบบฮาร์ดร็อคในปี 2006 นั้น ยังขาด ๆ เกิน ๆ ไม่เร้าใจพอ ถ้าอัลบั้มหน้าจะทำให้เต็มที่กว่านี้ก็คงดี แล้วไอ่โน็ตเขียว ๆ อะไรนั่น ผมก็อยากรู้อยากเห็นอยู่เหมือนกันว่ามันจะให้เสียงออกมายังไง อย่างไรก็ดี อัลบั้มต่างประเทศที่ผมคิดว่ามันปลุกอารมณ์เขียวได้มาก ๆ โดยไม่ต้องหาประเด็นพ่วงมาเป็นจุดขายคือ Harvest Moon ของ Neil Young จริง ๆ หลายเพลงจากอัลบั้มอื่น ๆ ของ นีล ยังค์ มันก็มีเรื่องราวแนวอนุรักษ์แบบติดกลิ่นฮิปปี้หน่อย ๆ แต่ในอัลบั้มนี้ ตัวดนตรีมันสร้างจินตภาพแบบโรแมนติกของท้องทุ่งอเมริกันได้ ดีเยี่ยม (ดีจนน่ากลัวก็ว่าได้) ไตเติ้ลแทรกที่ชื่อ Harvest Moon (ดวงจันทร์แห่งการเก็บเกี่ยว-หมายถึง ดวงจันทรฺ์ที่ขึ้นในช่วงหัวค่ำของฤดูใบไม้ผลิ ช่วยชาวไร่ชาวนาในการเก็บผลผลิต) แม้ว่าเนื้อเพลงมันจะเป็นเพลงรักที่หวานแบบเรียบ ๆ แต่แบคกราวน์ของดนตรีมันช่างชวนให้นึกถึงพลังแบบเขียว ๆ ที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ดนตรีของ Jack Johnson ในอัลบั้มก่อนหน้านี้ ก็มีพลังแบบเดียวกันอยู่ครับ แต่เปลี่ยนฉากจากท้องทุ่งเป็นหาดทรายที่มีกลิ่นอายของแดดฤดูร้อน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะ Jack Johnson เกิดและเติบโตมากับริมฝั่งชายหาดของฮาวาย ได้คลุกคลีกับวัฒนธรรมของนักเล่นกระดานโต้คลื่น จนบางครั้งมีคนแปะป้ายให้ดนตรีป็อบร็อคนุ่ม ๆ ของเขารวมไปกับแนว Surf ในฐานะที่เป็นทั้งนักเซิร์ฟและคนท้องถิ่น ตัว Jack Johnson เองจึงมีแนวคิดเชิงอนุรักษ์ติดตัวมาด้วยเป็นธรรมดา เพราะปัญหาธรรมชาติบางอย่างมันส่งผลกระทบต่อคลื่นทะเลนักโต้คลื่นส่วนหนึ่ง จึงเกิดความคิดแบบนักอนุรักษ์ บางที่ถึงขั้นมีเป็นแนวท้องถิ่นนิยมแบบสุดโต่ง มีการปักเขตแดนชัดเจน กีดกันไม่ยอมให้นักท่องเที่ยวหรือคนต่างถิ่นเข้ามาเล่นโต้คลื่นเลยทีเดียว     เพลงของ Jack Johnson ในอัลบั้มที่ผ่าน ๆ มา (ไม่นับ Curious George ที่ผมไม่ได้ฟัง แต่คาดว่าคงไม่ต่างจากอัลบั้มอื่นก่อนหน้า) บ่งบอกตัวตนอย่างหนึ่งของเขา คือ ความเรียบง่ายสบาย ๆ เพราะไม่ว่าเขาจะทำดนตรีออกมาแบบไหน มันก็ฟังดูนุ่มละมุนหูไปหมด พูดแบบภาษาวัยรุ่น (ด้วยคำที่ตกเทรนไปแล้ว) ว่าเพลงพี่แกชิลชิลมาก แม้ว่าเนื้อหาจะกำลังวิพากษ์วิจารณ์อะไรอยู่   “Where’d all the good people go? I’ve been changing channels I don’t see them On the T.V. shows”   - Good People   พอพูดถึงความชิลชิล ในดนตรีของ Jack แล้ว เนื้อหาของพี่แกเองก็ชิลชิล