Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

Hit & Run
ภาพจาก http://www.kathmandu-bkk.com/คิม ไชยสุขประเสริฐช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีปัญหายุ่งยากใจกันอยู่นิดหน่อยในออฟฟิศ เรื่องการทำเสื้อทีมว่าจะเอาแบบไหน-สีอะไร ที่ยังไงก็ไม่ลงตัวสักที เพราะสีแต่ละสีตอนนี้ถูกนำเอาไปทำสัญลักษณ์ของกลุ่มต่างๆ กันไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแม่สีอย่าง สีแดง สีเหลือง หรือสีขั้นสองอย่างสีเขียว สีส้ม หรือสีม่วง
new media watch
ถ้าใครยังจำนิทรรศการภาพถ่าย ที่จัดแสดงให้ดูกันแถวๆ สถานีรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครเมื่อ 2-3 ปีก่อนได้ อาจรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกันบางประการ ระหว่างชายในชุดสูทสีชมพูและกระแสพิ้งค์ๆ ที่กำลังจะเป็นที่นิยมต่อจากนี้ไปอีกเป็นปี
Music
ในคืนวันที่ 10 ของเดือนที่แล้ว (ตุลาคม)...ผมนั่งหน้าจอคอมพ์ใจจดใจจ่ออยู่กับเว็บไซต์ http://www.inrainbows.com/ เพราะได้ข่าวว่าวง Radiohead จะประกาศขายเพลงแบบ Digital Download ผ่านทางเว็บไซต์นี้และที่ทำให้คนตื่นเต้นกันอย่างหนึ่งก็คือ การที่ทางวง Radiohead ประกาศว่า จะสามารถสั่งซื้อในแบบที่ผู้ซื้อสามารถให้ราคาเองได้ตามใจชอบ ...ตามใจชอบในที่นี้หมายความว่า แม้แต่จะใส่เงินเป็น 0.00 (ซึ่งก็เหมือนขอโหลดมาฟรี ๆ นั่นแหละ) ก็สามารถทำได้ ! ซึ่งจะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ขนาดนั้น เพราะผมเคยเจอวงที่ชื่อว่า Craw เปิดเว็บไซต์ที่ใช้ชื่อง่าย ๆ ว่า http://www.craw.com/ เพื่อให้คนสามารถเข้ามาดาวน์โหลดเพลงได้ฟรี โดยที่ผู้ฟังสามารถบริจาคเงินสมทบทุนวงนี้ได้ตามกำลังทรัพย์และความพอใจ (เพลงวงนี้เป็นแนว Post-Hardcore ที่โหดเอาการทีเดียว)ในวันนั้นซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดขายแบบ Digital Download มีคนเข้าไปกันเยอะมาก ทำให้เซิร์ฟเวอร์ยุ่งเหยิงจนเว็บแทบจะติด ๆ ดับ ๆ ทำให้ผมต้องรอให้การแห่แหนไปดาวน์โหลดนี้ซาไปสักระยะนึงก่อน ค่อยเข้าไปใช้บริการทีหลังถ้าจะว่าไป Digital Download เริ่มจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ จนบางคนหวาดกลัวว่ามันจะเข้ามาแทนที่ CD หรือการฟังแบบ Analog อื่น ๆ ในอนาคต เครื่องเล่นเพลงแบบพกพาก็ตอบรับกับการเล่นไฟล์เสียงแบบดิจิตอลไม่ว่าจะเป็น Mp3 Players หรือ iPods แม้แต่เครื่องจำพวก Handy drive หรือ Thumb drive ที่ใช้กันแพร่หลายก็มีฟังค์ชั่นการทำงานตรงนี้แต่เท่าที่เห็นก่อนหน้ากรณีของ Radiohead การซื้อขายเพลงด้วยไฟล์แบบดิจิตอลนั้นดูจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากเท่า CD อยู่ดี อาจจะเป็นเพราะความไม่คุ้นเคย การประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ยังไม่มากพอ หรืออาจจะเป็นเพราะความรู้สึกส่วนตัวของผู้เสพย์ดนตรีเองก็ได้ โดยส่วนตัวผมเองก็ยังรู้สึกดีกับการมีอะไรเป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่าง CD มากกว่าการมีเพียงไฟล์ดิจิตอลซึ่งจับต้องไม่ได้แต่เพียงอย่างเดียว (ยังไม่นับที่ว่า CD เพลงนั้นมี Cover Art / Booklet อะไรต่อมิอะไรอื่น ๆ ที่เป็นตัวชูรสในการฟัง)อีกนัยหนึ่ง เท่าที่ผมได้ทำการศึกษาเรื่องวัฒนธรรมการฟังเพลงจากไฟล์ Digital ไม่ว่าจะมาจากการแชร์ไฟล์หรือดาวน์โหลด (โดยการสำรวจและอาศัยข้อจากสื่อต่างประเทศ) ก็ได้รู้ว่าผู้ที่ทำลายวัฒนธรรมการฟังแบบ Analog ตัวดีคนนึงเลยคือค่ายเพลง โดยเฉพาะค่ายเพลงใหญ่ ๆ ทุนหนา ๆ ที่สามารถใช้ลูกเล่นกับ CD เช่นการใส่ไวรัส หรือการสกัดไม่ได้มีการ Rip ไฟล์ลงเครื่อง (คนซื้อ CD บางคนเป็นคนรัก CD มาก เขาบอกผมว่าชอบ Rip มาฟังในเครื่องมากกว่า เพราะกลัวว่าฟังจาก CD บ่อย ๆ แล้วมันจะสึก) ฯลฯ โดยพวกเขาลืมไปว่าผู้ที่ฟังเพลงโดยใช้คอมพิวเตอร์นั้นมีมากขึ้นในปัจจุบัน ทางเดียวที่เหลือที่พวกเขาได้เพลงมาคือการหาฟังแบบ Digital Fileค่ายเพลง Major Label ทั้งหลายยังก่อวีรกรรมมากกว่านั้น การที่พวกเขาคอยตามจับกุมคนแชร์ไฟล์หรือการได้ดิจิตอลไฟล์มาโดยมิชอบทางอินเตอร์เน็ตแล้วอ้างมาตรการทางกฏหมายลิขสิทธิ (ถ้าเป็นในบ้านเราคงอ้างคำว่า "คุณธรรม" เสริมไปด้วย) เอาผิดกับผู้บริโภครายย่อย ๆ ที่อาจจะแค่อยากฟังเพลง หรืออาจจะไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยด้วยซ้ำค่ายเพลงคิดแบบตื้น ๆ ว่าการใช้มาตรการเด็ดขาดแบบนี้จะช่วยลดการแชร์ไฟล์หรือดาวน์โหลดแบบผิดกฏหมาย แต่หารู้ไม่ว่ามันยิ่งสร้างความรู้สึกแย่ ๆ ให้กับผู้บริโภครายย่อยทั้งหลาย โดยที่ไม่ได้ทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดกันเอาเองว่ามัน "ผิด" (เพราะทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์) ลดลงเลยทางออกที่น่าจะดีกว่าคือการตามให้ทันเทคโนโลยีแบบดิจิตอล ใช้มันให้เป็นประโยชน์ และในขณะเดียวกันก็ควรประนีประนอมกับผู้ฟังไปด้วยผมจึงแอบดีใจเล็กน้อยเวลาได้ยินว่าศิลปินวงใด ๆ จะออกอัลบั้มโดยไม่อาศัยค่ายเพลง นัยหนึ่งมันให้ความรู้สึกชิดเชื้อกันมากกว่า แต่อีกนัยหนึ่งมันก็อาจจะทำให้คุณภาพของเพลงไม่สามารถเทียบเท่างานจากค่ายเพลงได้ในแง่ของ Mastering และในแง่ของยอดขาย เพลงที่ไม่ได้อาศัย Major Label น่าจะเผยแพร่ไปในวงกว้างได้ยากกว่า จนอาจต้องอาศัยการสนับสนุนจากกลุ่มวัฒนธรรมย่อยแบบพังค์ หรือ เมทัล (ซึ่งบางคนเขาก็มีความสุขกันดีกับการไม่ต้องออกไปในวงกว้างก็มี)การออกมาจากค่ายใหญ่ เพื่อจัดการเผยแพร่ผลงานด้วยตัวเองของ Radiohead ในครั้งนี้อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกว่าเป็นความอาจหาญ รวมถึงการขายเพลงแบบ Digital Download โดยผู้บริโภคสามารถให้ราคาเองได้ก็ดูจะท้าทายการตลาดจากค่ายเพลงอยู่ไม่น้อยแต่ก็ต้องไม่ลืมว่าการที่ Radiohead ทำแบบนี้ได้ก็เพราะเป็น Radiohead วง Radiohead ออกอัลบั้มมาหลายอัลบั้มก่อนหน้านี้ ทั้งยังมีบางอัลบั้มที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักวิจารณ์ ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นวงที่มีแฟนเพลงอยู่เป็นจำนวนหนึ่งที่พร้อมจะจ่าย กับคนที่ไม่เคยฟัง Radiohead หรือฟังผ่าน ๆ ก็จะรู้สึกว่าวงนี้มีอะไรการันตีคุณภาพให้เชื่อใจได้ในระดับนึงอยู่ จึงมีคนที่พร้อมจะจ่ายให้อัลบั้มนี้แน่ๆ  ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกผูกพันในฐานะผู้ติดตามผลงาน ความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ฟังใหม่ หรือจะด้วยเหตุผลอื่นๆ ก็ตามลองคิดดูว่าถ้าเป็นวงใหม่ ๆ เล็ก ๆ ก็คงยากที่จะมีคนกล้าเสี่ยงให้เงินไป ยังไม่นับเรื่องการประชาสัมพันธ์ ซึ่งวงใหม่ ๆ ไม่มีชื่อนี้ คงไม่อาจดึงดูดสื่อนำเสนอได้มากเท่ากรณีของ Radioheadผมจึงมองว่าการขายเพลงในครั้งนี้ของ Radiohead เป็นกลยุทธ์ใหม่ ในเชิงที่ท้าทายพื้นที่ใหม่ มากกว่าจะเป็นการเสียสละ หรือเป็นของกำนัลแก่ผู้ฟัง (แม้ผู้ฟังอย่างผมจะโหลดฟรีเลยก็ตาม ฮ่า ๆ)แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการดีที่จะเริ่มต้นกับพื้นที่ใหม่นี้ เพราะมันเป็น "การประนีประนอมกับผู้ฟังในยุคดิจิตอล" ซึ่งค่ายเพลงใหญ่ ๆ แทนที่จะปรับตัวเข้าหาผู้ฟัง พวกเขากลับแห้งแล้งในเรื่องนี้มากผมเองในฐานะผู้ติดตามงานเพลง Radiohead (อาจจะไม่เรียกว่าเป็นแฟนเพลงได้เต็มปาก) มา ก็ตื่นเต้นกับปรากฏการณ์นี้พอสมควร และยังคงตื่นเต้นอยู่ว่าเมื่อแก้ Zip ไฟล์ที่ได้จากการดาวน์โหลดมาแล้ว เสียงดนตรีแบบไหนกัน ที่จะออกมาจากอัลบั้มนี้... In Rainbows อัลบั้มซึ่งพวกเขาได้พ้นพันธนาการจากค่ายเพลงแล้วเมื่อผมลองได้ฟังทั้ง 10 เพลงนี้ดูแล้ว ก็บอกได้โดยรวม ๆ ว่า ดนตรีของอัลบั้มนี้ฟังดูปลดปล่อย ผ่อนคลาย ไม่ซีเรียสเท่าอัลบั้มอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ดนตรีของพวกเขายังคงเป็น Art Rock ที่ใช้องค์ประกอบจากซาวน์ Electronic หลาย ๆ เพลงก็ยังคงออกเป็น Space Rock กับบางเพลงก็เสริมด้วยอิทธิพลจากดนตรีแบบ Minimalist*  เสียงร้องของ Thom Yorke ยังคงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ลูกเล่นของซาวน์สังเคราะห์ดูเป็นที่เป็นทางดี แต่อาจจะไม่จัดจ้านเท่า Kid A หรือหากจะเทียบกับ OK Computer แล้ว การเรียบเรียงดนตรีของ In Rainbows ก็ยังไม่แน่นเท่าเปิดตัวมาด้วย 15 Step ที่เล่นกับจังหวะสลับกับสไลด์กีต้าร์ดูมีชีวิตชีวา เพลงอย่าง Bodysnatcher เหมือนเพลงติดเครื่องที่คงทำให้พอคิดถึง Radiohead แบบร็อค ๆ ได้บ้าง ก่อนจะพาผู้ฟังแล่นไปสู่ดนตรีช้า ๆ เบาสบายคล้ายอยู่ท่ามกลางสายรุ้ง กับเสียงออเครสตร้าและเสียงโหยหวนของ Yorke ใน เพลง Nude ก่อนจะเคลื่อนที่ต่อไปกับ Weird Fishes/Arpeggi ที่มีกีต้าร์โน๊ตสวย และเอฟเฟกท์ชวนให้ล่องลอยเพลง All I Need ฟังดูค่อนข้างธรรมดา ขณะที่ Faust Arp มีเสียงร้องให้ความรู้สึกหวาดระแวง คลอไปกับเสียงออเครสตร้านุ่มนวล ซึ่งขัดกันในตอนแรก และคลี่คลายสอดประสานกันในตอนท้าย Reckoner เป็นเพลงที่ฟังดูเด่นมากในอัลบั้มนี้ นอกจากเสียงร้องความรู้สึกดั้งเดิมของ Thom Yorke แล้วทั้งเมโลดี้และเสียงประกอบอื่น ๆ ก็เรียบเรียงมาเป็นอย่างดี เสียงร้องของ Yorke กลับมาเบาสบายในเพลง House of Cards กับเสียงกีต้าร์ใส ๆ ของ Greenwood เนื้อหาพูดถึงเรื่องการนอกใจในมุมมองของผู้กระทำ ด้วยน้ำเสียงปะปนกันหลายความรู้สึก (คำว่า House of Cards เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งที่เปราะบาง พังทลายง่าย ๆ ในที่นี่น่าจะหมายถึงการแต่งงานที่ไร้ความรู้สึกรัก)"The infrastructure will collapseFrom carpet spikesThrow your keys in the bowlKiss your husband ‘good night'Forget about your house of cardsAnd I'll do mineForget about your house of cardsAnd I'll do mine"- House of Cardsเร่งจังหวะขึ้นมาในเพลง Jigsaw Falling Into Place แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ จบลงที่ Videotape ที่เมโลดี้และบรรยากาศของมันชวนให้นึกถึง Neon Bible ของ Arcade Fire ในบางช่วงเสียงเอฟเฟกต์แปลก ๆ จากเครื่องเคาะจังหวะที่ใส่เข้ามาช่วงกลางก็หลอนหูพิกลอย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า โดยส่วนตัวยังคงชอบอะไรที่จับต้องได้ จึงถือว่าโชคดีที่ Radiohead ยังไม่ละทิ้งการขายแบบ Analog คือ Discbox ที่พวกเขาจะออกกันอีกครั้งในวันที่ 3 ธันวาฯ ซึ่ง Discbox นี้นอกจากจะมีเพลง 10 เพลงเดิมจากการซื้อแบบดาวน์โหลดแล้ว ก็ยังจะมีเพลงเพิ่มเข้ามาอีก 8 เพลง พร้อมทั้งรูปและ Artwork ของวงด้วย (ซึ่งผมสัญญากันตัวเองว่าจะซื้อแน่นอน)In Rainbows ฉบับโหลด 10 เพลงอาจจะไม่เลิศเลอเพอร์เฟคนัก แต่ก็เป็นก้าวแรกที่น่าจับตาว่า พวกเข้าจะก้าวไปทางใดต่อไป ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะต้องกลับเข้าไปสู่ระบบค่ายเพลงอีกครั้ง หรือหากพวกเขาจะยืนยัดอยู่อย่างเป็นอิสระจากระบบแล้วนั้นจะสามารถสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพมากกว่าเดิมหรือเปล่าขอแค่อย่ามัวฉลองอิสรภาพ พักผ่อนอยู่ในสายรุ้งชวนเคลิ้มนี้จนเผลอหยุดอยู่กับที่ ไม่อยากออกไปไหนแล้วกัน (*ดนตรีที่อาศัยปรัชญา "น้อยแต่มาก" คือ ไม่ใช้องค์ประกอบอะไรมาก เน้นความเรียบง่าย โน๊ตซ้ำๆ จังหวะเรียบๆ หรือไม่มีเสียงเคาะจังหวะเลย ฯลฯ)
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน มันเคยมุดรั้วเข้ามาวิ่งเล่นในสำนักงาน แต่อยู่ๆ เราก็รู้สึกว่าลัคกี้หายหน้าไป“ลัคกี้ไปไหนหรือคะ” ฉันเลียบๆ เคียงๆ ถามเมื่อคุณนายแวะมาเก็บค่าเช่า“อู๊ย ก็อยู่บ้านนั่นละค่า” คุณนายตอบเสียงหวาน “แต่มันนิสัยไม่ดี ชอบไปเล่นกับหมานอกบ้าน สกปรกจะตายไป เปลืองค่าอาบน้ำ ต้องล่ามไว้ค่ะ ดัดนิสัยมัน”ฉันไม่แน่ใจว่าการล่ามนั้นคือวิธีดัดนิสัย แต่เจอลัคกี้อีกครั้ง ฉันเกือบจำมันไม่ได้ ขนยาวสีขาวสวยของมันร่วงเป็นหย่อมๆ ผิวหนังเฉอะแฉะ ขี้ตาสีเหลืองขุ่นเกรอะกรัง มันถูกล่ามโซ่ไว้ใต้ต้นมะม่วงข้างรั้วหลังบ้าน ใกล้ๆ สำนักงานของฉัน ฉันไม่กล้าถามคุณนาย จึงไปดักถามแม่บ้านที่เข้ามาซักผ้าและทำความสะอาดบ้านสวนทุกๆ สองวันว่าลัคกี้ไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร“คุณ...เขาไม่ชอบ” ป้าเอ่ยชื่อคุณนาย “เขาว่ามันเหม็น สกปรก ให้เอาไว้ห่างๆ กลัวแขกไปใครมาเห็น ป้าไม่รู้จะเอาไปไว้ไหน เลยเอาไปผูกไว้ตรงนั้น มันร่มหน่อย”“อ้าว ก็อาบน้ำ รักษาแผลมันสิคะ จะได้สวยเหมือนเดิม” ฉันแนะนำแบบงงๆ“โอ๊ย ใครจะทำ เจ้าของมันยังไม่เอาธุระ ตั้งแต่ซื้อมาเห็นพาไปอาบน้ำที่ร้านหนเดียวมั้ง แล้วอย่าไปชี้ไปแนะอะไรเขาล่ะ เขาไม่ชอบร้อก” แกว่า“สงสารมันนะป้า แล้วถ้ามีใครเขาอยากได้ล่ะ” ฉันถามอย่างเต็มใจจะเพิ่มจำนวนสมาชิกบ้านสี่ขา (ที่ตอนนั้นยังน้อยอยู่)“เขาไม่ให้ใครหรอก ลูกสาวรู้จะได้โกรธปะไร อุตส่าห์ซื้อมาให้แพงๆ” ป้าบอกบางทีก็เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่เราจะทำความเข้าใจวิธีคิดของคนอื่น หัวใจคนไม่ได้เป็นสีแดงเสมอไปลัคกี้ถูกทิ้งให้อยู่ข้างรั้วอย่างถาวร ไม่มีใครมาดูแล นอกจากป้าแม่บ้านที่เทอาหารเม็ดไว้ให้ทุกสองวัน รั้วด้านนั้นมีช่องโหว่อยู่ ฉันจึงใช้เป็นทางมุดเข้าไปดูลัคกี้ เอาขันใส่น้ำไปวางไว้ให้มันกิน ลัคกี้มีทีท่าดีใจ แต่ก็ไม่ร่าเริงเหมือนเคยครั้งหนึ่ง ลัคกี้เห็นคุณนายเดินอยู่ในสวน มันตื่นเต้นดีใจจนฉี่ราด เห่าเสียงดังและกระโดดเต็มแรง แต่โซ่ที่ล่ามไว้สั้นๆ ทำให้มันล้ม มันรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่คุณนายก็เดินลับตาไปเสียแล้ว“อยากพาลัคกี้ไปหาหมอจัง” ฉันบ่นกับน้องที่ทำงานองค์กรเดียวกัน เขาเคยเล่นกับลัคกี้ “ผมต้องเอารถออกไปติดต่องานข้างนอก ผมช่วยพาพี่ไปได้นะ แต่จะเอามันไปยังไงล่ะ คุณนายคงไม่โอเคหรอก กลัวเสียหน้า” น้องโอมพูดขำๆฉันทำการลักหมาไปหาหมอ ด้วยการมุดรั้วเข้าไปปลดโซ่ลัคกี้ แล้วพามุดออกไปอีกด้านหนึ่งโดยไม่มีใครเห็น น้องโอมปูกระดาษหนังสือพิมพ์หลายชั้นเพราะกลัวรถของสำนักงานเปื้อนแล้วความจะแตกเราพาลัคกี้ไปคลินิกหมออนันต์ ลัคกี้เป็นโรคผิวหนังอย่างรุนแรง ทั้งยังเป็นพยาธิหนอนหัวใจ มีเห็บตัวเป้งๆ เกาะติดเต็มตัว มันต้องกินยาหลายขนาน ทั้งยากำจัดพยาธิ ยาบำรุงเลือด ยาฆ่าเชื้อ ยากระตุ้นภูมิ รวมแล้ววันละเป็นสิบเม็ดอาการลัคกี้ไม่ดีขึ้น ฉัน(แอบ)พามันลอดรั้วไปหาหมออนันต์อีกสามสี่ครั้งด้วยความช่วยเหลือของน้องโอม แต่ละครั้ง เราสามคนจะยืนล้อมวงกันรอบโต๊ะ ช่วยกันดึงเห็บตัวโตๆ ออก หมอแบ่งอาหารเสริมชนิดป้ายปาก(ซึ่งค่อนข้างแพง) มาให้โดยไม่คิดเงิน ทุกวันก่อนกลับบ้าน ฉันจะมุดรั้วเข้าไปป้อนยา ทายา คุยเล่นด้วย แต่ลัคกี้ซึมเศร้า เอาแต่เดินวนไปมาเท่าที่ความยาวของโซ่จะไปได้ อาหารเม็ดที่ค้างอยู่เต็มจานมีแต่มดขึ้นฉันคลุกข้าวไปให้ แต่ลัคกี้กินน้อยลงทุกวัน พอป้อนยาเสร็จ มันก็อ้วกออกมาทั้งยาทั้งข้าว วันไหนที่ฉันอยู่ทำงานจนดึก มักได้ยินเสียงมันหอนเบาๆ ด้วยเสียงที่ฟังแล้วเศร้าเหลือประมาณ เย็นวันหนึ่งฉันมุดเข้าไปพร้อมถุงข้าวและยาตามปกติ เห็นลัคกี้เดินงุ่มง่ามอยู่ห่างจากรั้ว ปรากฏว่าโซ่หลุด ท่าทางมันคงจะเดินไปหาเจ้าของ แต่แล้วมันก็หยุดเดิน ชะเง้อมองไปยังทิศทางของบ้าน ครางเบาๆ ในลำคออย่างเศร้าสร้อย แล้วมันก็ล้มทั้งยืน ชักตาตั้ง ฉันวิ่งแน่บไปเรียกน้องโอมที่สำนักงาน น้องก็วิ่งตามมาทั้งๆ ที่กำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว เราใช้รถสำนักงานไม่ได้ จึงช่วยกันหามลัคกี้มุดออกไปเรียกตุ๊กตุ๊กที่ถนน กว่าจะเจอคันที่ยอมรับหมาขึ้นรถ ฉันก็เกือบร้องไห้ หมออนันต์รีบฉีดยากระตุ้นหัวใจให้ทันที ลัคกี้ลืมตาขึ้นมากระดิกหางอย่างอ่อนแรงทีหนึ่งแล้วแน่นิ่งไป หมอรีบปั๊มหัวใจเป็นการใหญ่ ลัคกี้ฟื้นขึ้นมามองหน้าคนนั้นคนนี้ครู่หนึ่งก็เงียบไปอีก หมอต้องปั๊มอีกรอบ เสียงลมพ่นออกมาทางจมูกและปากมันดังฟืดๆ ตามจังหวะที่หมอออกแรงกดตรงซี่โครง ฉันกับน้องโอมได้แต่ยืนลุ้น ฉันกลั้นน้ำตา พร่ำพูดแต่ว่า ทนหน่อยลัคกี้ ทนหน่อยลัคกี้ลัคกี้หายใจได้อีกครั้ง แต่ก็แผ่วเบามาก หมออนันต์ปาดเหงื่อบอกว่าคงไม่ปั๊มอีกแล้ว เพราะหัวใจของมันอ่อนแอเกินไป เรายืนรอบเตียง มองร่างผ่ายผอมของลัคกี้ที่ขยับช้าลง ช้าลง จนหยุดนิ่ง มันหมดลมหายใจท่ามกลางคนที่รัก ห่วงใยและจริงใจกับมัน (ยิ่งกว่าเจ้าของ)“บางทีอาจจะดีนะพี่ ที่มันตาย มันจะได้ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป” น้องโอมพูดขรึมๆแต่บางครั้ง ฉันก็เคยคิดว่า หัวใจของมันอาจจะตายไปนานแล้ว ตายไปก่อนหน้านี้สองเดือน นับตั้งแต่วันที่มันถูกล่ามทิ้งไว้ข้างรั้ว
โอ ไม้จัตวา
ไม่อยากเชื่อว่าชีวิตนี้จะพูดคำนี้ออกมาได้ ฉันเป็นคนที่เชื่อในตัวเอง เชื่อในการกระทำและผลของการกระทำ เชื่อในกรรม เชื่อในกฎฟิสิกส์ข้อหนึ่งที่ว่า แรงตกกระทบเท่าไร แรงสะท้อนขึ้นเท่านั้น  เชื่อได้ดังนี้แล้ว ฉันจึงไม่พยายามสร้างการกระทำที่ไปตกกระทบคนอื่น เพื่อให้มันสะท้อนกลับมาหาฉัน  พูดอย่างพุทธศาสนิกชนก็คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วพูดแบบชาวบ้านก็คือบาปไม่แพ้บุญ  ฉันไม่ค่อยชอบทำบุญกับพระเท่าไรนัก เหตุเพราะไม่ชอบพิธีกรรม แต่มักให้คนที่ขาดแคลนมากกว่า เช่น คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าบอกว่า ไม่มีเงินสักบาท เธอมองดูเพื่อน ๆ รับซองเงินเดือน ขณะของเธอนั้นเบิกล่วงหน้ามาหมดแล้ว เธอบอกฉันเหมือนบอกต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่มีแววตาขอความเห็นใจ แต่เป็นแววตาของใครสักคนหนึ่งที่ต้องการบอกใครก็ได้ว่า ขณะนี้ฉันไม่มีสักบาทสำหรับวันพรุ่งนี้ ฉันควักกระเป๋าสตางค์ออกมา เหลืออยู่สามร้อย แบ่งให้เธอไปหนึ่งร้อยบาท เธอน้ำตาคลอ และอึ้งไป ถามฉันว่าให้ทำไม ฉันบอกว่าไม่เป็นไร แบ่งกัน เดี๋ยวมันก็มาอีก ความที่เชื่อว่าทำสิ่งใดแล้ว ก็จะได้สิ่งนั้นตอบ ทำให้ฉันไม่สนใจเรื่องเวทมนต์ คาถา ไสยศาสตร์ และหมอดูมากนัก แม้ว่าศาสตราจารย์ท่านหนึ่งบอกฉันว่าใด ๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งแค่ตาเห็น แต่สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ยังมีอีกมากที่มนุษย์ยังไม่รู้ ท่านบอกว่าสิ่งที่มนุษย์เห็น และไปถึงนั้น ท่านให้แค่ 50 %  ส่วนอีก 50 นั้นเรายังศึกษาไปไม่ถึง นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าเมตาฟิสิกส์  คนธรรมดาอาจเรียกว่าไสยศาสตร์ สิ่งลึกลับ หรืออะไรก็แล้วแต่ อืมม....ผ่านมาหลายปี เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังถึงมหัศจรรย์ของน้ำมนต์ ที่มีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งศึกษาผลึกของน้ำในสภาวะต่าง ๆ น้ำที่ติดคำว่า ฉันจะฆ่าคุณ ไว้ที่ข้างแก้ว ผลึกของน้ำมีลักษณะน่ากลัว น้ำที่ฟังเพลงคลาสสิคมีผลึกสวยงาม น้ำที่ฟังเสียงสวดมนต์ผลึกงามวิจิตร ความรู้เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงน้ำในซุเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดเพลงคลาสสิค กับน้ำในห้างที่เปิดเพลงร็อคเสียงดัง  จะส่งผลต่อร่างกายเราไหมหนอช่วงนี้อ่านดวง “แม่นไหมไม่ทราบ” คอลัมน์ข้าง ๆ บ่อย ๆ บอกตัวเองว่าดวงไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตฉัน แม่นหรือไม่แม่น ฉันทราบว่าไม่เป็นไร แม่นก็ไม่เป็นไร ไม่แม่นก็ไม่เป็นไร ถ้าชีวิตจะดีบ้างไม่ดีบ้าง ฉันไม่มีปัญหา จนเมื่อน้องสาวสุดเลิฟที่เขียนถึงคราวที่แล้วประสบปัญหาชีวิต  ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ และเพิ่มพลังใจให้เธอด้วยวิธีการต่าง ๆ  ถึงกับชวนเธอและคุณแม่มาดูดวงกับหมอเกต์  เนื่องจากเราไม่อาจรู้ว่าคนที่มีปัญหากับน้องนั้น เขาคิดยังไง  เราไม่รู้อะไรเลยนอกจากการคาดเดา หมอดูคือทางออกสุดท้าย ที่อาจเป็นเมตาฟิสิกส์ และเป็นคำตอบในสิ่งที่เราไม่รู้  เมื่ออ่านคำทำนายจากราศีเกิดของคู่กรณีของน้อง ทำให้เรารู้ว่าชะตาของเขาช่วงนี้เป็นอย่างไร เขาขึ้นตรงไหน และตกตรงไหน เหมือนรู้เขารู้เรา รบชนะฉันใด เมื่อคาดเดาเองไม่น่าเชื่อถือ หมอดูนี่แหละ ช่วยเรารบได้ ในภาวะวุ่นวายทางอารมณ์นั้น การอ่านดวงของคนที่เราไม่รู้ คือความสบายใจอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อดวงของเขาไม่ดี อ่านเทียบกับเราแล้วยังไงเราก็ไม่เจอเรื่องใหญ่ อ่านแล้วสบายใจ ตื่นเช้ามาวันหนึ่ง ฉันจึงตกลงใจว่าสำหรับเรื่องนี้ ฉันไม่คิดอะไรแล้ว ฉันเชื่อหมอดูก็ได้  สบายใจดีมีรูปผลึกน้ำมาฝากค่ะภาพจาก http://peeyong.exteen.com/20060508/entry ผลึกน้ำก่อนทำน้ำมนต์ผ่านการสวดมนต์ผ่านการฟังเพลงร็อคอย่างรุนแรง นี่ขนาดน้ำนะเนี่ย แล้วน้ำในหัวใจจะขนาดไหนฟังเพลงคาวาชิโฟล์คแดนซ์ เห็นรูปนี้แล้วอยากฟังคาวาชิโฟล์คแดนซ์บ้างอ่ะมีคำว่าคุณทำร้ายฉัน ฉันจะฆ่าคุณอยู่ข้างขวดมีคำว่าขอบคุณข้างขวดมีคำว่า รัก อยู่ข้างขวดรูปแรกเขียนคำว่า “ไอ้บ้า” ภาษาญี่ปุ่นไว้ข้างขวดรูปสอง เขียนคำว่า “ไอ้บ้า” เป็นภาษาอังกฤษ ไว้ข้างขวดรูปสามและสี่ ผลึกน้ำที่ติดคำว่า “อดอฟ ฮิตเลอร์” ไว้ข้างขวดผลึกน้ำจากบ่อน้ำพุ  Saijo ประเทศญี่ปุ่นเกล็ดน้ำแข็งจาก Antarcticผลึกน้ำจากแม่น้ำ Yodo ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งไหลผ่านเมืองใหญ่หลายเมืองรูปซ้าย ที่ข้างขวดติดคำว่า "Angel" ส่วนรูปขวา ติดคำว่า "Demon”เขียนชื่อแม่ชี Teresa ที่ข้างขวด
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี 05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์ ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสร ธ กรุงไทย สาขาบางบัวทอง หรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240
ชิ สุวิชาน
เขานั่งอยู่แถวหน้า และเขาโบกไม้โบกมือขณะที่ผมกำลังบรรเลงเพลงอยู่บนเวที  ในมหกรรมคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ซึ่งจัดโดยสำนักประชาสัมพันธ์ร่วมกับองค์กรยูเนสโก้  ในงานได้มีการเชิญศิลปินชนเผ่าหลักทั้ง 7 เผ่า ได้แก่ ม้ง อาข่า ลีซู ลาหู่ เมี่ยน ไทยใหญ่และกะเหรี่ยง รวมทั้งยังมีศิลปินล้านนา อาทิ ครูแอ๊ด  ภานุทัต  คำหล้า ธัญาภรณ์ น้อง ปฏิญญา และไม้เมืองนอกจากนี้มีทายาทของสุนทรี  เวชชานนท์ ราชินีเพลงล้านนา คือน้องลานนา มาร่วมร้องเพลง ธีบีโกบีกับทอดด์ ทองดี ศิลปินจากรัฐเพนโซเวเนีย พิธีกรรายการคุณพระช่วยในงานนี้ด้วยเช่นกันในการเล่นเพลงสุดท้ายของผม ผมได้เชิญคุณทอดด์ มาช่วยตีโกละหรือฆ้องกบเพื่อบรรเลงร่วมกับเตหน่ากู   “ชิครับ! ผมขอคุกเข่าตีนะ เพราะผมยืนตีแล้วไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่” คุณทอดด์ บอกกับผมก่อนขึ้นเวที ผมตอบตกลงตามนั้น ซึ่งทอดด์ ทองดี ก็ทำหน้าที่บนเวทีได้อย่างที่ควรเป็นเขาคนนั้นจ้องมองผมเล่นกับคุณทอดด์อย่างไม่กะพริบตาหลังจากจบงานคืนนั้น เขาได้เงียบหายไป เขาไม่เข้ามาหาผมหลังเวทีอย่างเคย  แต่หลังจากนั้นสองวันเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น“โอะ มึ โช เปอ” เขาทักทายผมเป็นภาษาปกาเกอะญอซึ่งเป็นภาษาของเราทั้งสอง จากนั้นเขาก็ได้กล่าวถึงสิ่งที่เขาประทับใจและไม่ประทับใจในการจัดงานที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของตัวศิลปินแต่ละคนและฝ่ายจัดการจัดงานด้วย“เรามีอะไรที่สงสัยบางอย่างที่อยากถาม” เขาบอกกับผม ซึ่งผมก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่เขาอยากถามได้“อยากรู้ว่า โกละนั้นเป็นของชนเผ่าปกาเกอะญอ แล้วชิคิดอย่างไรถึงให้ฝรั่งเป็นคนช่วยตีให้ ทำไมไม่ให้คนปกาเกอะญอตี” มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมต้องใช้เวลาในการตอบยาวหน่อย แต่เขาก็พร้อมที่จะเสียเวลาฟังผมอธิบายที่ผ่านมาเราตามเขามาโดยตลอด เราต้องพูดภาษาตามเขา เราต้องแต่งตัวตามเขา เราต้องกินอาหารตามเขา เราต้องเล่นเครื่องดนตรีตามเขา ซึ่งมันผิดไหม มันก็ไม่ผิด เพียงแต่เราต้องตามความคิดคนอื่น ตามการกระทำของเขาตลอด ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็น และเรามักถูกครอบงำจากคนที่เราตามนั้นเสมอแต่สิ่งที่ผมทำ ผมอยากให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องตามเขาเสมอไป เราก็มีดีพอที่จะให้คนอื่นตามเราได้เช่นกัน  โดยเฉพาะฝรั่งจากตะวันตกซึ่งเราพยายามตามและเลียนแบบเขามาโดยตลอด ซึ่งงานนี้ผมอยากให้ฝรั่งตามผมบ้าง มาเล่นเครื่องดนตรีของผม ของชนเผ่าผมบ้าง โดยวิธีการเล่นทั้งหมดผมเป็นกำหนดว่าควรเล่นแบบไหน  มันถูกไหม  มันอาจไม่ถูก  แต่มันมีศักดิ์ศรีกว่า  สิ่งเหล่านี้มันเป็นของเราเอง เราเล่น เราร้อง เราเป็นโดยไม่เขิน ไม่อายใคร เล่นผิดก็ไม่มีใครรู้ ฮ่า ฮ่า!!ซึ่งบางทีคนทางตะวันตกเขาเคารพและศรัทธาในสิ่งที่เราเป็น  แต่บางครั้งเราเองกลับไม่มั่นใจในองค์ความรู้ภูมิปัญญาของบรรพชนเรา  บางทีคนตะวันตกก็เอามาจากคนอื่นเช่นกัน  ต้นกำเนิดของกีตาร์นั้นพัฒนามาจากเครื่องดนตรีจากประเทศอิรัก  ฝรั่งเอาไปประยุกต์อีกที  องค์ความรู้ของเรานั้นหากเราหยิบใช้มันพัฒนาและต่อยอด มันจะเป็นการยกระดับองค์ความรู้ให้ขยับไปอีกในระดับที่ดีขึ้นหลังจากเสร็จงาน คุณทอดด์ นัดผมไปทานข้าวผม ขณะที่กำลังทานข้าวนั้น เขาบอกว่า“เฮ้!! ชิ แก๊ง ยูเนสโก ชอบโชว์ของเรานะ เขา(ยูเนสโก้)บอกว่า ไม่เคยเห็นการเล่นดนตรีที่มีศิลปินฝรั่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงบ้างเล่นดนตรีร่วมกับคนชนเผ่า  โดยที่ศิลปินฝรั่งคุกเข่าเล่นและคนชนเผ่ายืนเล่นอยู่เหนือกว่า  มันเหมือนคนฝรั่งเองคารวะในศักดิ์ศรีและภูมิปัญญาของคนชนเผ่า  เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเคารพในความเป็นมนุษย์ของคนชนเผ่า” คุณทอดด์ กล่าวอย่างตื่นเต้น “แต่ผมบอกเขาไปว่า เปล่าหรอกครับ ผมยืนตีแล้วไม่ถนัด ก็เลยคุกเข่าตี” คุณทอดด์ พูดจบพร้อมกับอ้าปากหัวเราะจนเห็นฟันครบทุกซี่แต่ประเด็นที่สำคัญคือทำอย่างไร เราถึงจะไปด้วยกันได้  โดยไม่รู้สึกว่าใครนำ ใครตาม หรือใครครอบงำใคร  ผมเชื่อว่าเราไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือปิดตัวจากโลกภายนอกได้  เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่ในการปฏิสัมพันธ์นั้นทำอย่างจึงจะมีความสมดุลระหว่างการรับของคนอื่นและการใช้ของตนเอง  โดยที่เราสามารถยังสามารถยืนอยู่บนรากทางวัฒนธรรมของตนเองได้“เออ จริงหว่า!!” เขาพูดออกมาหลังจากที่ฟังผมพร่ำยาวเหยียด แต่ผมไม่ทราบว่าเขาคิดและเข้าใจอย่างไรบ้าง?? “แล้ว ได้ชื่ออัลบั้มใหม่หรือยัง และเปิดอัลบั้มเมื่อไหร่” เขาถามผมต่อ ผมไม่แน่ใจว่าเขาถามเพื่อที่จะซื้อหรือว่าเพื่อที่จะขอฟรี“ได้แล้ว ชื่ออัลบั้ม เตหน่าแลมิตร คาดว่าจะเปิดตัวที่เชียงใหม่ราวเดือนธันวาคมศกนี้ หากคืบหน้าอย่างไรเดี่ยวจะส่งข่าวอีกที”“ ต่าบลื๊อ ต่าบล๊อ” เขาขอบคุณบอกลาแล้วเขาก็วางสายโทรศัพท์
ช้องนาง วิพุธานุพงษ์
Lawyers would have a hard time making a living if people behaved themselves and kept their promises                                                                                                                                                                         Anonymousประเทศสุดท้ายที่เราจะพูดถึงเกี่ยวกับระบบการศึกษากฎหมายก่อนที่จะมาเป็นทนาย คือประเทศจีนค่ะ ปัจจุบันความเคลื่อนไหวของจีนกำลังเป็นที่น่าจับตาและอยู่ในความสนใจของนานาประเทศ นับแต่จีนเริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศโดยประธานาธิบดีเติ้ง เสี่ยว ผิง เมื่อปี 1978 จวบจนกระทั่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2008 ที่กำลังจะมาถึง ตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา จากการศึกษาสถิติและตัวเลขจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการบริโภคของชาวจีนเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจด้วยจำนวนประชากรที่มีมากถึง 1,300 ล้านคน ปัจจุบันจีนกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาคุณภาพของประชากรเหล่านี้ให้มีความกินดีอยู่ดีและมีความรู้เพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่าปัจจุบันมีผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในจีนโดยเฉลี่ยปีละเกือบ 3 ล้านคน และมีนักศึกษาที่จบจากต่างประเทศทั้งหมดเกินกว่า 1 ล้านคนการศึกษากฎหมายในประเทศจีนเริ่มต้นจากระดับมหาวิทยาลัย โดยเด็กนักเรียนชั้นมัธยมของเขาต้องผ่านระบบการสอบเอ็นทรานซ์ (National Matriculation Test- NMT) เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย คล้ายๆ กับของบ้านเรา นักเรียนเหล่านี้จะต้องตัดสินใจเลือกสาขาวิชาก่อนเข้าสอบ ส่วนว่าจะได้เรียนในสาขาวิชาหรือมหาวิทยาลัยที่ดีหรือตามต้องการหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคะแนนสอบ NMT เป็นสำคัญการเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยใช้เวลาทั้งสิ้นสี่ปี นอกจากนี้นักศึกษายังต้องผ่านการฝึกงานด้านกฎหมายเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนในช่วงปีที่สามหรือสี่ ส่วนในปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษา นักศึกษายังต้องส่งรายงานที่เขียนขึ้นเองอีกหนึ่งฉบับด้วย  จีนมีระบบการสอบ “เนติบัณฑิต” เช่นเดียวกับประเทศไทยและเกาหลีใต้ โดยทนายความของเขาถูกบังคับว่าทุกคนจะต้องสอบไล่ได้ความรู้ชั้นเนติบัณฑิตเสียก่อน จึงจะสามารถประกอบวิชาชีพทนายความได้ และหลังจากสอบเนติบัณฑิตได้แล้ว ยังต้องผ่านการฝึกงานหนึ่งปีอีกต่างหาก ถึงจะครบถ้วนกระบวนความ มีสิทธิได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความโดยสมบูรณ์ระบบการสอบเนติบัณฑิตของจีนยังมีส่วนคล้ายกับเกาหลีใต้ประการหนึ่งคือ ผู้ที่จะมีสิทธิสมัครสอบเนติบัณฑิตนั้น จะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักศึกษากฎหมายได้ปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิตเสมอไป ส่วนสถิติของผู้ที่สอบไล่ได้เนติบัณฑิตในประเทศจีนนั้นอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ถือว่าใกล้เคียงกับของประเทศไทยเราเลยทีเดียวปัจจุบันจีนกำลังมีแนวคิดที่จะปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการสอบเนติบัณฑิตให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น โดยจะกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสอบให้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ที่จบนิติศาสตร์บัณฑิตเท่านั้นทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างของระบบการคัดเลือกทนายความในต่างประเทศ ซึ่งบอกให้เรารู้ว่า กว่าจะมาเป็นทนายไม่ว่าในที่ไหนๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นอกจากความแตกต่างในเรื่องของระบบการคัดเลือกแล้ว ค่าตอบแทนของทนายความในแต่ละประเทศ ก็เป็นอีกประการหนึ่งที่มีความแตกต่างกันอย่างมากเป็นที่รู้กันว่าทนายความในประเทศมหาอำนาจมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 60,000 – 100,000 เหรียญต่อปี ดังนั้น สำหรับโจทย์ที่ตั้งไว้ในตอนแรกว่า “เป็นทนายที่ไหนดี” หลายคนจึงตอบได้อย่างไม่ต้องลังเลใจเลยว่า “ที่ไหนตังค์เยอะ ที่นั่นแหละดี”สำหรับในประเทศไทย พระราชบัญญัติทนายความกำหนดคุณสมบัติของผู้สามารถยื่นขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตทนายความไว้ว่าต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น ส่วนในประเทศจีนไม่มีข้อห้ามในทำนองนี้ แต่เป็นที่รู้กันว่าทนายความที่จะว่าความในศาลได้ต้องเป็นผู้มีสัญชาติจีน ส่วนทนายความที่รับให้คำปรึกษาไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติจีนก็ได้ดังนั้น สำหรับชาวต่างชาติที่เห็นว่าทนายความในประเทศเหล่านี้มีรายได้ดีเหลือเกิน อยากจะมาเป็นบ้าง ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าหมดสิทธิค่ะ
สุมาตร ภูลายยาว
หลังกลับมาจากเมืองริมแม่น้ำในครั้งนั้น ไม่นานผมก็เดินทางมาเมืองริมแม่น้ำอีกครั้งพร้อมกับความทรงจำเมื่อ ๒ เดือนก่อน...ความทรงจำเมื่อ ๒ เดือนก่อนเกิดขึ้นบนแม่น้ำสายนี้ ผมจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นฤดูฝน น้ำปริ่มฝั่งหมุนวนน่ากลัว ผมได้พบชายชราอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันนาน ชายชรานั่งอยู่บนเรืออีกลำหนึ่ง ซึ่งวิ่งสวนทางกับเรือที่ผมโดยสารมา เมือเรือวิ่งสวนทางก็ได้ยินเสียงทักทายของคนขับเรือทั้งสอง แม้ว่าจะฟังสำเนียงการสนทนาไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็พอจับใจความได้ว่าคนขับเรือทั้งสองคุยกันเรื่องอะไร บนนาวาชีวิตกลางสายน้ำของชะตากรรม คงไม่แปลกอะไรหากคนสองคนผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันจะรู้จักและสนิทชิดเชื้อกันในวันนั้นผมบันทึกภาพชายชราเอาไว้อีกครั้ง พอกลับมาจากเมืองริมฝั่งน้ำ หลังว่างเว้นจากงาน ในคืนวันหนึ่ง ผมก็เอาภาพนั้นออกมาดู หลังจากดูเสร็จ ความรู้สึกข้างหลังภาพก็พาผมเดินทางหมุนวนกลับไปสู่เรื่องราวต่างๆ ...เพื่อนบางคนเคยบอกผมว่า ภาพหนึ่งภาพสามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง ยิ่งเป็นภาพที่ถ่ายในระยะเวลาแตกต่างกัน ภาพที่ได้ออกมาจึงเป็นความรู้สึกแตกต่างกันไป ผมเองก็เชื่อเช่นนั้น เพราะหลังจากดูภาพของชายชราเสร็จ ผมก็หวนคิดถึงคำพูดบางคำของพี่คนหนึ่ง พี่คนนั้นบอกกับผมว่า “ชายชราแกเป็นคนเก่ง เรื่องปลา เรื่องน้ำแกรู้หมด เพราะแกหากินกับน้ำมานาน”และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ผมจะไม่เชื่อตามนั้น เพราะเมื่อผมได้พูดคุยกับชายชราในตอนสายของวันหนึ่ง ผมก็พบว่า คำกล่าวของพี่คนนั้นไม่ได้เกินเลย และต่อจากนี้ ผมขอนำเอาเรื่องราวเสี้ยวหนึ่งแห่งชีวิตของชายชรามาให้ทุกคนได้พิสูจน์ความจริงว่า ชายชราเป็นอย่างพี่คนนั้นเล่าให้ผมฟังหรือไม่ช่วงต้นฤดูฝน สายน้ำเชี่ยวกรากได้พัดท่อนไม้ขนาดใหญ่ให้ไหลมากับสายน้ำ แน่ละเรื่องราวที่ผมสนใจไม่ใช่ความเชี่ยวกรากของสายน้ำ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายชรา และเรือลำเล็กต่างหากผมได้พบกับชายชราครั้งแรกตรงท่าเรือใต้ร่มจามจุรีหลังวัด หลังจากเรือกับคนหาปลาเดินทางกลับเข้าสู่ฝั่ง การพบกันครั้งแรกดูขันเขินเหลือทน คำทักทายแต่ละคำที่กลั่นออกมา ช่างยากเย็นแสนเข็นเสียเต็มประดา เพราะผมตระหนักรู้ว่า การเดินทางไปสู่อาณาจักรของใครโดยเจ้าของอาณาจักรไม่ได้เชื้อเชิญ มันดูเป็นเรื่องขัดเขิน และลำบากใจที่เจ้าของอาณาจักรจะต้อนรับแขกแปลกหน้าของเขา“พ่อเฒ่า วันนี้หาปลาได้เยอะไหม?” ผมจำได้ว่านั่นเป็นคำพูดแรกที่เอ่ยกับชายชราดูเหมือนว่าคำถามนี้มันเป็นคำถามที่ผมคิดได้ในเวลานั้น เพราะถ้าถามคนหาปลาที่กำลังกลับจากหาปลาด้วยคำถามอย่างอื่นคงไม่เหมาะสมนัก“ได้สัก ๓-๔ กิโลนี่แหล่ะ”“ได้ปลาอะไรบ้าง”“ปลากด ปลาเพี้ย”ขณะพูดคุยกันอยู่ ชายชราก็สาละวนเก็บของบนเรือมีทั้งที่นอน เสื้อผ้า และกล่องโฟมสีขาว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบนเรือเรียบร้อย เรือก็ถูกผูกโยงเข้ากับต้นไม้ริมน้ำ เมื่อผูกเรือเสร็จ ชายชราก็หันมาปลดเครื่องยนต์ออกจากเรือ บนเรือตอนนี้ไม่มีเครื่องยนต์ แต่หากใครคิดจะขโมยเรือทางเดียวที่จะเอาเรือออกไปได้ต้องพายออกไปเท่านั้น แต่ก็นั้นแหละคนที่จะเอาเรือไม่มีเครื่องยนต์ออกสู่แม่น้ำได้ต้องเป็นมืออาชีพที่รู้จักทางน้ำเป็นอย่างดี หากจะเรียกขโมยที่ขโมยเรือลำนี้ไปได้ว่า มืออาชีพก็คงไม่เป็นการกล่าวเกินเลยเมื่อปลดเครื่องยนต์ตรงด้านท้ายเรือเรียบร้อย ชายชราก็ยกเครื่องยนต์เรือขึ้นใส่บ่าและแบกเครื่องยนต์เรือขึ้นมาใส่รถเข็นที่จอดซุกไว้ในป่ากล้วยข้างวัด“เครื่องเรือนี้ถ้าไม่เอาขึ้นมา พรุ่งนี้อาจไม่เหลือ”ชายชราพูดกับผม ขณะเดินไปหารถเข็น คำพูดของชายชราไม่ได้เกิดขึ้นมาจากข้อสันนิษฐานลอยๆ  และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเหมารวมเอาว่าคนอื่นเป็นขโมย แต่การที่ชายชราต้องเอาเครื่องยนต์เรือขึ้นจากน้ำ มันมีที่มาที่ไป“เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเอาเรือออกไปหาปลา ตอนนั้นมันแดดร้อน เหนื่อยก็เลยเอาเรือจอดไว้ริมฝั่ง แล้วขึ้นไปนอนใต้ร่มไม้ เผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมา เครื่องเรือหาย รู้เลยว่ามีคนขโมยไป พอเครื่องเรือโดนขโมยเราก็ตามสืบ ตอนนั้นคิดจะเอาเรื่องเอาราวอยู่ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราว ตอนสืบหาเครื่องเรือ ก็อาศัยถามจากพรรคพวกหาปลาด้วยกัน เพราะคนหาปลามันจะรู้ว่าเรือใครใช้เครื่องอะไร เครื่องใหม่เครื่องเก่า เพราะอย่างน้อยเรือเราขนาดกี่ศอก เราน่าจะใช้เครื่องประมาณกี่แรงม้า เรื่องแบบนี้คนหาปลาเขาจะรู้กัน ตอนสืบหาเครื่องยนต์เรือ เราสืบไปสืบมาก็รู้ว่าใครเอาไป พอเรารู้ เราก็ได้แต่คิดว่า เขายืมไปใช้ ถ้าเขามีเป็นของตัวเองเขาคงเอามาคืน เราก็คิดแค่นั้น แต่คนที่ขโมยไปตอนนี้มันตายแล้ว มันตายก่อนเราอีก”เมื่อชายชราพูดถึงเรื่องนี้ ผมสังเกตเห็นดวงตาของชายชราหม่นเศร้าลงเล็กน้อย ชายชราบอกกับผมเพิ่มเติมว่า  “เรามันคนกันเองแท้ๆ ไม่น่าจะทำกันอย่างนี้“แม้ว่าเรื่องเครื่องยนต์เรือหายมันจะเกิดนานแล้วก็ตาม แต่ชายชราก็จดจำเรื่องราวในครั้งนั้นได้ดี เหมือนที่พูดมาตั้งแต่ตอนต้นว่า ถ้าเรือไม่มีเครื่องยนต์ก็ป่วยการที่มันจะวิ่งไปไหนมาไหนได้ เพราะสายน้ำไหลแรง เรือไม่ติดเครื่องยนต์คงไม่อาจต้านทานกระแสน้ำตอนทวนน้ำได้ แม้ว่าคนพายเรือจะแข็งแรงเพียงใดก็ตามสำหรับชายชราเครื่องยนต์เรือก็สำคัญพอๆ กับเรือ เพราะถ้าเรือไม่มีเครื่องยนต์ เรือก็ไม่สามารถออกหาปลาได้ และถ้ามีแต่เครื่องยนต์ เรือไม่มีก็ออกหาปลาไม่ได้เหมือนกันหลังจัดการกับสัมภาระทุกอย่างขึ้นบนรถเข็นเรียบร้อย ก่อนจะเข็นรถกลับสู่บ้าน ชายชราได้เล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมว่า“สมัยเด็กๆ ตอนเย็นนี่ลงเล่นน้ำสนุกสนาน ยิ่งลงเล่นทุกวันก็ยิ่งคุ้นเคย เราลูกแม่น้ำต้องว่ายน้ำเก่ง สมัยก่อนเห็นผู้ใหญ่เขาหาปลาได้เยอะเราก็อยากหาบ้าง แต่ตอนนั้นเป็นเด็กพ่อไม่ให้กลัวเราตกน้ำ กว่าจะได้หาปลาจริงก็ตอนเป็นหนุ่ม”“แล้วพ่อเฒ่าหาปลาตอนแรกอายุกี่ปี”“ถ้าเป็นช่วงหนุ่มๆ ก็ ๑๓-๑๔ แต่ตอนนั้นเราไม่กล้าออกน้ำใหญ่ ก็หาปลาตามห้วย ตามนา แต่ถ้าออกไปหาปลาน้ำใหญ่จริงนี่ ช่วงอายุ ๒๔ ตอนนั้นออกหาปลาในแม่น้ำเลย ก็อาศัยให้คนหาปลาคนอื่นสอนก่อน หลังจากนั้นเราก็หาคนเดียว เพราะน้ำนี่มันไม่เหมือนกัน มันเปลี่ยนตลอดที่วางเบ็ดมันก็เปลี่ยนตลอด ช่วงหาปลาใหม่ๆ เราเรียนรู้ทุกอย่าง”หากพินิจคำพูดของชายชราแล้ว สายน้ำก็เป็นบทเรียนบทหนึ่งของโรงเรียนนอกระบบที่คอยสอนให้ผู้คนริมฝั่งทุกผู้ทุกนามได้เรียนรู้บทเรียนแตกต่างกันออกไปผมจำได้ว่า ในวันนั้นเราพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง ทุกเรื่องล้วนตื่นเต้นสำหรับผม แต่ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าปกติก็เมื่อรู้จากชายชราว่า คนหาปลาที่หาปลาเป็นอาชีพเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการหาปลามีเรื่องราวสลับซับซ้อนพอสมควร อย่างน้อยคนหาปลาที่มีเรือก็ต้องรู้เรื่องเรือ เรื่องเครื่องยนต์ เรื่องทิศทางน้ำ ฤดูน้ำขึ้น-น้ำลง ฤดูวางไข่ของปลา ฤดูอพยพของปลา เพราะสิ่งเหล่านี้มันล้วนสำคัญกับคนหาปลาเสมอ และมันเป็นตัวชี้วัดด้วยว่าถ้ารู้เรื่องเหล่านี้ก็จะหาปลาได้ในยามที่ชายชรากลับคืนสู่บ้าน วันนี้แกไม่ได้เข็นรถเข็นกลับบ้านเพียงลำพัง แต่ล้อรถเข็นเคลื่อนที่ไปได้ด้วยแรงของคนสองคนคือ ชายชรากับภรรยาของแก วัยของคนทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันมากนัก สำหรับผมแล้วผู้เฒ่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนคู่คิดกันในยามแก่เฒ่าได้ดีทีเดียวรถเข็นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรงคนอย่างไร แน่ละชีวิตคนบางครั้งก็มุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงคนเช่นเดียวกัน...ตลอดสองข้างทางที่รถเข็นผ่าน ชายชรามักจะได้รับคำถามไถ่จากคนรู้จักอยู่ตลอดเวลา มีบ้างบางครั้งรถเข็นจะหยุดข้างทาง เพื่อให้คนเข็นได้พักเหนื่อย และยกแก้วเหล้าน้ำใสเหมือนตาตั๊กแตน อันเป็นน้ำมิตรไมตรีจากข้างทางที่หยิบยื่นมาให้ขึ้นดื่มและบ่อยครั้งเช่นกันที่ชายชรากลับบ้านพร้อมกับปลาหลายกิโลกรัม แต่ปลามักเหลือกลับมาถึงบ้านเป็นส่วนน้อย เพราะถูกขายหมดระหว่างทาง วันนี้ก็เช่นกัน ปลาสะโม้หนัก ๒ กิโลกรัมตัวหนึ่ง ชายชราบอกขายกิโลละ ๒๐๐ บาท แม้ว่ามันจะแพง แต่ก็มีคนแย่งกันซื้อหลายคน บางครั้งปลาที่ได้มาก็ไม่พอขาย แต่บางครั้งปลาได้มามากพอขายก็ไม่ขาย ในช่วงที่ปลามีน้อย แต่คนต้องการมีมาก ราคาปลาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ก็อย่างที่กล่าวแล้ว ในบางฤดู โดยเฉพาะในฤดูแล้ง ปลาจะมีราคาแพง เพราะหายาก ราคาปลาคนหาปลาจึงเป็นผู้ตั้งราคาเอง บ้างครั้งความเหมาะสมของราคาปลาหนึ่งตัวจึงหาจุดลงตัวยาก แม้ว่าในบางวันราคาปลาอาจแพงขึ้นมาบ้าง แต่คนซื้อปลาก็ไม่เคยบ่น เพียงแต่ต่อรองราคาขอลดกันนิดหน่อยก็ขายให้กันได้ แม้ปลาจะมีราคาแพง แต่ปลาก็จะถูกขายให้กับลูกค้าประจำที่คุ้นเคยกันเป็นคนแรกๆ อยู่เสมอ...“พ่อเฒ่ามีคนบอกว่าปลาน้ำโขงมันอร่อยจริงหรือเปล่า”“จริง ปลาน้ำโขงมันอร่อย เพราะน้ำมันเย็น น้ำมันกว้าง ปลามันว่ายไปไหนก็ได้ พอปลาว่ายไปไหนก็ได้ ร่างกายมันก็แข็งแรง ปลามันได้ออกกำลังกาย เนื้อปลาก็เลยแน่น เวลาเอามาทำอาหารมันก็อร่อย ปลาบางชนิดบางฤดูก็ไม่ค่อยอร่อย อย่างปลาเพี้ยนี่ถ้าเป็นหน้าน้ำขุ่นเอามาลาบจะอร่อย แต่ถ้าเป็นฤดูอื่นเอามาลาบก็ไม่ค่อยอร่อย เรามันคนลูกน้ำโขงต้องกินปลาน้ำโขง แต่ถ้าปลามันมีน้อยแบบนี้ ปลาอะไรก็อร่อยหมดแหล่ะ”พอพูดมาถึงตรงนี้ชายชราก็หัวเราะออกมาเบาๆแม้จะเป็นเวลาน้อยนิดที่ได้พูดคุยกันในวันนั้น ผมก็ปักใจเชื่อเรื่องที่ชายชราเล่าให้ฟังเสียสนิทใจ...แสงแดดของวันลับปลายวิหารของวัดไปแล้ว สายน้ำเงียบงันลงอีกครั้ง เพราะคนหาปลาได้นำเรือที่ลอยลำหาปลาอยู่บนแม่น้ำเดินทางกลับเข้าฝั่ง เวลาในการหาปลาของคนหาปลาหลายคนในวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วในฤดูฝนการหาปลาจะมีเวลาสั้น เพราะในแต่ละวัน คนหาปลาคาดเดาไม่ได้ว่าวันไหนฝนจะตก และถ้าในวันไหนแม้ไม่มีสายฝนโปรยปราย แต่ท้องฟ้ามืดครึ้มคนหาปลาก็จะไม่ออกเรือหาปลาเช่นกัน เพราะการหาปลาท่ามกลางพายุฝนบนสายน้ำเชี่ยวเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายไม่ใช่น้อย ดังนั้นแล้วเมื่อเป็นลมเป็นฝนหรือฝนตก คนหาปลาจึงไม่ออกเรือหาปลาฤดูแล้งจะเป็นช่วงหาปลาได้ยาวนาน และมีผลผลิตมากกว่าฤดูอื่น ยิ่งถ้าเป็นช่วงมีการจับปลาบึก ในเวลากลางคืนก็มีคนหาปลาออกเรือหาปลาอยู่ แต่การจับปลาบึกก็มีช่วงระยะเวลาสั้นๆ คือช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปีเท่านั้น...
เจนจิรา สุ
25 กันยายน 2550 หมู่บ้านใหม่ค่อนข้างจะคึกคักตกเย็นมีเสียงดีดสีตีเป่าร้องรำทำเพลงเป็นเพลงพื้นบ้าน  เสียงซึงประสานเสียงโม่งสอดรับกับท่วงทำนองเนื้อร้องของแม่เฒ่า เอื้อนไต่บันไดเสียงคลอปี่ไม้ไผ่ผิวหวิวไหวขึ้นลง ไล่เลียงไปไม่ทันสุดบันไดเสียงก็โยนกลับไป-มาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในหมู่บ้านลี้ลับกลางป่าเปลี่ยวดึกดำบรรพ์ที่ไหนสักแห่งที่เคยอยู่อาศัยเมื่อนานมาแล้ว ต่างจากหมู่บ้านเดิมลิบลับ ที่นี่ไม่มีแบตเตอรี่พอเพียงสำหรับเปิดเพลงจากซีดี ไม่มีทีวีให้รุมดู แต่มีกาน้ำชาอุ่นบนกองไฟที่ล้อมวงไปด้วยเด็กๆ หนุ่มสาว จนถึงคนเฒ่าคนแก่ ปรึกษาหารือถึงวิถีชีวิตของวันพรุ่งนี้ ฉันเพิ่งแจ้งข่าวดีๆ ร้ายๆ ที่พึ่งรับรู้มาให้ทราบในที่ชุมนุมว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัดคนที่สั่งให้เราย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่จังหวัดอื่นแล้วและเราก็จะได้ต้อนรับผู้ว่าคนใหม่ที่จะมารับตำแหน่งในวันที่ 29 กันยาที่จะถึงนี้กัน” ทั้งสองข่าวสร้างความหวั่นไหวจนเกิดเสียงอื้ออึง เพราะผู้ว่าฯ คนเก่าเป็นเจ้าของโครงการหมู่บ้านอนุรักษ์วิถีชีวิตชนเผ่ากะเหรี่ยง (ประด่อง) เพื่อความมั่นคงจังหวัดแม่ฮ่องสอน อันเป็นที่มาให้ชาวบ้านทั้งสามหมู่บ้านย้ายมาอยู่รวมกันนั้นได้ย้ายไปแล้ว ชาวบ้านจึงไม่แน่ใจว่าผู้ว่าฯ คนใหม่จะมาสานต่อโครงการเดิมหรือไม่ สิ่งที่ผู้ว่าฯ คนเก่าเคยให้สัญญาไว้คือ จะให้หน่วยงานราชการเข้ามาดูแลในเรื่องการฟื้นฟูวิถีชีวิตในด้านต่างๆ ทั้งการศึกษา วัฒนธรรม ปัญหาปากท้อง หรือแม้แต่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ Human Zoosเหมือนเมื่อก่อน เหล่านี้ล้วนจำเป็นสำหรับก้าวแรกในวันที่ชาวบ้านเพิ่งปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการจากนายทุนและยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ฉันรู้ว่าชาวบ้านยังไม่คุ้นชินกับการโยกย้ายแบบปุบปับของข้าราชการไทย แต่ก็รู้ว่า ผู้ว่าฯ นี่แหละที่มีอำนาจมากที่สุดในการปกครองพลเมืองในจังหวัดนี้ หากพวกเขาอยู่ได้อย่างมีตัวตน-หมายถึงทางจังหวัดเห็นความสำคัญไม่ทิ้งขว้าง ความมุ่งหมายของพวกเขาที่จะอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีเป็นเสมือนประชากรของจังหวัดคนหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็เป็นเสมือนชาวเขาเผ่าอื่นๆ ที่มีสิทธิเสรีภาพมากกว่า ก็จะเข้าใกล้ความจริงไปอีกก้าว“ฉันว่าพวกเราน่าจะไปต้อนรับผู้ว่าฯคนใหม่ ที่สนามบินกันนะ ท่านจะได้เห็นใจเราเข้ามาช่วยดูแลสานต่อโครงการของผู้ว่าคนเก่า ”มะเลาะหญิงกระยันที่เคยไปเรียนหนังสือกับครูเอ็นจีโอฝรั่ง ชักชวนให้ทุกคนกระตือรือร้นอย่างมีความหวัง “การไปต้อนรับครั้งนี้เราไม่ได้ไปแค่โชว์ตัวหรือฟ้อนรำให้เขาถ่ายรูปกับของแปลกแม่ฮ่องสอนเหมือนเมื่อก่อน แต่เราจะไปฝากตัวให้ผู้ว่าฯ เข้ามาดูแลเราเหมือนเป็นพลเมืองของจังหวัดแม่ฮ่องสอนคนหนึ่ง เพราะเราไปด้วยความคิดของเรา ไม่ได้ไปเพราะมีใครสั่งให้เราไป ตอนนี้เราอยู่ในความดูแลของทางจังหวัด ไม่ใช่นายทุนเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว”  ฉันเสริมความคิดของมะเลาะ คืนนั้นเราจึงเตรียมการณ์ไว้ว่าวันที่ 28 กันยายนที่จะถึงนี้ พวกเราจะไปต้อนรับผู้ว่าฯ กันที่สนามบิน เพื่อเรียกร้องให้หน่วยข้าราชการสนใจเข้ามาดูแลเรา เพราะนับวันเวลาผ่านไป ข้าวสารอาหารแห้งหรือแม้แต่เงินที่เคยเก็บสะสมไว้ก็ถูกนำมาใช้จ่ายจนลดน้อยลงไปทุกที ในขณะที่ยังไม่เห็นหนทางหารายได้ในวันที่ข้าราชการสับเท้ากันขึ้นรับตำแหน่ง โครงการต่างๆ มากมายถูกปล่อยร้างเมื่อคนเก่าไปคนใหม่มา แต่ก็มีหลายโครงการดีๆ ที่ถูกสานต่อจนเป็นผลสำเร็จ โดยไม่ได้คิดว่าใครเป็นผู้ริเริ่มไม่มานั่งเถียงกันว่าเป็นผลงานของใคร ฉันก็ได้แต่หวังว่าโครงการดีๆ ที่ชาวบ้านพร้อมใจกันสามัคคีและให้ความร่วมมือพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่งอมืองอเท้าให้คนอื่นเข้ามาช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวจะถูกสานต่อให้บรรลุผลสำเร็จไปด้วยกัน แม้ว่าชาวบ้านที่นี่ทั้ง 89 คนจาก 31 ครอบครัว จะไม่มีใครที่มีบัตรประชาชนเป็นคนไทยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากถามนักท่องเที่ยวว่าแม่ฮ่องสอนมีอะไรที่น่าเที่ยวชมบ้าง ฉันก็เชื่อว่าหนึ่งในนั้นก็คือพวกเขารวมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าปัจจุบันกะเหรี่ยงคอยาวจะมีอยู่แพร่หลายทั้งเชียงใหม่, เชียงราย แต่แม่ฮ่องสอนก็เป็นบ้านหลังแรกๆ ของพวกเขา ก่อนที่กลุ่มทุนจะนำพาไปจัดตั้งหมู่บ้านเพื่อธุรกิจการท่องเที่ยวกระจัดกระจายไปอีกหลายแห่ง บางคนที่เป็นพี่เป็นน้องกันต้องพลัดพรากจากกัน แม้ว่าอยู่ห่างจากกันไปไม่กี่จังหวัดแต่ก็ไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้ เพราะโอกาสที่ชาวบ้านเผ่ากะเหรี่ยงคอยาวจะขออนุญาตเดินทางออกนอกจังหวัดนั้นต้องเป็นกรณีสำคัญ เช่น เจ็บป่วยและต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่น เป็นต้นฉันเชื่อว่าหากสร้างบ้านที่มีความมั่นคงทั้งทางจิตใจ (ว่าจะไม่ต้องอพยพไปไหนอีกแล้ว) และมั่นคงทางร่างกายคือได้กินอิ่มนอนอุ่น มีสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่ถูกกักถูกขังอยู่เฉพาะบริเวณนักท่องเที่ยวเข้าไปดูได้เท่านั้น เหมือนที่นายทุนกระทำอยู่ในหลายๆ แห่ง พวกเขาก็จะเต็มใจอยู่บ้านของเขาเอง โดยที่ทางการเองก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะลักลอบนำพาพวกเขา ไปอยู่บ้านสวนสัตว์ที่ไหนอีก หมู่บ้านที่เขาเลือกอยู่อย่างมีความสุข ก็จะเป็นหมู่บ้านจริงๆ ที่มีเลือดเนื้อวิญญาณ มีกลิ่นอายวัฒนธรรมดึกดำบรรพ์และท่วงทำนองวิถีชีวิตที่ชวนเคลิบเคลิ้มไปว่าเราเคยมาเยือนเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งจะแตกต่างกับความรู้สึกหดหู่หลังจากเข้าไปเที่ยวในหมู่บ้านสวนสัตว์คอยาวที่ไหนสักแห่ง
แสงดาว ศรัทธามั่น
สหาย " รั กไ ห ม ว ง ศ์ ล้า น นา " คับ อ้ายฯ ส่งใบโอนมาให้ที่อ้ายรักไหม กรุณามอบภาพวาดเดือนตุลาฯ มาให้อ้าย เป็นภาพที่อ้ายชอบมากๆ , คับ ..... หากบังเอิญ เกิดฟลุ๊คเมื่อใด จักโอนมาให้ครบในทันทีเลย แต่ตอนนี้ขอเดือนละห้าห้อยก่อน (เพราะอ้ายเป็นมหาโจรห้าห้อย - - - HA ฮา ฮ่า) อ้ายฯ ส่งบทกวีที่เขียนถึงแม่อุ๊ย "พูนศุข พนมยงค์" ไปให้ อ้าย "สุชาติ สวัสดิศรี" แล้ว คงจะลงตีพิมพ์ใน เนชั่น คอลัมน์ "สิงห์สนามหลวง" ไม่ช้านี้....  อ้ายชอบแม่อุ๊ย "พูนศุข พนมยงค์" ที่เขียนพินัยกรรม ก่อนตายว่า ... ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น" ช่างคมเฉียบขาดนัก ... ท่านปรีดี พนมยงค์ และท่านผู้หญิงพูนศุขฯ ถูกข่มเหงรังแกจากพวกกลุ่มศักดินา และพวกข้าราชการมานานนัก ทั้งๆ ที่ท่านมีคุณูปการต่อสังคมไทย (สมมุติ)มายาวนาน ... ตาย ก็ มิได้ ตาย ที่บ้านเกิดเมืองนอน !!! เช่นเดียวกับ "ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์" , "ศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) ฯลฯ พูนศุข ณ ป้อมเพชร์ กับปรีดี พนมยงค์ ภาพจากคอลัมน์เรือนพักนักเดินทาง ประชาไท อะไรกันนักหนา ประชาชนต้องช่วยกันเช็ดล้างให้หมดสิ้นที้งพวกเผด็จการนักธุรกิจเลือกตั้งรัฐสภา (ทุกยุค ไม่ว่าสมัยน้าชาติ, น้าชวน, น้าทักษิณฯ ฯลฯ ) และเผด็จการทหาร คมช. ฯลฯ ตอนนี้ใน www.prachatai.com อ้ายเขียนบทกวีให้ เผด็จการ คมช. ลงจากเวที หมดเวลาของเธอแล้ว !!! อ้ายรักไหมฯ click ไปที่ คอลัมน์ blogazine ได้เลย พวกเรา กวี นักเขียน ฯลฯ ล้านนา และทั่วประเทศ ช่วยกันขีดเขียนอยู่ มีลีลาจังหวะดีๆ อ้ายจักไปแอ่วหา และพักผ่อนบ้านหลังที่สองของอ้าย ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ที่ "รักไหม" กรุณาให้อ้ายฯได้พำนัก ฯลฯ *** อยากให้ "รักไหมฯ" อ่านหนังสือพ็อคเกตบุ๊คของ อ้าย "แคน สาริกา" ที่เขียนเรื่อง "คนตุลาตายแล้ว" จังเลย มีขายตามแผงทั่วไป มันไป จูบปาก สวมโอบกอด กันได้ยังงายยยยย ระหว่าง น้าสุธรรม แสงประทุม, น้าจาตุรนต์ ฉายแสง , น้าอดิศร เพียงเกษ , น้าอ้วน (ภูมิธรรม), น้าหมอมิ้งค์ , น้าอดีตสหาย "สงวน พงษ์มณี " ฯลฯ เพื่อนเราถูกฆ่าตายอย่างทารุณโหดร้าย แล้วพวกเธอ ปายยยยยย จูบปาก เค้า ทำมายยยยยย !!!! ... " น้าหมัก, น้าทมยันตี , น้าอุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุทธยา (ตายไปซะแหล่ว) ฯลฯ ที่พากันปลุกระดมให้เข่นฆ่า นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน กลางท้องสนามหลวง - สนามราษฏร์ และในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ... "รักไหม" , คับ .... " น้าแดง .... มนัศ เศียรสิงห์" หนึ่งในแนวร่วมศิลปินประชาชนแห่งประเทศไทย และพรรคพวกก็เสียสละชีวิตเพื่อป้องกันพี่น้องประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ฯลฯ เอาไว้ !!! ... มันไปจูบปากฆาตรกรแห่งเดือนตุลาฯ .... 6 ตุลาฯ ได้ยังงายยยยย? อย่าอ้างเรื่อง "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" ฟังแล้วมันอยากอ๊วก คนอดีตเดือนตุลาฯ พวกนี้ คือพวกลื่นไหลไปตามกระแสอภิมหาบริโภคทุนนิยมโลกาวินาศสุดโต่งที่ทำลายรากเหง้าวิถีชีวิตของชุมชน ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นที่เหมืองถ่านหินแม่เมาะ , คริสตี้ เมืองกาญจนื, เขื่อนปากมูน , โรงไฟฟ้าจะนะ - สงขลา และจักมาทำลาย แม่น้ำสาละวิน , แก่งเสือเต้น , บ่อนอก - หินกรูด , ป่าชุมชนของพี่น้องชนเผ่า และ ชาวบ้าน ฯลฯ พวกเธอผู้อวิชชามิตรัสรู้เลยหรือว่า พวกเธอได้ทำลายรากเหง้า วิถีชีวิตของพวกเธอ และ ลูกหลาน เหลน โหลน หลีด ลี้ ฯลฯ ของพวกเธอด้วย แ ต่ ท ว่า ... ก็ยังมีคนเดือนตุลาฯ ที่น่าคารวะ พวกเขายืนหยัดมั่น ยืนเรียงเคียงข้างประชาชนผู้ทุกข์ยาก เสมอมา ... พวกเขาไม่ " เปลี่ยนสี แปรธาตุ " !!! "รักไหมฯ" คับ .... ขณะนั่งเขียนสาส์นนี้ ณ ใต้ร่มไม้แห่งบ้านในเมือง เสียงนกเขาขันคู - คู กล่อมไพเราะพริ้งเพราะนัก .... ธรรมชาติงดงามมีคุณค่าต่อมนุษย์เสมอ แต่มนุษย์อวิชชากลับไปทำร้าย ทำลาย แม่พระธรรมชาติซึ่งเป็นแม่แรกของมนุษย์ (ก่อนที่พระคุณพ่อ พระคุณแม่ จักให้กำเนิดเรา).... ก่อนโน้น บ้านในเมืองของอ้ายตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ แม่จะยกมือไหว้พระธาตุดอยสุเทพทุกครั้งยามราตรีกาล พระธาตุดอยสุเทพงดงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ เป็นแสงสีทองงามตา... แต่ทว่า ณ บัดนี้ เรามองไม่เห็นพระธาตุดอยสุเทพทั้งกลางวันและกลางคืนแล้ว ด้วยว่ามีตึกสูงมาบดบัง !!! โอ้สุดแสนจะเสียดาย !!! ... เอาล่ะ เรามาคุยต่อเรื่องคนเดือนตุลา (ฟังไม่จืด) แม้นยังมีอดีตคนเดือนตุลาฯ อดีตสหายฯ ที่ลื่นไหลฯ ทว่า เรายังมีคนเดือนตุลาฯ ที่ยังยืนหยัดคงมั่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็น... "สหาย มด ... วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์, สหายสุวิทย์ วัดหนู (กลับคืนสู่ดินแล้ว), สหายตี้ กรรมาชน (กลับคืนสู่ดินแล้ว), สหายสิงห์คำ ....ประเสริฐ จันดำ (กลับคืนสู่ดินแล้ว), สหายนิด กรรรมาชน (เพื่อนร่วมชีวิตของสหายตี้ กรรรมาชน), สหายร้อย,.. วัฒน์ วรรลยางกูล, สหาย อ.เปลื้อง คงแก้ว (เทือก บรรทัด) (คืนสู่ดินแล้ว), สหายพันดา ธรรมดา แห่งตรัง, สหายสถาพร ศรีสัจจัง (พนม นันทพฤกษ์), สหายไท (อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล), สหายใบไม้ จิระนันท์ พิตรปรีชา, สหายศิลา โคมฉาย, สหายแคนสาริกา, สหาย อ. วรศักดิ์ มหัทธโนบล, สหาย อ.กนกศักดิ์ แก้วเทพ, สหาย อ. ธีรยุทธ บุญมี, สหายอ. ธเนศวร์ เจริญเมือง ,สหาย อ. สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, สหาย อ.เทพศิริ สุขโสภา , สหายสินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย, สหายวีระศักด์ ขุขันธินธ์, สหาย อ. ธีรยุทธ บุญมี , พี่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ฯลฯ และอีกหลายๆ ท่านที่มิได่เอ่ยนาม ฯลฯ ใช่ ใช่ เรายังมีคนเดือนตุลาฯ ที่มีจิตวิญญาณสำนึกงดงามที่เราสามารถยกมือไหว้คารวะอยู่อย่างเต็มใจ !!! ... เ อา เ ถิ ด สำหรับ อดีตคนเดือนตุลาฯ ที่ดูเหมือน "เปลี่ยนสี แปรธาตุ" (ขอโทษ) ปล่อยแม่งงงง์ มัน จู บ ปา ก โ อ บ ก อ ด กั น ปา ยยยย ก ร ร ม คือ การกระทำ .... จักต้องเห็นผลกรรมสักวันหนึ่ง โ ล ก ร้ อ น แ ล้ ง เ ล ว ร้า ย มา ทุ ก ที แ ล้ ว ... พะ ยะ คั บ !!! อิสลามมาลากุม , อาเมน , ตถาตา .... สาธุ !!! บุญฮักษา , รักษาสุขภาพ , คับ ด้วยจิตคาราวะ + พลังใจ อดีตสหายรัตน์ (แสงดาวฯ) หมายเหตุ : สหายเอ๋ย ... อ้ายฯมีเรื่องขำขันจักเล่าสู่กันฟัง ....อ้ายเคยอ่ายหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันอาทิตย์ section คติชน มีคนสัมภาษณ์สหายอาวุโสแห่งอิสานคนหนึ่งที่พาคนเดือนตุลาฯ หนีตายจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ มหหหหหาโหด ปี 2519 สหายอาวุโส พาคนเดือนตุลาฯ (ที่เป็นรัฐมนตรีสมัยน้าทักญิโนมิค) หนีตายข้ามแม่น้ำของ ... แม่น้ำโขงไปแดนลาว สหายอาวุโสให้สัมภาษณ์ว่า "รู้งี้ถีบมันตกลงแม่น้ำ โขงซะดีกว่า".... อดีตรัฐมนตรีหมอแคนคนนั้นซึ่งเป็นอดีตคนเดือนตุลาฯ ไปจูบปาก ซบอก โอบกอดพวกเผด็จการรัฐสภาระบบทักษิณฯ ที่ทำลายรากเหง้าวิถีชีวิตของพี่น้องชาวบ้าน - ชุมชน ฯลฯ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
กัลกัตตาเป็นเมืองหลวงสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (มันยิ้มเห็นลิ้น “คิดว่านะ”)อาคารร้านตลาดหรือ Shopping Center ยังคงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมยุโรป ประเมินได้ว่า นับตั้งแต่คานธีปลดปล่อยอินเดีย “มันก็ยังอยู่อย่างนั้น ทรุดโทรมไปตามเวลาอย่างขาดการดูแล”ยามเช้า “ชั้นตั้งนาฬิกาปลุกออกไปเดินถนนตั้งแต่ 7 โมงเช้า” บนถนนย่านตลาดสด เวลาเหมือนหยุดนิ่ง เงียบสงบ ยามเช้าที่ไหนก็สวยใสอย่างนี้เสมอ ถนนลาดหินเหมือนจัตุรัสกลางในหนังสือวรรณกรรมอังกฤษ“ถนนลาดหินเหมือนฉากหนังหยองขวัญเรื่อง Jack the Ripper มากกว่าว่ะ”อืม .. หน้าโรงแรม ริมถนนตรงข้ามข้างคันโยกน้ำสาธารณะ เด็กน้อยคนนึงกำลังอาบน้ำ สีฟัน “ชั้นพยายามโฟกัส” ขณะวัดแสง เด็กน้อยรีบหลบหลังคันโยก (ทั้งที่ไม่มิด) หุบยิ้ม จ้องเขม็ง เดินหนีใกล้ๆ กัน มีผู้หญิงในชุดส่าหรีมอมอคนหนึ่งคุ้ยกองขยะ ...ร้านน้ำชาเป็นสภาของผู้ชายที่จะมานั่งเต๊ะจุ๊ยพูดคุยและอ่านหนังสือพิมพ์ จิบชานมสีน้ำตาลอ่อนๆ ในถ้วยดินเผา ดื่มหมดโยนถ้วยดินเผาลงพื้น กินแล้วโยนลงพื้น กินแล้วก็โยน จนมันบอกว่า เศษถ้วยดินเผาเกลื่อนถนนอีกฟากหนุ่มรถเข็นขายน้ำมะนาวกำลังผสมน้ำสีตุ่นๆ กับมะนาวสด จนไม่รู้ว่า กินไปแล้วท้องเสียเพราะมะนาวสดหรือน้ำสีตุ่น ลานกว้างหน้า Shopping Center กลายเป็นที่นอนของคนเร่ร่อน ไร้บ้านจำนวนมาก บางคนหรูหรามีเตียงเหล็กสานนอนเบียดกันและกัน ฝ่าเท้าดำปี๋ ขาก่ายเกยกันสองสามคน บางคนคุดคู้ใต้ผ้าห่มบางๆ เกลื่อนกลาดอยู่กลางลานเวลาดูเหมือนหยุดนิ่ง ยามเช้าที่ไหนในโลกมักสวยงามอย่างนี้เสมอ “ภาพอย่างนี้มีให้เห็นได้ทั่วไป เหมือนภาพ abstract ที่ไม่อาจบรรยาย” มันว่าห่างออกไปอีกบล็อกจะเป็นย่านตลาดสดเพิ่มดีกรีความจอแจที่คุ้นเคย คนขนไก่มัดขาไก่เอาไว้กับแฮนด์รถจักรยานเข็นไปส่งที่ตลาดสด ไก่นับร้อยชีวิตถูกแบ่งเป็น 4 พวง บนแฮนด์สองข้างและท้ายที่นั่งอีกสองข้างห้อยปุเลงๆ ไปบนถนนหินเหมือนกับฉากหนังสยองขวัญ Jack the Ripperผู้ชายเดินทูนของบนหัว บิดก้นไปมาขยับขาไวๆ เหมือนกับนักกีฬาเดินทน เดินกันให้ควั่ก เข็มนาฬิกาแห่งวันเริ่มทำงานอีกครั้งเมืองแห่งอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ ขณะที่ทัชมาฮาล คือ สถาปัตยกรรม อันน่าอัศจรรย์ใจหรือความเป็นเมืองแห่ง IT อย่างบังกาลอว์ อินเดียไม่ใช่ประเทศยากจนหรือประเทศโลกที่สาม เป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามประชาชนอินเดีย ยากจนคนกว่าครึ่งของมหานครกัลกัตตา ไม่เร่ร่อนไร้บ้านก็อยู่ในชุมชนที่เรียกได้ว่า สลัม“นั่นแหละ คือ อินเดีย”“เพื่อน (อินเดีย) ชั้นบอกมาว่ะ ส่วนอีกคนถามว่า ท้องเสียหรือของหายหรือเปล่า” เพื่อนผมหัวเราะขื่นๆหรือว่า นี่มันเป็นเรื่องปกติในทุกมหานครของโลก (การค้าเสรี) ...กิจกรรมยามเช้าเวลาที่หยุดนิ่งของคุณลุงเหมือนกับฉากหลัง คือ อาคารทรงยุโรปจากยุคอาณานิคมคุณลุงบนรถลาก กำลังรอผู้โดยสารร้านน้ำชาก่อนจะกลายสภาพเป็นสภากาแฟสำหรับผู้ชายไก่!ลานข้างตลาดขายปลา สีแดงธงรูปค้อนเคียวเธอกำลังเก็บกระดาษกิจวัตรประจำวันริมฟุตบาธ ก่อนจะออกไปทำงานคฤหาสน์บนลานหน้า Shopping Center

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม