Skip to main content
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งประดับประดาหน้าบ้านเสร็จ สิ่งที่เขาทำก็คือการถือมีดด้ามใหญ่ไปฟันต้นกล้วยมา 2 ต้น เขากับหลานชายช่วยกันมัดติดไว้กับรั้วบ้าน  จากนั้น  ก็ห้อยโคมไฟอันเล็กๆ ติดไว้ทั้งสองข้าง ตลอดเวลาเขาทำไปด้วยรอยยิ้ม และหันมาทักทายกับฉันเป็นระยะๆ เมื่อเห็นว่าฉันก็พยายามประดับหน้าบ้านด้วยโคมไฟเช่นกัน“ไม่มีต้นกล้วยเหรอ” เขาถาม“เอ่อ ค่ะ ไม่มี จริงๆ มันใช้ต้นอื่นได้ใช่ไหม” ฉันถามเขาอย่างเจียมตนในความอ่อนด้อยของประสบการณ์“ถ้าสมัยก่อน เราก็ใช้ต้นกล้วย ต้นอ้อย หรือก้านมะพร้าว แต่ตอนนี้ต้นอะไรก็ได้แหละหนู”เขามองอย่างมีเมตตา ฉันยิ้มรับ จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา เล็งไปยังกระถางดอกไม้ที่เพิ่งขนย้ายมาอยู่บ้านใหม่ เมื่อยังไม่ได้ลงดิน ก็จัดแจงยกมาประดับ ชายชราบ้านตรงข้ามหันมาชื่นชมอย่างให้กำลังใจหลานชายของเขาเริ่มต้นจุดเทียน จากดวงที่หนึ่ง ไปดวงที่สอง และดวงถัดๆไป ฟ้ายังไม่มืดดีนัก เพียงพอที่จะเห็นสมาชิกในหมู่บ้านแต่ละหลัง วนเวียนกันออกมาจุดเทียนหน้าบ้าน ต่างคนยิ้มแย้มชักชวนกันไปลอยกระทงที่ท่าน้ำ ซึ่งชาวบ้านช่วยกันตอกไม้ไผ่ให้เป็นราวจับ มีแผ่นไม้ให้เหยียบเดินและหยุดอธิษฐานก่อนจะส่งกระทงลงไป “ไปลอยด้วยกันไหมหนู” เขาชักชวน “สักพักถึงจะออกไปค่ะลุง เดี๋ยวจะรอจุดโคมไฟก่อน”“อ๋อ  เห็นว่าปีนี้เขาแจ้งว่าให้ดูทิศลมอะไรก่อน เขากลัวเครื่องบินตก ใช่ไหม”เขาชวนคุยไปด้วย พร้อมจุดเทียนไปด้วย“ค่ะ เห็นว่าแบบนั้น โดยเฉพาะจุดที่ปล่อยพร้อมกันเยอะๆ นะคะลุง”“อืม ใช่ ในเมืองคงจุดกันเยอะ เราก็จุดกันดวงสองดวงพอ ถือว่าบูชาเทวดา”ว่าแล้ว ชายชราก็หันไปคุยกับหลานชายต่อ ส่วนฉัน จุดเทียนเกือบเสร็จหมดแล้ว มองไปบนถนน แสงไฟวอมแวมต่อกันไปเป็นทอดๆ มองเห็นเป็นสาย ระหว่างนั้น ก็นึกถึงคำของลุง การบูชาเทวดา เท่าที่เคยอ่านพบ บอกว่าทำเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ บางแห่งบอกว่า การปล่อยโคม เป็นการส่งเหล่าเทวดาอารักษ์กลับขึ้นสู่สวรรค์ หลังจากที่ลงมาปกปักษ์รักษาชาวบ้านจากปีศาจในช่วงเข้าพรรษา ส่วนบางความเชื่อ เขาคิดว่า เป็นการปล่อยทุกข์โศกของแต่ละปีให้พ้นไปจากครอบครัว เช่นเดียวกับการอธิษฐานก่อนลอยกระทง เพื่อให้ชีวิตหลังจากวันนี้ไป เป็นชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมฉันเองก็เชื่ออย่างนั้น เพราะภาพที่เห็น ไม่มีใครเลยที่จะทำหน้าบูดบึ้งสำหรับวันนี้ บางบ้านพากันปูเสื่อที่ลานหญ้า พร้อมต้นกล้วยที่ตัดเป็นท่อน ใบตอง มีเด็กๆ ล้อมวงช่วยกันทำกระทง ดอกไม้สวยงามในบ้านต่างถูกนำมาใช้ในวันนี้ หากเรากำลังรู้สึกดี ได้ทำบุญ และใช้เวลากับครอบครัว มีหรือที่ชีวิตจะไม่เป็นสุข“เย้ โคมลอยขึ้นไปแล้ว” ฉันพูดอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นดาวสีส้มของฉันลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แม้จะมีเพียง 2 ดวง บนท้องฟ้าทางทิศใต้ของเมือง ฉันยืนนิ่ง และอธิษฐาน ว่าหากที่ผ่านมาไม่ได้แสดงความเคารพต่อสวรรค์และเทวดา ครั้งนี้ก็ขอให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น เสร็จแล้ว ฉันก็เดินทางไปลอยกระทง เลือกซื้อกระทงใบตองให้คนไปด้วยอีก 2 คน ส่วนฉันเลือกกระทงดอกไม้สีเหลืองสดใสและเหลือเป็นอันสุดท้าย ขยับตัวไปรออยู่บริเวณท่าน้ำ ได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ“ใส่เหรียญหรือยัง”“อ๋อ ใส่แล้ว ใส่ไป 2 บาทเองนะ มันโอเคหรือเปล่า”อีกฝ่ายหัวเราะ แล้วตอบว่า“ใส่ไปกี่บาทก็ได้น่ะ ตามกำลัง”ฉันแอบยืนฟังและอมยิ้ม นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนอยากใส่เหรียญลงในกระทงอยู่ ก็ตอนเด็กๆ เคยมีคนเล่าว่า สมัยโบราณ ท้ายคลองหรือท้ายแม่น้ำ จะมีคนยากจนอาศัยอยู่ เขาจะช่วยเก็บกระทงเหล่านี้ให้กับชาวบ้าน  ดังนั้น เงินเหล่านี้เป็นเงินทำบุญให้กับพวกเขานั่นเอง ลอยกระทงปีนี้ ฉันได้ทำหลายอย่างแบบที่ไม่เคยทำมาหลายปี ขณะมองดูความเชื่อและศรัทธาที่ไหลไปตามแม่น้ำ หรือบนท้องฟ้า นึกถึงใบหน้าชายชราข้างบ้าน และคนแก่ที่อดีตเคยทำไร่ทำนา คงรู้ความหมายของการขอบคุณแม่คงคามากกว่าใคร แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปมากมาย ให้เทศกาลลอยกระทงเป็นอะไรก็ได้ อย่างที่พวกเขาอยากให้เป็น แต่อย่างน้อยฉันก็ยังหวังว่า เทวดาบนนั้นคงมองเห็น ความห่วงใยในผืนน้ำหรือชะตากรรมของบ้านเมือง จากความรู้สึกของคนบ้านนอกคอกนาที่ไม่ประสากับขบวนแห่กระทงยักษ์ คนตัวเล็กๆ หลายคนที่ร้องขอกันอยู่เงียบๆ
โอ ไม้จัตวา
วันนี้อากาศเย็น ปลายเดือนพฤศจิกายน 2550 เมืองเชียงใหม่เริ่มคึกคัก แต่ก็ยังดูเหงากว่าปีที่แล้ว ซึ่งงานพืชสวนโลกสร้างปรากฏการณ์คนไหลมาให้กับเมืองจนถนนทรุด เป็นฟองสบู่ฟองใหญ่ที่ดึงนักลงทุนท้องถิ่นรายย่อยให้เข้าไปลงทุนกับตัวล่อคือนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามาในเมืองสะท้อนความอ่อนด้อยของประชาชน การขาดการศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ ทำให้หลงคำโน้มน้าวให้เกิดการลงทุนบริเวณหน้าสถานที่จัดงาน ขณะที่ปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสถานที่ ราคาค่าเข้าชม ทำให้เป็นตัวแบ่งระดับฐานะของนักท่องเที่ยว คือต้องมีเงินเท่านั้นจึงจะเข้าชมได้ ตั้งแต่เงินค่ารถมา ค่าเข้าชม และสถานที่อันกว้างใหญ่ไพศาลทำให้คนเข้าชมเหนื่อยหมดแรง เกินกว่าจะออกมาเดินช็อปปิ้งได้ เพราะแค่ทางเดินออกจากประตูก็เล่นเอาขาลาก และขาที่ลากมาขึ้นรถนั้นก็ผ่านร้านของที่ระลึกอันละลานตา พอถึงรถก็หมดแรงพอดีร้านอาหารไกลปืนเที่ยงแต่มีแรงดึงดูดพอ ก็รับนักท่องเที่ยวกันไม่หวาดไม่ไหว คนต่างถิ่นมาเชียงใหม่ก็ต้องการมาดู มาชม มาดื่มกิน และสูดกลิ่นความเป็นเชียงใหม่ วัฒนธรรมเชียงใหม่ ปีนี้เมืองเชียงใหม่ไม่มีแรงดึงดูดพอสำหรับนักท่องเที่ยว สวนราชพฤกษ์เปิดให้บริการอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไร้งบพีอาร์ มีผู้ว่าไปตัดเค้กวันเกิดพืชสวนโลก ขณะเพื่อน ๆ ยังชวนกันไปลอยกระทงที่บ้านแม่เหียะใน หมู่บ้านตกสำรวจในเขต อ.เมือง ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เปิดสวนคราวนี้ป้านวล ป้าข้างบ้านไปเที่ยวก่อนเพื่อน บอกว่าขึ้นรถเมล์สาย 3 ที่หน้าปากซอย 15 บาท เอาน้ำใส่กระติกไปกิน ค่าเข้าชมไม่เสีย แต่เสียค่ารถนำชมสวน 20 บาท ป้านวลบอกก็ม่วนดี รู้สึกว่ามีที่สวย ๆ มีต้นไม้ที่เขียวแล้ว เพราะได้น้ำมาฝนหนึ่ง ชาวบ้านไปเที่ยวกันเยอะ เพราะรู้สึกว่าเป็นที่ของเราแล้ว ยี่เป็ง หรือลอยกระทงรออยู่ในวันนี้วันพรุ่ง ดูจากยอดการจองโต๊ะ พบว่าคนมากระจุกอยู่ที่วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน มากที่สุด เนื่องจากเป็นวันเสาร์ และวันลอยกระทงไม่ใช่วันหยุดราชการ ตรงวันเสาร์ให้ก็ดีเท่าไรแล้ว ประกอบกับตรงกับวันประสาทปริญญาบัตรของบัณฑิตมหาวิทยาลัยพายัพ ผู้คนจำนวนมากแย่งจองโต๊ะอาหารตามร้านริมแม่น้ำแต่แปลกที่ปีนี้ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศนี้สักเท่าไร อาจเพราะเหนื่อยมาทั้งปี จำได้ว่าลอยกระทงปีที่แล้วเม็ดเงินสะพัดระดับนักร้องออกเทปเปล่าก็ขายได้ ฉันทำรายได้จากการขายไฟเย็นและโคมลอยจำนวนมาก ทำงานสามเดือนมีเงินใช้หกเดือน จริง ๆ แล้วฉันอยากให้เมืองเชียงใหม่เป็นเหมือนเมืองท่องเที่ยวในต่างประเทศ คือทำงานเฉพาะฤดูการท่องเที่ยว หรือ High Season เมื่อหมดฤดูกาล เข้าหน้าฝน เราก็หยุด เพราะคนก็ไม่มี และเรายังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หากใครค้าขายไม่เป็น หามาได้แล้วไม่เก็บไว้ใช้ยามหมดฤดูก็เป็นอันจบ ฤดูกาลอันเงียบเหงากำลังจะผ่านไป ความสดชื่นมาพร้อมกับลมหนาว เศรษฐกิจเริ่มหมุนเวียนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีจริต ผู้คนในเมืองเป็นพร็อบให้กับเมืองอย่างเป็นธรรมชาติ และโดยไม่มีสคริป ดู ๆ ไปบางทีก็เบื่อแต่บางทีเห็นดอกไม้บานยามเช้า ก็รู้สึกว่าเชียงใหม่ยังมีความน่ารักอยู่นะ.
