Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กิตติพันธ์ กันจินะ
 ลมฟ้าอากาศเริ่มเปลี่ยนแปรไปตามสภาพ ฝนตกเพิ่งหยุดได้ไม่นาน ลมหนาวเยือนมาพัดผ่านท้องทุ่งจนต้นข้าวโยกเอียง บ้างล้ม บางตั้งตระหง่าน ตอนเช้าๆ อากาศแถวบ้านผม, จังหวัดเชียงราย อำเภอพาน ตำบลแม่อ้อ บ้านแม่แก้วเหนือ อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกขณะ ชีวิตของผมทุกวันนี้ไม่เหมือนห้าเดือนก่อนที่ผ่านมา เพราะต้องย้ายสำมะโนครัวจากเชียงใหม่ กลับมาอยู่บ้านที่เชียงราย ซึ่งตลอดระยะเวลาสี่ปีที่อยู่เชียงใหม่ ผมได้พบเจอเรื่องราวหลายเรื่อง ทั้งการงาน ความรัก ชีวิต ความสัมพันธ์ เพื่อน ฯลฯ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับตอนที่อยู่บ้านที่เชียงรายอย่างมากสภาพอากาศ ความสงบ การดำเนินชีวิต สามอย่างเบื้องต้นคือความต่างที่ได้เห็นและสัมผัส เปรียบเทียบกับสองจังหวัดนี้ -ไม่มีเสียงเพลง แสงสี ยามค่ำคืน ที่เชียงราย หากมีเพียงท้องทุ่ง ลมเย็น กลิ่นรวงข้าว ดาวสีขาว พระจันทร์นวลเหลือง บางวันมีหิ่งห้อยตัวน้อยๆ บินมาเยี่ยมเยียน สลับกับเสียงของจิ้งหรีด เรไร ร้องไปมาชีวิตในเชียงใหม่ ไม่ได้ค่อยได้สัมผัส บรรยากาศแบบเชียงรายเท่าไหร่หรอกครับ วันหนึ่งๆ มีเพียงแต่ทำงาน หรือเที่ยวไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะผับ เธค - เรื่องยาวๆ ที่ชื่อ "บัวสีเทา" ก็เป็นผลอย่างหนึ่งที่ผมได้นำเรื่องจริง มาเขียนผสมกับงานแต่งอีกนิดน้อย เพื่อให้เรื่องราวเข้าถึงคนได้ง่ายอีกนิด เพราะหากจะเอาข้อมูลดิบๆ วิชาการมาให้ใครอ่าน คงจะยากต่อความเข้าใจสักนิด ซึ่งจริงๆ แล้ว บัวสีเทา เป็นเรื่องราวมาจากการศึกษาวิถีชีวิต องค์ความรู้ ของเพื่อนๆ ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มที่คนเรียกว่า "แก๊ง" ซึ่งทาง วิทยาลัยการจัดการทางสังคมหรือ วจส. สนับสนุนทรัพยากรในการดำเนินงานอย่างที่บอกไว้ครับ ว่าเดิมทีก็ผมเพียงแค่จะทำงานแบบเก็บข้อมูลมาเขียนๆ แล้วก็จบ แต่พอทำไปทำมา ก็ได้เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ พี่น้อง - การทำงานเลยกลายเป็นการใช้ชีวิตไปโดยปริยายและเป็นไปโดยผมไม่มีความสงสัยในความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาเขียนบัวสีเทานานหลายเดือน และผมเองก็ไม่เคยได้เขียนเรื่องราวอะไรยาวขนาดนี้ เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องยาวเรื่องแรกที่ผมได้เขียน - เขียนมาจากความรู้สึกและเนื้อหาจากงานบางส่วนที่มี เลยออกมาเป็นอย่างที่หลายๆ คนได้อ่านกันมาอย่างยาวยืดนั้นแหล่ะครับอันที่จริงแล้วช่วงระหว่างที่ทยอยนำ "บัวสีเทา" ขึ้นประชาไทนั้น ได้มีหลายเรื่องเข้ามาในชีวิต เข้ามากระทบมากมาย ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กแก๊ง หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ของเยาวชนที่สังคมวิพากษ์ ทั้งเด็กที่แต่งตัวโป๊ เด็กที่ไม่ใส่กางเกงใน เรื่องถุงยางอนามัย เรื่องการศึกษา การเมือง ฯลฯ - หลายเรื่องผมพยายามคิดและวิเคราะห์ว่าจะแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างไร แต่พอพื้นที่ "หนุ่มสาวสมัยนี้" แห่งนี้ ได้เป็นที่สถิตของบัวสีเทาเสียแล้ว จึงทำให้ผมไม่ได้เขียนเรื่องร้อนๆ ที่เป็นประเด็นทางสังคม ทีนี้พอไม่ได้เขียนก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่า บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องตอบโต้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมก็ได้ บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราได้เฝ้ามองปรากฏการณ์นั้นให้ผ่านไป ตามเงื่อนไขของเวลา เพราะมันก็เปลี่ยนไป เมื่อได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้ว เรื่องนั้นๆ ก็จบลง จางหายไป เป็นไปตามหลักอนิจจัง หากเราดูให้ดีแล้ว การได้นิ่งไม่ตอบโต้ก็เหมือนเป็นการ "ฟังเสียงข้างใน" ของตัวเอง และก็ได้เห็นคนที่ต้องทุกข์กับปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งผมมองว่าคนที่ทุกข์ใจนั้น หาใช่เยาวชนหรือคนหนุ่มสาว หากแต่เป็น ผู้ใหญ่เสียมากกว่า ที่ออกมาเต้นผาง ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์เด็กๆ ด้วยความคิดของผู้ใหญ่ บางครั้งเป็นคำเตือนที่มีความหมาย บางครั้งเป็นคำด่า สบถที่รุนแรง แต่ก็ถือเป็น "ความหวังดี" ของผู้ใหญ่ที่มีต่อวัยรุ่นและสังคมแต่คิดดูให้ดีแล้วความหวังดีนั้น อาจกลายเป็นการทำลายคุณค่าในชีวิตของวัยรุ่นหลายคนเลยก็ได้ผมไม่รู้ว่า พวกเรา, วัยรุ่นหลายคน จะอยู่กันอย่างไร ในสภาพที่สังคมและผู้ใหญ่ มองพวกเราด้วยสายตาและท่าทีหรือความไม่เข้าใจแบบนี้ และนั่นไม่แปลกหรอกครับที่คนรุ่นผมหลายคนจะมองผู้ใหญ่แบบตัดสิน แบบที่ไม่เข้าใจ เหมือนกัน เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการพื้นที่ของตนเอง ทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่นจึงไม่น่าแปลกเท่าใด ที่ผู้ใหญ่จะเป็นทุกข์มากกว่าวัยรุ่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงวัยรุ่นน่าจะเป็นทุกข์หรือมองเห็นทุกข์ได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องเพราะ "ที่ปลดทุกข์" ของวัยรุ่นมีมากกว่าผู้ใหญ่ไงครับ ไม่ว่าจะเป็นผับ เธค อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ นิตยสารต่างๆ ล้วนกลายเป็นแหล่งสร้างสุข สร้างพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ตัวตนของพวกเรามากกว่าสังคมจริงๆ แห่งนี้ ที่ผู้ใหญ่ปกครอง สังคมที่วัยรุ่นออกแบบจึงเป็นสังคมที่ไม่เป็นทุกข์ มีแต่ความเข้าใจและยอมรับซึ่งกัน และข้อสังเกตของผมก็คือเป็น "สังคมสีเทา" ที่ไม่มีขาวดำ ไม่มีการตัดสิน ตีตรา คนอื่นด้วยมาตรฐานความดีงามตามบรรทัดฐานสังคมที่คนส่วนใหญ่มีและกำหนดกันขึ้นมาสังคมของผู้ใหญ่ มีแต่ความทุกข์ มีขาว ดำ ไม่มีการให้โอกาส ไม่มีความสมานฉันท์ ไร้ซึ่งความเมตตา ต่อกัน เพราะผู้ใหญ่สมัยนี้ลืมรากเหง้าของตัวเอง ไม่เท่าทันสังคมโลกาภิวัตน์ และน่าสงสารยิ่งนักที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งของชนชั้นปกครอง จนซึมเข้ากับตัวเองทุกอนูความรู้สึกที่กล่าวมานี้เพราะผมสงสาร, ทั้งผู้ใหญ่และก็ตัวเองด้วย, ชีวิต คนเรายิ่งมีแต่ทุกข์ ทุกชั่วโมงยาม มีเรื่องราวมากมายให้ได้ค้นพบ มีหลายวิธีที่จะทำให้คนได้รับความสุขที่แท้จริง แต่คนกลับมองไม่เห็น หรือไม่ค่อยได้แสวงหาเท่าใดนัก หรือนั้น อาจเป็นเพราะเราเกิดมาในสังคมขาว-ดำ เกิดมาในสังคมที่อ่อนแอ เยี่ยงสังคมแห่งนี้!?อย่างไรก็ตาม, อีกเรื่องที่ผมพบกับตนเอง ในช่วงหลังๆ มานี้ คือผมไม่ค่อยอยากรับรู้เรื่องราวทางสังคมนี้เท่าไหร่เลย ผมเสมือนกลายเป็นคนเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ อันเนื่องเพราะสองข้างทางบ้านผมนั้นมีแต่ไร่กับนาจริงๆ ผมจึงพบว่าอันที่จริงแล้ว "สังคมขาวดำ" ที่เรารับรู้หรือรู้สึกอยู่นี้ มันไม่ได้มีอยู่จริงเลย เพราะเราเพียงแต่ "ถูกทำ" ให้เข้าใจว่า สังคมนี้เป็นแบบนี้อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งแท้แล้ว สังคมย่อยๆ อีกหลายแห่งมีความหลากหลายที่แตกต่างกัน และไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ หรือสีเทาๆ เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายแบบ หลายแง่มุมให้สัมผัสและเรียนรู้เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เข้าถึงแบบอื่นๆ เท่านั้นเอง เพราะสังคมที่เราอยู่แห่งนี้ ไม่มีพื้นที่ให้ความแตกต่างอื่นๆ ได้มีพื้นที่ของตัวเองเลยแม้แต่นิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงไม่แปลกที่วัยรุ่นสีเทาๆ จะถูกมองไม่ดีจากคนในสังคมสีขาว-ดำ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่น่าจะทำได้ ต่อเรื่องสังคมขาวดำ หรือเทา ก็คือ นั่งเงียบๆ ฟังเสียงข้างในของตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากขึ้น และยอมรับกับสภาวะจิตใจของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละชั่วขณะ หรืออาจหาที่เงียบๆ สงบๆ ลมเย็นๆ อากาศดีๆ นอนหลับให้เต็มอิ่มเพื่อไปสู่พื้นที่ดีๆ มีความสุขในความฝัน ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอีกครา เพื่อพบกับ "ความจริง" อันแสนจะปวดหัว.....