แม้ในเนื้อหาของเพลงจะวิจารณ์ความเป็นไปในสังคม มันก็ยังสะท้อนวิธีคิดแบบบริสุทธิ์ (ใกล้ ๆ กับคำว่าไร้เดียงสา เพียงเปลี่ยนขั้วประจุบวกกับลบ) จากตัวแกเองออกมาอยู่ดี โดยส่วนตัวผมชอบเนื้อเพลงแกอยู่เหมือนกัน แต่ผมให้ค่ามันในแง่ของการผ่อนคลายมากกว่าการเก็บมาคิดด่อ เนื้อหาอื่น ๆ ส่วนใหญ่ของ Jack ถ้าไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายสบาย ๆ ของชีวิตประจำวันอย่าง Banana Pancake ก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์แบบหวาน ๆ อย่าง Do You Remember , Better Together ฯลฯ แต่นั่นแหละ เพลงของ Jack Johnson มันช่างชวนให้ฝันหวานกลางแสงอาทิตย์ จนมาถึงอัลบั้มล่าสุดคือ Sleep Through the Static ที่ดูเหมือนว่าเขาใช้แสงอาทิตย์เป็นพลังงานในการบันทึกเสียง แต่กลับไม่ได้ปล่อยให้มันสาดส่องเข้ามาในดนตรีเขาด้วย ตั้งแต่เพลงแรกถึงเพลงสุดท้าย มันชวนให้รู้สึกได้เลยว่า แสงอาทิตย์ละมุนละไมในดนตรีของเขาหายไป ไม่เพียงวิธีบันทึกเสียงเท่านั้นที่ใช้วิธีในเชิงอนุรักษ์ เพลงหนึ่งของอัลบั้มนี้คือ All at Once ก็บอกว่าเป็นเพลงที่เขียนถึงเรื่องโลกร้อน แต่ดูเนื้อหาแล้วมันก็มีอยู่ท่อนเดียวจริง ๆ ที่ (แค่) เฉียด ๆ ให้คิดถึงเรื่องโลกร้อน “Around the sun some say, it’s gonna be the new hell some say it’s still too early to tell, some say it really ain’t no myth at all.”   - All at Once หรือเพลง Sleep Through the Static เอง ที่วิจารณ์นโยบายของบุช แต่เนื้อเพลงมันไม่ชวนให้รู้สึกอะไร ว่าก็ว่า ดนตรีมันชิลชิลเกินกว่าจะชวนให้นึกอะไรตามเนื้อ ยิ่งถ้าฟังแต่ดนตรีอย่างเดียวไม่ได้อ่านเนื้อตามคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อ้อ ! ลุงแจ็คเองก็หันมาพูดเรื่องนี้อีกคนเหรอ ! (หลังจากที่มีคนแห่แหนกันมาพูดถึงจนเงียบเสียงกันไปหมดแล้ว) สิ่งที่พอจะทำให้ผมชอบอยู่บ้างในอัลบั้มนี้ คือเสียงคีย์บอร์ดในเพลง Enemy หรือกับเพลง If I had eyes ที่ใส่ความคึกคักขึ้นมาหน่อย และแน่นอนว่าอัลบั้มนี้ก็ไม่ขาดเพลงรักเนื้อหาหวาน ๆ อย่างใน Angel กับ Same Girl ที่บางทีก็กลัว ๆ ว่าแกจะมัวแต่วนเวียนกับลูกเมียแกจนความหวานจะเริ่มกลายเป็นความเลี่ยน เว้นแต่เพลง Go On ที่เขียนถึงลูกชายแกที่กำลังโต พูดถึงการยอมให้อิสระกับเขาได้ลองผิดลองถูก เสียดายที่ดนตรีซ้ำ ๆ โทนเดียวของแจ็คมันไม่ช่วยให้รู้สึกตามเพลงนี้เท่าไหร่ เป็นการให้อิสระที่ฟังดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย อัลบั้ม Sleep Through the Static ไม่มีเพลงไหนที่ดนตรีโดดเด่นออกมา แม้เพลง They do They Don’t ที่พยายามจะซีเรียส แต่ไม่เป็นผล ลุงแจ็คแกชิลชิลเกินกว่าจะพูดถึงอะไรซีเรียส ๆ จริง ๆ อันนี้ต้องยอมรับ แน่นอนว่าอัลบั้มนี้จึงกลายเป็นการติดอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระหว่างความผ่อนคลายที่อับแสงจนไม่ชวนให้สดใส ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาพยายามจะสื่อก็ถูกดนตรีที่มีพื้นสีเดียวกลบจนมิด แยกไม่ออกว่าเพลงไหนแกพูดเรื่องซีเรียส เพลงไหนแกพูดเรื่องทั่ว ๆ ไป (ถ้าไม่ได้อ่านเนื้อ) ในสื่ออย่าง BBC บอกว่านั่นเป็นเพราะแจ็คแกใช้หัวใจมากกว่าใช้สมอง แต่ผมก็อยากจะบอกว่า มีคนที่ใช้หัวใจสื่อออกมาได้ยอดเยี่ยมกว่าในประเด็นเดียวกันคือ Bruce Springsteen ผมถึงรู้สึกตามเพลงของ Springsteen ได้ขณะที่แทบไม่รู้สึกอะไรเลยกับ Jack Johnson อัลบั้มนี้ ผมเชื่อที่เว็บโมโจวิจารณ์ไว้มากกว่าว่า โลกที่ยังคงมีความยากจน มีสงคราม และความไม่แน่นอนนี้ มันต้องได้รับการเผชิญหน้า และมันก็เกินกำลังกว่าที่ความสามารถทางการแสดงออกของ Jack Johnson จะไปถึงได้ ยังไม่นับว่าการที่มีแต่คนแห่แหนพูดถึงมิติใหม่ของการบันทึกเสียงโดยใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ มันจะช่วยอะไรเรื่องพลังงานได้มากขึ้นจริง ๆ น่ะหรือ หลายคนคงรู้กันว่าความหวังดีนี้อาจกลายเป็นแค่การเพิ่มจุดขายอย่างหนึ่งเท่านั้น แล้วตัวผู้ซื้อเองคงจะแค่รู้สึกว่า “โอ้ ! เราได้ทำดีกับโลกแล้ว เรามีความสุขแล้ว” จึงคิดว่าทำแค่นี้พอแล้ว ง่ายดี ไม่ได้คิดจะทำอะไรต่อไปไกลกว่านั้น เรื่องของพลังงานมันจึงไม่ใช่อะไรชิลชิล ที่แค่ใช้ของบางอย่างหรือละเว้นบางอย่างแล้วมันจะจบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ถ้าอยากแก้ปัญหาจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการรณรงค์ทางการเมืองอย่างจริงจัง แล้วต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านอื่น ๆ ด้วย เช่นเรื่องผลกระทบต่อคนจนที่เข้าถึงทรัพยากรได้ยากกว่าอยู่แล้ว และแน่นอน ถ้าใครมาถามผมถึงเรื่องการบันทึกเสียงแบบอนุรักษ์พลังงานของ ลุงแจ็คในอัลบั้มนี้ ผมก็ยังจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ เผลอจะชอบอัลบั้มก่อน ๆ มากกว่า ต่อให้มันบันทึกเสียงด้วยพลังงานนิวเคลียร์ก็ตาม 
กานต์ ณ กานท์
ประเทศไทย 2551 - "สองอนุรักษ์นิยมชนกัน" ?