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ตอนที่ 2 ท่าอุเทนนครพนม ดินแดนแห่งสายน้ำโขง จังหวัดชายแดนไทยลาวอีกหนึ่งจังหวัดที่สงบเงียบ (สงบเงียบอย่างจริงๆจังๆ) เรียบเรื่อยไปตามริมฝั่งโขงติดกับแขวงคำม่วนที่เพิ่งประกาศนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกับประเทศไทยเพียงไม่นานลาว ประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล พยายามปรับตัวเองให้เป็นประเทศเมืองท่าค้าขายและขนส่งสินค้าในระดับภูมิภาค พร้อมตั้งเป้าขยายการเติบโตทางพลังงาน, นครพนม-แขวงคำม่วน จึงกลายเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์การค้า และแผนพัฒนาเศรษฐกิจโดยมีรูปธรรมนำ คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว สายที่ 3 นครพนม-ท่าแขก (สายที่ 1 หนองคาย-เวียงจันทน์, สายที่ 2 มุกดาหาร-สะหวันนะเขต)...ดูเหมือนว่าเราจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปตลาดเช้าริมน้ำโขง ตลาดท่าอุเทนจากการประเมินตัวเองกันแล้ว เราต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ออกจากบ้านสัก 6 โมงเช้า ก็คงจะทัน, เพราะระยะเวลาจากบ้านข่าถึงท่าอุเทน ใช้เวลาขับรถเพียง 30 นาที, เราโชคดีเกินคาด ตลาดท่าอุเทนปรับเวลาใหม่ โดยอนุญาตให้เริ่มวางหาบขายของได้ตั้งแต่เวลา 08.00 น., ผ่านเหตุผลที่ได้ยินมาจากเทศบาลว่า ดูแลควบคุมง่าย ไม่งั้น ยาบ้าระบาดหนัก...ตลาดท่าอุเทนเป็นจุดผ่อนปรนริมน้ำโขงซึ่งชาว(บ้าน)ลาวจากแขวงคำม่วน จะเดินทางนำสินค้ามาวางขายกันทุกวันจันทร์และวันพฤหัส ตั้งแต่เวลา 08.00 น.-16.00 น. กินเนื้อที่ 4 มุม บนถนนสายเทศบาลเมืองท่าอุเทน สินค้าส่วนใหญ่ได้แก่ รากไม้สำหรับดองเหล้า ใบจากสำหรับมวนยาสูบ กล้วยไม้ป่า อาหารป่า จำพวก เนื้อเก้ง กวาง เต่า ตะพาบ ยังพอมีให้เห็น“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปมากนะพี่ เมื่อก่อน(สัก 10 ปีมาแล้ว)เป็นตลาดชาวบ้าน” รุ่นน้องเอ่ยผมพอจะเข้าใจความหมาย เมื่อมองไปรอบๆ เห็นร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ขนมนมเนยหนีภาษีจากอำเภอหาดใหญ่ โมเดลดรากอนบอลแซด กระติกน้ำมือถือหรือเครื่องไม้เครื่องมือการเกษตร ทันสมัย จากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าชาวไทย...ก่อนถึงเวลา 08.00 น. ศุลกากร เจ้าหน้าที่เทศบาลและทหาร จะมาคอยอยูที่ท่า รอตรวจบัตรและสินค้าของชาวลาว, แดดสายเริ่มแรง คุ้งน้ำข้างหน้าเริ่มเคลื่อนไหว ตลอดแนวเกาะกลางน้ำโขงต้นไม้ทึบสูงท่วมหัว กลางสายหมอกที่กำลังละลาย ชาวลาวหลายสิบคนมาพร้อมเรือโดยสารมากกว่า 5 ลำเรือเมื่อจอดเทียบท่า(โป๊ะ) ความชุลมุนวุ่นวาย เสียงตะโกนโหวกเหวก ขนสินค้ากันจ้าละหวั่นทั้งจากฝั่งไทยและฝั่งลาว การแลกเปลี่ยนสินค้าต่อรองราคาเริ่มต้นขึ้นใบจากม้วนใหญ่ ราคา อยู่ที่ 45 บาท ต่อม้วน เหมากันเป็นคันรถกะบะรากไม้หลากชนิด(ไม่รู้ว่าชนิดไหนบ้าง)อยู่ที่ราคากระสอบละ 100-200 บาท ตามความยากง่ายของการเสาะหาสินค้าประเภทเครื่องเทศ เครื่องจักสาน มีราคาสูงสักนิดลูกพลับจากประเทศจีน ทะลักเข้ามาทางด้านพรมแดนลาวเหนือ อนุโลมให้ขายได้ เล็กๆ น้อยๆ พอประทังโดยไม่ต้องเสียภาษีวันนี้ จะได้ซื้อเสื้อสวยๆ ไปฝากคนที่รออยู่ที่บ้าน.คนฝั่งโน้น (แขวงคำม่วน) มากับเรือโดยสาร “วันนี้จะขายได้เท่าไรน๊า”ได้เวลาขึ้นฝั่ง ทหาร ศุลกากรและเทศบาล จะดักอยู่ที่ท่าเทียบเรือตลาดที่ยังมีบรรยากาศชาวบ้าน2 ชิ้นนี้ เรียกว่า นารีผล แม่ค้าคนนั้นบอกว่า “เป็นอย่างนี้อยู่แล้วจ้ะ ไม่ได้เสริมแต่ง”แม่ค้าชาวลาวท่านนี้แบกกระสอบลูกพลับจากจีนมาขายมัดใบจาก ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไปนักค้น ขน ต่างทำหน้าที่!คุมเข้มและเข้มงวด ป้องกันยาเสพติด
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ เป็นความอ้างว้างที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิตอ้างว้างเสียจนกระทั่งพ่อเองก็ไม่อยากอยู่บ้าน  เขาพาฉันนั่งรถไปเยี่ยมพี่ชายที่ต่างอำเภอ แล้วพูดจาชักชวนพี่ชายให้กลับบ้าน ชายหนุ่มตัวเล็กยืนยันเวลานั้นว่า เขากำลังสร้างครอบครัวที่นี่  ผืนดินที่เหยียบอยู่เป็นเมืองแปลกหน้าในอดีต แต่ปัจจุบันนั่นคือบ้านของเขาเราสองคนพ่อลูกนั่งรถกลับมายังบ้านหลังเดิม คืนนั้น ต่างคนต่างหลับ อยู่กับความเงียบของคืนข้างแรม บนท้องฟ้ามีดาวพราวพราย แต่ฉันเห็นน้ำตาของพ่อซึมไหลผ่านใบหน้าเหี่ยวย่น เขาคิดอะไร ฉันไม่รู้ เพียงแต่ในเวลาต่อมาไม่นาน พ่อก็พาใครคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน บอกสั้นๆว่าจะแต่งงาน ฉันย้อนคิดภาพเหล่านั้นอยู่เสมอๆ และน่าจะเป็นคำตอบได้ว่า พ่อคงไม่อยากย้ายไปไหนแล้ว  ฉันจึงไม่ได้ถามพ่ออีก จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเองต้องเป็นฝ่ายยืนส่งฉันหน้าบ้าน โบกมือและรับไหว้ “ทุกคนมีวิถีของตนเอง” เขาบอกเมื่อฉันกลายร่างเป็นนกอีกตัว ที่ต้องจรจากหมู่บ้านไป เขาปล่อยฉันหอบเสื้อผ้าไปอย่างเงียบๆ ในกระเป๋ามีเสื้อผ้า 2 ชุด สมุดบันทึก หนังสือ 2 เล่มกับเงินนิดหน่อยฉันเดินทางไปหาพี่สาวที่กรุงเทพฯ ไม่รู้อนาคตล่วงหน้า ไปเพื่อเรียนต่อ หางานทำ หรือแสวงหาใครสักคนในชีวิต ฉันไม่รู้ รู้เพียงเวลาต่อมา จวบจนบัดนี้ ฉันคือคนที่ยังไม่ได้กลับบ้าน พเนจรไปอาศัยตรงนั้น ตรงนี้ ข้ามเมืองหลวง กลับมาเมืองเดิม แต่ก็ยังไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อหรือทดแทนคืนวันที่ขาดหาย“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันกลับมาถามเขาอีกครั้ง ตราชั่งความคิดกำลังทำงาน ระหว่างต่างคนต่างไป กับ การใช้ชีวิตร่วมกัน เมื่อตระหนักว่าชายชราตรงหน้า  มีร่างกายร่วงโรยตามสังขาร มีความอ่อนไหวเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน ฉันควรกลับมาหาเขา หรือ ไม่ เขาก็ควรไปอยู่กับฉัน ผิดก็เสียแต่ว่าฉันยังไม่มีบ้านของตัวเอง การย้ายบ้านครั้งนี้ก็เพียงไปขอเช่าที่สวนกับบ้านร้างเก่าๆ หลังหนึ่งไว้อยู่อาศัย ความรู้สึกผิดบางอย่างยังวูบไหวมาเป็นระยะ เมื่อคิดว่าการดิ้นรนนั้นทำเพื่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ฉันอยากถามเขาอีกครั้ง หากฉันมีบ้านของตัวเอง เขาจะมาอยู่กับฉันไหมชายชราหัวเราะหึๆ มาตามสายโทรศัพท์ เขาบอกแต่ว่าจะฝากผ้ายันต์ติดเสาบ้านมาให้ เป็นของขวัญบ้านหลังใหม่“แก่ๆ ก็มาอยู่ด้วยกันนะ”ฉันลองเกริ่นไปแบบนั้น ชายชราหัวเราะอีก นึกทบทวนไปยังพื้นที่รอบบ้านของพ่อ เขามีเพื่อนที่ผูกพันกันมา มีกิจกรรมในชุมชน เขาปลูกสมุนไพร ทำยาบดเพื่อแจกจ่ายชาวบ้าน เป็นคนประกอบพิธีกรรมศาสนาและเขียนบทกวีเกี่ยวกับคนตาย เพื่ออ่านในงานศพการพรากเขาจากที่นั่นมา คงเป็นเรื่องไม่เข้าท่า ฉันจึงกระอักกระอ่วน ที่จะบอกพ่อไปว่า“คงยังไม่ได้กลับไปอยู่บ้านหรอกนะ”“หา..อะไรนะ..”ใช่แล้ว เขาหูไม่ดี ฟังอะไรไม่ถนัด ฉันพูดดังๆ อีกรอบ จนแทบเป็นตะโกน แต่สุดท้าย ชายชราก็หัวเราะเสียงดัง“ได้ยินแล้ว ตะกี้ไม่ได้ยินจริงๆ ตอนนี้แกล้งไม่ได้ยิน”“อ้าว พ่อนี่ แล้วที่ถามตอนแรกได้ยินไหม”ฉันยังนึกถึงประโยคนั้น เขาคิดจะย้ายจากที่นั่นมาอยู่กับฉันไหม ชายชราผู้รู้ทันเอ่ยกับฉันเบาๆว่า“อยากอยู่ที่ไหนก็อยู่ไปเถิดลูก อย่าไปคิดมาก แต่ก่อนพ่อก็ไม่ใช่คนบ้านนี้ ปู่ทวดเราก็ไม่ใช่คนที่นี่ เราต่างย้ายมากันทั้งนั้น ข้ามภูเขาเป็นลูกๆ มาตั้งรกราก นกยังอพยพข้ามประเทศมาเลย อยู่ที่ไหนที่ใจมีสุขก็พอ ไม่ต้องกังวลว่ามันไม่ใช่บ้านเกิด”เขาพูดอย่างช้าๆ ส่วนฉันก็นิ่งเพื่อตั้งใจฟัง น้ำเสียงที่ยังคงท่วงทำนองการพูดอันคุ้นเคยเหมือนในอดีต ฉันเผลอยิ้มให้กับประโยคเหล่านั้น ก่อนจะเอ่ยสวัสดีและล่ำลากัน ได้ยินแว่วๆ มาในประโยคสุดท้าย ที่ชายชราบอกไว้ว่า“ไว้แก่กว่านี้พ่อจะค่อยคิดใหม่ ว่าจะย้ายไปไหนอีกหรือเปล่า”* หมายเหตุ ขอบคุณภาพลำดับ 6 นกเขาคู่รักหลังหลังตึกและต้นสักในเมืองใหญ่  จากคุณปิยนาถ ประยูร
โอ ไม้จัตวา
หากใครถามว่าผ่านโลกมากี่ปี คำตอบเป็นจำนวนปีที่มากขึ้นนั้น อาจบอกว่าเห็นโลกมาก็มาก แต่การเห็นโลกผ่านเน็ตในวันนี้มีความหมายต่อจิตใจฉันยิ่งนัก  เมื่อเปิดไปพบกับข่าวชิ้นหนึ่ง ที่องค์การอวกาศของญี่ปุ่น ถ่ายภาพโลกจากดวงจันทร์ ผ่านกล้องโทรทัศน์ความละเอียดสูงเคยแต่อ่านว่าโลกใบนี้เป็นดวงดาวสีน้ำเงิน นึกยังไงก็นึกไม่ออก คงเหมือนดวงจันทร์สีเหลือง แต่โลกเป็นสีน้ำเงินกระนั้นหรือ แล้วภาพจะเป็นยังไงหนอ เป็นลูกกลมหมุนวนไปมา มีสีฟ้า ๆ กลางห้วงอวกาศอย่างนั้นหรือที่โลกในใจ...การหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง คิดวนเวียนอยู่ในชามอ่าง เรื่องแล้วเรื่องเล่า คิดจนเมาโลกของตัวเอง พาลคิดว่าศูนย์กลางของจักรวาลนี้อยู่ที่เหตุการณ์ตรงหน้า คิดได้เช่นนี้แล้วทางออกของชีวิตก็จะวนเวียนอยู่ในอ่างออกไปไหนไม่พ้นเมื่อเจอปัญหาฉันมักหนีมาอยู่กับตัวเองก่อน ครุ่นคิดกับมัน ถึงเหตุผล ถึงทางออก แล้วจึงออกไปเผชิญกับทางเลือก และหนทางต่าง ๆ เปิดดวงตา เปิดดวงใจ  พยายามกระโจนออกจากอ่างแคบ ๆ ใบนั้น ออกมาเดินดูรอบ ๆ อ่าง ยิ่งเดินออกมาไกลก็ยิ่งมองเห็นภาพที่เปลี่ยนไปโลกที่กำลังจะล่มสลายอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกว่าถูกกระทำ หรืออะไรก็แล้วแต่ กลายเป็นภาพจิ๋วกระจ้อยร่อย เหมือนมองภาพโลกสีน้ำเงินใบนี้จากดวงจันทร์ ยิ่งดูก็ยิ่งยิ้มอิ่มใจ เมื่อพยายามมองหาตัวเอง หามวลมนุษย์ในโลกใบนี้ ว่าเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนดาวดวงสวยใบนี้  รักกัน ทะเลาะกัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กินบ้านกินเมือง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนดาวสีน้ำเงินดวงนี้ ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากลูกกลมสวย ๆ ส่วนมนุษย์นั้นเป็นแค่ฝุ่นผงในจักรวาลเท่านั้นเอง กลับอยู่อยู่บนโลกตรงหน้า...“คุณเขียนติดฝากบ้านไว้ได้เลย ว่าบ้านนี้เมืองนี้มันจะต้องหายนะ”“คุณรู้ไหมทำไมงานสิ่งพิมพ์ในเชียงใหม่ถึงแย่ เพราะคนที่นี่อยู่ในสังคมเกษตรกรรม ซึ่งคิดถึงแต่เรื่องปริมาณ ไม่ได้คิดแบบสังคมอุตสาหกรรม ซึ่งคิดคุณภาพเป็นหลัก”“...เค้าเป็นแบบนี้เพราะไปหลงรักกระเทยเฒ่า เป็นกระเทยเฒ่าแล้วยังทำตัวเป็นขุนนาง”“ผมมีบุญคุณกับเค้า พี่รู้ไหม ผมช่วยประหยัดเงิน เค้าเลว เค้าเชื่อไม่ได้ เมื่อก่อนเค้าเป็นนางฟ้า ตอนนี้เป็นปีศาจสำหรับผม...กูเกลียดมึง ผมจะทำให้หมดอนาคตเลยคอยดู”“เงินผมหายไปจากบัญชีแสนนึงพี่ ธนาคารเค้าเช็คแล้ว บอกว่ามีคนกดออกไปที่ตู้เอทีเอ็มที่ปราณบุรี ผมอยู่เชียงใหม่ บัตรก็อยู่กับผม เขาบอกรหัสถูกต้อง ธนาคารเสียใจ แต่ผมเสียเงินเก็บมาทั้งชีวิตจะเอาไปสร้างบ้านให้พ่อแม่”“ยึดทรัพย์'โอ๊ค-เอม'หลังไม่จ่ายภาษี-เบี้ยปรับ 1.2 หมื่น”“ดีนะเสื้อสีชมพูสวยดี ใส่แล้วประหยัดพลังงาน ช่วยโลกร้อน....ช่วยไงเหรอป้า.....ก็ใส่เสื้อเหลือง เสื้อชมพู เสื้อเขียว ไม่ต้องคิดมากใส่อยู่แค่นี้ ประหยัดเงินดี”“สถิติเด็กและผู้หญิงถูกทำร้ายวันละ 34 คน ในปี 2550”“คุณรู้ไหมทำไมบ้านเมืองนี้จะหายนะ....ก็เพราะมีคนอย่างคุณที่พูดได้แต่ไม่ยอมพูด...ก็คนอย่างผมไม่มีศักยภาพ...”!!! หมายเหตุ : ภาพจาก http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000135133
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก เธออมยิ้ม แล้วบอกว่าเดี๋ยวมา จากนั้นก็ปราดไปยังผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนพัดเหงื่ออยู่หน้าร้านนอกจากใบหน้าบึ้งตึงแล้ว ก็ยังมีแววตาหงุดหงิดบนโต๊ะคิดเงิน  ประกอบด้วยแป้ง 1 กระป๋อง แชมพู น้ำมันหอย และผงชูรสถุงใหญ่ นวลกำลังจะคิดเงินให้เธอ แต่กลับปรากฏว่ารถเก๋งคันใหญ่ใหม่เอี่ยม จอดเทียบร้านระดับชิดทางเดินเข้าออก“ไฮเนเก้น 2 ขวด น้ำแข็ง 5 บาท ขอด่วน”เขาตะโกนเข้ามาโดยไม่ดับเครื่องยนต์ นวลจึงต้องปราดเข้าไปหยิบของให้ลูกค้าท่านนี้เสียก่อน รถคันใหญ่คับร้าน ชวนให้เกิดบรรยากาศเร่งเร้าอย่างบอกไม่ถูก“เจ๊รอแป๊บนะ” นวลหันไปบอกผู้หญิงหน้าฉุนคนนั้น เธอไม่สบตาเขา แต่อีกฝ่ายจ้องเขม็ง นวลคงรู้ตัวดี ทำให้พี่คนนั้นต้องรอ เธอพยายามจัดการลูกค้าในรถคันใหญ่ให้เสร็จก่อนทั้งวิ่ง ทั้งเดิน หยิบของใส่ถุง วิ่งไปส่ง รับเงินกลับมา วิ่งหาเงินทอน สิ่งที่นวลทำนั้นคงเป็นการลดน้ำหนักได้อย่างดี เพราะจากสาวน้อยร่างอวบ ผิวหน้าเปล่งปลั่งในวัยไม่ถึงยี่สิบปี ตอนนี้นวลผอมลง มีรูปทรงโค้งเว้า แต่งตัวทันสมัยกว่าเดิมมาก ครั้งหนึ่งเคยเอ่ยปากชมว่า ชุดนวลสวยจัง เธอก็ตอบด้วยใบหน้าอิ่มเอิบว่า“เขาบริจาคมาทั้งนั้นแหละ”ไม่มีถ้อยคำใดแสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่ความปรีดาที่ได้เสื้อผ้าแบบใหม่ ทั้งยังไม่ต้องเสียเงิน พี่ผู้หญิงเจ้าของร้านนั่นเองที่คอยคัดเสื้อผ้าเหลือใช้มาให้ นวลใส่แล้วก็แทบจะสลัดคราบของสาวพม่าออกไปเกือบหมด เพราะนวลหน้าตาน่ารัก ขาดแต่ก็ไม่ได้แต่งหน้าทาปากแบบสาววัยรุ่นทั่วไปนวลอาจจะคิดแบบนั้นหรือไม่ ฉันไม่รู้  รู้เพียงแต่ว่าสำหรับบางคนแล้ว สิ่งที่นวลเป็น ไม่เคยสลัดออกไปได้ในทัศนคติของเขาผู้หญิงหน้าฉุนคนนั้น เอื้อมมือไปคว้าถุงพลาสติกขึ้นมา เขาจัดการคลี่ปากถุง แล้วหย่อนข้าวของที่เลือกลงไป ขณะใส่ถุงเขาก็คิดเลขไปด้วย คิดออกมาดังๆ แล้วบวกเลขอย่างรวดเร็ว ฉันในฐานะผู้รอคอยจึงยืนมองไปด้วยใจที่คิดว่า ก็ดีเหมือนกันนะ ที่ลูกค้าจะหยิบของใส่ถุงเอง จะได้แบ่งเบาภาระนวลไปได้อีกทางหนึ่งแต่แท้จริงก็กลับไม่ใช่ เมื่อเธอพูดออกมาดังๆ ว่า“ทำงานชักช้าจริง  หยิบใส่ถุงเองแล้วนะ”น้ำเสียงนั้นห้วนสั้น อย่างคนหัวเสียทั่วไป นวลตะลีตะลานปราดเข้าไปหาทันทีที่จัดการธุระให้เจ้าของรถคันโตเสร็จเรียบร้อยแล้ว“โทษทีค่ะพี่ วันนี้ยุ่งจริงๆ” นวลเอ่ยปากพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ“นี่นะของที่ซื้อ...”หญิงรุ่นใหญ่ขยายปากถุง ชี้นิ้วไปที่ข้าวของทีละอย่าง คำนวณด้วยความชำนาญ“แป้ง 12 แชมพู 15 ผงชูรส 15 น้ำมันหอย 22 รวมเป็น 48 บาท อ่ะ เอาเงินไป”พูดเสร็จก็โยนแบงค์ 20 ออกมา 2 ใบ พร้อมเหรียญอีก 8 บาท เศษเหรียญเหล่านั้นกลิ้งหลุนๆ ไปตามโต๊ะ โดยมีนวลต้องคอยตะปบเก็บจากนั้น นวลปราดสายตามองข้าวของ แล้วเอื้อมไปคว้าเครื่องคิดเลข “เอ่อ นวลขอคิดอีกรอบนะ”  ว่าแล้วก็คิดใหม่ “แป้ง 12 แชมพู 15 ผงชูรส 15 น้ำมันหอย 22 รวมแล้วมัน 64 บาทค่ะ”ความรำคาญในสายตาถูกทอดโปรยไปยังนวล มองออกว่าเธอไม่พอใจนักหนา จากนั้นก็คว้าเงินกลับไปกำไว้ อีกมือก็ล้วงแบงค์จากกระเป๋ากางเกง“อ่ะ งั้นก็เอาไป”เธอโยนเงินลงไป แม้รู้ว่ามันไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทาบลงกับผืนโต๊ะแบงค์สีแดงร่วงปลิวลงพื้น นวลรีบก้มลงไปเก็บ ใบหน้าเธอแทบจะชิดที่เท้าของเขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ขยับจะกดเครื่องคิดเลขเพื่อคิดเงินทอน  เสียงดังอันห้วนสั้นและเต็มไปด้วยความฉุนเฉียวก็ดังไปทั่วร้าน“แบงค์ร้อยบาท ซื้อ 64 ก็ทอน 36 ไงเธอ เอาแบงค์ยี่สิบมา 1 ใบ เหรียญสิบบาท 1 เหรียญ เหรียญบาทอีก 6  บาท! แค่นี้คิดไม่ออกหรือไง! ”ฉันเพิ่งตระหนักในตอนนั้น ว่าความโกรธขึ้งนั้นร้อนกว่าแสงแดด การดูถูกนั้นหนาวกว่าสายฝน นวลพาใบหน้ายับๆ เดินกลับเข้าไปเอาเงินทอนจากด้านในร้าน เดินออกมายื่นให้ ผลก็คือคนรับกระชากไปแรงๆ เป็นฉากที่เห็นบ่อยๆ ในละครไทย แต่ไม่คิดว่านี่เป็นชีวิตจริง จากคนบ้านใกล้เรือนเคียง ในเมื่อคนซื้อของคนนั้น ก็เป็นคนขายลาบอยู่ไม่ไกลจากร้านนวลเท่าไหร่นัก“ลังเก่าๆ รอแป๊บนะ เดี๋ยวนวลไปตามแม่ให้ว่าได้หรือยัง”เธอส่งเสียงผ่านออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริก ฉันจึงเอื้อมมือไปแตะเบาๆ ที่แขนของเธอทีหนึ่ง“ไม่ต้องรีบก็ได้นวล พักก่อน ท่าทางจะเหนื่อยมากนะนี่”“ฮื่อ” นวลตอบแค่นั้น แล้วก็ส่ายสายตาไปมา ดูว่าเหลือใครยืนรออีกไหม หรือมีอะไรค้างอยู่ ทุกวินาทีของเธอมีค่าในเวลารีบเร่ง แต่เมื่อเห็นว่าลูกค้าไปหมดแล้ว นวลก็ยืนถอนหายใจ เอื้อมมือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาแตะพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ พลางหางตาก็ยังแลไปทางคนที่เพิ่งจากไปตะกี้นี้จับได้ว่ามือของเธอดูจะยังสั่นๆ “แล้วตะกี้บอก แม่ไปเอาลัง คือแม่ใครหรือ” ฉันเปลี่ยนเรื่องถามอย่างเกรงใจ หากนวลไม่ตอบก็ไม่ได้สำคัญอะไร นวลเอี้ยวตัวแทนคำพูด เรียกฉันเบาๆ“มานี่”ฉันเดินตามต้อยๆ ไป ยังคูหาที่อยู่ติดกัน ประตูเหล็กม้วนถูกเปิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เป็นช่องเล็กๆ ที่พอจะมุดเข้าไปได้นวลตะโกนเรียกดังๆ “แม่” ครู่หนึ่ง หญิงวัยกลางคนก็มุดออกจากโกดังมาพร้อมกล่องกระดาษที่ฉันสั่งเอาไว้ มองเห็นใบหน้าและรูปร่าง เขาคล้ายคลึงกับนวลแต่ก็ยังดูสาว“นี่ไงแม่นวล”“เอ่อ หมายถึงแม่จริงๆ มาจากโน่นเหรอ”“ใช่” นวลตอบเสียงดังฟังชัด แววตาเริ่มมีความสดชื่นขึ้นมาแทนที่“นวลพาแม่มาทำงานด้วย เฮียขาดคนเช็คสต๊อก ตอนนี้ไม่เหงาแล้ว”“ดีจัง”ฉันพูดเผื่อแผ่ไปยังเจ้าของร้านด้วย ที่กรุณาเธอทั้งสองแม่ลูก ฉันเอ่ยสวัสดีคนเป็นแม่พร้อมรอยยิ้ม เธอมีแววตากลัวๆ แต่ก็ยิ้มตอบมาอย่างดี“งั้นเดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ ค่ากล่องที่ให้เมื่อวานพอใช่ไหม”“พอจ้ะพี่” นวลตอบ แล้วปล่อยให้ฉันหยิบกล่องเหล่านั้นเพื่อเดินเอาไปใส่ที่รถแต่ก่อนจะก้าวขาออกมา มือแข็งๆ ของนวลก็เอื้อมมาแตะที่แขน “เดี๋ยว...นวลอยากถาม...ว่า...”น้ำเสียงนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม แบบที่ฉันเคยเห็นเมื่อแรกเจอกัน เด็กน้อยในโลกแปลกหน้า มือของเธอสั่นๆ เบาๆ“...อยากถามว่า คนตะกี้ที่เขาตะคอกกับขว้างเงินใส่นวล เขาทำเพราะเขารอนานหรือ...เพราะว่านวลเป็นพม่า...”คำถามนั้นทำเอาฉันตอบอะไรไม่ถูก จึงได้แค่บอกไปว่า“เขาคงโมโหมาจากบ้านมั้งนวล ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดมาก ต้องเจอคนแปลกๆ อยู่แล้วนินา”นวลคลายมือ ก่อนจะพยักหน้าฉันเป็นฝ่ายแตะแขนเธอกลับ จากนั้นก็ลากกล่องใบโตอุ้มเดินออกมาวูบนั้น เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง ในเปลวแดดที่ยังไม่ลดลา เหมือนจะเห็นบางอย่างอยู่ในดวงตาคู่นั้นสิ่งที่เรียกว่าน้ำตา.
โอ ไม้จัตวา
ไม่อยากเชื่อว่าชีวิตนี้จะพูดคำนี้ออกมาได้ ฉันเป็นคนที่เชื่อในตัวเอง เชื่อในการกระทำและผลของการกระทำ เชื่อในกรรม เชื่อในกฎฟิสิกส์ข้อหนึ่งที่ว่า แรงตกกระทบเท่าไร แรงสะท้อนขึ้นเท่านั้น  เชื่อได้ดังนี้แล้ว ฉันจึงไม่พยายามสร้างการกระทำที่ไปตกกระทบคนอื่น เพื่อให้มันสะท้อนกลับมาหาฉัน  พูดอย่างพุทธศาสนิกชนก็คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วพูดแบบชาวบ้านก็คือบาปไม่แพ้บุญ  ฉันไม่ค่อยชอบทำบุญกับพระเท่าไรนัก เหตุเพราะไม่ชอบพิธีกรรม แต่มักให้คนที่ขาดแคลนมากกว่า เช่น คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าบอกว่า ไม่มีเงินสักบาท เธอมองดูเพื่อน ๆ รับซองเงินเดือน ขณะของเธอนั้นเบิกล่วงหน้ามาหมดแล้ว เธอบอกฉันเหมือนบอกต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่มีแววตาขอความเห็นใจ แต่เป็นแววตาของใครสักคนหนึ่งที่ต้องการบอกใครก็ได้ว่า ขณะนี้ฉันไม่มีสักบาทสำหรับวันพรุ่งนี้ ฉันควักกระเป๋าสตางค์ออกมา เหลืออยู่สามร้อย แบ่งให้เธอไปหนึ่งร้อยบาท เธอน้ำตาคลอ และอึ้งไป ถามฉันว่าให้ทำไม ฉันบอกว่าไม่เป็นไร แบ่งกัน เดี๋ยวมันก็มาอีก ความที่เชื่อว่าทำสิ่งใดแล้ว ก็จะได้สิ่งนั้นตอบ ทำให้ฉันไม่สนใจเรื่องเวทมนต์ คาถา ไสยศาสตร์ และหมอดูมากนัก แม้ว่าศาสตราจารย์ท่านหนึ่งบอกฉันว่าใด ๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งแค่ตาเห็น แต่สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ยังมีอีกมากที่มนุษย์ยังไม่รู้ ท่านบอกว่าสิ่งที่มนุษย์เห็น และไปถึงนั้น ท่านให้แค่ 50 %  ส่วนอีก 50 นั้นเรายังศึกษาไปไม่ถึง นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าเมตาฟิสิกส์  คนธรรมดาอาจเรียกว่าไสยศาสตร์ สิ่งลึกลับ หรืออะไรก็แล้วแต่ อืมม....ผ่านมาหลายปี เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังถึงมหัศจรรย์ของน้ำมนต์ ที่มีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งศึกษาผลึกของน้ำในสภาวะต่าง ๆ น้ำที่ติดคำว่า ฉันจะฆ่าคุณ ไว้ที่ข้างแก้ว ผลึกของน้ำมีลักษณะน่ากลัว น้ำที่ฟังเพลงคลาสสิคมีผลึกสวยงาม น้ำที่ฟังเสียงสวดมนต์ผลึกงามวิจิตร ความรู้เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงน้ำในซุเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดเพลงคลาสสิค กับน้ำในห้างที่เปิดเพลงร็อคเสียงดัง  จะส่งผลต่อร่างกายเราไหมหนอช่วงนี้อ่านดวง “แม่นไหมไม่ทราบ” คอลัมน์ข้าง ๆ บ่อย ๆ บอกตัวเองว่าดวงไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตฉัน แม่นหรือไม่แม่น ฉันทราบว่าไม่เป็นไร แม่นก็ไม่เป็นไร ไม่แม่นก็ไม่เป็นไร ถ้าชีวิตจะดีบ้างไม่ดีบ้าง ฉันไม่มีปัญหา จนเมื่อน้องสาวสุดเลิฟที่เขียนถึงคราวที่แล้วประสบปัญหาชีวิต  ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ และเพิ่มพลังใจให้เธอด้วยวิธีการต่าง ๆ  ถึงกับชวนเธอและคุณแม่มาดูดวงกับหมอเกต์  เนื่องจากเราไม่อาจรู้ว่าคนที่มีปัญหากับน้องนั้น เขาคิดยังไง  เราไม่รู้อะไรเลยนอกจากการคาดเดา หมอดูคือทางออกสุดท้าย ที่อาจเป็นเมตาฟิสิกส์ และเป็นคำตอบในสิ่งที่เราไม่รู้  เมื่ออ่านคำทำนายจากราศีเกิดของคู่กรณีของน้อง ทำให้เรารู้ว่าชะตาของเขาช่วงนี้เป็นอย่างไร เขาขึ้นตรงไหน และตกตรงไหน เหมือนรู้เขารู้เรา รบชนะฉันใด เมื่อคาดเดาเองไม่น่าเชื่อถือ หมอดูนี่แหละ ช่วยเรารบได้ ในภาวะวุ่นวายทางอารมณ์นั้น การอ่านดวงของคนที่เราไม่รู้ คือความสบายใจอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อดวงของเขาไม่ดี อ่านเทียบกับเราแล้วยังไงเราก็ไม่เจอเรื่องใหญ่ อ่านแล้วสบายใจ ตื่นเช้ามาวันหนึ่ง ฉันจึงตกลงใจว่าสำหรับเรื่องนี้ ฉันไม่คิดอะไรแล้ว ฉันเชื่อหมอดูก็ได้  สบายใจดีมีรูปผลึกน้ำมาฝากค่ะภาพจาก http://peeyong.exteen.com/20060508/entry ผลึกน้ำก่อนทำน้ำมนต์ผ่านการสวดมนต์ผ่านการฟังเพลงร็อคอย่างรุนแรง นี่ขนาดน้ำนะเนี่ย แล้วน้ำในหัวใจจะขนาดไหนฟังเพลงคาวาชิโฟล์คแดนซ์ เห็นรูปนี้แล้วอยากฟังคาวาชิโฟล์คแดนซ์บ้างอ่ะมีคำว่าคุณทำร้ายฉัน ฉันจะฆ่าคุณอยู่ข้างขวดมีคำว่าขอบคุณข้างขวดมีคำว่า รัก อยู่ข้างขวดรูปแรกเขียนคำว่า “ไอ้บ้า” ภาษาญี่ปุ่นไว้ข้างขวดรูปสอง เขียนคำว่า “ไอ้บ้า” เป็นภาษาอังกฤษ ไว้ข้างขวดรูปสามและสี่ ผลึกน้ำที่ติดคำว่า “อดอฟ ฮิตเลอร์” ไว้ข้างขวดผลึกน้ำจากบ่อน้ำพุ  Saijo ประเทศญี่ปุ่นเกล็ดน้ำแข็งจาก Antarcticผลึกน้ำจากแม่น้ำ Yodo ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งไหลผ่านเมืองใหญ่หลายเมืองรูปซ้าย ที่ข้างขวดติดคำว่า "Angel" ส่วนรูปขวา ติดคำว่า "Demon”เขียนชื่อแม่ชี Teresa ที่ข้างขวด
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
กัลกัตตาเป็นเมืองหลวงสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (มันยิ้มเห็นลิ้น “คิดว่านะ”)อาคารร้านตลาดหรือ Shopping Center ยังคงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมยุโรป ประเมินได้ว่า นับตั้งแต่คานธีปลดปล่อยอินเดีย “มันก็ยังอยู่อย่างนั้น ทรุดโทรมไปตามเวลาอย่างขาดการดูแล”ยามเช้า “ชั้นตั้งนาฬิกาปลุกออกไปเดินถนนตั้งแต่ 7 โมงเช้า” บนถนนย่านตลาดสด เวลาเหมือนหยุดนิ่ง เงียบสงบ ยามเช้าที่ไหนก็สวยใสอย่างนี้เสมอ ถนนลาดหินเหมือนจัตุรัสกลางในหนังสือวรรณกรรมอังกฤษ“ถนนลาดหินเหมือนฉากหนังหยองขวัญเรื่อง Jack the Ripper มากกว่าว่ะ”อืม .. หน้าโรงแรม ริมถนนตรงข้ามข้างคันโยกน้ำสาธารณะ เด็กน้อยคนนึงกำลังอาบน้ำ สีฟัน “ชั้นพยายามโฟกัส” ขณะวัดแสง เด็กน้อยรีบหลบหลังคันโยก (ทั้งที่ไม่มิด) หุบยิ้ม จ้องเขม็ง เดินหนีใกล้ๆ กัน มีผู้หญิงในชุดส่าหรีมอมอคนหนึ่งคุ้ยกองขยะ ...ร้านน้ำชาเป็นสภาของผู้ชายที่จะมานั่งเต๊ะจุ๊ยพูดคุยและอ่านหนังสือพิมพ์ จิบชานมสีน้ำตาลอ่อนๆ ในถ้วยดินเผา ดื่มหมดโยนถ้วยดินเผาลงพื้น กินแล้วโยนลงพื้น กินแล้วก็โยน จนมันบอกว่า เศษถ้วยดินเผาเกลื่อนถนนอีกฟากหนุ่มรถเข็นขายน้ำมะนาวกำลังผสมน้ำสีตุ่นๆ กับมะนาวสด จนไม่รู้ว่า กินไปแล้วท้องเสียเพราะมะนาวสดหรือน้ำสีตุ่น ลานกว้างหน้า Shopping Center กลายเป็นที่นอนของคนเร่ร่อน ไร้บ้านจำนวนมาก บางคนหรูหรามีเตียงเหล็กสานนอนเบียดกันและกัน ฝ่าเท้าดำปี๋ ขาก่ายเกยกันสองสามคน บางคนคุดคู้ใต้ผ้าห่มบางๆ เกลื่อนกลาดอยู่กลางลานเวลาดูเหมือนหยุดนิ่ง ยามเช้าที่ไหนในโลกมักสวยงามอย่างนี้เสมอ “ภาพอย่างนี้มีให้เห็นได้ทั่วไป เหมือนภาพ abstract ที่ไม่อาจบรรยาย” มันว่าห่างออกไปอีกบล็อกจะเป็นย่านตลาดสดเพิ่มดีกรีความจอแจที่คุ้นเคย คนขนไก่มัดขาไก่เอาไว้กับแฮนด์รถจักรยานเข็นไปส่งที่ตลาดสด ไก่นับร้อยชีวิตถูกแบ่งเป็น 4 พวง บนแฮนด์สองข้างและท้ายที่นั่งอีกสองข้างห้อยปุเลงๆ ไปบนถนนหินเหมือนกับฉากหนังสยองขวัญ Jack the Ripperผู้ชายเดินทูนของบนหัว บิดก้นไปมาขยับขาไวๆ เหมือนกับนักกีฬาเดินทน เดินกันให้ควั่ก เข็มนาฬิกาแห่งวันเริ่มทำงานอีกครั้งเมืองแห่งอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ ขณะที่ทัชมาฮาล คือ สถาปัตยกรรม อันน่าอัศจรรย์ใจหรือความเป็นเมืองแห่ง IT อย่างบังกาลอว์ อินเดียไม่ใช่ประเทศยากจนหรือประเทศโลกที่สาม เป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามประชาชนอินเดีย ยากจนคนกว่าครึ่งของมหานครกัลกัตตา ไม่เร่ร่อนไร้บ้านก็อยู่ในชุมชนที่เรียกได้ว่า สลัม“นั่นแหละ คือ อินเดีย”“เพื่อน (อินเดีย) ชั้นบอกมาว่ะ ส่วนอีกคนถามว่า ท้องเสียหรือของหายหรือเปล่า” เพื่อนผมหัวเราะขื่นๆหรือว่า นี่มันเป็นเรื่องปกติในทุกมหานครของโลก (การค้าเสรี) ...กิจกรรมยามเช้าเวลาที่หยุดนิ่งของคุณลุงเหมือนกับฉากหลัง คือ อาคารทรงยุโรปจากยุคอาณานิคมคุณลุงบนรถลาก กำลังรอผู้โดยสารร้านน้ำชาก่อนจะกลายสภาพเป็นสภากาแฟสำหรับผู้ชายไก่!ลานข้างตลาดขายปลา สีแดงธงรูปค้อนเคียวเธอกำลังเก็บกระดาษกิจวัตรประจำวันริมฟุตบาธ ก่อนจะออกไปทำงานคฤหาสน์บนลานหน้า Shopping Center
โอ ไม้จัตวา
ฉันเป็นคนขี้ขลาด ขี้กลัว จึงสร้างเกราะกำบังด้วยภาพของผู้หญิงปากไวใจหมาไว้ป้องกันตัวเอง เพราะรู้ว่าลึกลงไปที่กลางใจนั้น ฉันกลัวเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติฉันค้นพบเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง เมื่อคราวที่คนกลุ่มหนึ่งนำพี่ของฉันไปกักตัวไว้ และฉันบังเอิญต้องติดตามไปด้วย  เพื่อความปลอดภัย เขาว่างั้น ขณะอยู่ในรถรักษาความปลอดภัยนั้น เสียงโทรศัพท์ประสานงานไปมา สติเริ่มมาแทนที่ความกลัว ปัญญาเริ่มวิ่งพล่าน กำโทรศัพท์แน่น ในความมืดฉันแอบโทรออกจากในรถหาเพื่อนร่วมบ้านซึ่งกำลังรอฉันอยู่ ฉันป้องปากกระซิบเบาที่สุดขณะเสียงที่ดังขึ้นข้างหน้า บอกเพื่อนว่า “ฟัง” แล้วซ่อนโทรศัพท์ลงต่ำ ไม่ให้แสงไฟหน้าจอลอดออกมาได้อย่างน้อย ณ เวลานั้นก็มีคนรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ฉันกลัวความปลอดภัยแบบนี้ หนาวเยือกเข้าไปในจิตใจเมื่อคิดว่าเสร็จศึกแล้วเขาจะเป็นฝ่ายแพ้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้ชนะค้นพบว่าเราอยู่ในสถานที่ของผู้แพ้ฉันกลัวเมื่อรถถูกทุบกระจก คนทุบรถถืออิฐจังก้าเขวี้ยงเข้าไปที่หน้ารถ ชี้หน้าด่าว่าฉันจอดรถกีดขวางหน้าบ้านเขา ทำให้เขาเลี้ยวเข้าบ้านไม่ได้ เขาเมา ทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวมากขึ้น จำได้ว่าเดินไปบอกพี่ว่า รถโดนทุบ พี่หันมามองเฉยแล้วบอกว่า ก็แจ้งความสิ เรียกตำรวจมา แล้วหันไปคุยกับลูกค้าต่อ ฉันอึ้ง งง แล้วทำตามอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เป็นเรื่องของกฎหมาย  สถานีตำรวจยามดึก การเจรจาต่อรองของคนที่ก้าวร้าวรุนแรงต่อฉันสักครู่  เขายืนกุมเป้าอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจอย่างหวาดกลัว แล้วปล่อยให้ภรรยาตัวเองมาต่อรองค่าเสียหายกับฉันฉันกลัวการทำร้ายร่างกาย กลัวเจ็บ กลัวการบังคับ ข่มขู่ ทำให้เจ็บ ทำให้อาย ที่สำคัญคือกลัวการสูญสิ้นอิสรภาพ  นั่นนำพาให้ต้องหลีกเลี่ยงการทำสิ่งผิดกฎหมายทั้งปวง เริ่มตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซด์ต้องใส่หมวกกันน็อคความกลัวหลายอย่างเกิดขึ้นก่อนอารมณ์อื่น ๆ ที่ตามมาเมื่อตั้งสติได้แล้ว สมาธิ และปัญญากลับมาแล้ว ฉันเริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางของเหตุผล กฎเกณฑ์  และกฎหมาย ในหนังสือสนทนากับพระเจ้า แปลโดย รวิวาร มีตอนหนึ่งถามฉันว่า เธอจะอยู่ด้วยความรักหรือความกลัว คำเดียวแต่ชี้นำความคิด และวิถีชีวิตอีกยาวไกล มันบอกหนทางภายภาคหน้า เส้นทางของหัวใจ แน่นอนฉันย่อมเลือกการอยู่ด้วยความรัก ฉันรักการถ่ายภาพ รักโลก ทำให้สายตาของฉันมองเห็นสิ่งที่ฉันอยากเห็น  ผู้ปกครองบ้านเมืองบอกว่าบริหารบ้านเมืองด้วยความรัก  รักชาติ รักประชาชน รักพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่การกระทำหลายอย่างบ่งบอกว่าออกมาจากความกลัว  เช่น กลัวความยากจน จึงต้องสร้างความร่ำรวย แล้วบอกว่าจะแก้ปัญหาความยากจนซึ่งไม่แน่นักว่าแก้ให้ใครข้าราชการหลายคนจำนองบ้านและที่ดินนำเงินไปซุกไว้ใต้โต๊ะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งระดับขั้นและตำแหน่งที่สูงขึ้น  ด้วยเหตุผลว่า มันเป็นระบบถ้าเราไม่ทำคนอื่นก็ทำ ลูกน้องก็ทำ และสักวันหนึ่งลูกน้องก็จะแซงหน้าตนขึ้นไป เงินหนึ่งล้านบาทสำหรับผู้นำในระดับเล็ก ๆ ของสังคม เงินหลักแสนในระดับเล็กลงมา “ปีเดียวก็คืนทุน”  หรือ “น้ำท่วมครั้งเดียวก็คืนทุน”  น้องคนหนึ่งถูกคุกคามจากคนที่เคยร่วมงานด้วย  ประสบการณ์และวัยทำให้เธอหวั่นไหว แม้หัวใจเธอบอกว่าไม่กลัว แต่เมื่อพบข้อความที่เต็มไปด้วยเหี้ยห่าและสารพัดสัตว์ที่เขาส่งก็อดเครียดไม่ได้  ความกลัวเหมือนยาลดกำลังใจ ขณะความรักเหมือนยาให้กำลังใจ ในเวลาวิกฤติของเพื่อนมิตร ฉันไม่รีรอที่จะเอ่ยคำว่า ฉันเป็นห่วง และให้กำลังใจ เพราะไม่มีสิ่งใดจริงแท้และทรงพลังมากเท่ากับกำลังจากหัวใจของตัวเอง แต่การให้กำลังใจจากคนรอบข้าง บางเวลาก็เหมือนจุดประกายถ่านที่กำลังจะมอดดับให้ลุกโพลงขึ้นมาสู้กับปัญหาได้เช่นกัน ฉันบอกน้องไปว่าอย่ากลัว ถ้าเรากลัว สิ่งแรกที่จะทำร้ายเราคือความกลัว  ถ้าเธอกลัวคนรอบข้าง พ่อ แม่ พี่ ก็จะกลัวกับเธอ โชคดีที่พ่อและแม่ของเธอมีวุฒิภาวะและมีหัวใจที่เข้มแข็งอยู่ข้างกายลูกตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาวิกฤติอย่างน้อยหัวใจที่อบอุ่นก็นำพาเส้นทางที่อบอุ่นมาให้ ฉันให้น้องดูตัวแม่ของเธอซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก  เธอรักโลก รักผู้คน รักธรรมชาติ  ทำให้การกระทำที่ออกมานั้นออกมาด้วยความรัก แม้แต่การแสดงออกทางการเมืองก็ยังออกมาจากความรักบ้านเมือง ไม่ใช่ความกลัวว่าผู้ปกครองจะโกงกิน เมื่อรักโลก โลกก็รักเรา สิ่งที่แม่ของเธอกลัวคืออะไรรู้ไหม ฉันถามน้อง เธอไม่รู้สิ่งที่แม่กลัวที่สุดก็คือความกลัวของเธอ นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันกลั่นออกมาจากหัวใจ และทำให้เธอ “พลันคิดได้” ก้าวเดินออกจากเส้นทางเดิมด้วยหัวใจที่แข็งแรงมากขึ้น 
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เรื่องของเรื่อง คือว่า เพื่อนผมไปอินเดีย ดินแดนแห่งโลกอารยธรรมตะวันออก ..มันว่าของมันว่า ภาพสวยมากนะแก ..ผมตาโต ..เท่าไข่นกกระจอกเทศผมเลยถือโอกาสให้มันเล่าเรื่องที่อินเดียให้ฟัง ..“แก ชั้นไปอินเดียมา” มันว่า แถมต่อท้ายอย่างน่าฟัง “นั่นหน่ะ เป็นประเทศที่ชั้นอยากไปเป็นอันดับหนึ่งเชียวนะ”เมืองระดับอารยธรรมเก่าแก่ของโลก เต็มไปด้วยนักพรตในกลิ่นอายของศาสนาฮินดูอย่างในหนังสารคดี โยคีริมฝั่งแม่น้ำคงคา วัดฮินดู อย่างภาพของเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกหรือทัชมาฮาล อย่างในภาพทัวร์ท่องเที่ยว (อันหลังนี่ผมนึกภาพเอาเอง อิอิ)หลังจากที่เครื่องลงจอดเมืองกัลกัตตา สนามบินแห่งนั้นดูทรุดโทรม ที่น่าสังเกต “ชั้นมองไม่เห็นผู้หญิงเลยสักคน” มันขึ้นเสียงสูง พนักงานจะเป็นผู้ชายในชุดแต่งกายลำลอง ไม่อยู่ในยูนิฟอร์มใดใดที่ให้เชื่อได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสนามบิน นอกจาก ชายในเครื่องแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเมื่อจับแท็กซี่ออกจากสนามบินมุ่งเข้ามหานครกัลกัตตาได้ “รถติ๊ดติดว่ะแก ไม่ได้ติดแหง็กแบบบ้านเรานะแต่ดูวุ่นว๊ายวุ่นวายมากกว่า” ที่สำคัญ มันออกปากว่า ถนนอินเดียเหมือนไม่มีเลน บีบแตรอย่างเมามัน (บ่อยครั้งนานกว่า 10 วินาที) และดูเหมือนว่าทุกคนร่วมใจกันทำกิจกรรมทุกอย่างบนถนนราวกับว่าคนเมืองนี้พร้อมใจกันออกจากบ้าน .. คนเดินทาง ,ฝูงแพะ ,ไม้ไผ่ในเกวียนสำหรับสร้างปราสาทจำลองในเทศกาลทางศาสนา ,คนขี่จักรยาน ,คนทูนของบนหัว ,รถหกล้อก่อสร้าง ,รถแท็กซี่ราวกับว่าคนในเมืองนี้พร้อมใจกันออกจากบ้าน มันย้ำหญิงสาวแปะบินดี (เครื่องประดับชนิดหนึ่งที่หญิงชาวฮินดูใช้แปะระหว่างคิ้วเพื่อความสวยงาม) ในชุดสาหรี่สีฉูดฉาด (ฟ้าเหลืองชมพู บานเย็น แดงม่วงเขียว) กะเตงลูก ยืนโปรยรอยยิ้มอิดโรยอยู่บนฟุตบาธ เมื่อรถวิ่งเข้าในเขตกลางเมืองทุกอย่างจะจอแจยิ่งขึ้น ยิ่งรถติดไฟแดงจะมีเด็กๆ มาเคาะกระจกขอเงิน         “แกลองคิดดู กลางสี่แยกแท้ๆ มีคนมายืนสีฟัน อาบน้ำ กันจะจะ”โรงแรม Lytton กลางเมืองกัลกัตตา ตกแต่งสไตล์อังกฤษจ้าวอาณานิคม กลายเป็นที่พักชั่วคราวของมัน ทั้งอึม ครึมและสมถะในขณะเดียวกัน ทั้งในแง่ของสีพื้นหรือการใช้เฟอร์นิเจอร์หนุ่มวัยกลางคนขับเมอร์ซีเดส เบ๊นส์ SLK แบบสปอร์ต เปิดประทุน เข้ามาที่ลานหน้าโรงแรม “จอดปุ๊ปนะแก พนักงานแทบกระโดดเข้าต้อนรับ” ชายหนุ่มลงจากรถโยนกุญแจให้พนักงานอีกคนเอารถไปจอดไม่ไกลนัก เพิงเล็กๆ หลายหลัง ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา“เหลือเชื่อว่ะ” มันครางออกมาสองบล็อกถัดจากโรงแรม หนุ่มใหญ่นายนี้ เข็นจักรยานขนผักซะจนมองเห็นเส้นเอ็นปูดโปนชุมทางรถ คุณแม่วัยแรกรุ่นอุ้มลูกรอรถหนุ่มขายมะนาวและมันฝรั่งพร้อมตาชั่งแบบโบราณ เสนอขายสินค้าของเขาอยู่ริมฟุตบาธไม่ไกลจากชุมทางรถแท็กซี่กัลกัตตา ระหว่างรอผู้โดยสาร อ้อยอิ่งไปกับความเคลื่อนไหวที่เห็นตรงหน้ากราฟฟิตี้แบบอินเดียกลัวหาย!
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น แต่เป็นอันเข้าใจ แววตาหลายคู่ที่อยู่ข้างๆ มองอย่างสนใจ แต่ไม่รู้สึกแปลก ชายชราผู้แก่กว่าอีกคน กระดกเหล้าแบบเดียวกัน แล้วถามไถ่“ไอ่น้องมาจั๊กข้าวเหรอ” เขาหมายถึงการ “ดื่ม” สักจอกสองจอก ก่อนจะถึงมื้อกินข้าวจริงๆ“อืออ้าย หมู่นี้กินข้าวไม่อร่อย ไม่รู้ทำไม ถ้าไม่ดื่มสักก๊งสองก๊ง กินไรไม่ลง” เขาว่าน้ำเสียงเคร่งขรึม“ก็จริงอย่างว่า อ้ายก็เหมือนกัน ค่ำมาเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ถ้าไม่ดื่มซะหน่อย นอนไม่ค่อยสบาย”สองคนปรับทุกข์  อีกคนมาใหม่ เพิ่งนั่งยังไม่ทันกระดกแก้ว ก็ตัดพ้อตามไป“ยังดี พี่สองคนแค่ดื่มก่อนมื้อ  แล้วกลับไปกินกับเมีย อย่างผมไม่มีแม่บ้าน กินให้ตายตรงนี้ก็ไม่มีใครมาตาม”ป้าแดงเจ้าของร้านรีบจ้องตาวาว ยืนจังก้าโวยวาย“อย่าๆ อ้ายหมาย อย่ามากินตายแถวนี้นะ ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านนา อย่ามานอนเมาแถวนี้”เสียงหัวเราะลั่นร้าน ตาแก่ยกมือตบเข่าฉาด“อะไร  ป้าแดงนิ พูดเล่นหรอก ทำมาจริงจัง เดี๋ยวก็ไปแล้ว”“ไม่ได้ๆ วันก่อนมีคนมากินเหล้าเกือบหมดร้าน”“เอ๊า ไม่ดีเหรอ ป้าจะได้ขายดีไง”ป้าแดงเงียบ คงนึกคำตอบโต้อยู่  แต่ถูกชายวัยกลางคนสะกิดเสียก่อน“นั่นๆ เขามาซื้อผักน่ะ  ไปดูก่อน”ป้าแดงค่อยๆ หันมาทางฉัน ผู้ซึ่งยืนพลิกผักไปมา เมนูวันนี้จะทำเมี่ยงปลาทู ประกอบด้วยผักสลัด ใบชะพลู  โหระพา และผักไผ่สะระแหน่ พลิกหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยต้องรอให้ป้าแดงมาช่วยดู“ใบสลัดไม่มีแล้วหนู โหระพาก็หมด เหลือแต่กะหล่ำ”“เอ่อ ผักกาดแก้วล่ะป้า วันก่อนหนูเห็นป้ามีขาย”“มันแพง โลละตั้ง 30 บาท ป้าไม่เอามาแล้ว ไม่ไปดูอีกซอยล่ะ”“ไปมาแล้วค่ะ เขาปิด”ฉันตอบน้ำเสียงละห้อยด้วยความผิดหวัง ก่อนจะคิดถึงทางเลือกอื่น“อืม เอาผักกาดขาวแทนก็ได้ แล้วสะระแหน่มีไหม”“เหมือนจะหมดแล้วนะ เหลือไม่กี่อย่าง วันนี้ป้าไม่ได้ไปตลาดหรอก ตื่นสายน่ะ”ป้าแดงพูดอย่างอายๆ  หันไปมองยังอีกมุมของร้าน แล้วก็เปลี่ยนน้ำเสียง“ก็พวกนี้มันกลับกันดึก ป้าแดงปิดร้านค่ำมาก เลยตื่นสายเลย”“อ้าว”เสียงตอบโต้ตามมาทั้งกลุ่ม ฉันพยายามเงียบเสียงและไม่กล้ามอง จึงยืนพลิกดูผักต่อไป พลางรำพึงเบาๆ“สงสัยต้องเปลี่ยนเมนูล่ะป้า มีอะไรเหลือบ้างเนี่ย”“ก็มีผักบุ้งนะ” ป้าแดงไล่ลำดับ“งั้นผัดผักบุ้งเลยหนู” เสียงชายเฒ่าสวนมาอย่างหวังดี“แล้วก็มีหน่อไม้ดองนะ” ป้าแดงหยิบถุงขึ้นมาโชว์ มันดูเก่าและนาน รสชาติคงเปรี้ยวน่าดู“แกงใส่ไก่ อร่อยมาก” เสียงจากเคาน์เตอร์บาร์ส่งมาด้วยหวังดีอีกฉันแอบอมยิ้ม สงสัยจะกินข้าวลงกันแล้ว จึงคิดเมนูได้หลากหลายแบบนี้ “งั้นเอาน้ำพริกตาแดงถุงหนึ่ง  ไข่  แล้วก็แหนมค่ะ” ฉันตัดสินใจ “เยี่ยมๆ น้ำพริกป้าแดงอร่อยมาก ไข่เจียวแหนมอร่อย” คำแนะนำจากกลุ่มชายชรายังปล่อยมาเป็นระยะ ฉันอยู่ในอาการทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าพูดคุยกับคนเมา ได้แต่ยิ้มๆ ไปตามมารยาท ก่อนจะได้ยินเสียงใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง“อยากกินไข่เจียวแหนมทำไมไม่บอก ไป กลับไปกินแกงผัดกาดได้แล้ว”หันไปมองตาม ถึงได้รู้ว่าภรรยาของคุณลุงมีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง ลุงวัยกลางคนสะดุ้งเฮือก รีบซดเหล้าที่เหลือในแก้วกระดกพรวดทีเดียว แล้วรีบเดินตามเมียกลับบ้านแต่โดยดี ทิ้งเสียงหัวเราะคิกๆ ไว้เบื้องหลังของชายร่วมเคาน์เตอร์ ก่อนจะไป แกก็หันมายักคิ้วให้ทีหนึ่ง“เดี๋ยวเฮาก็จะไปแล้วเหมือนกัน” ชายโสดไร้ภรรยาบอก ระหว่างฉันยืนรอเงินทอนจากป้าแดง“อ้าว ไปเหมือนกันเหรอ ไหนบอกว่าไม่มีใครรออยู่บ้านไง”“แมวมันจะหิวข้าวเอา ไม่ได้ทิ้งไรไว้ให้เลยเนี่ย”“โห ห่วงแมว” เสียงใครอีกคนแซวขึ้น ฉันรับเงินทอนมาแล้ว จากที่อยากรีบไปเสียให้พ้น กลับชะลอฝีเท้าลง หันไปมองหน้าเขาทีหนึ่งผู้ชายร่างผอม ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเก่าซีด พันเอวด้วยผ้าขาวม้าสีม่วงสลับแดง ใส่รองเท้าบู๊ตสีเขียวแก่  มีมีดดายหญ้าอันใหญ่เบ้อเริ่มเสียบไว้กับผ้าขาวม้าอยู่ด้านหลัง“อือ ตอนนี้เหลือตัวเดียว แต่ก่อนมี 4 ตัวนะ มันคลอดลูกแล้วตายเลย ก็เลี้ยงมาจนโต ชื่อ แดง ดำ ขาว และ แต้ม ตัวสุดท้ายนี่สีขาวลายดำ แต้มเต็มตัวไปหมด”พูดพลางลุกขึ้นยืน กระดกเหล้าแก้วสุดท้าย พร้อมคว้ามะขามกับเกลือ ซึ่งเป็นบริการฟรีจากป้าแดงเข้าปาก เคี้ยวดังกร๊อบ ทำเอาฉันน้ำลายพุ่งกระฉูดเต็มแก้ม“อ้อ ป้า เอาปลาทู 2 ตัว”วูบนั้น ฉันเห็นแววตาเขา จะว่าทึกทักไปเองก็ได้ แววตาไม่ต่างกันนัก กับคนมีลูกมีเมียที่รีบกลับบ้านเพราะกลัวจะรอด้วยความหิวฉันและเขาออกจากร้านป้าแดงพร้อมกัน ตะวันเริ่มโพล้เพล้ สุดท้ายก็เหลือชายชราเพียงคนเดียว “เฮาะๆๆ ปิ๊กบ้านเพราะห่วงแมว ฮ่าๆๆ”เขาหัวเราะชอบใจ แล้วคว้าแกงอ่อมที่เหลือของลุงผู้ไปแล้วมาซดต่อ“ป้าแดงเอาเหล้ามาอีกก๊ง”แล้วเขาก็คงเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ชายคนเดิมที่จะนั่งอยู่ที่แผงนี้ ไม่ว่าจะค่ำมืดอย่างไร ฉันผ่านมาทุกครั้งก็จะเห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เท้าแขนข้างหนึ่งกับเคาน์เตอร์ มองไปมาบนถนนสายเดิม จวบจนแทบไม่มีรถแล่นผ่าน พระเข้าวัดไปหมดแล้ว แม่ค้าเก็บของจนไม่เหลือแม้แต่เจ้าเดียวไม่เคยรู้ว่าแกกลับบ้านเวลาไหน ไปทางใด ไม่มีเมียคอยแกงผักกาดไว้ที่บ้าน ไม่มีแมวรอกินปลาทูรู้เพียงแต่ว่า ถ้าวันไหนไม่มีใครมากินเหล้าเลย ป้าแดงก็ยังเหลือชายชราผู้นี้เป็นลูกค้าประจำ หากวันไหนใครคิดเมนูอาหารไม่ออก เดินไป เขาจะช่วยคิดให้สารพัด แต่หากวันไหนเขาไม่มา เราถึงจะรู้ว่า ถนนสายนี้จะช่างแสนเหงา แผงป้าแดงจะเหลือแต่ผนัง กับเก้าอี้เปล่า โดยมีฉันอดคิดเงียบๆ ไม่ได้ว่า“พรุ่งนี้ จะยังมีคุณลุงคนนี้มานั่งกินอยู่อีกไหม”
โอ ไม้จัตวา
เริ่มต้นฤดูกาลใหม่รับลมหนาวด้วยความรู้สึกถึงวันอันล่วงเลยผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรกับร่างกาย  หนึ่งปีที่หมกมุ่นอยู่กับงาน ห่างหายกับการยืดเส้นยืดสายออกกำลังกาย  มีโยคะบ้างบางครั้งแล้วก็มาเจออุบัติเหตุทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่ ลากยาวมาจึงถึงวันนี้กับอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ โรคประจำตัวของคนนั่งหน้าคอม และขับรถจี๊บแคริบเบียนที่เกียร์แข็งจนเส้นเอ็นที่แขนเคล็ดไปหมดกลิ่นดอกปีบหอมอบอวลไปทั้งเมือง  ลมหนาวไม่มากเริ่มพัดมาเยือน ได้เวลาออกไปดูโลกยามเช้าเสียที  วันนี้ตื่นแต่ตีห้า เตรียมตัวออกจากบ้าน บอกเพื่อนร่วมบ้านว่าจะไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์  จุดมุ่งหมายคือห้วยตึงเฒ่า ที่เก่าเวลาเดิม นัดพี่ไว้ที่นั่น  ตีห้าครึ่งฟ้ายังมืด นึกถึงที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีแก๊งจี้มอเตอร์ไซด์ตอนตีห้ากลางเมือง โดยการประกบรถที่กำลังขี่ แล้วถีบจนรถล้มจากนั้นก็นำรถไป  ความมืดทำให้เรื่องน่ากลัวผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะมืดทางโลกหรือทางใจฉันตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากบ้าน อากาศยามเช้าตรู่ของเมืองเชียงใหม่สดชื่นจริง ๆ ลมต้านรถนั้นหนาวมากขึ้นเมื่อใกล้ห้วยตึงเฒ่า เพราะต้องออกนอกเมืองไปอีกนิด ตลอดเส้นทางหอมกลิ่นดอกไม้หลายหลายชนิด จนอดไม่ได้ที่จะเหลียวหากลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นดอกปีบที่กำลังบานสะพรั่งทั่วเมือง เป็นกลิ่นหลักของเช้าวันนี้ถึงห้วยตึงเฒ่า เริ่มออกเดินกับพี่ซึ่งมาถึงนานแล้ว ทำให้ฉันอดยืดเส้นอุ่นร่างกายก่อน ขณะเดินจึงคันขาจนร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นต้นไม้ ใบไม้  ดอกไม้ สองข้างทางบานสะพรั่ง  ดอกไม้ไร้ชื่อ ใบไม้รูปหัวใจเลื้อยเดินอยู่ทั่วไป มะขามป้อมต้นเดิมออกลูกได้ที่ แก่กำลังดี พี่บอก หลังจากปีนขึ้นไปเก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินกินขณะเดิน ทำเสียงซึ้ดราวขี้เมาได้เหล้าขาวกับมะขามเปียก วันนี้ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กลางป่า มีต้นหญ้าชูช่ออยู่สองข้างทางราวโค้งคำนับให้กับดวงตะวันอย่างนอบน้อม คนเดินทางบางครั้งไปเพื่อนค้นหาบางคนค้นพบบางคนไปเพื่อเดินทางกลับบางคนหนีสิ่งหนึ่งเพื่อจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วกำลังหนีตัวเองขณะขาก้าวไปข้างหน้าภายในกำลังก้าวไปข้างในลึกลงไป...ชีวิตต้องมีวันเริงระบำบ้างดอกไม้ข้างทางตะวันกำลังขึ้นชีวิตก็ต้องเจอหนามแหลมบ้างดอกไม้บานยามเช้าบางครั้งหนทางก็อีกยาวไกลจึงมีเวลาหยุดพักดูต้นไม้ใบหญ้ากาฝากชอบเกาะกินอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ พี่เปรยขึ้น ฉันมองตามแล้วบอกว่า แต่มันก็ให้ความงามนะใบไม้รักต้นไม้ดอกอะไรก็ไม่รู้ น่ารักมาก ดอกเล็ก ๆ ขึ้นเต็มไปหมดขาวพราวในเขียว