นาโก๊ะลี
วันแต่ละวัน ซึ่งก็คือตลอดเวลาของชีวิต  มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธการสื่อสาร  มีบ้างหรอกวิธี หรือเครื่องมือสื่อสารที่สามารถตัดต่อ เรียบเรียงโดยผ่านการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ด้วยเหตุด้วยผลว่าจะได้หรือเสีย ดีหรือร้าย  ในแง่นี้ก็อาจจะว่าเฉพาะไปที่การเขียน  ซึ่งมันเป็นการสื่อสารที่ค่อนข้างช้า  ความช้านี่เองที่ทำให้สามารถกลั่นกรองเรื่องราวเนื้อหานั้นๆ  แต่การสื่อสารที่รวดเร็ว ว่าก็คือการสนทนานั้นมันเป็นการสื่อสารทันใด  มันจึงทำให้กรองได้น้อย  มีบ้างหรอกความพยายามที่จะ ‘คิดก่อนพูด’ แต่มันก็ไม่ได้ใช้ได้ทุกครั้ง  ยิ่งขณะภาวะที่ความคิดคับแคบด้วยแล้ว  ถ้อยคำก็ยิ่งเป็นสื่อที่ออกมาจากภายในโดยตรง  อย่างดีที่สุดก็ผ่านการตรวจสอบจากข้อมูลความรู้เดิม ความทรงจำเดิม ทั้งหมดนั้นความหมายของมันก็คือ ถ้อยคำได้ฉายภาพจากภายในของผู้คนออกมานั่นเองดูเหมือนว่าโบราณ  ถ้อยคำของโบราณฉายภาพชัดเจนทั้งศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อของมนุษย์  บางทีมันมาในรูปของนิทานปรัมปรา  มาในภาษิตคำคม เรื่องเล่า หรือตำนานผ่านภาษาที่เรียบง่าย  เรื่องราวเหล่านั้นเคลื่อนไหว ดำรงอยู่ในสนามปัญญาร่วมของมนุษยชาติ  ทั้งหมดนั้นมันจึงเปี่ยมความหมาย  หรืออาจเป็นนิรันดร์ ดังเช่น ณ ยุคสมัยเวลานี้ เรายังได้ยินได้ฟังถ้อยคำโบราณ อันเป็นภูมิปัญญาของบรรพชน  เรื่องราวเหล่านั้นเองที่มันบ่งบอกอุปนิสัยของชนนั้นๆ  และเมื่อเราฟังคำโบราณของหลายเผ่าชนเราย่อมพบว่า  คำของโบราณนั้นสืบต่อมาแต่คำของธรรมชาติ  ด้วยมักมีเรื่องราวของหลายชนเผ่าที่ไกลโพ้น ฟังคล้ายเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อนั่นเองทั้งหมดนี้ คล้ายว่ามนุษย์มิอาจปิดบังซ่อนเร้นภาพ หรือสภาวะภายในของตนได้  ด้วยว่ามันปรากฏเด่นชัดอยู่ในถ้อยคำ  เช่นนั้นเอง เมื่อยามที่เราได้ฟังคำโกหกพกลม เพ้อเจ้อ ของผู้คน  เราย่อมรู้ได้ไม่ยากเย็นถึงความจริงที่ซ่อนอยู่หลังคำโอ่อวดนั้น  เพราะวิญญาณของเขาฉายชัดอยู่ในถ้อยคำนั้นแล้ว หรือแม้กระทั่งความจริงของชีวิตที่ผู้คนกล่าวออกมา  เราย่อมมองเห็นตัวตน และโลกภายในของเขาได้ชัดเจน   เช่นนี้เองที่เราย่อมเชื่อได้ไม่มาก็น้อยว่า  ที่สุดแล้วมนุษย์ไม่สามารถหลอกลวงผู้อื่นได้ เพราะชีวิตของเขาคือภาพสะท้อนตัวตนภายในของเขา  หากจะมีใครที่มนุษย์พอจะหลอกได้บ้างก็คือ ตัวเอง  กระนั้นหากสืบสาวให้ลึกลงไปกว่านั้น  จิตไร้สำนึกของตัวเองก็ไม่ได้ถูกหลอกอยู่นั่นเอง  ........ถ้อยคำคือหนทาง....มันเป็นหนทางสายสำคัญในวิถีชีวิต  มันนำเราไปสู่ความงาม ความจริง  การเรียนรู้  บางถ้อยคำคือดอกไม้ที่มีหยดน้ำค้างต้องแสงตะวันเปล่งประกายเช้า  บางถ้อยคำอาจเป็นเศษขยะเน่าเหม็นริมทาง  เช่นนั้นเอง ในกระบวนการเรียนรู้ เราจึงไม่อาจละเลยถ้อยคำ  ด้วยว่าเราไม่อาจเพียงชื่นชมดอกไม้โดยแกล้งทำเป็นไม่เห็นกองขยะ หากแต่เราต้องรู้ว่ากองขยะเน่าเหม็นนั้นก็อาจเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ เพื่อได้ออกดอกส่งกลิ่นหอม ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นวิถีแห่งถ้อยคำ นั่นก็เป็นได้....
สวนหนังสือ
โดย ‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ :    ไตร่ตรองมองหลักประเภท :                บทความพุทธปรัชญา     จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์ศยามพิมพ์ครั้งที่ ๒ :    กันยายน  พ.ศ. ๒๕๔๓  :  แก้ไขปรับปรุงผู้เขียน :    เขมานันทะบรรณาธิการ :    นิพัทธ์พร  เพ็งแก้ว ในกระแสนิยมปัจจุบัน  แม้พุทธศาสนาจะอยู่ในรูปสภาพที่เป็นกิจการค้าความเชื่อมากมายเพียงไร  และคงไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะมีตรายี่ห้อใดบ้าง  ไม่ว่าจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินตามกรอบทัศนคติของใคร แต่แก่นแท้ของพุทธศาสนาอันเป็นประตูสู่การบรรลุถึงโลกุตรธรรมนั้น ยังเป็นหลักของความสมบูรณ์แห่งทัศนะอยู่เป็นปกติหากเคยศึกษาหลักธรรรมะเราจะพบว่า  ความรู้สึกนึกคิดและสภาวะแห่งจิตจะเกิดปรากฏการณ์แห่งความสงสัย ใคร่จะได้คำอธิบาย  หรือเต็มไปด้วยปริศนา ด้วยหลักธรรมหรือพุทธปรัชญานั้น เป็นศาสตร์อันละเอียดลึกซึ้ง และเป็นนามธรรมยิ่ง       บทความว่าด้วยศาสนาและปรัชญา  เล่ม ไตร่ตรองมองหลัก ที่เขียนโดย ท่านอาจารย์เขมานันทะ เล่มนี้  ได้บรรยายด้วยภาษาอันเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก  ประกอบด้วยบทความเกี่ยวกับ       (๑) สาระสำคัญแห่งวัชรยานตันตระ       (๒) ข้อพินิจไตร่ตรอง  ต่อความมีอยู่และไม่มีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ   (๓) เหนือคิดคำนึง(๔) พรหมจรรย์และฐานแห่งการภาวนา(๕) โศลกคำสอนมหามุทราของติโลปะในบทความแรกอันเกี่ยวกับวัชรยาน  หรือญาณสายฟ้าแลบที่เรารู้จัก  เป็นบทบรรยายแก่นักศึกษาระดับปริญญาโทสาขาศาสนาเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา  ซึ่งท่านอาจารย์เขมานันทะอธิบายถึงแก่นแท้ของวัชรยาน  โดยเปรียบเทียบเนื้อหาสาระกับนิกายเซน ให้ข้อสังเกตในด้านของลักษณะทางภูมิศาสตร์อันเป็นสถานที่กำเนิดความเชื่อ รวมทั้งวิเคราะห์ถึงรูปลักษณะทางวัฒนธรรมในแหล่งกำเนิดความเชื่อนั้นด้วย ลักษณะการวิเคราะห์ ถอดความจากสัญลักษณ์ในเชิงปรัชญาที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรูปแบบทางวัฒนธรรมนั้น  เป็นแนวทางที่ท่านอาจารย์เขมานันทะมีความถนัดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการถอดความจากสัญลักษณ์จากวรรณคดีหรือวรรณกรรม   ดังในคำนำของ นิพัทธ์พร  เพ็งแก้ว ผู้เป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้  ได้กล่าวยกย่องท่านเป็น เอตทัคคะท่านหนึ่งทางด้านสามารถไขความสัญลักษณ์ ที่ปรากฎอยู่ในงาน ศาสนศิลป์  ท่านอาจารย์เขมานันทะ  อธิบายรากฐานของวัชรยานโดยพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งปรากฏอยู่ในศาสนศิลป์ของชาวธิเบต  โดยท่านได้ทบทวนเพื่อเชื่อมโยงถึงยุคทองของศาสนาในชมพูทวีป ว่าด้วยยุคอุปนิษัท หรือศาสนาพราหมณ์ ที่อธิบายปรากฏการณ์ของโลก ชีวิต จักรวาล นั้นว่าเป็นอันเดียวกัน ตัวเรานั้นเป็นสิ่งเดียวกับจักรวาลทั้งหมด ขณะเดียวกัน ท่านได้ยกภาษิตของจางจื้อ ที่ว่า“  ฟ้าดินกับอั๊วเป็นอันเดียวกัน  สรรพสิ่งทั้งหมดกับอั๊วเป็นหนึ่งเดียว ”   (น.๑๔)      ครั้นแล้วก็เปรียบเทียบเข้ากับวรรณคดีอย่าง  รามเกียรติ์หรือ  รามายณะ  มหาภารตะ ที่มีโครงสร้างสำคัญว่าด้วยการสู้รบของฝ่ายธรรมะคือพระราม กับฝ่ายอธรรมคือทศกัณฐ์    หรือที่ท่านว่า สัจจะซึ่งสังหารมายาภาพ  เปรียบได้กับวัชรยาน ซึ่งคือเครื่องตัดอวิชชา  ถือเป็นแนวคิดเชิงสัญลักษณ์ ตรงกับนัยของศาสนาพราหมณ์ว่า อาตมันนั้นแท้จริงคือปรมาตมัน  กิเลสตัณหาต่าง ๆ ล้วนเป็นคุณะ(Value )ของเทพ(Divine) อันซ่อนเร้น แทนด้วยสัญลักษณ์ของรากษส (พวกยักษ์มาร) (น.๑๔)   ท่านอธิบายว่า  ชีวิตเป็นการสู้รบกันระหว่างรากษสและเทพ  เพทเป็นคุณสมบัติเบื้องสูง รากษสเป็นคุณสมบัติซ่อนเร้น  เพื่อปูพื้นฐานในการทำความเข้าใจวัชรยาน โดยภาพรวมแล้ว  บทความเล่มนี้ มีลักษณะเด่นในด้านการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ท่านอาจารย์เขมานันทะใช้ภูมิความรู้ความเข้าใจเพื่ออธิบายเชื่อมโยงองค์ความรู้หลายสาขาผนวกเข้าเป็นแนวทางที่จะเข้าถึงหลักพุทธปรัชญา  นอกจากนี้การยกตัวอย่างเพื่อสื่อสารกับผู้อ่าน มีผลดีให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะในบท เหนือคิดคำนึง (น.๔๙)  ได้ยกตัวอย่างโศลกธรรม  เพื่อการเปรียบเทียบสภาพธรรมทางใจ แสดงให้เห็นถึงความมีอยู่ และไม่มีอยู่  ได้อย่างชัดเจน ดังโศลกของเว่ยหล่าง (น.๕๕) “  ไม่มีต้นโพธิ    ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสว่างเมื่อทุกสิ่งว่างไร้ฝุ่นจะปรากฏได้ที่ไหน  ” กิเลสอันถูกเปรียบด้วยฝุ่นละออง  กายซึ่งเปรียบด้วยต้นโพธิอันไร้แก่น และจิตใจอันเปรียบด้วยกระจกเงาที่เจ้าของหมั่นขยันเช็ดให้สะอาด  ดังโศลกธรรมของชินเชาที่ว่า“  กายของเราคือต้นโพธิและใจของเราคือกระจกเงาอันใสเราเช็ดมันอย่างระวังตั้งใจในทุก  ๆ โมงยามทั้งไม่ยอมให้ฝุ่นธุลีปรากฏขึ้นได้  ”จากโศลกทั้งสองนั้น  มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  ในเมื่อชินเชายังยืนอยู่ในความมีกาย  อันเปรียบด้วยต้นโพธิ และความมีอยู่ แห่งใจอันเปรียบด้วยกระจกและความมีอยู่ของกิเลส คือฝุ่นธุลี อันตนต้องเช็ดถูอย่างระวังในทุก ๆ ชั่วโมง  แสดงถึงการปฏิบัติธรรมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและสับสน ตอกย้ำความคิดรวบยอดว่ามีตัวตน และมีศูนย์กลางของการกระทำ ...  ฯลฯ  ดังนั้น  การได้อ่านหนังสือพุทธปรัชญาเล่ม ไตร่ตรองมองหลัก นี้  เสมือนหนึ่งได้อ่านหนังสือหลายต่อหลายเล่มโดยผ่านการสรุปตีความจากท่านอาจารย์เขมานันทะ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา แต่ขณะเดียวกัน  การศึกษาโดยเลินเล่อหรือละเลยต่อแก่นแท้ของการศึกษาแล้ว (ไม่ว่าจะโน้มเอียงไปตามสัมมาทิฎฐิหรือมิจฉาทิฎฐิ)  ย่อมอาจเป็นจุดเริ่มต้นอันสับสน  ซับซ้อน ซึ่งอาจไม่มีวันเยียวยาแก้ไขได้แม้นลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ดังเช่นการศึกษาวัชรยาน ที่ท่านอาจารย์เขมานันทะได้กล่าวไว้ว่าวัชรยานนี้เหมือนเหล้า   เหลาแรง ๆ นี่แหละครับ  ถ้าใครคอไม่แข็งก็จะหัวทิ่มแล้วก็เกิดโทษอาเจียนออกมา  (น.๑๗)   นั่นคงบอกได้ว่าการศึกษาให้เข้าถึงนั้น  ต้องรากฐานของเราต้องพอเพียงด้วย.
เตือนใจ ดีเทศน์ กุญชร ณ อยุธยา
ปลายเดือนตุลาเวียนมาหา               ฝนหายจากฟ้า อากาศเย็นใส เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวสบายใจ               ข้าวไร่เหลืองอร่ามงามตา ทุ่งนาเชิงเขาพริ้วไสว พี่น้องปกาเกอญอร่วมแรงใจ               เกี่ยวข้าวไร่ พร้อมพรัก สามัคคี พืชพันธุ์หลากหลายปลูกไว้               ในไร่ข้าวมีถั่ว พืช ผัก ทุกสิ่งศรี งา พริก มะเขือ แตง ผัก เผือก มัน สุดแสนดี               เกษตรอินทรีย์ไร้สารพิษ คนปลอดภัยวันนี้คณะกรรมาธิการจากสภา ฯ               จะมาฟังความเห็นอย่างถ้วนถี่ “ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. .........” น่ายินดี               คุ้มครองพื้นที่ลาดชันเสี่ยงพังทลาย พื้นที่ใช้สารเคมีเกิดปนเปื้อน               ไม่แชเชือนประกาศควบคุมไว้ให้ได้ ผู้กระทำความเสียหายต้องชดใช้               พื้นสภาพดินให้กลับเหมือนเดิมชาวปกาเกอญอแม่ฮ่องสอน               ใจรุมร้อน นอนไม่หลับทุกข์เหลือที่ไร่หมุนเวียนทำกันมานับร้อยปี               กฎหมายนี้จะเอาผิดเราหรือไรที่โรงแรมอิมพีเรียล ธารา               บ่ายวันศุกร์ ชาวบ้านรุกคณะกรรมาธิการตอบให้ได้ แม่ฮ่องสอนเป็นป่าดอยทุกแห่งไป               ตั้งหมู่บ้าน นา สวน ไร่ ผิดทั้งเพหากรัฐมุ่งแต่กฎหมาย               ทุก ๆ วัน จับชาวบ้านได้ไม่มีที่หนี งานวิจัยภูมิปัญญาชาวบ้านยืนยันได้ดี               ไร่หมุนเวียนถูกวิธีป่าฟื้นเร็วตัดต้นไม้สูงถึงเอว รากไม่ตาย               ใช้ปีเดียวก็ย้าย เวียนไปอีกที่ปลูกพืชผสมในไร่ข้าวบรรดามี               สุขภาพดี พันธุ์พื้นเมือง เพียบโภชนาสารเคมีไม่ใช้ ดินไม่เสีย               ลูกไม้มียั้วเยี้ย ขึ้นทึบแน่นเก้ง หมูป่าชอบมาอยู่ในเขตแดน               สุขใจแสน ไร่หมุนเวียน นิรันดร์กาลเขียนกลอนพาไปได้หลายย่อหน้าด้วยความประทับใจในการเดินทางไปฟังความเห็นประชาชนของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ........” ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยนายอดิศักดิ์  ศรีสรรพกิจ ประธาน  พลเอกสุรินทร์  พิกุลทอง รองประธานฯ นายโสภณ ชมชาญ ผู้เชี่ยวชาญอดีตข้าราชการกรมพัฒนาที่ดิน และดิฉัน รวมเป็นกรรมาธิการ 4 คนคุณบุญยืน คงเพชรศักดิ์ ประธาน กป.อพช. (คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน) ภาคเหนือ กรุณาประสานงานให้มีเวทีรับฟังความเห็นของประชาชนต่อสาระของ “ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ....” และพลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง กรุณาประสานกับนายไชยา  ประหยัดทรัพย์ นายกอบต.ห้วยปูลิง อ.เมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อพาคณะกรรมาธิการไปดูพื้นที่ไร่หมุนเวียนซึ่งเป็นระบบเกษตรจากภูมิปัญญาที่สั่งสมมากว่าร้อยปีของชาวปกาเกอญอคณะกรรมาธิการเดินทางจากกรุงเทพฯ เช้าวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2550 ต่อเครื่องบินการบินไทยจากชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน เวลา 10.05 น. ผ่านเทือกเขาสลับซับซ้อนที่ปกคลุมด้วยผืนป่าเขียวขจี ใช้เวลาแค่ 25 นาทีก็ถึงแม่ฮ่องสอนช่วงเวลารับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน ตัวแทนชาวบ้าน และ องค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือแสดงความห่วงใยว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนปกคลุมภูเขาและป่าไม้จำนวน90% ที่อยู่และที่ทำกินของชาวบ้านจึงถือว่าอยู่ในเขตอนุรักษ์ทั้งป่าสงวน อุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตต้นน้ำทั้งนั้น หากเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ชาวบ้านก็ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายได้ทุกวันประชากรแม่ฮ่องสอนประกอบด้วยคนเชื้อสายไทยใหญ่ และชนชาติพันธุ์ ซึ่งชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) มีมากที่สุด มีวิถีชีวิตแบบพอเพียง พึ่งตัวเองทำการเกษตรแบบยังชีพ ที่เหลือจึงขาย อยู่ห่างไกลการคมนาคม การติดต่อสื่อสารทำได้ยาก ผู้คนจึงรักษาธรรมชาติและดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้ดี เป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่จังหวัด แนวทางที่ชุมชนชนชาติพันธุ์อนุรักษ์ธรรมชาติ คือ ใช้พิธีบวชป่า สืบชะตาแม่น้ำเพื่อรักษาป่าและพันธุ์ปลา กำหนดเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จัดระบบควบคุมไฟป่า ทำแนวกันไฟรอบที่ทำกิน รอบหมู่บ้าน เพื่อไม่ให้ไฟไหม้ลุกลาม ใช้มาตรการบังคับทางสังคม ไม่พูด ไม่ร่วมกิจกรรมกับคนทำผิดกฎกติกา รวมทั้ง อบต.เข้ามาหนุนช่วยโดยสร้างข้อบัญญัติท้องถิ่น จัดเวทีปรึกษาหารือ สร้างเครือข่ายอนุรักษ์ส่งเสริมอาชีพที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ เช่นการเลี้ยงวัว ควาย การทอผ้าสีธรรมชาติ การท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ผืนป่าที่ตำบลห้วยปูลิงจึงสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าหายากมาอยู่อาศัย เช่น ช้างป่า นกเงือก เลียงผาผู้เสนอความเห็นทุกคนพูดตรงกันว่าระบบไร่หมุนเวียนทำมากว่า 200 ปี แล้วมีหลักฐานยืนยันงานวิจัยของ ดร.อานันท์  กาญจนพันธุ์ (ซึ่งนายเดโช ไชยทัพ ได้มอบให้ประธานกรรมาธิการนำมาใช้อ้างอิง) ขอให้ระบุในกฎหมายว่าหากชุมชนทำเกษตรแบบไร่เวียน ซึ่งพิสูจน์ได้ มีมาตรการอนุรักษ์ ไม่ก่อปัญหาดินเสื่อม การชะล้างพังทลาย ทั้งยังช่วยฟื้นสภาพป่าให้สมบูรณ์ได้โดยเร็ว ถือว่าไม่เป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้คุ้มครองตามพระราชบัญญัติที่ดินที่ประชุมเสนอให้กฎหมายเข้มงวดกับการใช้พื้นที่แปลงใหญ่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยขาดมาตรการการอนุรักษ์ ซึ่งมักมีนายทุนหรือบริษัทยักษ์ใหญ่สนับสนุนทำให้ดินเสื่อมโทรม ชะล้างพังทลาย จนเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนการใช้สารเคมีจนเกิดปัญหาการปนเปื้อน กลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม รัฐควรคุมที่ต้นเหตุ คือ การควบคุมการนำเข้า การขายและการใช้สารเคมีให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ไม่ควรเข้มงวดกับเกษตรกรรายย่อยซึ่งเป็นปลายเหตุ ข้อเสนอในมาตราที่ว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารของกระทรวง กรม ที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิแค่ 3 คน ที่ประชาชนเสนอให้มีตัวแทนภาคประชาชนเพิ่มขึ้นทั้งระดับชาติ และระดับจังหวัดเมื่อได้เข้าไปศึกษาความเป็นจริงที่ตำบลห้วยปูลิง คณะกรรมาธิการได้ฟังข้อมูลจากนายก อบต. ห้วยปูลิง นายไชยา ประหยัดทรัพย์ ว่า ชาวปกาเกอญอบ้านหนองขาว  ซึ่งประสบความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทั้งหมู่บ้าน ทำ HOME STAY มีระบบคัดเลือกผู้มาเยือนโดยนักท่องเที่ยวต้องแสดงความจำนงล่วงหน้าว่าสนใจด้านไหน ถ้าต้องการมาลองยาเสพติด หรือสนใจในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับแนวทางของหมู่บ้าน ก็จะไม่รับ ในฤดูเกษตร นักท่องเที่ยวจะได้ไปร่วมปลูกข้าว ลงนาเกี่ยวข้าวด้วย เป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริงโดยตรง ที่แปลงไร่หมุนเวียนของหมู่บ้านห้วยฮี้  นายก อบต. และผู้ใหญ่บ้านชี้ให้ดูของจริงว่าไร่หมุนเว้นไว้ ฟื้นสภาพป่าให้อุดมสมบูรณ์ได้เร็ว เพราะต้นใหม่จะแตกขึ้นมารองต้นเดิม ที่ถูกตัดสูงราวเอว เมื่อต้นเดิมผุพังไป ต้นไม้ก็งอกงามขึ้นมาทดแทนในไร่ข้าวปลูกพืชผสมผสานถึง 40 อย่าง เช่น ต้นกระเจี๊ยบแดง ที่เอามาต้มเป็นน้ำกระเจี๊ยบเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ กำลังออกดอกสีนวลใส งากำลังออกดอกขาว และติดฝัก  แตงลูกเล็ก ๆ เท่าลูกฝรั่งกำลังสุก  มันพื้นเมืองหัวฝังอยู่ใต้ดิน เถาเลื้อยขึ้นไต่ตอไม้ มันสำปะหลัง พริกกำลังสุกเป็นสีเหลือง ส้ม แดง บวบลูกเล็ก ฟักทอง ผักอีหลืน (คล้ายกะเพรา) ถั่วฝักสั้น ถั่วแปป ฯลฯ  สารพัดอย่างเรียกชื่อไม่ถูก เมื่อศึกษาไร่หมุนเวียนเข้าใจดีแล้ว ก็มาทานข้าวกลางวันที่บ้านของรองนายกอบต. (นายทองเปลว  ทวิชากรสีทอง) กลุ่มหญิงแม่เรือนนุ่งซิ่นกับเสื้อที่ทอเองสีสวยสด ช่วยกันยกอาหารมาให้ มีน้ำพริกกะเหรี่ยง ข้าวเบ๊อะ (ข้าวเคี่ยวจนเปื่อยใส่ผักชนิดต่าง ๆ กับเนื้อไก่หรือเนื้อหมู) ผัดผักรวมหลายชนิด ลาบหมูหมกไฟ กินกับข้าวไร่ห่อใบตอง อร่อยจนลืมอิ่ม เสียดายที่เป็นข้าวขาว ไม่ใช่ข้าวไร่ที่ตำครกกระเดื่อง ซึ่งจะมีรสชาดดีกว่าภาชนะใส่น้ำชาทำจากกระบอกไม้ไผ่เหลาให้หมดเสี้ยน กลิ่นไม้ไผ่ทำให้รสน้ำชาหอมชื่นใจมากขึ้น ภรรยาผู้ใหญ่บ้านมอบเสื้อทอที่ย้อมสีธรรมชาติให้ดิฉัน 1 ตัว ส่วนผู้ใหญ่บ้านมอบให้พลเอกสุรินทร์  พิกุลทอง ในฐานะที่ได้มาช่วยแก้ปัญหาที่ดินป่าไม้ในนามกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เป็นที่ประทับใจทั้งผู้ให้และผู้รับชาวบ้านชวนไปที่โบสถ์คริสต์ เพื่อรับฟังความเห็นต่อ “ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. .........” อีกครั้ง มีทั้งพ่อเฒ่า แม่เฒ่า พ่อเรือน แม่เรือน เด็กและวัยรุ่นพากันมาเต็มห้องได้เสนอให้คณะกรรมาธิการเพิ่มเนื้อหาของกฎหมายให้คุ้มครองระบบไร่หมุนเวียน และวิถีชีวิตที่อนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อชาวบ้านจะได้หมดห่วงกังวล และนอนหลับได้ทุกคืน คณะเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน โดยหัวหน้าสถานีพัฒนาที่ดิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน คือนายถาวร  มีชัย ผู้อำนวยการเขต 6 คือ นายสวัสดี บุญชี และผู้แทนจากส่วนกลาง ได้นำคณะกรรมาธิการ ฯ ไปดูโครงการนำร่องพัฒนาที่ดินตามแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงที่บ้านดอยคู ตำบลนาปู่ป้อม อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2550 จุดแรกดูระบบวิธีพืช คือปลูกหญ้าแฝกเพื่อชะลอการชะล้างดิน โดยปลูกเป็นแถบตามแนวระดับ และใช้ระบบน้ำฉีดกระจายทั่วพื้นที่เจ้าของแปลงปลูกกระเทียม สลับกับถั่วเหลือง มีรายได้ดี โดยต้องคอยดูแลให้แถวหญ้าแฝกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ให้น้ำสม่ำเสมอ และปลูกซ่อมให้มีความถี่พอเหมาะไม่เปิดช่องให้น้ำเซาะ ชะล้างหน้าดินได้อีกจุดหนึ่งเป็นแปลงปลูกปอเทือง และถั่วพร้า เพื่อบำรุงดิน ปกคลุมดิน และเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ขาย ร่วมกับวิธีขุดร่องน้ำรอบแนวภูเขาเป็นช่วง ๆ เพื่อชะลอความแรงของน้ำฝน และเพื่อกักตะกอนดิน โดยจ้างแรงงานชาวบ้านเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ และสั่งสมความเข้าใจมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำผ่านการลงมือทำงานโดยตรงปอเทืองทั้งแปลงใหญ่กำลังออกดอก ดอกกำลังทยอยบานเป็นสีเหลืองรับกับสีของท้องฟ้า หัวหน้านิพนธ์  ชัยอนันต์ เล่าว่า เวลาดอกบานเต็มทุ่งจะสวยไม่แพ้ทุ่งบัวตอง นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูป ส่วนถั่วพร้ำแตกพุ่มงามทั้งแปลง กำลังออกช่อดอกสีม่วง สวยไปอีกแบบพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดินฉบับนี้มีหลักการมุ่งให้กรมพัฒนาที่ดินเป็นผู้รับผิดชอบให้การพัฒนาที่ดิน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยใช้มาตรการด้านกฎหมายเสริมการปฏิบัติงานด้านวิชาการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และเป็นการคุ้มครองประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้ที่ดิน โดยกำหนดการวางแผนการใช้ที่ดิน และกำหนดบริเวณการใช้ที่ดินตามความเหมาะสมของที่ดิน และจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายและดินถล่มในที่มีผู้ครอบครองได้ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และกรรมาธิการวิสามัญ ดิฉันชื่นชมในเจตนารมณ์ของร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ........ ขอให้พระราชบัญญัตินี้ได้รับการสนับสนุนจากสนช. และประชาชน ให้ผ่านวาระ 1-2-3 ได้โดยสะดวก เพื่อพัฒนาที่ดินและทรัพยากรน้ำ ป่า ให้คืนสู่ความสมบูรณ์ และสมดุลโดยเร็ว
Hit & Run
  ตติกานต์ เดชชพงศ  เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูฉากโหดๆ อาทิ หัวขาดกระเด็น เลือดสาดกระจาย กระสุนเจาะกระโหลกเลือดกระฉูด ในหนังไทย (ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านบาท!) เรื่อง ‘โอปปาติก'  รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้รอดพ้นเงื้อมมือกองเซ็นเซอร์ผู้เคร่งครัดมาได้ยังไง?เพราะด้วยการทำงานของหน่วยงานเดียวกันนี้ ทำให้หนังเรื่องหนึ่งถูกห้ามฉาย เพราะมีฉากพระสงฆ์เล่นกีตาร์, และฉากนายแพทย์บอกเล่าว่าตนก็มีึความรู้สึกทางเพศ แม้แต่ฉากเด็กผู้หญิงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นเพียงตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) ก็ยังถูกเซ็นเซอร์มาแล้ว ด้วยข้อหา ‘ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี' แต่โอปปาติกเป็นหนัง ‘เหนือจริง' ห่อหุ้มด้วยเปลือกบางๆ ของแนวคิดพุทธศาสนา ว่าด้วยการเกิด-การตาย โดยมีการนำวิธีจำแนกการเกิด 4 ประเภทของสัตว์โลกมาอธิบายว่า ‘โอปปาติก' คือสิ่งมีชีวิต (มีดวงจิต) ที่เกิดแล้วโตทันที ซึ่งในหนังตั้งเงื่อนไขว่า โอปปาติกคือมนุษย์ที่ฆ่าตัวตาย แต่ดวงจิตหรือวิญญาณไม่หลุดพ้นไปจากโลก และกลับจุติขึ้นใหม่ในรูปอื่น พร้อมกับแต่งเติม ‘พรสวรรค์' ของโอปปาติกแต่ละตนให้แตกต่างกันไป เพื่อให้หนังมีรสชาติมากขึ้น ภายใต้พล็อตที่ผูกเอาไว้หลวมๆ ว่าโอปปาติกตนหนึ่งต้องการอำนาจพิเศษเหนือใคร จึงให้ลูกน้องไปตามล่าโอปปาติกตนอื่นๆ ให้มาติดกับ เพื่อที่จะได้แย่งชิงพลังอำนาจของผู้อื่นมาเป็นของตัวเองแต่ตัวละครที่น่าสนใจและเป็นตัวดำเนินเรื่องในโอปปาติก กลับกลายเป็น ‘มนุษย์' คนหนึ่งซึ่งทำงานด้วยความจงรักภักดีแบบถวายหัวให้กับโอปปาติกซึ่งมีตบะแก่กล้าบารมีสูงส่ง และมีบุญคุณต่อกันมาตั้งแต่ปางไหนก็ไม่รู้ มนุษย์รายนี้เกลียดชังใครก็ตามที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต เขาก็เลยเกลียดคนที่ฆ่าตัวตาย แม้ว่าส่าเหตุส่วนหนึ่งที่คนฆ่าตัวตายจะมาจากการยุแหย่โดยโอปปาติกที่เป็น ‘เจ้านาย' ของตัวเองก็ตามทีและเพื่อทำงานให้กับ ‘เจ้านาย' ผู้มีบุญคุณ มนุษย์รายเดียวกันนี้ก็ส่งลูกน้อง (ที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน) ไปต่อสู้กับโอปปาติกที่เป็นอมตะ เพื่อให้ภารกิจของ ‘นาย' สิ้นสุด หรือถ้าจะพูดว่า มนุษย์ในเรื่องนี้ไม่เห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกัน-ก็น่าจะใช่ เขาจึงพร้อมที่จะสละชีวิตลูกน้องจำนวนมาก เพื่อความพอใจสูงสุดของเจ้านายมากกว่า ในความเคลื่อนไหวของหนัง ภาพมืดหม่นของชีวิตที่วนเวียนกับความรุนแรงของการเข่นฆ่าและการค้นหาทางเพิ่มพูนพลังอำนาจ (รวมถึงฉากแหวะๆ เช่น การใช้กริชแทงทะลุหัวกะโหลก หรือไม่ก็แทงคอทะลุเลือดพุ่ง) อาจทำให้คนดูหลายคนรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน แต่เพียงแค่บอกว่า นี่เป็นการนำ ‘พุทธปรัชญา' มาตีแผ่ หนังเรื่องนี้ก็สามารถออกฉายได้เต็มๆ โดยไม่ถูกตัดทอนอะไร แสดงให้เห็นถึงความลักลั่นเรื่อง ‘การกำหนดมาตรฐาน' ของผู้มีอำนาจในการเซ็นเซอร์ (อย่างเห็นได้ชัด)เพราะในเวลาเดียวกันกับที่หนังพยายามบอกว่า ‘การฆ่าตัวตายเป็นบาปที่ไม่อาจหลุดพ้น' ตัวละคร (ทั้งที่เป็นภูตผีและที่เป็นคน) ล้วนเอาเป็นเอาตายกับการฆ่าล้างโคตรกันไม่หยุดหย่อน เพราะเห็นว่า ‘ชีวิตอื่นๆ' ไม่มีความหมายเท่าชีวิตของคนที่ตัวเองเชิดชูในทางกลับกัน เมื่อความบัดซบในชีวิตทำให้ใครบางคนต้องเลือก ‘ความตาย' เป็นคำตอบสุดท้ายเขาคนนั้นอาจตายเพื่อเป็นแสงสว่างให้กับโลกมืดของโอปปาติกที่เวียนว่ายไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียทีก็เป็นได้ถึงแม้ว่านี่จะเป็นหนังแอ๊กชั่นที่มีคนวิจารณ์ว่าออกจะขาดๆ เกินๆ และบกพร่องเรื่องความสมจริงไปบ้าง แต่ในทัศนะส่วนตัวแล้ว ‘โอปปาติก' ถือว่าเป็น ‘หนังสะท้อนสังคม' ที่ทำให้ฉุกคิดเรื่องอะไรหลายๆ อย่างได้มากที่สุด ณ ตอนนี้!...ในวาระครบรอบ 1 ปี (กับอีก 3 วัน) การจากไปของ ‘นวมทอง ไพรวัลย์'...  
new media watch
  ใครที่เป็นแฟนประจำนิตยสาร ‘สารคดี' ย่อมรู้ว่า ‘วัน ตัน' เป็นนามปากกาของ บก.วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ - ผู้เป็นทั้งนักคิด นักเขียน และคนทำหนังสือผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ของไทยนอกเหนือจากบทบาทการเป็นนักคิดนักเขียน วันชัยยังเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเป็นนักเคลื่อนไหวด้านกิจกรรมเพื่อสังคมอีกนับไม่ถ้วน บท บก.ของวันชัย จึงเป็นสิ่งที่หนอนหนังสือ ‘ต้องอ่าน' พอๆ กับคอลัมน์ที่ ‘วัน ตัน' เขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกสีเขียวใบนี้ แง่มุมดีๆ และความคิดที่ชวนให้เก็บไปต่อยอด มักมีที่มาจากงานเขียนหลายๆ ชิ้นบนพื้นที่หน้ากระดาษที่ว่ามาแล้วทั้งสิ้น ตอนนี้สารคดีเปิดพื้นที่ ‘บล็อก' ให้กับสมาชิกและคนในกอง บก.แล้ว นักเล่นเน็ตจึงมีโอกาสได้อ่านงานของวันชัย และวัน ตัน ได้ง่ายดายและรวดเร็วขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ บล็อก http://www.sarakadee.com/blog/oneton/ ของวันชัย ไม่ใช่แค่สถานที่เก็บงานเขียนในสารคดีเท่านั้น แต่เป็นแหล่งรวมความคิดเห็นที่น่าสนใจของวันชัยในแง่ต่างๆ เพื่อให้คนที่สนใจตามอ่านกันได้ โดยไม่้ต้องใช้เวลาไปกับการเสาะแสวงหาผลงานของวันชัยจากหลายๆ ที่ ล่าสุด บก.วันชัย พูดถึงพลังงานนิวเคลียร์, สถานการณ์ในพม่า และ ‘ตลกร้าย' เรื่องเอฟทีเอ ไทย-ญี่ปุ่นด้วยบอกได้คำเดียวว่า ‘ไม่น่าพลาด'  
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี 05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์ ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสร ธ กรุงไทย สาขาบางบัวทอง หรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240 วันอมาวสี ประจำเดือนพฤศจิกายนนี้ ตรงกับวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายนนะคะ
Music
"ความฉาบฉวยและความสับสนอาจจะทำให้บางคนคิดว่ามันเวอร์ไปหรือเปล่า ยุคสมัยมันหม่นมืดขนาดนี้จริงๆ หรือ ต้องไม่ลืมว่าวง Porcupine Tree มาจากประเทศอังกฤษ มิวสิควีดิโอเพลง Fear of a Blank Planet เองก็อาจชวนให้นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นจริง (หลายครั้ง) ในสหรัฐฯ และที่สำคัญคือการเล่าของพวกเขาก็ไม่ได้ตัดสินอะไรแทนเราว่าสิ่งที่บอกผ่านออกมานี้ดีหรือไม่ดี" วง Porcupine Tree อาจจะเป็นที่รู้จักน้อยมากสำหรับคนทั่วไป และอาจจะเป็นที่รู้จักบ้างพอสมควรสำหรับคนที่ชอบฟังเพลงแนว Progressive Rock ซึ่ง Porcupine Tree ถือเป็นวงที่มีแนวทางของ Psychedelic/Space อันหลอนและล่องลอยแบบ Pink Floyd เป็นหลัก โดยเจือความเป็น Metal เข้าไปผสมได้อย่างกลมกลืนอัลบั้มล่าสุดของพวกเขาคือ Fear of a Blank Planet ก็ยังคงรักษาความหลอนล่องลอย มืดมน เอาไว้ได้เหมือนเดิมโดยไม่ได้ถูกท่วงทำนองกีต้าร์หนัก ๆ ทำลายไป ซึ่งต้องขอบคุณมือคีย์บอร์ดอย่าง Richard Barbieri ผู้สร้างเสียงสังเคราะห์เป็นพื้นผิว (Texture) ของดนตรีได้อย่างเยี่ยมยอดและความหม่นครึมที่แทรกอยู่แทบทุกอณูของอัลบั้มนี้ ก็ช่างเหมาะเจาะไปกันได้กับคอนเซปต์เนื้อหาของมันเหลือเกินSteve Wilson มือกีต้าร์และนักร้องนำของวง เป็นผู้วางคอนเซปต์อัลบั้มนี้ เขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรหลาย ๆ อย่างอย่างแรกซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในอัลบั้มนี้เลยคือเรื่องของการที่คนเราเมื่ออายุมากขึ้นเริ่มรู้สึกแปลกแยกกับเด็กในยุคปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าช่องว่างระหว่างวัยเป็นปกติธรรมดาซึ่งอาจจะมาพร้อมกับช่องว่างระหว่างยุคสมัย แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่าช่วงเปลี่ยนผ่านของ Generation มันหดสั้นลงกว่าเดิม จนอาจทำให้คนที่อายุมากกว่าอาจจะรู้สึกแปลกแยกแบบนี้กับเด็กอายุห่างกันสองสามปีได้เลยทีเดียวแรงบันดาลใจที่สำคัญอีกอย่างซึ่งเจ้าตัวได้เปิดเผยออกมาเองคือนิยายเรื่อง Lunar Park ของ Bret Easton Ellis คนเดียวกับที่เขียนเรื่อง American Psycho (ซึ่งถูกทำเป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมา) สะท้อนภาพความเหลวไหลไร้สาระของ Yuppie อเมริกันชนยุค 80's ภายใต้เรื่องแนวเขย่าขวัญขอโน๊ตไว้อีกว่าถ้าใครจำได้อัลบั้ม Weekend in the City ของวง Bloc Party เองก็ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายอีกเรื่องของ Bret Easton Ellis เช่นกัน คงเป็นธรรมดาที่หนังสือของนายคนนี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินหลายวง เพราะเนื้อเรื่อง จากนิยายของเขาเหมือนจะสามารถทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนของยุคสมัยแสนว่างเปล่าผ่านผันมาได้จนถึงยุคปัจจุบันLunar Park เป็นนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของตัว Ellis เอง ซึ่งเรื่องในนิยายจะถูกเล่าจากมุมมองของตัวละครผู้เป็นพ่อ ที่มีชื่อว่า Ellis เหมือนกัน ขณะที่ในอัลบั้ม Fear of a Blank Planet จะเปลี่ยนมาเล่าจากมุมมองของ Robby ผู้เป็นลูกแทน เว้นแต่ในเพลง My Ashes เพลงเดียว ที่เล่าผ่านมุมมองของ EllisFear of a Blank Planet จึงเป็นเหมือนบทบอกเล่าจากเด็กชาย Robby และก็เป็นเหมือนเรื่องราวจากสายตาของเหล่าวัยรุ่นผู้ "หวาดกลัวดาวเคราะห์อันแสนว่างเปล่า" ในขณะเดียวกันความประทับใจของผมอย่างหนึ่งที่มีต่อวงนี้ คือการที่พวกเขาพยายามทำอัลบั้มที่มีคอนเซปต์โดยอาศัยมุมมองจากผู้อื่นนอกจากตัวพวกเขาเอง ซึ่งหลายเพลงทำได้ลึกซึ้งทีเดียว แน่นอนว่านี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่วง Porcupine Tree ทำคอนเซปต์แบบนี้ออกมา ในปี 2001 พวกเขาก็มีอัลบั้ม In Absentia ที่แทบทุกเพลง สื่อให้เห็นการมองโลกโดยใช้มุมมองของผู้คนที่ถูกสังคมเรียกว่า "ฆาตกรโรคจิต" ซึ่งไม่ได้เล่าอย่างตัดสินพิพากษาขณะเดียวกันก็ไม่ได้เชิดชู เว้นช่องว่างไว้ให้ผู้ฟังจะได้ตัดสินดีเลวด้วยตนเองแต่ขณะที่ In Absentia เป็นอัลบั้มที่หนักและสามารถสร้างความประทับใจได้เพียงแรกสดับ Fear of a Blank Planet กลับเป็นอัลบั้มที่ต้องยิ่งฟังมากครั้ง ถึงยิ่งรู้สึกถึงความลึกซึ้งของมัน อาจจะไม่ใช่เพราะเนื้อหาของมันอย่างเดียว (ซึ่งจะว่าไปเนื้อหาส่วนมากก็เป็นเชิงแสดงความรู้สึก ไม่ได้ตีความยากอะไร) แต่เป็นตัวดนตรีด้วยที่นักวิจารณ์บางคนถึงขั้นบอกว่า เจ้าพวกนี้พยายามจะทำ "Dark side of the Moon" (หนึ่งในอัลบั้มมาสเตอร์พีชของ Pink Floyd) แห่งสมัยปัจจุบันกาลขึ้นมาเพลง Fear of a Blank Planet ที่เป็นไตเติ้ลแทรกเปิดอัลบั้มและเพลงยาวเหยียดอย่าง Anesthetize บอกเล่าชีวิต ความคิดอ่าน และความรู้สึกผ่านสายตาของวัยรุ่นผู้อยู่ในโลกแสนว่างเปล่า ไร้ความหมาย ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่กระตุ้นเร้าต่างๆ นานา แต่เนื้อเพลงมันก็ไม่ได้ชวนให้จมกับความเศร้าอะไร ในบางช่วงมันฟังดูฮาดีด้วยซ้ำ (เป็นตลกร้ายที่บางคนอาจจะไม่ฮาด้วยก็เป็นได้)I'm stoned in the mall againTerminally boredShuffling around the storesAnd shoplifting is getting so last year's thingXbox is a god to meA finger on the switchMy mother is a bitchMy father gave up ever trying to talk to meฉันมึนงงอยู่ในห้างอีกแล้วเกิดเบื่อขึ้นมาเฉย ๆเลยหมุนผลัดไปตามร้านค้าแล้วก็ฉกเอาไอ่ของที่ออกเมื่อปีที่แล้วมาเอ็กบอกซ์เป็นพระเจ้าสำหรับฉันเลยจิ้มนิ้วลงไปบนปุ่มสิแม่ฉันมันก็แค่นังตัวดีพ่อฉันเลิกพยายามที่จะพูดกับฉันไปนานแล้ว- Fear of a Blank Planet -Fear of a Blank Planet เป็นเพลงจังหวะเร็ว มีการร้องแบบรีบเร่ง ขณะเดียวกันก็มีการสับจังหวะในบางจุด ซึ่งตรงนี้ช่วยขับความรู้สึกจากเนื้อเพลงที่พูดโลกที่ฉาบฉวย พร้อมจะทิ้งอะไรไปได้ทุกวินาทีออกมาได้เป็นอย่างดี ขณะที่เพลง Anesthetize ได้ Alex Lifeson (วง Rush) มาโซโล่กีต้าร์ โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันยาวเกินความจำเป็นไปนิด ขณะที่ดนตรีในบางส่วนฟังดูซ้ำๆ ซากๆ แต่ถ้ามองในอีกแง่ ดนตรีซ้ำๆ ซากๆ มันช่วยสร้างความรู้สึกร่วมกับเนื้อเพลงที่พูดถึงชีวิตอันไร้ความหมายวนเวียนไปไม่รู้จบ ก่อนดนตรีจะคลี่คลายในช่วงท้ายเหมือนพบทางออก ...แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่แน่ใจว่านั่นเป็นทางออกที่แท้จริงหรือเปล่าThe water so warm that dayI was counting out the wavesAnd I followed their short lifeAs they broke on the shorelineI could see youBut I couldn't hear you ในวันนั้นห้วงน้ำช่างแสนอุ่นฉันกำลังนั่งนับกระแสคลื่นและได้ลอยตามชีวิตอันแสนสั้นของมันไปเช่นเดียวกับที่มันได้แตกซัดตามแนวหาดฉันเห็นคุณแต่ไม่ได้ยินคุณ-  Anesthetize (ช่วงสุดท้าย)ความฉาบฉวยและความสับสนอาจจะทำให้บางคนคิดว่ามันเวอร์ไปหรือเปล่า ยุคสมัยมันหม่นมืดขนาดนี้จริงๆ หรือ ต้องไม่ลืมว่าวง Porcupine Tree มาจากประเทศอังกฤษ มิวสิควีดิโอเพลง Fear of a Blank Planet เองก็อาจชวนให้นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นจริง (หลายครั้ง) ในสหรัฐฯ และที่สำคัญคือการเล่าของพวกเขาก็ไม่ได้ตัดสินอะไรแทนเราว่าสิ่งที่บอกผ่านออกมานี้ดีหรือไม่ดีนอกจากนั้นอัลบั้มนี้ก็ไม่ได้สื่อแต่ด้านความว่างเปล่าของโลกจากสายตาวัยรุ่นเพียงอย่างเดียว เพลงอย่าง Sentimental ก็เปลี่ยนอารมณ์กลับมาสู่การครุ่นคิดและทบทวนความรู้สึก ซึ่งถึงมันจะเป็นการทบทวนที่ไม่ลึกซึ้งมาก แต่ก็ทำให้เห็นแง่มุมใหม่ๆ ที่น่าจะทำให้เข้าใจความรู้สึกกันมากขึ้น เมื่อพวกเขาบอกว่าสับสนกับวัยและยุคสมัย ขณะเดียวกันก็ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่มากไปกว่านี้ เสียงคอร์ดของเปียโนที่เล่นคลอในเพลงช้าๆ เพลงนี้ ทำให้บรรยากาศความหม่นมีความละมุนเจืออยู่บางๆI never want to be oldAnd I don't want dependantsIt's no fun to be toldThat you can't blame your parents anymoreฉันไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ไปกว่านี้และขณะเดียวกันก็ไม่อยากเป็นภาระใครมันไม่สนุกเลยที่จะมีคนมาบอกว่าจะไม่สามารถโทษพ่อโทษแม่ได้เช่นเดิมอีกแล้ว- Sentimental -เพลงที่ใช้เสียงเปียโนได้อย่างเข้าท่าอีกเพลงหนึ่งคือ My Ashes ที่เป็นบัลลาดพลิ้วๆ และประดับด้วยเสียงเครื่องสายออเครสตร้าอย่างงดงาม เนิ้อเพลงเป็นมุมมองของตัวละครผู้เป็นพ่อ ที่แม้ตายไปแล้วเถ้าถ่านของตัวเองก็ยังคงตามดูความเป็นไปต่างๆ อยู่ ซึ่งเพลงนี้นับว่าใช้ภาษาได้สวยมากAnd my ashes drift beneath the silver skyWhere a boy rides on a bike and never smilesAnd my ashes fall over all the things we've saidOn a box of photographs under the bed- My Ashesบรรเลงมาจนถึงบทเพลงโกรธเศร้าอย่าง Way out of here ที่ได้ Robert Fripp แห่งวง King Crimson มาช่วยสร้าง Soundscapes เนื้อเพลงพูดถึงการหาทางออกท่ามกลางโลกที่ว่างเปล่า หลายต่อหลายคนพากันบอกว่าเพลงนี้พูดถึงการฆ่าตัวตาย ซึ่งถ่ายทอดผ่านไปถึงเพลงสุดท้ายคือ Sleep Together ที่ดนตรีออกเป็นอิเล็กโทรนิคแอมเบี้ยนเวิ้งๆ ชวนให้นึกถึงนักบินอวกาศที่กำลังเข้าสู่สภาวะจำศีล (Hibernation) ขณะที่กำลังเดินทาง (หนี) ออกจากโลกนี้ไปI can't take the staringAnd the sympathyAnd I don't like the questions,"How do you feel?How's it going in school?Do you want to talk about it?"ฉันทนไม่ได้กับการถูกจ้องมองกับการที่คนอื่นเห็นอกเห็นใจแล้วฉันก็ไม่ชอบคำถามจำพวก"รู้สึกยังไงบ้างเจออะไรที่โรงเรียนมาบ้างต้องการพูดถึงมันไหม"- Way Out of Here -ชื่อเพลง Sleep Together ถ้าเป็นในบ้านเรามันคงต้องมีใครออกมาบอกว่าสองแง่สามง่ามสิบเ-ยน อะไรก็ว่าไป แต่ตามความเห็นของผู้ฟังส่วนใหญ่แล้ว กลับบอกว่ามันพูดถึงการฆ่าตัวตายที่ถ่ายทอดต่อมาจาก Way Out of Here อีกทีหนึ่งต่างหาก มีบางส่วนเท่านั้นที่บอกว่ามันพูดถึงเรื่องการมีเซ็กส์เพื่อหนีโลกความจริง และอีกส่วนก็ตีความว่ามันไม่ได้มีนัยแฝงอะไร ก็แค่พูดถึงการนอนหลับกันธรรมดาๆ เพื่อหนีเข้าไปในโลกความฝันนั่นแหละความเห็นที่แตกต่างหลากหลายนี้แหละคือเสน่ห์ของศิลปะ! น่าเศร้าที่ในบ้านเรายังคงมัวเอาแต่เป็นห่วงสถาบันนั่นนู่นนี้โน่น แล้วสั่งตรวจสอบ สั่งเก็บ สั่งแบน สั่งเซ็นเซอร์ หรือใช้วิธีใดๆ ก็ตามที่จะกำจัด สิ่งที่พวก "ท่าน" ไม่พึงปรารถนา ด้วยข้ออ้างเดิมๆ เรื่องสร้างความแตกแยกบ้าง พูดถึงแต่ในด้านร้ายๆ บ้าง (สันดานนกกระจอกเทศจริงๆ) ฯลฯ แทนที่จะทำให้คนในสังคมได้ทำความเข้าใจมัน ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมหรือปฏิเสธมันโดยไม่กระทบกับคนที่เห็นต่างตราบใดที่ท่านทั้งหลายยังคงเห็นว่าคนในสังคมเป็นแค่ "เด็กโง่" ที่ต้องฟูมฟักแบบไข่ในหิน  คอยปิดบัง (สิ่งที่พวกท่านคิดว่าเป็น) ความเลวร้ายทั้งหลาย จนเมื่อความจริงกระแทกโครมเข้ามา มันคงยิ่งกว่าเจ็บปวด ยังไม่นับว่าความคิดแบบนี้ของท่านทั้งหลาย มันจะนำไปสู่การทำให้ให้เด็กๆ ในวันพรุ่งนี้เผชิญกับความมืดมิดตามลำพัง โดยไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ (สิ่งที่พวกท่านคิดว่าเป็น) อันตรายร่วมกันเลยแม้แต่น้อยทางออกของเด็ก ๆ ที่นอกเหนือจากการ "นอนหลับ(หลับนอน)ร่วมกัน" (เพื่อหนีโลกออกไป) นั้นมันถูกพวกท่านขวางกั้นอยู่นั่นแหละ ! (ชื่อเต็มๆ ของเอนทรีนี้ - Fear of a Blank Planet โลกจากสายตาหนุ่มสาว ผู้หวาดกลัวดาวเคราะห์อันแสนว่างเปล่า)
ชาน่า


“เม้าท์แตก...ชาวเรา” วางแผงแล้ววันนี้... Behind the scene of come out the closet !ออกพรรษาแล้วนะคะแต่เชื่อว่าหากหลายคนยังรักษาศีลไม่ว่าจะอยู่ในหรือออกนอกพรรษาก็จะได้กุศลอย่างใหญ่หลวง  และเป็นสุขกันถ้วนหน้าค่ะสัปดาห์นี้ ชาน่ายังอยู่เมืองไทยก่อนจะบินไปทำงานประจำที่อเมริกา และยุโรปต้นเดือนหน้า  หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการรวมเล่ม ... “เม้าท์แตก...ชาวเรา”  จึงอยากจะเล่าเรื่องราวความเป็นมา “กว่าจะเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คออกสู่สายตามหาชน”ตอนแรกก็เกิดอาการสองจิตสองใจ ว่าจะรวมเล่มดีมั้ย ผลกระทบจะเป็นเยี่ยงไร หลากหลายความคิด  แต่สุดท้าย แรงสั่นสะเทือนและเจตนาอย่างแรงกล้านั้นได้เข้าสิงสถิตย์ในวิญญาณ  เคยทำงานประจำพอได้พักร้อน หยุดทำงานแล้วมันเกิดอาการว่างจัด   โดยเฉพาะการกลับมาพักร้อนในฤดูฝน ช่วงพรรษา ฝนตกน้ำท่วม  ออกไปไหน ทำอะไรไม่ได้มาก จึงได้ไอเดียในการเผยแพร่ เรื่องราวหลากหลาย มากมายต่างมุมมองของวิถีเกย์กล้า เกย์บ้านนา เกย์เด็กแนว(ตะเข็บชายแดน)  เกย์โกอินเตอร์ เพราะเชื่อแน่ว่า อย่างน้อยก็คงพอจะเป็นสาระ (แน) และบันเทิงผ่านตัวอักษร เป็นหนังสือสื่อสร้างสรรค์เนื้อหาบางตอนได้ตัดต่อ เพิ่มเติมเพื่อความเหมาะสมและให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์สูงสุดชาน่าลงทุนร่วมแรง ร่วมใจกับผองเพื่อน จัดทำเล่มนี้ขึ้นมาด้วยใจรัก  แม้จะได้รับกระแสหลากหลาย  ทั้งคนที่หวั่นไหว เกรง กลัว เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย  เพราะเป็นเรื่องราว “แรงได้จิต” แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบนโลกกลมๆ ใบนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนหลายเพศ (เดี๊ยนรับรอง)  มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ใครหลายคนยอมรับ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะผลักดัน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามความต้องการของใครหลายคน"เม้าท์แตก...ชาวเรา" เป็นการรวมเล่มจากคอลัมน์ พาเม้าท์ชีวิตชาวเกย์ ในเว็บหนังสือพิมพ์ประชาไท   จีบปากจีบคอโดย เกย์(สาว)เปรี้ยว ชาน่า ผู้ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวหลากหลายมุมมองของเกย์ไทยและต่างแดน ไลฟสไตล์ วิถีเกย์กล้า  แสนฮา สุดขำ แสบสันต์ หรือเศร้า น้ำเน่าเอาเรื่อง หลากหลายสาระและความมันส์  บนพื้นฐานของชีวิตจริงที่ต้องเกี่ยวข้องกับ ชายจริง หญิงแท้ อ่านได้ทุกเพศไม่จำกัด รับรองคุณจะวางไม่ลง"“Coming out the closet!” The Gay Living Tips, Travel, and Safe Sex Experiences. 
National Book Fair 2007, Bangkok – A new pocket book called “Coming Out the Closet!” was released officially at Anit Publishing Booth on 23rd October, 2007 during the National Book Fair 2007. 

The author “Chana”, a popular columnist in http://www.prachatai.com, told the true stories of herself and her gay gangs by using fun languages and slangs which specifically use among gays. The stories are about gay life style, relationship, social & family issues, travel, and knowledge of safe sex. “Human beings should love each other without barriers in caste or genders. If we are fulfilled with love we will protect each other from their pain and save people’s lives. Because of love, we care for each other, and encourage each other when someone is down. We provide a chance for someone to go on with their lives and give our hands to support them. I wish gays would share love and compassion with each other forever.” Introduction provided by Udomprachathorn, Wat Prabath Num Phoo. “This book is the most real book I have ever! Chana - I cannot believe what stories you have and as for myself they are all Real because I was there as well! The Gay Life.... Two Thumbs UP for You!” Stefan Engl, Asst. Food & Beverage Manager, Queen Mary 2, Cunard Line The partial of sales will be donated to the charity and HIV patient at Wat Prabaht Num Phoo, Saraburi.อ่านง่าย...ถ่ายคล่อง รับรอง แสบสันต์แสนฮา เนื้อหาแรงได้จิต แต่โดน..เจ้าค่ะตัวอย่าง....สาระ(บาน)   - สารบัญ    “เม้าท์แตก...ชาวเรา"

ชวนเม้าท์...ชีวิตชาวเรา 
1. พาเม้าท์ชีวิตชาวเกย์ Gay’s talk and Lifestyle 
2. รักเอย ...ของชีวิตเกย์ What love got to 
do ! 
3. ไซเบอร์เซ็กส์ ...เอ็กซ์ผ่านจอ Cyber Sex …XXX through screen. 

ชวนเม้าท์...โลกของเรา 
4. ฟิตเนสเพื่อสุขภาพของเกย์ For healthy life .Let’s go to Gay Fitness. 
5. ซาวน่า 
ไลฟ์สไตล์ของชาวเรา Sauna… another gay lifestyle . 
6. เป็นเกย์หรือไบ จะแสดงออกดีหรือไม่ ควรบอกใครดี Coming out ? 
7. 25 ข้อดีที่แสนประเสิร์ฐของคนที่เกิดเป็นเกย์ กะเทย คุณเห็นด้วยหรือไม่ 25 advantages for being gay. 
8. Hot line สายร้อน สายด่วนของเกย์ Gay hot line…Line is getting hotter !! 
9. เกย์สาวออฟฟิศ เคยจีบใครในที่ทำงานหรือเปล่า Are gays Flirt @ work ? 
10. วิธีสังเกตุชายคนไหนที่เป็นเกย์ How to observe gay characteristics. 
11. คิดยังไงกับการมีลูกบุญธรรมของเกย์ Adopted Child by gay . 

เม้าท์หนัง...ฟังเพลง 
12. “ Brokeback Mountain “ แตกหลังเขา เราสามเพศที่เกี่ยวข้อง Brokeback mountain..the secret love ..makes me alive.! 
13. เพื่อนกูรัก(มรึง)ว่ะ Bangkok Love story is it true love ? 
14. ความรักที่เป็นเพลงความลับ กับชู้ทางใจของมัม ลาโคนิค “Secret lover” Is a secret forever ! 

เที่ยวไป...เม้าท์ไป 
15. คัมภีร์พาเที่ยวทั่วโลกของเกย์ “Gay Guide book” a gay planet . 
16. ท่องราตรี ที่กรุงเทพ ๑ one night in Bangkok 1 
17. ท่องราตรี ที่กรุงเทพ ๒ one night in 
Bangkok 2 
18. พาเที่ยวเกาะเกย์ที่ดังของโลก The gay friendly Island,Mykonos - Greece 
19. หาดเปลือย ทำไมคนชอบไปจัง Oh my gosh !... Nude Beach
20. เกย์สัญจร พาเที่ยว เวนิสเมืองที่โรแม๊นติกมากที่สุดในโลก 
The most romantic city in the world. 
21. มหึมา Gay Cruise พาท่องล่องนาวากับเรือสำราญ wow !! Homo Titanic cruise ! 

ขอเม้าท์...เตือนใจ 
22. เตือนใจ เม้าท์เตือนภัยรายวันสำหรับชาวสีม่วงและทุกเพศ Daily warning for purple chicks ! 
23. วิธีแชทอย่างไรให้ปลอดภัย Being safe for Chatters ! 
24. ใครบอกว่า ออรัลไม่ติดโรค Oral Sex may get infected . 
25. ช่องทางโกอินเตอร์ ขายเนื้อ ค้าน้ำกามข้ามชาติ Prostitute…goes inter ! 
26. พาไปรู้จักถุงยางอนามัยสิ่งที่เกย์รักสนุกต้องใช้ Condom …a tool for having fun. 
27. ป๊อบเปอร์ สิ่งเสพติดหรือแค่สารที่ทำให้เคลิ้มยามร่วมเพศ Poppers it’s drug or just arousing sex ! 
28. เตือนเพศทั้งหลายเรือนหลังสุดท้ายของผู้ป่วยเอดส์ -วัดพระบาทน้ำพุ The last resident of HIV patients.เวลาในการทำหนังสือเล่มนี้ ...วันที่ 12 ตุลาคม 50 ตัดสินใจเข้าออฟฟิศเพื่อน (บริษัท อีดีที กรุ๊ฟ เอ็กเพรส) เพื่อเปิดเป็นฐานปฎิบัติการอำนวยการ   ระดมเรียก ตีฆ้อง ร้องป่าว ชาวเพื่อนรัก ร่วมกันทำวันที่ 13 ตุลาคม 50  ได้รับคำนิยมจากท่านเจ้าคุณประชาทร วัดพระบาทน้ำพุ  ตอนเช้าเข้าสตูดิโอ  เดอะ ไฮนิส สตูดิโอ ทองหล่อ 55 ตอนเย็นเลือกรูปและออกแบบหน้าปก วันที่ 14-16 ตุลาคม 50 สามวัน สามคืน กิน นอน ทำงานในออฟฟิศ ทั้งอาร์ตเวิร์คและ จัดหน้า โดยได้ลุย (เพื่อนวงการทีวี ) มาช่วยเต็มพลัง วันที่ 17 ตุลาคม 50  ส่งต้นฉบับเข้าสู่ โรงพิมพ์ “ภาพพิมพ์”  ซึ่งมีคุณปอ ดูแลและเอาใจใส่เป็นอย่างดี   รวมทั้งได้รับอาร์ตเวิร์คหน้าปก ซึ่งมีน้องชายคนหนึ่งที่ทำรีทัชภาพชาน่า ออกมาไม่ให้หน้าชา  ขอบอกว่าคนเดียวกันที่ทำรีทัชภาพพี่มาช่าในโฆษณาล่าสุดเจ้าวันที่ 18 ตุลาคม 50  ตรวจทาน ต้นฉบับ สองสามครั้ง ไปกลับโรงพิมพ์และออฟฟิศทองหล่อวันที่ 19 -22 ตุลาคม 50  ปฎิบัติการพิมพ์พ็อกเก็ตบุ๊ค  ในระหว่างนั้นได้ติดต่อผับ บาร์ ต่าง ๆ เพื่อโปรโมทหนังสือ  ตอนเย็นได้รับหนังสือส่งตรงถึงออฟฟิศ และบริษัทจัดจำหน่าย โดย อนิศ ดิสทริบิวชั่น จำกัดวันที่ 23 ตุลาคม 50  ตื่นแต่เช้า เสื้อผ้า แต่งหน้าทำผม (วิกปลอม)  โดย เดอะ ไฮนิส สตูดิโอ   เที่ยงถึงบ่ายโมง ที่งานหนังสือแห่งชาติ ไปแจกลายเซ็ง .. พิมพ์ผิด ค่ะ ลายเซ็นต์ ซึ่งได้พบปะเพื่อนพ้อง น้องพี่ คนอ่านหนังสือใหม่และเก่ามากมายสรุปเบ็ดเสร็จ 10 วัน “ฉันทำได้ “  “chana she can”ด้วยเจตนารมย์ของชาน่า และเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ร่วมกันทำ รายได้ส่วนหนึ่งเราจะมอบให้กับการกุศลต่าง ๆตามสมควรและวัดพระบาทน้ำพุ  นั่นคือจุดประสงค์หลัก “เรารักสังคม”  เพราะไม่ได้ให้สำนักพิมพ์ไหนทำเพื่อธุรกิจการค้า หวังผลกำไร แต่สิ่งที่เราได้คือความสุข อันพึงมีที่เราอยากจะหยิบยื่นเพื่อสังคมของเราสมัยเรียนชาน่าเคยได้รับทุนการศึกษา จากสังคมตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งล่าสุดระดับปริญญาตรีเคยได้รับทุนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพ  ในรั้วรามคำแหง  จึงได้รับการปลูกฝัง ว่าหากเรามีโอกาสเราจะตอบแทนสังคมหลายครั้งหลายครา ที่ชาน่าผ่านจังหวะวิกฤติของชีวิตที่เกือบเอาตัวไม่รอด เกือบจะไม่ได้กลับมาแผ่นดินเกิด  พอการกลับมาพักร้อนปีนี้จึงได้คิดและทำในสิ่งที่ตัวเองฝัน  เพราะชีวิตของคนเรา ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น  หากมีโอกาสคิดที่จะทำอะไรก็จงทำเสียเถิด จักเกิดผล อย่างน้อยสุดแม้อะไรจะเกิดขึ้นตอนนี้ก็ถือว่า ...เราทำดีที่สุดแล้ว  
อันดับแรกต้องขอขอบพระคุณ ประชาไท เว็บไซต์ข่าวคุณภาพเพื่อสังคมและประชาชน  ที่ให้โอกาสชาน่าได้ถ่ายทอดเรื่องราว แม้บางครั้งอาจจะมีใครหลายคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเขียน แต่ถือว่านั่นคือกำลังใจในทุกความรู้สึกที่ได้   ขอบคุณ คุณ ภู เชียงดาว ผู้ชักนำเข้าสู่วงการ และพี่ น้องผองเพื่อน ประชาไททุกคนขอขอบพระคุณทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ทุกความคิดเห็นและทุกข้อความสนับสนุนในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพื่อนเว็บไซต์ พันทิป ประชาไท และเว็บของชาวเราทั้งหลายมากมายค่ะมากกว่าคำขอบคุณเพื่อนนักอ่าน เพื่อนใหม่ เพื่อนเก่าที่ติดตามกันมาโดยตลอด กราบขอบพระคุณ พี่ ๆ สื่อมวลชน และสื่อทีวี วิทยุ วารสาร หนังสือพิมพ์ เว็บไซด์ต่าง ๆ ที่ช่วยแนะนำหนังสือเล่มนี้ฮ่ะ
ฝากถึงทุกท่าน...หากคิดว่า หนังสือเล่มนี้...  “เม้าท์แตก...ชาวเรา”  จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ร่วมด้วยช่วยชาน่า โปรโมทเพื่อเข้าถึงกลุ่มได้อย่างทั่วถึงนะคะ  และหากผิดพลาดประการใด ชาน่าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวนะคะชาน่าไม่หวังอะไรมาก แค่อยากจะแปลเป็นเก้าภาษาทั่วโลก และมีใครนำเรื่องไปสร้างเป็นหนังดังระดับฮอลลี่วู๊ด   ว๊ายยยยย  ล้อเล่น ฮ่ะ ...(นี่ขนาดไม่หวังอะไรมากนะคะ)หาซื้อได้ที่ไหน...สิ้นเดือน ตุลาคมนี้ ติดตามได้ทุกร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ทั่วไทย อาทิเช่น ร้านบีทูเอส  นายอินทร์ ซีเอ็ด บุ๊คสไมล์เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา ราคาเล่มละ 159 บาทค่า
โอ ไม้จัตวา
ฉันเป็นคนขี้ขลาด ขี้กลัว จึงสร้างเกราะกำบังด้วยภาพของผู้หญิงปากไวใจหมาไว้ป้องกันตัวเอง เพราะรู้ว่าลึกลงไปที่กลางใจนั้น ฉันกลัวเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติฉันค้นพบเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง เมื่อคราวที่คนกลุ่มหนึ่งนำพี่ของฉันไปกักตัวไว้ และฉันบังเอิญต้องติดตามไปด้วย  เพื่อความปลอดภัย เขาว่างั้น ขณะอยู่ในรถรักษาความปลอดภัยนั้น เสียงโทรศัพท์ประสานงานไปมา สติเริ่มมาแทนที่ความกลัว ปัญญาเริ่มวิ่งพล่าน กำโทรศัพท์แน่น ในความมืดฉันแอบโทรออกจากในรถหาเพื่อนร่วมบ้านซึ่งกำลังรอฉันอยู่ ฉันป้องปากกระซิบเบาที่สุดขณะเสียงที่ดังขึ้นข้างหน้า บอกเพื่อนว่า “ฟัง” แล้วซ่อนโทรศัพท์ลงต่ำ ไม่ให้แสงไฟหน้าจอลอดออกมาได้อย่างน้อย ณ เวลานั้นก็มีคนรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ฉันกลัวความปลอดภัยแบบนี้ หนาวเยือกเข้าไปในจิตใจเมื่อคิดว่าเสร็จศึกแล้วเขาจะเป็นฝ่ายแพ้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้ชนะค้นพบว่าเราอยู่ในสถานที่ของผู้แพ้ฉันกลัวเมื่อรถถูกทุบกระจก คนทุบรถถืออิฐจังก้าเขวี้ยงเข้าไปที่หน้ารถ ชี้หน้าด่าว่าฉันจอดรถกีดขวางหน้าบ้านเขา ทำให้เขาเลี้ยวเข้าบ้านไม่ได้ เขาเมา ทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวมากขึ้น จำได้ว่าเดินไปบอกพี่ว่า รถโดนทุบ พี่หันมามองเฉยแล้วบอกว่า ก็แจ้งความสิ เรียกตำรวจมา แล้วหันไปคุยกับลูกค้าต่อ ฉันอึ้ง งง แล้วทำตามอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เป็นเรื่องของกฎหมาย  สถานีตำรวจยามดึก การเจรจาต่อรองของคนที่ก้าวร้าวรุนแรงต่อฉันสักครู่  เขายืนกุมเป้าอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจอย่างหวาดกลัว แล้วปล่อยให้ภรรยาตัวเองมาต่อรองค่าเสียหายกับฉันฉันกลัวการทำร้ายร่างกาย กลัวเจ็บ กลัวการบังคับ ข่มขู่ ทำให้เจ็บ ทำให้อาย ที่สำคัญคือกลัวการสูญสิ้นอิสรภาพ  นั่นนำพาให้ต้องหลีกเลี่ยงการทำสิ่งผิดกฎหมายทั้งปวง เริ่มตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซด์ต้องใส่หมวกกันน็อคความกลัวหลายอย่างเกิดขึ้นก่อนอารมณ์อื่น ๆ ที่ตามมาเมื่อตั้งสติได้แล้ว สมาธิ และปัญญากลับมาแล้ว ฉันเริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางของเหตุผล กฎเกณฑ์  และกฎหมาย ในหนังสือสนทนากับพระเจ้า แปลโดย รวิวาร มีตอนหนึ่งถามฉันว่า เธอจะอยู่ด้วยความรักหรือความกลัว คำเดียวแต่ชี้นำความคิด และวิถีชีวิตอีกยาวไกล มันบอกหนทางภายภาคหน้า เส้นทางของหัวใจ แน่นอนฉันย่อมเลือกการอยู่ด้วยความรัก ฉันรักการถ่ายภาพ รักโลก ทำให้สายตาของฉันมองเห็นสิ่งที่ฉันอยากเห็น  ผู้ปกครองบ้านเมืองบอกว่าบริหารบ้านเมืองด้วยความรัก  รักชาติ รักประชาชน รักพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่การกระทำหลายอย่างบ่งบอกว่าออกมาจากความกลัว  เช่น กลัวความยากจน จึงต้องสร้างความร่ำรวย แล้วบอกว่าจะแก้ปัญหาความยากจนซึ่งไม่แน่นักว่าแก้ให้ใครข้าราชการหลายคนจำนองบ้านและที่ดินนำเงินไปซุกไว้ใต้โต๊ะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งระดับขั้นและตำแหน่งที่สูงขึ้น  ด้วยเหตุผลว่า มันเป็นระบบถ้าเราไม่ทำคนอื่นก็ทำ ลูกน้องก็ทำ และสักวันหนึ่งลูกน้องก็จะแซงหน้าตนขึ้นไป เงินหนึ่งล้านบาทสำหรับผู้นำในระดับเล็ก ๆ ของสังคม เงินหลักแสนในระดับเล็กลงมา “ปีเดียวก็คืนทุน”  หรือ “น้ำท่วมครั้งเดียวก็คืนทุน”  น้องคนหนึ่งถูกคุกคามจากคนที่เคยร่วมงานด้วย  ประสบการณ์และวัยทำให้เธอหวั่นไหว แม้หัวใจเธอบอกว่าไม่กลัว แต่เมื่อพบข้อความที่เต็มไปด้วยเหี้ยห่าและสารพัดสัตว์ที่เขาส่งก็อดเครียดไม่ได้  ความกลัวเหมือนยาลดกำลังใจ ขณะความรักเหมือนยาให้กำลังใจ ในเวลาวิกฤติของเพื่อนมิตร ฉันไม่รีรอที่จะเอ่ยคำว่า ฉันเป็นห่วง และให้กำลังใจ เพราะไม่มีสิ่งใดจริงแท้และทรงพลังมากเท่ากับกำลังจากหัวใจของตัวเอง แต่การให้กำลังใจจากคนรอบข้าง บางเวลาก็เหมือนจุดประกายถ่านที่กำลังจะมอดดับให้ลุกโพลงขึ้นมาสู้กับปัญหาได้เช่นกัน ฉันบอกน้องไปว่าอย่ากลัว ถ้าเรากลัว สิ่งแรกที่จะทำร้ายเราคือความกลัว  ถ้าเธอกลัวคนรอบข้าง พ่อ แม่ พี่ ก็จะกลัวกับเธอ โชคดีที่พ่อและแม่ของเธอมีวุฒิภาวะและมีหัวใจที่เข้มแข็งอยู่ข้างกายลูกตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาวิกฤติอย่างน้อยหัวใจที่อบอุ่นก็นำพาเส้นทางที่อบอุ่นมาให้ ฉันให้น้องดูตัวแม่ของเธอซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก  เธอรักโลก รักผู้คน รักธรรมชาติ  ทำให้การกระทำที่ออกมานั้นออกมาด้วยความรัก แม้แต่การแสดงออกทางการเมืองก็ยังออกมาจากความรักบ้านเมือง ไม่ใช่ความกลัวว่าผู้ปกครองจะโกงกิน เมื่อรักโลก โลกก็รักเรา สิ่งที่แม่ของเธอกลัวคืออะไรรู้ไหม ฉันถามน้อง เธอไม่รู้สิ่งที่แม่กลัวที่สุดก็คือความกลัวของเธอ นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันกลั่นออกมาจากหัวใจ และทำให้เธอ “พลันคิดได้” ก้าวเดินออกจากเส้นทางเดิมด้วยหัวใจที่แข็งแรงมากขึ้น 
ช้องนาง วิพุธานุพงษ์
A Lawyer will do anything to win a case, sometimes he will even tell the truth.Patrick Murray ครั้งที่แล้วเล่าถึงกระบวนการกว่าจะมาเป็นทนายในประเทศเกาหลีใต้ไปแล้วคราวนี้ลองมาดูในประเทศอื่นกันบ้างนะคะในประเทศเยอรมันนี ซึ่งใช้ระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) เหมือนกับบ้านเรา (อันที่จริงต้องบอกว่าเราไปเหมือนเขาต่างหาก) หลังจบชั้นมัธยม เด็กนักเรียนในเยอรมันสามารถเลือกเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ นี่เป็นข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดประการหนึ่งของระบบการศึกษาเยอรมันนอกจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้ว อีกประการหนึ่งที่เด็กไทยน่าจะชอบก็คือ การเรียนกฎหมายในเยอรมันสามารถจัดตารางเรียนได้เอง และไม่มีข้อบังคับว่าจะต้องเข้าห้องเรียนด้วยดูเหมือนจะง่ายๆ อย่างนี้ แต่เอาเข้าจริงแล้ว กว่าจะเป็นทนายในเยอรมันได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยการเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยที่เยอรมันใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี แต่ก่อนที่จะออกว่าความเป็นทนายได้เต็มตัว นักเรียนกฎหมายในเยอรมันต้องผ่านกระบวนการสอบที่สำคัญสองขั้นตอนที่เรียกว่า First State Exam และ Second State Exam รวมถึงการฝึกงานต่างๆ คิดเป็นระยะเวลาในการเรียนและการสอบทั้งสิ้นประมาณ 6-7 ปีFirst State Exam เป็นการทดสอบครั้งแรกหลังจากจบมหาวิทยาลัย เงื่อนไขการมีสิทธิสอบ First State Exam ง่ายๆ มีอยู่ว่า ระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัย นักเรียนกฎหมายทุกคนต้องผ่านการสอบข้อเขียนครั้งใหญ่ก่อนสองครั้ง ต้องเขียนรายงานหนึ่งฉบับความยาวประมาณ 35 หน้า ประกอบกับพรีเซนเตชั่นในชั้นเรียนความยาวประมาณ 25 นาที รวมถึงสอบปากเปล่าในสาขาวิชาที่ตัวเองสนใจอีกหนึ่งครั้ง และมีระยะเวลาฝึกงานในสองสาขาวิชากฎหมายที่แตกต่างโดยไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงอีก 12 สัปดาห์ ทั้งหมดนี้คิดเป็นส่วนหนึ่ง หรือประมาณ 30% ของคะแนนสอบ First State Exam ทั้งหมด  หลังผ่านบททดสอบข้างต้นเรียบร้อยแล้ว นักศึกษาจึงจะมีสิทธิเข้าสอบ First State Exam โดยเป็นการสอบข้อเขียนในวิชากฎหมายแพ่ง 3 ครั้ง ครั้งละห้าชั่วโมง, วิชากฎหมายมหาชน 1 ครั้ง และกฎหมายอาญาอีก 1 ครั้ง แล้วยังต้องสอบปากเปล่าในสามสาขาวิชานี้รวมกันอีกครั้งหนึ่งด้วย ทั้งหมดนี้คือคะแนนในส่วน 70% ที่เหลือหลังหลุดรอดจากการสอบ First State Exam มาได้ ต่อไปก็มาถึงการสอบ Second State Examก่อนมีสิทธิสอบ Second State Exam นักศึกษาทุกคนต้องผ่านการฝึกงานในสถาบันกฎหมายเสียก่อนเป็นระยะเวลาสองปีโดยได้รับเบี้ยเลี้ยง อาจเป็นหน่วยงานของรัฐ ศาล อัยการ หรือสำนักงานทนายความก็ได้การสอบ Second State Exam จะเป็นตัวชี้วัดว่า นักศึกษาคนนั้นจะได้ประกอบวิชาชีพอะไร โดยผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุด จำนวนประมาณ 1% ของผู้เข้าสอบทั้งหมด จะได้เป็น Notary* ส่วนผู้ที่ทำคะแนนได้ในลำดับรองลงมาอีก 15% จะเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการ ส่วนที่เหลืออีก 85% ก็จะเป็นทนายความ มีสิทธิว่าความได้ตามระเบียบมาตรฐานข้อสอบ รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆในการทดสอบทางกฎหมายครั้งสำคัญทั้งสองครั้งนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานของรัฐที่ชื่อว่า “Landesjustizpruefungsamt”ชื่อยาวๆ อย่างนี้ พยายามยังไงก็อ่านไม่ออกค่ะ... แต่แปลเป็นไทยได้ง่ายๆ ว่า “หน่วยงานของรัฐสำหรับการทดสอบทางกฎหมาย” นั่นเอง* Notary Public ผู้มีอำนาจทำคำรับรองทั้งในทางข้อเท็จจริงและทางกฎหมาย เช่น รับรองความถูกต้องของลายมือชื่อ รับรองสำเนาเอกสาร คำพยาน บันทึกคำให้การที่ต้องมีการสาบาน หรือเอกสารอื่นๆ   ในบางประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) โนตารีพับลิคอาจมีอำนาจในการรับรองนิติกรรมด้วย โนตารีในยุโรปมีความสำคัญมาก เพราะสามารถมีอำนาจเทียบเท่าศาลในบางเรื่อง และยังเป็นเจ้าพนักงานของรัฐในการเก็บเอกสารสำคัญต่างๆ  กฎหมายโนตารีพับลิกมีใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อิตาลี ออสเตรเลีย ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับโนตารี แต่สภาทนายความฯ ได้มีความพยายามจัดให้มีบริการในลักษณะเดียวกันที่เรียกว่า Notarial Services Attorney
แพ็ท โรเจ้อร์
ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานหนึ่งให้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้  รู้สึกหัวเสียกับคุณภาพของผู้เข้าประกวดเป็นอย่างมาก เพราะว่าไม่มีคุณภาพในระดับที่เรียกว่าใช้ได้เลย ปัญหานอกเหนือจากความสามารถทางภาษาอังกฤษทั่วไปแล้ว  เรื่องของเนื้อความซึ่งไม่ว่าในภาษาใดก็ตามต้องมีโครงสร้าง การผูกเรื่อง และคุณค่าทางวาทวิทยาในตัวเอง น่าเสียดายที่เมืองไทยไม่มีการสอนการวิเคราะห์วาทะอย่างเป็นแก่นสาร หากมีก็แค่การมองแบบการใช้ภาษาไทยธรรมดา หรือการใช้ภาษาอังกฤษธรรมดา ไม่มีการส่งเสริมอย่างแท้จริงในสิ่งที่เรียกว่า speech criticism/rhetorical criticism 1 การวิเคราะห์และวิพากษ์วาทะอาจเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความเก็บกดทางอารมณ์หรือการเลี่ยงความขัดแย้ง เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องใดๆก็ตามในสังคมไทย ถือเป็นเรื่องที่อาจทำให้หมางใจกันได้ ทั้งที่การวิพากษ์วิจารณ์นั้น อาจทำให้เกิดการริเริ่มบางอย่างที่ดีๆได้ แต่ส่วนมากแล้วในสังคมไทย วัฒนธรรมการวิพากษ์ไม่มีเนื่องจากต้องการเลี่ยงความขัดแย้ง ทำให้การวิพากษ์เป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องการทำลายมิตรและสร้างศัตรูไปโดยปริยาย เพราะคนที่โดนวิจารณ์ไม่สามารถรับคำวิจารณ์ได้ และคนวิจารณ์ก็ไม่มีทักษะในการวิจารณ์ หรือเรียกว่าวิจารณ์ไม่เป็นเรื่องของการวิจารณ์ในสายตาฝรั่งนั้น ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป วิถีการวิจารณ์ต้องอยู่บนพื้นฐานของการหวังดีของทุกฝ่าย โดยปรารถนาที่จะให้เกิดความเข้าใจในเรื่องนั้นๆให้ดีขึ้นกระจ่างขึ้น แต่ไม่ใช่ใช้อารมณ์หรือความเป็นตัวตนมากเกินไป ดังนั้นผู้รู้หลายคนจึงพยายามช่วยสร้างกรอบในการวิจารณ์ขึ้น เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ความแม่นยำ ความชัดเจน และความเป็นมาตรฐานในระดับหนึ่งของการวิจารณ์  ทั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าจะกำจัดความเป็นอัตตวิสัยนออกไปหมด เพราะว่าการวิพากษ์ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นตัวตนของผู้วิจารณ์เสียทีเดียว การที่คนแต่ละคนต่างเกิดมาแตกต่างกัน มีระบบการกล่อมเกลาเลี้ยงดูต่างกัน ความแตกต่างนี้แหละที่ทำให้เกิดความแปลกใหม่ในเรื่องติชม ดังนั้น มุมมองที่แตกต่างและมีการนำเสนอผ่านศิลปะการวิจารณ์นี่แหละที่ทำให้มนุษย์ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์  แต่ไม่ใช่ไสยศาสตร์เพราะเรียนมาทางด้านวาทวิทยา เน้นกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement Rhetoric) มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ อายุ 21 ทำให้มองอะไรเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น ตอนแรกก็เรียนไม่รู้เรื่องเลย เปิดฉากมาก็เรียนวิธีพูดในที่สาธารณะก่อนสองวิชา แล้วก็มาเรียน ทฤษฎีวาทวิทยา ที่เน้นตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จนถึงปัจจุบัน และ มองไปถึงการวิเคราะห์วาทะแบบมุมมองสังคมยุคหลังสมัยใหม่ ที่ต้องมองแบบสวนกระแสหรือรื้อสร้าง  จนกลับไปสอนที่สหรัฐฯอีก ทำให้มองโลกแตกต่างออกไปไปเรื่อยๆ สิ่งที่สังคมอเมริกันสอนได้มากอย่างหนึ่ง คือสอนให้มีการคิดที่อิสระและยอมรับคำวิจารณ์ที่ไม่มีอคติจนเกินไปได้วันนั้นผู้เขียนยอมรับว่าดีใจที่มีเด็กไทยสามารถแสดงออกได้ทางภาษาอังกฤษอย่างไม่เก้อเขิน แต่สิ่งที่ไม่สบายใจคือ กระบวนการในการสร้างเนื้อหาที่ไม่แข็งแรงเท่าที่ควรจะเป็น น่าเสียดายที่ผู้ชมหลายคนมองแค่ว่าเด็กอายุเท่านี้ได้เท่านี้ และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้จบประโยค และมีหลายประโยคมารวมๆกัน อันนี้ก็ต้องมองว่าน่าจะมีการพัฒนาต่อไป ซึ่งถ้าเรามองว่าแค่นี้น่าพอใจแล้ว ก็คงไม่น่าจะคาดหวังได้มากนักว่าในเวลาต่อไปเยาวชนของเราจะสู้อะไรกับกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ เพราะคิดไม่เป็น คิดไม่ได้ เพราะฝรั่งในวัยเดียวกันนี่เค้าไปไหนๆกันหมดแล้ว อันนี้ห้ามพูดว่าเพราะเป็นภาษาอังกฤษเลยแสดงออกไม่ได้ คงไม่ใช่ผู้เขียนมีอาการปากคันที่จะเสนอความเห็นต่อผู้เข้าประกวดในวันนั้น แต่เพราะมีธุระจึงต้องออกจากงานไปก่อนหลังจากที่รวบรวมคะแนนให้ผู้ดำเนินรายการเสร็จ อีกทั้งก็ไม่ได้รับการบอกเล่าว่าจะต้องให้ความเห็นต่อผู้เข้าประกวดแต่อย่างไร  เสียดายเหมือนกันที่จะชี้แนะบางอย่าง แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการสร้างศัตรูโดยใช่เหตุเช่นกัน วัฒนธรรมการวิพากษ์ วิเคราะห์ และวิจารณ์ จึงเป็นเหมือนของใหม่ในสังคมไทยไปเรื่อยๆ  เป็นสิ่งยากที่จะเลิกการปฏิบัติเช่นนี้ เพราะหากใครแหกคอกขึ้นมา ผู้นั้นก็จะอยู่ในสังคมนี้อย่างลำบาก คงเป็นปัญหาในสังคมอย่างหนึ่งที่เราๆท่านๆต้องจัดการกันต่อไป อย่างไม่มีวันสิ้นสุด1สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ - http://www-relg-studies.scu.edu/facstaff/murphy/courses/exegesis/rhetorical.htm - http://www.rhetoricalens.info/index.cfm?fuseaction=feature.display&feature_id=3 - http://slatin2.cwrl.utexas.edu/~roberts-miller/rhetanalysis.htm - http://www.writingcentre.ubc.ca/workshop/tools/rhet1.htm - http://en.wikipedia.org/wiki/Rhetoric - http://www.rhetorica.net/textbook/index.htm

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม