บล็อก

"วิทยาเขตสีเขียว" วิชาใหม่ที่อยากเล่าให้ประชาชนฟัง

๑.คำนำ

เมื่อ ๗ ปีก่อน  คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้คิดวิชาใหม่ขึ้นมาหนึ่งรายวิชา หากคำนึงถึงแนวคิด เนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนแล้ว อาจถือว่าได้วิชานี้เป็นวิชาแรกในประเทศไทยก็น่าจะได้  ผมจึงอยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านที่เป็นผู้จ่ายภาษีมาตลอดได้รับทราบครับ

ด้วยขั้นตอนตามระเบียบของมหาวิทยาลัย เราได้เริ่มลงมือเปิดสอนจริงเมื่อ ๓ ปีมาแล้ว รายวิชานี้ชื่อว่า “วิทยาเขตสีเขียว (Greening the Campus)”  เป็นวิชาบังคับสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่สามทุกคน

เรื่องที่จะนำมาเล่าอย่างสั้นๆ นี้ ได้แก่ แนวคิด เนื้อหา กระบวนการเรียนการสอน  สิ่งที่นักศึกษาค้นพบและร่วมผลักดันขยายผล รวมทั้งความรู้สึกของนักศึกษาบางคน

เรื่องเล่า-ตำรวจ-ยาบ้า

 

หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก

"มีอะไร" เขาถาม

"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้ว

เขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ

"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า

เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน"

เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท

ยาบ้าที่ว่านี้หลานไปหาซื้อมากับเพื่อนจากแถว ๆ วงเวียนใหญ่เพื่อนำไปขายต่อ (หลานไม่ยอมให้รายละเอียดว่าซื้อต่อมาจากใคร อย่างไร) หลานบอกว่าซื้อขาดมาเลย ไม่ใช่รับจ้างเดินของ และยอมรับว่าทำงานนี้มาเป็นแรมเดือนแล้ว

เขาตกตะลึงกับสารภาพง่าย ๆ ของหลาน เขารู้ว่าหลานเสพยาเสพติดมานานและพยายามขัดขวางห้ามปรามอย่างสุดความสามารถมาโดยตลอด แต่ไม่นึกว่าหลานจะใจกล้าถึงขนาดนี้ อายุยังไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ เขาคิดว่าหลานอาจจะ "เสี้ยนยา" และไม่มีเงินซื้อเพราะแม่ก็ตัดหางปล่อยวัดแล้ว ดังนั้นจึงหันมาขาย ขายไป เสพไป

หลานให้รายละเอียดในเวลาต่อมาว่าหลังจากไปรับยาบ้ามาจากวงเวียนใหญ่แล้ว ก็ไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นกับเพื่อนคนที่ไปเอายาบ้าด้วยกันนั่นแหละ

"ทำไมไม่เอายาบ้ามาเก็บเสียก่อน" เขาถาม

"ลืม" หลานบอก

หลานกับเพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์พร้อมพกพากล่องลูกอมที่ใส่ยาบ้าไว้ 20 เม็ดตระเวณไปทั่วกรุงเทพ ฯ กระทั่งเจอด่าน รถมอเตอร์ไซค์ที่หลานขี่เป็นรถแต่งดังนั้นตำรวจจึงเรียกให้จอดเพื่อจะทำการปรับไปตามเรื่องตามราว แต่หลานออกอาการลนลานจนน่าสงสัย ตำรวจจึงนำตัวไปที่โรงพักและค้นตัว

เที่ยวแรกค้นไม่เจอเพราะหลานใส่ไว้ในกางเกงใน แต่ตำรวจนายหนึ่งรู้ทันบอกให้ค้นในกางเกงในด้วย จึงเจอกล่องลูกอมใส่ยาบ้า เป็นอันว่าเกม

เขาทั้งด่าทั้งปลอบหลาน ทั้งเจ็บปวดผิดหวังกับหลานที่เขาแสนรัก เขามองหน้าเศร้าสร้อยของหลาน รู้สึกเสียดายที่อนาคตต้องมีรอยมลทิน

หลังจากลงบันทึกเรียบร้อยแล้ว ตำรวจก็พาหลานเข้าห้องขัง

เขาไม่คิดจะประกันตัว เขาโทรไปบอกแม่ของหลานซึ่งก็ให้ความเห็นว่าไม่ต้องประกันตัว แม่ของหลานบอกว่าเด็กมันควรจะได้รับบทเรียน เขาเห็นด้วยว่าหลานควรจะได้รับบทเรียนและได้แต่หวังว่าบทเรียนนี้จะทำให้ "โต" ขึ้น

เขากลับมานอนไม่หลับ ภาพที่หลานถูกสวมกุญแจมือเดินเข้าห้องขังนั้นทำร้ายจิตใจอย่างแรง

รุ่งขึ้นเขาลางาน ไปเยี่ยมหลานและต้องเป็นผู้ปกครองตอนที่ตำรวจสอบสวน ก่อนที่จะสอบสวนนั้น ตำรวจเข้ามาบอกกับหลานว่า เงิน 4 พันกว่าบาทนั้นให้หลานบอกว่าเป็นเงินที่แม่ให้มา ไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการขายยาบ้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลานสารภาพแต่โดยดีไปแล้วว่าเป็นเงินจากการขายยาบ้า

ด้วยความที่คิดว่าตำรวจเป็นคนดี หรือด้วยความมองโลกในแง่ดีหรือด้วยความอ่อนต่อโลกของตำรวจและโลกของยาบ้า เขาจึงเข้าใจว่าที่ตำรวจแนะนำให้หลานบอกว่าเงิน 4 พันกว่าบาทนั้นเป็นเงินที่แม่ให้มาเพราะตำรวจอยากจะคืนเงินให้กับเด็ก


เขาถามตำรวจว่า "เงินนี้จะได้คืนใช่ไหมครับ"

ตำรวจตอบว่า "ห้าสิบ ห้าสิบ"

เขาลืมเรื่องเงินไปชั่วคราว เพราะใจจดจ่ออยู่กับการสอบสวนซึ่งมีทนายความ นักจิตวิทยามาร่วมเป็นพยานด้วย (อันที่จริงถ้าให้ครบก็ต้องมีอัยการด้วย แต่เขาบอกว่าไม่ต้องก็ได้)

ตำรวจถามไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งบันทึกวิดีโอไว้ จนมาถึงเรื่องเงิน 4 พันกว่าบาท หลานก็ตอบไปตามที่ตำรวจบอกให้ตอบว่าเงินนั้นเป็นของแม่ ไม่ใช่เงินที่เกี่ยวข้องกับยาบ้า การสอบสวนเสร็จสิ้นใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง

จากนั้นหลานถูกนำตัวเข้าห้องขังอีกครั้ง ส่วนเขาก็นั่งรอเพื่อที่จะไปส่งหลานที่ "บ้านเมตตา" พร้อมกับตำรวจ

ระหว่างทางไปบ้านเมตตา ตำรวจที่ไปส่งหลานสองนายแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม 300 บาท แต่มีเงินติดตัวไม่พอ ตำรวจจึงขอยืมเขา 200 บาท เขางงที่จู่ ๆ ตำรวจยืมเงินแต่ก็ให้ไป

เขาถามตำรวจหลายครั้งว่าเงิน 4 พันกว่าบาทของหลานนั้นจะได้คืนหรือไม่ ตำรวจตอบว่าต้องหาหลักฐานมายืนยันว่าเงินนั้นเป็นเงินที่แม่ให้มาจริง ๆ !

เขารู้ทันทีว่าพลาดแล้ว เงินไม่มีทางได้คืนแน่นอน จะหาหลักฐานมายืนยันได้ยังไงในเมื่อเงินนั้นมาจากการขายยาบ้า!

เขามาถึงบางอ้อว่าหากหลานสารภาพว่าเงิน 4 พันกว่าบาทได้มาจากการขายยาบ้า เงินสกปรกนั่นก็จะตกเป็น "ของกลาง" แต่หากบอกว่าเป็นเงินที่แม่ให้มา ไม่เกี่ยวกับยาบ้า เงินนั้นก็จะไม่เป็นของกลาง ตำรวจก็สามารถเอาเงินบาปที่เด็กเสี่ยงอนาคตหามาได้เข้ากระเป๋าตัวเองสบายใจ


นี่เป็นวิธีหากินของตำรวจ เป็นวิธีหากินกับความเหลวแหลกของสังคม ฉวยโอกาสเอาจากความเดือดร้อนที่ผิดกฏหมาย

หลังจากที่พาหลานไปส่งที่ "บ้านเมตตา" แล้ว เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้นอนเลย รู้สึกอ่อนเพลียเสียใจเป็นกำลัง เขาทรุดตัวลงที่ลานหญ้าข้างถนน ร้องไห้เสียงดังไม่อายใคร.

กระตือรือร้นในไอชีที Camp!!! ตอน ๒

ขณะที่เดินทางไปพัทยา ผมมองดูกระเป๋าเดินทางของตัวเองด้วยความกังวลใจอยู่ลึกๆ
“ขออย่าได้เป็นอะไรเลย ประเดี๋ยวจะขายขี้หน้าหมด”
“อ้ายกลัวกระเป๋าเดินทางแตกใช่มั้ย?” น้องคนหนึ่งถาม
“ก็....กลัวนะ....”
“แต่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นไรนี่”
“ใช่.....”

20080317 ภาพประกอบ (1)

วิวของช้าง

20080317 วิวของช้าง (1)

ผมไม่แน่ใจว่าจะวางคำว่า ‘ของ’ เอาไว้ตรงไหนดี ระหว่างคำว่าช้างกับวิว

ช้าง‘ของ’วิว หรือว่า วิว‘ของ’ช้าง กันแน่...

แม้ไม่แน่ใจแต่ผมรู้ดีว่าวิวชอบช้าง (ที่ไม่แน่ใจคือช้างจะชอบวิวด้วยหรือไม่) และเขียนรูปช้างมานานแล้ว

ช้างที่เกิดจากปลายพู่กันและปลายนิ้วของวิวที่ถูกเกลี่ยกลบถมทับวาดเส้นและลากสีจนเกิดเป็นภาพและเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับช้างนั้น ถ้าหากว่ามีใครเคยนับช้างของวิวคงเป็นช้างแห่งสีสันโขลงใหญ่นับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

วิวเขียนรูปช้างแค่ให้รู้หรือดูออกว่าเป็นช้าง แม้จะมีงวง มีหาง มีตา แต่รูปร่างก็อ้วนป้อม ซ้ำสีสันตัวช้างก็แตกต่างออกไปจากช้างที่เหมือนจริง ช้างของวิวจึงไม่เหมือนและไม่ใช่ช้างจริงๆ แค่หันข้าง ยืนนิ่งเฉย อาจจะชูงวง หมอบคลานซุกซ่อนตัวอยู่ใต้เงาไม้หรือยืนเล่นอยู่กับเพื่อนๆ สัตว์ตัวอื่นๆ

ช้างที่เห็น ใครๆ ดูก็รู้ว่าเป็นช้างของวิว เพราะรูปทรงที่มีเอกลักษณ์และสีสันอันสดใสแตกต่างไปของตัวช้าง คุณอาจจะไม่รู้ว่าเวลาช้างเป็นสีขาว สีฟ้าอ่อน สีชมพูสด แดงหรือม่วง มันให้อารมณ์น่ารักเพียงใด

วิววาดรูปช้างลงบนกระดาษเพื่อสเกตช์เป็นแนวทางก่อนเขียนลงบนเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่แน่นหนา วันดีคืนดีก็นำโขลงช้างที่วาดเสร็จพร้อมกับเรื่องราวในรูปเขียนออกมาจัดแสดงนิทรรศการให้ได้ชมกัน    

รำพันจากหมู่บ้านพร้าญี่ปุ่น : แสนรักแสนแค้น

นายยืนยง

20080317 ภาพปก รายงานจากหมู่บ้าน

ชื่อหนังสือ       :    รายงานจากหมู่บ้าน       
ประเภท         :    กวีนิพนธ์     
ผู้เขียน         :    กานติ ณ ศรัทธา    
จัดพิมพ์โดย     :    สำนักพิมพ์ใบไม้ผลิ
พิมพ์ครั้งแรก      :    มีนาคม  พ.ศ. ๒๕๕๐
เขียนบทวิจารณ์     :    นายยืนยง

คันนะซัง คนจะสวยช่วยไม่ได้ กับความเคยชินอันเลวร้ายในสังคม

คุณเคยรู้สึกมีปัญหา กับรูปร่างหน้าตาของตัวเองบ้างไหมคะ?

ถ้าคุณเป็นคนหน้าตาดี หรือมีความมั่นใจในตัวเองสูงจนรูปลักษณ์ภายนอกไม่อาจมีอิทธิพลเหนือตัวคุณ คุณอาจไม่เข้าใจเท่าไรนักก็ได้ว่า ทำไมในโลกนี้จึงมีคนที่พยายายามขวนขวายทำทุกวิธีการเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น ทำไมผลิตภัณฑ์เสริมความงามจึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หรือแม้กระทั่งทำไมถึงยอมเจ็บตัวเพื่อผ่าตัดทำศัลยกรรม คุณอาจสามารถพูดได้อย่างเป็นอุดมคติว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของรูปธรรมนามธรรม ความสวยงามเป็นเพียงเรื่องของความนิยมในแต่ละยุคสมัย ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกสมรรถภาพในตัวแต่ละบุคคล และคนเราควรให้ความสำคัญกับความคิดมากกว่ารูปร่างหน้าตา

คุณอาจพูดอย่างนั้นได้ เพราะคุณไม่เคยยืนอยู่บนโลกในฐานะคนขี้เหร่ ไม่เคยรู้ว่าคนขี้เหร่รู้สึกอย่างไร ไม่เคยรู้ว่าในสังคมนี้มีพื้นที่ให้คนขี้เหร่ยืนมากน้อยแค่ไหนอย่างไรล่ะคะ

20080316 คันนะซัง (1)

แม่นไหมไม่ทราบ 15-21 มี.ค. 2551

20080315 Seven of Swords VII
ราศีเมษ Aries (13 เมย.-13 พค.)    
    
ไพ่ใบแรกของคุณสัปดาห์นี้  7 ดาบค่ะ บางทีในอาทิตย์นี้ คุณอาจจะได้พบกับเรื่องแปลกๆ บางอย่างค่ะ ซึ่งอาจหมายถึงสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล การซ่อนเร้นอำพราง ทรัพย์สินสูญหาย หรือการแก้ปัญหาด้วยพฤติกรรมแปลกๆ มีเลศนัย เนื่องจากหน้าไพ่ใบนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ “ลับ ลวง พราง” นิดๆ นะคะ

ธุรกิจ การงาน    มหาดเล็กเหรียญ แต่ในด้านการงาน ถือว่าโอเคค่ะ คุณน่าจะอยู่กับงานที่มั่นคง ได้ผลตอบแทนตามอัตตภาพ มีจังหวะดีๆ ในการทำงาน แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ

สถานการณ์การเงิน 8 ดาบ สถานการณ์ไม่ค่อยดีนักนะคะ อาจเจอปัญหาที่โอบล้อมเข้ามา ดิ้นหนีได้ยากเหลือเกิน บางเรื่องคุณไม่ได้เป็นคนก่อ ก็ต้องไปชดใช้หรือแก้ปัญหา ซึ่งแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ ไพ่ใบนี้เปิดขึ้นมาก็คงต้องอดทน รอจังหวะ และให้สถานการณ์คลี่คลายไปทีละนิดค่ะ

ความรัก ความสัมพันธ์  The Lovers ค่ะ ไพ่ใบนี้ มักจะหมายถึงเวลาที่คุณจะเลือก หรือต้องตัดสินใจ ในตำแหน่งนี้ก็คงตรงตัวเลยในเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ค่ะ คุณอาจจะมีทางให้ต้องเลือกเดิน หรือมีเหตุต้องตัดสินใจ ทางที่ว่านั้น อาจจะดีหรือร้ายก็ได้ แต่สิ่งที่จะเกิดก็คือ คุณยังตัดสินใจไม่ได้นี่สิ!

คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น  9 เหรียญ คุณอาจจะมีเรื่องให้ใช้เงินก้อนใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนอื่น หรือทรัพย์สินที่คุณมี ไม่อาจให้ความสุขที่เติมเต็มได้ในจิตใจ

คำแนะนำจากไพ่ 5 ถ้วย คุณจะมีเรื่องพลาดหวัง หรือมันอาจเกิดขึ้นแล้วก็ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ ยอมรับในความสูญเสีย หันกลับมาดูสิ่งที่ยังมีอยู่ มองหาแง่งามจากสิ่งต่างๆ ทั้งร้ายและดี ปล่อยตัวเองกับความเจ็บปวดเสียใจชั่วครู่ชั่วคราว แต่อย่าให้มีอิทธิพลนานเกินไป เพราะลึกๆ คุณน่าจะรู้ดีกว่า มันแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้นเอง

คนบางคนสมควรตาย?

 

 

พวกปาหินหนักแผ่นดิน น่าจะตายไปเสียให้หมด...

ขอให้จับคนร้ายได้ไวๆ แล้วเอาตัวไปประหารชีวิต...

พวกวัยรุ่นปาหินสมควรตาย...

 

{ตติกานต์ เดชชพงศ}

ประโยคที่ถูกส่งผ่านทาง SMS มายังหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังเสนอรายการประเภท เล่าข่าว' เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2551 ส่วนใหญ่เป็นไปในทำนองเดียวกัน นั่นคือ การแสดงความเกลียดชังต่อผู้ก่อเหตุ ปาหิน' ไปโดนศีรษะเด็กชายอนุพงษ์ สายเพ็ชร หรือ น้องมอส' อายุ 12 ปี ซึ่งนั่งรถมากับพ่อผู้เป็นคนขับรถบรรทุก และน้องมอสได้เสียชีิวิตในเวลาไม่นานหลังจากนั้น

หลายคนสาปแช่งคนลงมือก่อเหตุให้ตายตกไปตามกัน ในขณะที่อีกบางส่วนก็แสดงความเห็นใจผ่านข้อความที่ส่งมา และอวยพรให้พ่อของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้รับ ความเป็นธรรม' ในเร็ววัน

หลังจากนั้น สื่อมวลชนก็รับลูกต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ รวบรวมคดี ปาหิน' มานำเสนอ นอกเหนือจากการรายงานข่าวอุบัติเหตุรายวัน จนดูเหมือนกับว่า แฟชั่นปาหิน' กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศไทย จากเพชรบุรี ไปปทุมธานี และอยุธยาฯ


บางกรณีเป็นการ ปาขวด' ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจงใจของผู้ขว้างปา หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียงขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ถูกคนมักง่ายโยนทิ้ง และบังเิอิญมีผู้เคราะห์ร้ายผ่านมาทางนั้นพอดี ซึ่งก็ยังอุตส่าห์มีคนเชื่อมโยงจนได้ว่าเป็นเรื่องของ แก๊งค์ปาขวด-ปาหิน' ซึ่งกำลังเป็นประเด็นให้ต้องคอยระแวดระวังกันอย่างหนัก

ยิ่งถ้าหากจับอาการของสังคมในช่วงนี้ จะเห็นว่าการสรรหาวิธีลงโทษผู้ก่อเหตุปาหินถูกพูดถึงกันมากทีเดียว ทั้งข้อเสนอให้ประหารชีวิต พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ไม่ต้องออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันกันอีกเลย

ความเป็นจริงที่ว่า สังคมไทยอ่อนไหวง่าย' ยังเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น และเรื่องของการตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันก็มักจะ ยุขึ้น' เสียด้วย

ระหว่างเจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนคดีกรณีขว้างหินไปโดน ด.ช.อนุพงษ์ ก็มีข่าวออกมาอีกเช่นกันว่า ผู้้ต้องสงสัยในกรณีดังกล่าว ฆ่าตัวตาย' เพื่อชดใ้ช้ความผิดแล้ว

ผู้ต้องสงสัยในกรณีนี้ คือ นายพนม อินทกูล' วัย 37 ปี ซึ่งมีหลักฐานในที่เกิดเหตุบ่งชี้ให้เข้าใจว่านายพนมตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะมีจดหมายสั่งเสียถึง 3 ฉบับวางอยู่ด้วย ในขณะที่เพื่อนคนหนึ่งของนายพนมให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ผู้ตายกล่าวในคืนก่อนเสียชีวิตว่าเป็นคนปาก้อนหินใส่รถบรรทุก และเมื่อติดตามข่าวจากสื่อจึงได้ทราบว่ามีเด็กชายเคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ดังกล่าว

หลังจากพูดอย่างนั้นได้ไม่นาน นายพนมก็เสียชีวิต...

จากปากคำของ เพื่อนของนายพนม' กลายเป็นว่าตำรวจ แทบจะ' ปิดคดี เลิกตามหาหลักฐานมายืนยันว่าผู้ปาหินตัวจริงคือใคร และหนังสือพิมพ์หลายฉบับพร้อมใจกันลงข่าวซ้ำว่า มือปาหิน' ในคดีเด็กชายอนุพงษ์สำนึกผิดจึงฆ่าตัวตาย ทั้งที่ในความเป็นจริง...นายพนมอาจไม่ใช่มือปาหินตามที่ระบุลงในข่าวก็เป็นได้

เมื่อพี่สาวของนายพนมออกมาโต้แย้งว่าน้องชายของตน เป็นแพะรับบาป' จึงมีการรื้อฟื้นคดีเด็กชายอนุพงษ์มาสืบสวนกันต่อ...

จากการติดตามข่าวของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ พบว่าข้อเท็จจริงบางอย่างในกรณีนายพนมและ ด.ช.อนุพงษ์ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หนังสือพิมพ์ แนวหน้า ฉบับวันพุธที่ 12 มีนาคม 2551 ระบุว่า

 

"จดหมายลาตายเขียนด้วยลายมือมีข้อความสรุปได้ว่า ผู้เสียชีวิตทะเลาะกับภรรยาจึงขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนน ก่อนจะใช้ก้อนหินปาใส่รถบรรทุกเพื่อระบายอารมณ์ความโกรธโดยไม่คาดคิดว่าจะไปถูก ด.ช.อนุพงษ์ จนเสียชีวิต หลังเกิดเหตุยิ่งทำให้รู้สึกเครียดจัด จึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย"

 

 

ทางด้าน ไทยรัฐ ก็รายงานการเสียชีวิตของนายพนมในวันเดียวกัน แต่มีรายละเอียดต่างกัน

 

"ในห้องที่เกิดเหตุพบจดหมายลาตาย 1 ฉบับ เขียนถึงภรรยา มารดา และบุตร แต่ไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุ ได้มอบให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง"

 

 

พอถึงตอนนี้ ความจริงในคดี ด.ช.อนุพงษ์เป็นอย่างไร และการเสียชีวิตของนายพนมมีเงื่อนงำหรือมูลเหตุจูงใจอย่างไรแน่ อาจไม่ใช่เรื่องที่คนอ่านข่าวให้ความสนใจอีกต่อไป เพราะหลายคนอาจ พอใจแล้ว' กับข่าวที่ถูกเสนอออกมา่ว่า มือปาหินสำนึกผิดฆ่าตัวตาย'

ดูเหมือนว่านั่นจะเป็น บทลงโทษ' ที่สังคมปรารถนาจะให้เกิดกับผู้ก่อเหตุและผู้ที่สร้างความเดือดร้อนในกรณีต่างๆ แต่หลายคนอาจลืมไปว่า ขณะที่กำลังชี้นิ้วพิพากษาว่า คนบางคนสมควรตาย' เราอาจกำลังแสดงความโหดเหี้ยมเลวร้ายออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจในหลายๆ กรณีที่มี ผู้เคราะห์ร้าย' จากการปาหินลึกลับ ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่บางทีการหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยความเกลียดชังโดยไม่รับฟังข้อมูลหรือเหตุผลอะไรเลย--ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไหร่นัก

การเสียชีวิตของนายพนมอาจตอบโจทย์ของสังคมได้ เพราะเมื่อมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น สิ่งที่คนในสังคมเลือกทำเป็นอันดับแรกก็คือการหาใครสักคนมาเป็นเป้าโจมตี เพื่อที่จะได้กล่าวโทษโดยไม่รู้สึกผิดว่า เราเองอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่ก่อปัจจัยความรุนแรงขึ้นในสังคมนี้'

ข่าวเล็กๆ ของนายพนมคงจะเงียบหายไปในไม่ช้า หลังจากที่นายพนมลงเอยด้วยการถูก พิพากษา' ไปแล้วกลายๆ ว่าเป็น ผู้กระทำความผิด' โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์จะแก้ตัวหรือแก้ต่างอีกต่อไป

แต่กับสังคมที่พอใจเพียงมาตรการตอบโต้แบบถึงเลือดถึงเนื้อ แรงมา-แรงไป และเป็นสังคมที่ตัดสินเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยอารมณ์เพียงวูบเดียวว่า คนชั่วสมควรตาย' โดยไม่คิดทบทวนว่าเรื่องราวทั้งหลายมีความเป็นมาอย่างไรนี่แหละ ทำให้คนฆ่ากันตายมานักต่อนักแล้ว ทั้งที่สาเหตุจริงๆ อาจเล็กน้อยเสียเหลือเกิน

สังคมเช่นนี้ได้สั่งสมบ่มเพาะความรุนแรงขึ้นมามากมายกว่าที่เราคิดมากนัก

 

เมื่อ 'สาวกของพระเจ้า' สมสู่กับ 'ปีศาจแห่งความโลภ'

 

:::Spoil::: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญของภาพยนตร์ :::Spoil:::

 

เวลา 2 ชั่วโมงกว่า (158 นาที) ในหนัง There will be blood - ผลงานเรื่องที่ 5 ของผู้กำกับ Paul Thomas Anderson คือเรื่องราวในด้านที่มืดดำของมนุษย์ เต็มไปด้วยความโลภ ความอ่อนแอ สันดานดิบ และแน่นอน...มันรวมไปถึงการสร้างศรัทธา' ด้วยวิธีการอันน่าขนลุกด้วย...

เราได้รู้จัก เดเนียล เพลนวิว' (Daniel Day-Lewis) นักเสี่ยงโชคที่ตั้งใจทำเหมืองเงิน แต่บังเอิญได้ที่ดินซึ่งมีน้ำมันดิบนอนสงบนิ่งอยู่ใต้พื้นมาแทน

โลกของเดเนียลไม่มีคำว่า สุดแท้แต่โชคชะตา' หรือ ศรัทธา' ไม่มีแม้กระทั่งคำว่า พระผู้เป็นเจ้า' แต่สิ่งที่เขายึดถือเป็นสรณะแห่งชีวิตคือ ความมั่งคั่ง' ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม

เมื่อที่ดินซึ่งคิดว่าเป็นเหมืองเงินกลายเป็นขุมน้ำมันซึ่งเปรียบเหมือน ทองคำสีดำ' หรือ Black Gold เดเีนียลก็พร้อมที่จะเบนเข็มจากการทำเหมืองไปขุดหาน้ำมันโดยทันที จนในที่สุด เขาก็ได้เป็น นักธุรกิจขุดเจาะน้ำมันรายย่อย' ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง

ทุกๆ การกระทำของเขาเกิดจากความมานะบากบั่น ผนวกกับเล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉลเพื่อให้ตัวเองบรรลุถึงเป้าหมาย ซึ่งจะว่าไปแล้วการกระทำของเดเนียลไม่แตกต่างจากสิ่งที่นายทุนทุกยุคทุกสมัยพึงกระทำ นั่นคือการคาดหวังว่าจะได้' ในสิ่งที่ดีที่สุด แต่ยินยอมจะสูญเสีย' ในสิ่งที่ตัวเองมีให้น้อยที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม There will be blood ไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวของนายทุนขี้โกงที่แพ้ภัยตัวเองในตอนจบ หากนี่คือการปะทะสังสรรค์กันระหว่างความศรัทธาในพระเจ้า และความศรัทธาในวัตถุอันนำมาซึ่งความมั่งคั่ง

สำหรับเดเนียล น้ำมัน' คือสิ่งเดียวที่เขาหลงใหล ยึดมั่น และศรัทธา

น้ำมันในหนังเรื่องนี้จึงทำหน้าที่เหมือน เลือด' ที่หล่อเลี้ยงความศรัทธา ความบ้าคลั่ง ความลุ่มหลง ความมั่งคั่ง และความโลภไม่มีที่สิ้นสุดของ มนุษย์' ที่เกี่ยวพันกับมัน

ในฉากที่น้ำมันดิบสีดำเข้มข้นค่อยๆ ผุดขึ้นมาในบ่อแห่งแรกที่เดเนียลขุดเจาะ เขาต้องเสี่ยงชีวิต (ของคนอื่น) เพื่อจะได้เข้าถึง เส้นเลือด' ที่หล่อเลี้ยง ชีวิตใหม่'

จากชีวิตของเดเนียล-นักเสี่ยงโชค' ได้เกิดใหม่ในฐานะ เดเนียล-ผู้บุกเบิกธุรกิจขุดเจาะน้ำมันรายย่อย' และที่ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งในเวลาเดียวกัน คือ เอช.ดับเบิลยู (Dillon Frasier) เด็กชายกำพร้า ผู้สูญเสียพ่อไปเพราะอุปกรณ์ขุดเจาะไม่ได้มาตรฐานที่เดเนียลเลือกใช้

แม้ในความเป็นจริง เอช.ดับเบิลยู.และเดเนียลจะไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ ทางสายเลือดเลย แต่ น้ำมัน' ได้ทำหน้าที่เสมือนสายเลือดเชื่อมโยงทั้งสองคนเข้าด้วยกัน เพราะ เอช.ดับเบิลยู.กลายเป็น ลูกชาย' ของเดเนียลนับแต่นั้นเป็นต้นมา

การที่เดเนียลยกให้ เอช.ดับเบิลยู.เป็น หุ้นส่วน' ช่วยให้ธุรกิจขุดเจาะน้ำมัน ขนาดครอบครัว' ของเขาดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะแววตาเย็นชาของเดเนียล ถูกบดบังด้วยใบหน้าใสซื่อของ เอช.ดับเบิลยู.ซึ่งติดตาม พ่อ' ไปทุกหนทุกแห่ง

เมื่อประกอบกับคำพูดของเดเนียลที่มักจะกล่าวบ่อยๆ จนกลายเป็นคาถาประจำตัวว่า "ผมเป็นคนรักครอบครัว" หรือเมื่อเขาแนะนำตัว เอช.ดับเบิลยู.ในฐานะ ลูกชายคนเดียว' และ หุ้นส่วนคนสำคัญ' ผู้คนที่เจรจาต่อรองธุรกิจกับเดเนียลก็คงอดไม่ได้ที่จะคล้อยตามว่า ผู้ชายที่รักลูกมากๆ อย่างเขา คงไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมหรือใจร้ายใจดำอะไร

การสร้าง จุดขาย' ว่าเป็นคนรักครอบครัวของเดเนียล จึงไม่ต่างอะไรกับนักธุรกิจ นายทุน ชนชั้นสูง หรือนักโฆษณาที่อวดอ้างว่าพวกตนนั้น ใส่ใจ' ในเรื่องราวต่างๆ รอบตัว นับตั้งแต่ สถาบันครอบครัว, สิ่งแวดล้อม, มนุษย์ร่วมโลก ไปจนถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลาย ซึ่งคงมีแต่พวกเขาเท่านั้นแหละที่รู้ว่า--การสร้างภาพเหล่านั้นขึ้นมา--เกิดจากวัตถุประสงค์อะไรกันแน่

ในกรณีของเดเนียล-เขารู้ดีว่าการเป็นคนรักครอบครัวจะช่วยให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้คน เพราะเขาไม่ได้เป็นแค่ นักธุรกิจ' ที่มาต่อรองกับชาวบ้าน แต่เขาพา ครอบครัว' ของตัวเองมาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนด้วย

เมื่อเดเนียลเดินทางมายังเมือง ลิตเติลบอสตัน' ตามข้อมูลที่ได้จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งว่า พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ เขาก็พา เอช.ดับเบิลยู.มาสำรวจสถานที่ด้วยเช่นเคย

ที่นี่ เดเนียลได้พบกับ อีไล ซันเดย์' ลูกชายเจ้าของที่ดินและเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มผู้นำข้อมูลมาบอกกับเขา

อีไลพยายามต่อรองราคาที่ดิน เพราะรู้ดีว่าน้ำมันที่อยู่ใต้ผิวดินมีค่ามหาศาล แม้ว่าเดเนียลจะพยายามยกเอาความแห้งแล้งของผืนดินบริเวณนั้นมาเป็นข้ออ้างก็ตามที เดเนียลจึงต่อรองกับอีไลว่าเขาจะจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อน เป็นเงินครึ่งหนึ่งของราคาที่ตกลงกันไว้

อีไลต้องการนำเงินจากการขายที่ดินไปสร้างโบสถ์ประจำชุมชน เพราะเขาเชื่อว่ามีเพียง พระผู้เป็นเจ้า' เท่านั้นที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนซึ่งอยู่อย่างไร้ความหวังในดินแดนอันแห้งแล้ง แม้แต่จะปลูกข้าวสาลีก็ยังไม่ขึ้น'

นั่นจึงเป็นการต่อรองครั้งแรกระหว่างผู้อ้างตัวว่าเป็น สาวกของพระเจ้า' และเดเนียลผู้เป็น ตัวแทนแห่งความโลภ' โดยสันดาน

ในขณะที่อีไลสร้างโบสถ์ ตติยาภินิหาร' ขึ้นมาจนได้ เดเนียลก็ยื่นข้อเสนอให้คนในชุมชนด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่าความรักจากพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือ เขาสัญญาว่าจะมีโีรงเรียน มีถนนหนทาง มีแหล่งน้ำ และชาวบ้านจะมีการมีงานทำ

การแย่งชิงความเชื่อมั่นศรัทธาจากคนในชุมชนจึงเป็นเรื่องที่เดเนียลและอีไลรู้กันอยู่เพียงสองคน...

ฉากหนึ่งซึ่ง ผู้ไม่ศรัทธาในพระเจ้า' อย่างเดเนียลต้องจำใจเข้าร่วม พิธีล้างบาป' หรือรับศีลจุ่มในโบสถ์ของอีไล เพื่อให้ได้สิทธิในการเช่าที่ดินของชายชราคนหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้า นั่นจึงเป็น การต่อรองครั้งที่สอง' ของสาวกแห่งพระเจ้าและตัวแทนแห่งความโลภ

ในการต่อรองครั้งแรก อีีไล-ผู้เอ่ยอ้างพระเจ้า ดูจะมีความชอบธรรมในการทวงถามสิ่งที่ครอบครัวของเขาควรจะได้จากการขายที่ดินซึ่งมีมูลค่ามากมายกว่าราคาที่เดเนียลเสนอ แต่ต่อมาเดเนียลกลับปฏิเสธที่จะทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ การต่อรองครั้งที่สองจึงเป็นการ ทวงคืน' อันสาสมของอีไล เพราะเขา ยอม' ให้เดเนียลก้าวเข้ามาในโบสถ์และอาศัยพระนามของพระเจ้าเป็นเครื่องมือ แต่เดเนียลก็ต้องยอม' คุกเข่าให้กับสิ่งที่เขาไม่เคยเชื่อ-ไม่เคยศรัทธาเลยแม้แต่น้อย...

ความน่าเกลียดน่ากลัวของชาย 2 คนแสดงให้เห็นชัดเจนในฉากนี้ เพราะนี่คือการสมสู่กันระหว่างผู้อ้างว่าพระเจ้าสถิตย์อยู่กับตนและคนบาปผู้มองไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น

จริงอยู่...เดเนียลไม่ใช่ตัวแทนแห่งความดีงาม เขาไม่เคยไว้ใจใครเลยสักคน หากลึกๆ แล้วเขายังคงปรารถนา ผู้มีสายเลือดเดียวกัน' มาคอยยึดเหนี่ยวและย้ำเตือนว่า เขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว'

การที่เดเนียลทำทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ ส่วนหนึ่งมาจากความอุตสาหะพยายามและไม่ยอมแพ้่ต่อโชคชะตา เพียงแต่ว่า ระหว่างทางไปยังจุดหมายปลายทางของเขานั้นมันเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบและวิธีการอันโสมม ต้องแลกมาด้วยชีวิต ความสูญเสีย และน้ำตาของผู้คนจำนวนไม่น้อย

ขณะเดียวกัน ความศรัทธาในพระเจ้าของอีไล (ซึ่งควรจะนับว่าเป็นสิ่งดีงาม) กลับถูก แปรรูป' ได้ง่ายดายไม่ต่างกัน นับตั้งแต่การต่อรองครั้งแรกที่อีไลต้องการสร้างโบสถ์ เพื่อเป็นตัวแทนพระเจ้า เยียวยาความเจ็บปวดของคนในชุมชน แต่เขาก็ต้องต่อรองกับคนอย่างเดเนียลให้ได้มาซึ่ง เงิน' และได้มาซึ่ง วัตถุ' ที่จะนำไปสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า

ถ้าจะว่าไป ความทะยานอยากของเดเนียลอาจทำให้เขา ฉกฉวย' มาจากผู้อื่น แต่เขาก็ยังต่อรอง แลกเปลี่ยน และให้' บางสิ่งบางอย่างกลับคืน' ไป ในขณะที่อีไลต่างหากที่เอาแต่ รับ' อยู่ฝ่ายเดียว และไม่เคยให้อะไรใครกลับไปนอกจาก ความศรัทธาและคำเทศนาจอมปลอม'

แม้กระทั่ง การต่อรองครั้งที่สอง' ที่เดเนียลยอมกลืนเลือดตัวเองด้วยการเดินเข้ามาในโบสถ์ สิ่งที่อีไลมอบให้เดเนียลกลับไม่ใช่การ ล้างบาป' แต่เป็นเพียงการ ล้างอาย' ให้ตัวเองเท่านั้น

ด้วยประเด็นที่หนักหน่วงที่ว่ามาทั้งหมด รวมถึงการใช้ความเงียบงันสลับกับเสียงเหตุการณ์อันอึกทึก (ดนตรีประกอบฝีมือ Jonny Greenwood จากวง Radiohead) ทำให้เรื่องราวใน There will be blood ดูกดดันและหม่นมัวชวนให้อึดอัดใจ

นี่จึงไม่ใช่หนังที่คนดูจะเดินออกจากโรงพร้อมกับความรู้สึกดีๆ แต่เป็นหนังที่ทำให้เกิดคำถาม ทั้งกับตัวเองและผู้คนรอบตัว

เพราะถึงแม้ว่านี่จะเป็นหนังวิพากษ์สังคมอเมริกันใน ยุคทอง' ของการขุดหาน้ำมันเมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 20 แต่เรื่องราวที่กล่าวถึงความโลภ-การแสวงหาน้ำมัน-ผลประโยชน์มหาศาล รวมถึงการอ้างศรัทธาในพระเจ้า ได้สะท้อนภาพอีกมากมายที่เราคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเช่นกันในช่วงเวลาปัจจุบันของศตวรรษที่ 21

คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจถ้าใครบางคนดูเรื่องนี้แล้วจะนึกไปถึงสงครามที่อิรัก, สงครามที่อัฟกานิสถาน หรือแม้แต่การที่สหรัฐอเมริกาส่งทหารไปรบในสงครามอ่าวที่ประเทศคูเวตเมื่อสิบกว่าปีก่อน

เพราะประโยคที่ว่า ‘In God We Trust' เคียงคู่ชาวอเมริกันผู้เชื่อมั่นในพระเจ้ามายาวนานหลายทศวรรษแล้ว...

รวมถึงการกล่าวอ้างคุณธรรม-ความชอบธรรม-มนุษยธรรม-และภารกิจสำคัญที่สหรัฐอเมริกาต้องทำในฐานะที่เป็นผู้อภิบาลความดีของโลกห่วยแตกใบนี้ด้วย

ถึงตอนนี้คงตอบได้ยากว่า ระหว่าง มนุษย์ผู้ชั่วร้าย' กระหายเลือด เห็นแ่ก่ตัว กับผู้กล่าวอ้างพระเจ้าที่ไม่เคยเข้าถึงพระเจ้า' อย่างไหนจะน่ากลัวกว่ากัน

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ถ้าคุณสมบัติสองประเภทที่ว่ามารวมกันได้ คงเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดแล้ว...

 

Serj Tankian : เมื่อหัวเรือของ System of a Down ออกลุยเดี่ยว

15 March, 2008 - 03:01 -- parid

รูป Ad จาก http://www.electthedead.co.uk/

วง System of a Down เป็นวงดนตรีอเมริกันที่สมาชิกทั้ง 4 คนล้วนเป็นชาวอาร์เมเนียน ดนตรีของพวกเขา บางคนก็เรียกว่าเป็นอัลเตอร์เนทีฟ บ้างก็ว่าเป็นนูเมทัล บ้างก็พยายามจำกัดความง่ายๆ ว่าเป็นฮาร์ดร็อค แต่ถ้าให้เรียกแบบกินความหมายครอบคลุมที่สุดล่ะก็ คงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นวงร็อคที่แพรวพราว สอดผสานดนตรีในพรมแดนอื่นๆ เข้ากับซาวน์พื้นฐานแบบยุค 90's และขณะเดียวกันก็มีพลังขับเคลื่อนแบบพังค์

นอกจากจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะของวงร็อคหลากกลิ่นแล้ว แฟนเพลงหลายคนยังชอบเนื้อหาวิจารณ์สังคมและการเมืองของพวกเขาที่เข้าใจทำให้ถูกจริตคนบางกลุ่มได้ บวกกับดนตรีหนักๆ จากหลายๆ เพลงแล้ว มันใช้เป็นยาแก้เครียดได้ดีทีเดียว

แต่หลังจากที่วง System of a Down หรือที่มักเรียกกันสั้นๆ ว่า SOAD ทำงานกันมาได้ราวสิบปี ก็ประกาศแยกย้ายกันไปชั่วคราว เปิดโอกาสให้แต่ละคนไปทำงานในพื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไซด์โปรเจกท์นาม Scars on Broadway ของมือกีต้าร์ Daron Malakian หรืองานเดียวของนักร้องนำ Serj Tankian ที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้

แน่นอนว่าใน Elect the Dead งานเดี่ยวของ Serj Tankian ในชุดนี้ เรายังคงได้ยินเสียงร้องในสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Serj อยู่เช่นเคย ขณะเดียวกันก็ยังมีดนตรีหลากกลิ่นและรสเคยคุ้นในแบบ SOAD เพียงแต่มันก็ยังไม่เต็มพลัง ไม่ถึงใจเท่ากับ System of a Down ยกขบวนมาเองอยู่ดี อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าอัลบั้มนี้กลับเปิดพื้นที่ทางอารมณ์ให้เต็มมากกว่าตอนที่ Serj ร่วมงานกับวง

เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง Empty Wall ก็เป็นร็อคที่ใส่มาเต็มสูบ บรรเลงความโกรธและผิดหวังได้ถึงใจ เนื้อเพลงพูดถึงการที่รัฐบาลปิดข่าวการเสียชีวิตของทหารอเมริกันที่ออกปฏิบัติหน้าที่ เปรียบเสมือนกักขังเราไว้ในกำแพงที่แสนว่างเปล่า ปิดกั้นไม่ให้เรามองเห็นความจริง

Tankian ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคนที่ต่อต้านจักรวรรดิ์นิยมอเมริกามาแต่ไหนแต่ไร เขาได้เคยเขียนบทความที่ชื่อ Understanding Oil ออกมาเพียงสองวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งมันไม่ใช่บทความที่น่ามองข้ามเลยในช่วงนั้น เพราะบทความมีเพียงแค่การเรียกร้องสันติภาพแบบตื้นๆ แต่มีความเห็นทางการเมืองที่ตรงไปตรงมา ทั้งยังมีการออกมาชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ทางอำนาจของผู้นำสหรัฐฯ กับ ผู้นำในโลกตะวันออกกลาง ว่ามี Power installment (การสร้างความสัมพันธ์ลับด้วยการเกื้อหนุนทางอำนาจ) ที่สหรัฐฯ จะนำพวกเขามาใช้ประโยชน์ในภายหลัง

บทความนี้ ทำให้ Serj ถูกมองอย่างเข้าใจผิดว่าเป็นพวกหาความชอบธรรมให้กับการก่อการร้าย อย่างไรก็ตามขณะที่ Serj ตอบโต้วิธีการของอเมริกา แต่เขาก็ยังต่อต้านกลุ่มศาสนนิยมสุดโต่ง รวมถึงผู้นำที่เขาบอกว่ามาจาก Power Installment ของสหรัฐฯ เองด้วย ใครที่มีแนวคิดแบ่งขั้วแบบล้าหลังอาจจะบอกว่าไอ่หมอนี่แค่สองไม่เอา แต่ไม่ได้คิดเอาเสียเลยว่าเขาก็แค่มีจุดยืนทางการเมืองอีกแบบหนึ่งที่อาจจะไม่สามารถไปเหมารวมเข้ากับฝ่ายไหนได้เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม Understanding Oil ก็มีจุดด้อยสุด ๆ อยู่ที่วิธีการแก้ปัญหาที่เขาเสนอยังดูห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ดี

โยงใยมาสู่อัลบั้ม Elect the Dead เพลงหนึ่งที่ Serj ตั้งคำถามกับการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือคือ Praise the Lord and Pass the Ammunation ที่ออกเป็นนูเมทัลมีท่าทีประชดประชัน ขณะที่ Feed us พูดถึงการปฏิบัติการทางการทหารว่า แทนที่จะช่วยปลดปล่อยและทำให้ประชาชนกลับมาเลี้ยงชีพตัวเองได้ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาถูกทำให้พ้นจากการครอบงำเก่า เพื่อไปสู่การครอบงำอย่างใหม่เท่านั้น ดนตรีในเพลงนี้แอบสอดผสมโฟล์กเศร้าๆ เข้ามาก่อนจะโยงไปสู่ท่อนร็อคหนักๆ

"You lead us,
When you need to feed us,
You comfortable delete us,
When you need your fetus..."

- Feed Us

เพลงที่ผมชอบมากในอัลบั้มนี้ คือเพลงธรรมดาๆ ที่ Serj ทำออกมาได้อย่างเต็มอารมณ์คือ Saving Us กับ Sky is Over

เพลง Sky is Over เป็นร็อคหมองๆ ที่แอบใส่ลูกเล่นแบบ SOAD ในท่อนแยก เนื้อเพลงเหมือนจะพูดถึงโลกร้าย แต่ก็แอบเล่นคำในประโยคสุดท้าย ส่วนเพลง Saving Us นั้นสวยทั้งทำนองและภาษาในเนื้อเพลง ขณะที่หากดูเนื้อผ่านๆ จะสามารถตีความเป็นเพลงรักธรรมดา แต่เสียงประสานที่เป็นแบกกราวน์ในเพลงนี้กลับชวนให้รู้สึกว่ามันพูดถึงอะไรที่ใหญ่กว่านั้น และเมื่อได้ดูมิวสิควิดีโอของเพลงนี้แล้วก็ชวนให้เจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที

MV เพลง Saving Us ฉายภาพคนไร้บ้านคนหนึ่ง เดินเข็นรถไปตามที่ต่างๆ ในเมือง ทุกคนเมียงมองในใจก็คิดอะไรต่างกันไป และดูเหมือนแต่ละคนต่างก็สนใจแต่ในประเด็นของตัวเอง จนไม่มีใครมีที่ทางเผื่อเหลือให้กับเขาเลย ส่วนตัวผมชอบ MV นี้มาก แม้ว่าช่วงกลางเพลงมันจะมีฉากเว่อร์แดกและตอนจบอาจจะน้ำเน่าสำหรับบางคนก็ตาม

ความสนุกอีกอย่างหนึ่งของอัลบั้มนี้คือ การที่มันมีมิวสิควิดีโอสำหรับทุกเพลงและในแต่ละเพลงก็มีผู้กำกับต่างกันไป ทำให้เราได้เห็นการตีความเพลงต่างในมุมต่าง ๆ หลากหลาย โดยที่เราอาจจะยังไม่เคยนึกถึงก็ได้

อย่างเพลง Sky is Over ก็มีมิวสิควิดีโอถึงสองเวอร์ชั่น หรือเพลง Honking Antelope ที่เนื้อเพลงมันพูดถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมถิ่นที่หายไป (ของอินเดียแดง?) แต่มิวสิควิด๊โอมันกลับทำออกมาเป็น CG กับเรื่องราวล้ำยุค ดูแล้วขัดแย้งกันดี

อย่างไรก็ตามกับบางเพลงคงต้องดูบริบทด้วยว่ามันพูดจากมุมมองวิพากษ์อเมริกัน ที่เป็นเสรีนิยมใหม่มาจนพรุนแล้ว เพลงอย่าง The Unthinking Majority จึงอาจจะใช้วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอเมริกาได้ แต่กับประเทศที่ยังไม่แม้แต่จะหลุดพ้นจาก "ยุคมืด" ยังไม่มีเสรีในเรื่องสำคัญ ๆ คงไม่ได้อยู่ในบริบทที่จะเอามาวิจารณ์กันได้ อย่างไรดีการใช้จังหวะขัด ลูกเล่น กับอารมณ์หนักหน่วงในเพลงนี้คงถูกใจขา SOAD ไม่น้อย (ขอโทษด้วยผมชอบแยก "เนื้อหา" กับ "รูปแบบ" ออกจากกันน่ะ)

ขณะที่เพลง Money ที่ดนตรีจากเปียโน สลับกับท่อนร้องและการเปลี่ยนจังหวะกระทันหันทำให้มีสีสันดี แต่เนื้อเพลงก็ไม่มีมุมมองอะไรใหม่ หรือลึกไปกว่าการโทษเงินอย่างเดียว (ทั้งที่ยังไงคนเราก็ยังต้องใช้เงิน)

Serj Tankian อาจจะเป็นศิลปินที่เข้าใจในสังคม เข้าใจในการเมืองระดับหนึ่ง แต่ยังมีอะไรบางอย่างทางความคิดที่เขายังก้าวไม่พ้น เลยอาจกลับกลายเป็นการพูดถึงเรื่องเดิม ๆ ที่ไม่ได้มีแง่มุมก้าวหน้าไปกว่าเดิมอย่าง Money หรือเพลง Honking Antelope ที่ออกแนวอนุรักษ์แบบโรแมนติกไปหน่อย (ทั้งที่ดนตรีมันไม่โรแมนติกเลย ดูเหมือนมันกำลังแอบวิพากษ์อะไรที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดเชิงอนุรักษ์อยู่ด้วยซ้ำ) ผมเข้าใจว่าการเขียนเนื้อเพลงที่พูดเรื่องซับซ้อนมันยาก ยิ่งต้องให้ Sync กับดนตรีด้วยมันยิ่งยากไปใหญ่ แต่ผมเชื่อว่าถ้าคนเรากระตือรือร้นละเรียนรู้มากพอ และซึมซับอะไรไว้ได้ จะสามารถปลดปล่อยมันออกมาจากใจจริงได้เอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครบางคนอาจรู้จัก Axis of Justice ซึ่งเป็นกลุ่มที่ Serj ร่วมตั้งกับ Tom Morello (จากวง Rage against the Machine ที่มีทิศทางแนวคิดคล้ายๆ System of a Down) รวบรวมพลพรรคนักดนตรีหลากหลายวงในการรณรงค์ทางสังคมในประเด็นต่าง ๆ เริ่มจากประเด็นการเหยียดเชื้อชาติที่แกดูจริงจังดี คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีการรณรงค์เรื่องคุณภาพชีวิตของคนไร้บ้านในช่วงที่ผ่านมาด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการรวมกลุ่มกัน

ก็ได้แต่หวังว่าทั้ง Serj และ Tom ที่ต่างก็มีต้นทุนทางสังคม (และทางสินทรัพย์เพราะคงได้ส่วนแบ่งจากการออกทัวร์อยู่ไม่น้อย ;P) คงจะไม่ทำให้ Axis of Justice กลายเป็นเพียงกลุ่มรณรงค์ทางฉากหน้าที่ไร้พลัง แล้วกลายเป็นช่องทางใหม่ในการโปรโมทตัวเองเท่านั้น อย่าได้ทำให้คนที่ชื่นชมการเขียนเนื้อร้องและความสามารถทางดนตรีของคุณต้องผิดหวัง เพราะถึงตอนนั้น...

...ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาทำเพลงวิจารณ์พวกคุณ แบบที่พวกคุณทำเพลงวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐฯ ;)

ดูคลิป Saving Us ได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=9Wk38bW8whc

 

 

Pages

Subscribe to RSS - blogs