บล็อก

"จเรวัฒน์ เจริญรูป" จากแล้ว... เหมือนยังอยู่

รูปถ่ายของ จเรวัฒน์ เจริญรูป

เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวง
และเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหาย
เมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตาย
และเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจร

ใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับ
ขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อน
ดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอน
ผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็น

ยินไหม “จเรวัฒน์  เจริญรูป”
ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญ
โลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็น
ใครเล่ารู้ความเป็นของกวี

เถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้าง
พบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสี
ฉันจะจำเธอไว้-ใจกวี
พบในงามความดี-ฤดีดาล

“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่
เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่าน
เรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนาน
ผู้สร้างความต้านทานทระนง

อาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์
ป ร เ ม ศ ว ร์   ก า แ ก้ ว
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

เกย์หมกมุ่นเรื่องเซ็กส์ จริงเหรอ... Sex obsession for Gay

29 November, 2007 - 00:07 -- chana

ห่างหายไปนานหลังจาก เปิดตัวหนังสือ “เม้าท์แตก...ชาวเรา” ได้สองวันก็ลัดฟ้า กลับไปทำงานต่อที่เรือสำราญ ณ อเมริกา  กว่าจะตั้งตัวได้เหนื่อยเอาการทีเดียวค่ะ

หมกมุ่นกับการทำงานและการปรับตัวสักระยะ จึงเริ่มออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ตามประสาคนทำงาน ลอยล่องท่องไป ในโลกกว้าง  วันว่างหลังการทำงานหนักเป็นนางแบกอินเตอร์ (แบกถาดอาหารคาวหวาน)

วันนี้หลังจากทำงานกลางวันรับจองห้องอาหารทางโทรศัพท์เสร็จจึงรีบออกไปเที่ยวหาดเกย์ ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนชาวเกย์อันเลื่องชื่อของพลเมืองชาวเกาะของประเทศอเมริกา ที่อยู่ทะเลแคริบเบี้ยน  นามว่า “ St.Thomas”  U.S.V.I ย่อมาจาก United State Virgin Island.

chana1

ประเด็นที่จะพูดคุยกันวันนี้ ชาน่า ตั้งหัวข้อแบบเกิดขึ้นบนพื้นฐานของเรื่องจริงที่หลายคนอาจจะไม่รู้ แต่กล้าที่จะตีแผ่ เผื่อใครจะได้เรียนรู้โลกกว้าง เปิดหูเปิดตา  ว่าแท้จริงนั้นเป็นเช่นไร

ก็จะไม่ให้คิดได้ยังไงคะ  วันนี้ชาน่าตั้งหน้าตั้งตาไปเที่ยวชายหาด ซึ่งเป็นของเกย์โดยตรง จุดประสงค์ก็เพียงเพื่อไปในชุมชนของชาวเรา  จะใส่บิกินี่ หรือว่ายน้ำเป็นฉลาม หรือปลาพะยูนเกยตื้นก็จะได้ไม่ต้องอายน้องนี ชี ๆ ทั้งหลาย  รวมทั้งไม่อยากให้เด็กเล็ก เด็กแดงได้เลียนแบบพฤติกรรม “แต๋วแตก”  ของกลุ่มหลากหลายทางเพศ  (เป็นการรับผิดชอบต่อสังคม จะได้ไม่ต้องให้ผู้ปกครองรับภาระหนักในการดูแลเด็ก)

“แหม ...ไปเที่ยวหาดเกย์คนเดียวไปหาคู่ร่วมเพศล่ะสิ”
“ได้มะ  กี่ไม้คะเพื่อน วันนี้เกิดหรือเปล่า”

คำถามของเพื่อนเกย์หลายคนที่ถามไถ่
จึงทำให้ย้อนกลับมามองว่า  “ทำไมเกย์ ถึงต้องหมกมุ่นกับเรื่องทางเพศ”  จริงหรือ

จากการวิจัยเค้าบอกว่า  เพศชายนั้นมีความต้องการทางเพศไม่ได้มากไปกว่าเพศหญิงสักเท่าไหร่นัก แต่อาจจะเป็นเพราะว่า  ชายนั้นมีความกล้าแสดงออกมากกว่าหญิง  จึงทำให้หลายคนเข้าใจว่าเพศชายนั้นมีความต้องการทางเพศมากกว่านั่นเอง

แล้วถ้าเป็นเกย์ล่ะ
ไม่แปลกที่เกย์ รักสนุกหลายคนจะนิยมเปลี่ยนคู่ หรือแสดงออกถึงความต้องการทางเพศมากและง่ายกว่าชายจริงหญิงแท้เป็นหลายเท่า

สาเหตุน่าจะมาจาก  “ความเป็นอิสระเสรีไม่มีขีดจำกัด”
ก็เพราะเกย์หลายคนที่ครองสถานภาพโสดสนิท โสดเป็นวัน  ๆ   จึงนิยมเปลี่ยนรสนิยมทางเพศกับคู่ขา แปลกหน้า หรือหน้าแปลกทั้งหลาย  โดยพบปะเพื่อนใหม่ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิเช่น  ซาวน่า บาร์ ผับ แหล่งสิงสถิตของเกย์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งหาดของเกย์

chana2

หาดที่ชาน่าไปในวันนี้นั้นเป็นหาดที่เกย์อินเตอร์ ทั่วโลกรู้จักกันดี คือ Little Magens Bay ซี่งอยู่ทางสุดท้ายปลายทาง มุมสงบเงียบแห่งหนี่งที่ใกล้กับ Magens Bay ที่เค้าบอกชาวโลกว่า นี่คือหาดที่สวยงามหนึ่งในสิบของโลก  Magens Bay ,U.S.V.I  

ตั้งใจจะไปเล่นน้ำทะเล พักผ่อน หรือจุดประสงค์รองอาจจะพบปะเพื่อนใหม่คลายเหงา สุดท้ายก็บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งหลักและรอง

แต่ก็มีหลายคนที่ เกิดอาการหมกมุ่นทางเพศแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากว่าหาดแห่งนี้เป็นหาดเปลือยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  และเป็นที่รู้กันคือแหล่งของชาวเรา  จนหาชะนีไม่ได้แม้สภาพโดยทั่วไปจะเต็มไปด้วยป่าชายเลน ต้นไม้ โขดหิน ชายหาด   

สิ่งที่พบเห็นเต็มตา และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการรบกวนหรือละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวก็ว่าได้ นั่นคือ ชายพื้นเมือง  ซึ่งแทบจะออกแบบชาวสีผิวก็ว่าได้  ตามจิก (เกาะติด)  พอห่างจากคนหน่อยก็ช่วยตัวเอง ชวนร่วมรักกลางป่าชายเลน   บัดสีบัดเถลิง  ชาน่าบอกว่าไม่ก็คือไม่ เพราะไม่ได้ตั้งใจมาผสมพันธุ์

ชายคนนี้ก็ตื้อ แล้วตื้ออีก  พอผ่านไปสักพักก็มีอีกคน ตามมาเสียบแทนชวนลงเอย เล่นรักอย่างว่า
“อะไรกันเนี่ย”
คำตอบที่ได้คือ ... (วันนี้) ชาน่าไม่ง่ายสำหรับคุณค่ะ  
(ประเภทไม่สวยไม่หล่อ แต่หยิ่งเข้ากระดูกดำ )  (ฮา ฮา)

นอกจากนั้นยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเกย์ที่ควงแขนมากันเป็นคู่ ๆ นอนเป็นฮีเปลือย เปลือยฮี(เขาผู้ชาย) อย่างไม่อายฟ้าดิน เพียงเพื่อต้องการความเป็นธรรมชาติ และอาบผิวให้เป็นสีแทนทั่วเรือนร่าง รอบข้างมีถังน้ำแข็งและเครื่องดื่ม เรียกได้ว่า นอนคลุกเคล้า หิน ดินและทราย แล้วก็ยกซด ดื่มด่ำกำซ่า ท้าแดดท้าลม  “นี่ล่ะคือโลกของเรา แหล่งหาดเกย์กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ”

ชาน่าพบเพื่อนใหม่คนหนึ่งที่เราคุยกันเค้ามาจากสิงค์โปร  แต่หน้าตาบ่งบอกว่าเป็นยิ่งกว่าอินเดีย  จึงใครรู้ว่า “ท่านไปมาเยี่ยงไร”   คำตอบที่ได้คือ เกย์อินเตอร์ที่รักการท่องเที่ยวจะรู้แหล่ง   

ส่วนอีกคนมาคนเดียวแบบแบกเป้เที่ยวไป  แอบมองกันอยู่นานจนเกิดอาการส่งต่อมกล้า ถามไถ่ได้ความว่าบินมาจากสเปน มาพักร้อนโดยตรงฮ่า

เพื่อนใหม่บางคนก็ถามชาน่าว่า มาจากที่ไหน  คำตอบที่บอกไปคือ  ญี่ปุ่นบ้าง จีนบ้างแล้วแต่อารมณ์  แต่ถ้าใครที่เราอยากจะผูกพันธมิตรก็จะตอบไปตามตรงว่า เมืองไทย เพราะไม่อยากเอาชื่อประเทศมาขาย

สุดท้ายจึงกลับมาคิดว่า  ทำไมชาวเกย์ถึงได้หมกมุ่นกับเรื่องเพศ แค่พบเห็นกันไม่กี่วินาทีก็จะต้องเล่นกลกามแห่งความรักกันเลยเหรอ

คงต้องตอบไปอย่างตามตรงว่า  คงจะใช่บางส่วนแต่บางส่วนก็ไม่ง่าย เหมือนที่ใครหลายคนคิด

คนเราเลือกที่จะทำอะไรได้ตามอิสระก็จริงแต่ควรจะม้วนหน้าตีลังกาคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกผิด หรือเป็นภัย เสียหายหรือไม่เช่นไร   แล้วสิ่งที่เราเลือกทำในชีวิตก็จะถูกต้องนะคะ

คงเปรียบเสมือนกับคำแนะนำของทุกศาสนา หรือแม้แต่แพทย์หลายคนที่บอกว่า  อย่าหมกมุ่นกับเรื่องเพศมากนัก (ไม่ว่าจะเป็นเพศชายจริงหญิงแท้หรือ หญิงเทียม เกย์เก็กชง หรือเกย์จงใจออก)   หาทางออกอย่างอื่นเช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีฬา  จะได้ไม่หมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องอย่างว่า  อะไรสิ่งไหนก็ตามหากมันมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็อาจเสียหายได้  เดินทางสายกลางได้จักดียิ่ง หรือคุณคิดเห็นเช่นไร

นครพนม, บางอารมณ์ (3)

ตอนที่ 3 พระธาตุสีขาว 

หากมานครพนมแล้วไม่ได้ถ่ายภาพพระธาตุพนมคงดูจะกระไรๆ  ..

พระธาตุพนมอยู่ภายในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร บนภูที่เรียกว่า ภูกำพร้า ริมถนนชยางกูร หมู่บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ที่น่าสนใจ คือ ภายในพระธาตุได้บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาตั้งแต่ พ.ศ.8

...

รอบบริเวณจะมีตลาดขายสินค้าที่ระลึก อย่างเช่น โปสการ์ด รวมถึงร้านอาหารตามสั่งและสินค้าบุญ อย่างเช่น นก ปลาและเต่า ให้เอาไปปล่อยในสระโบราณกลางพระธาตุ

ผู้ศรัทธาแห่แหนกันมาจากทั่วทุกสารทิศ ก่อนออกพรรษาจะมีการมาทำบุญเพื่อทะนุบำรุงวัดและพระธาตุ จนลานจอดรถเต็มไปด้วยรถราคับคั่ง ,เสียงบอกบุญดังออกมาจากไมโครโฟน เชิญชวนให้ทำบุญอย่างต่อเนื่อง ,หากมองจากถนน องค์พระธาตุจะสูงเสียดฟ้า โดดเด่นจากจากกำแพงวัดเป็นสีขาวสลับทองลออตา

..ศรัทธาปสาทะ จากมวลศาสนิกที่เคร่งครัด
...
..คุณยายขายบุญร้องเรียกผมให้เข้าไปดูสินค้า
“ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ถุงละ 30 จ้ะ” แกร่ำร้อง เมื่อเห็นผมสนใจ
“ถุงละ 30 ทุกชนิดหรือครับ” แกมองกล้องในมือผม ก่อนโปรยยิ้ม เป็นเชิงตอบคำถาม

ผมอึ้ง ยืนมองดูปลาไหลในถุงขดเป็นวงๆ มันยังเด็ก ท้องสีน้ำตาลถึงยังไม่เป็นสีน้ำตาลเต็มที่
“ทำไมต้องปลาไหล”
“เป็นตัวแทนของพญานาคที่ปกปักรักษาเมืองจ้ะ”
แกว่า
“เหรอ” ผมคิด กล่าวกันว่า นครพนมมีพญานาคปกปักรักษาเมือง

...

เปล่า ผมไม่ได้ซื้อปลาไหลของแก ...
แค่มองดูปลาไหล(สินค้าบุญ)สลับกับพญานาคริมบันไดวัด

picture
หมุน...หมุนตามแรงลม สินค้าอีกชนิดที่ขายริมกำแพงวัด

picture
สินค้าบุญ!

picture
พระธาตุสีขาวสูงเสียดฟ้า

picture
พระธาตุอีกมุมมอง

picture
พระพุทธรูป ริมพระธาตุ ศรัทธาศาสนิก

picture
ภายในบ้านโฮจิมินท์ สถานที่ลี้ภัยทางการเมืองของท่าน

picture
ตามป้ายครับ

picture
เย็นย่ำ ..

เอาชนะชะตากรรม หรือจะย้ำชะตาตน ตอนจบ

29 November, 2007 - 00:01 -- ngoasil

สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด

ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด

.....

หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน เมืองลำพูน

ปีนั้น ฉันย้ายไปอยู่เมืองปาย และวนเวียนเดินทางอยู่แถวๆ ภาคเหนือ จึงได้แวะเยี่ยมและค้างแรมที่บ้านอันร่มรื่นย์น่าอยู่ของพี่อ้อย เมื่อฉันบ่นว่าเจ็บขา พี่อ้อยคงสงสารจึงฝังเข็มให้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นเข็มเล็กๆ จิ้มลงไปในร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขาข้างหัก ช่วงที่พี่อ้อยหมุนเข็มกระตุ้น ฉันรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งปรู๊ดปร๊าดไปทั่วร่าง วิ่งขึ้นไปที่สมองแล้วลงมาที่เท้า หมุนวนอยู่อย่างนั้น ความสุขลึกๆ ซ่านไปทั้งกายทั้งใจ

ตอนนั้นคิดว่า คนที่เสพยาเสพติดแล้วติดสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง สุขแบบพร่าๆ เบลอๆ มารู้ทีหลังว่าเป็นความเข้าใจผิด คิดไปเอง ทั้งเรื่องการฝังเข็มและเสพยา เพราะการฝังเข็มครั้งต่อๆ มา ฉันไม่มีอาการสุขล้ำลึกแบบนั้นอีกเลย

ครั้งนั้น..อาจเป็นไปได้ว่า พี่อ้อยจิ้มเข้าไปที่จุดแห่งความสุข (มั้ง) เพราะปีต่อๆ มา หมอฝังเข็มคนอื่น ที่แทงเข็มรักษาขาให้ ช่วยให้เส้นที่อยู่ผิดที่ผิดทางกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้น ความปวดล้าลดน้อยลง น้อยลงจนกระทั่งทุกวันนี้แทบไม่มีอาการนั้นเลย แต่ไม่มีครั้งไหนที่ความสุขวิ่งซ่านไปทั่วร่างอีก

เรื่องการฝังเข็ม ฉันได้ฝังกับหมอที่เรียนมาจากป่าทั้งนั้น เพราะว่าเคยไปปรึกษาหมอฝังเข็มในโรงพยาบาล บางที่คุณหมอวิเคราะห์อาการของฉันแล้ว บอกว่าฉันต้องฝังหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งฉันไม่สามารถจะอยู่รับการรักษายาวนานได้ (ทั้งที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่) จึงเลิกราไม่พยายามรักษาตัวเองในโรงพยาบาล แต่จะใช้วิธีรักษาตามรายสะดวกของฉันเอง นานๆ จะได้เจอหมอ หมอทั้งหลายก็แสนจะนอกระบบ โชคดีที่ฉันได้เจอหมอเหล่านี้ และฉันขอยืนยันว่า ขาข้างหักของฉันยังทำงานอยู่ได้เพราะการรักษาด้วยการฝังเข็ม เท่าๆ กับการนวด

ครั้งสุดท้าย ที่เกิดเรื่องเกี่ยวกับขา จนฉันคิดว่า วาระสุดท้ายแห่งการเดินได้คงมาถึงแล้ว มันคือปีที่แล้วนี่เอง

ปีที่แล้ว เป็นปีที่ฉันนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์นานที่สุด นั่งโต๊ะทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ติดต่อกันราวๆ 6 เดือน

ในเดือนที่สามของการทำงาน ทุกครั้งที่ลุกขึ้นยืน ขาข้างหักจะไร้เรี่ยวแรง และรู้สึกไร้น้ำหนักจนไม่สามารถจะก้าวเดินได้ ทั้งในข้อเข่าก็เจ็บจี๊ด กระดูกข้อต่อติดขัดเสียงดังกึกกัก  ฉันคิดในใจว่า หรือว่าวันที่หมอคนนั้นพิพากษาไว้มาถึงแล้วจริงๆ เพราะเกิดอาการถี่ๆ และทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ฉันเคยเข้าใจว่าการรักษาน่าจะได้ผลดี และน่าจะไม่ต้องเป็นคนขาพิการในบั้นปลาย

แต่ครั้งที่ร้ายแรงได้เกิดขึ้น เมื่อลุกขึ้นยืนจะเดินออกมาจากโต๊ะทำงาน ก้าวเท้าจะเดินต่อ เจ็บจี๊ดที่เข่าจนทรุดซวนเซ ฉันตกใจหยุดยืนนิ่งอึ้ง ถามตัวเองว่าถ้าฉันก้าวเดินแล้วเจ็บมากกว่านี้ล่ะ (เจ็บแบบนี้ เคยเป็นในสมัยที่ขาหักใหม่ๆ เท่านั้น) แต่ถ้าฉันไม่เดิน ถ้าฉันมัวแต่โอดโอยกลัวเจ็บ แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร ถ้าฉันกลัว ฉันยิ่งจะเจ็บ นั่นคือข้อสรุปที่ฉันบอกกับตัวเอง ค่อยๆ ตั้งสติ ยืนตัวตรง อาการเจ็บหายไปแล้ว ที่เหลือคือการตัดสินใจว่าจะนั่งลงหรือเดินต่อ ในขณะนั้น..ฉันคิดถึงอาการทุกขเวทนาทางกายที่เกิดเมื่อครั้งวิปัสสนา  และฉันเห็นการเกิดดับที่เป็นปกติธรรมดาของมัน และเห็นจิตที่ติดข้องขลาดกลัว พยายามเข้าไปบังคับบัญชาให้มันเป็นไปตามที่อยากให้เป็น คือไม่เจ็บไม่ปวด

นาทีที่ฉันตัดสินใจว่า ตายเป็นตายในสมาธิ ก็เคยผ่านมาแล้ว ฉะนั้นการเจ็บเข่าหนนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ในสภาวะสมาธิ แต่ฉันรู้ว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากการปรุงแต่งและยึดติด ทั้งความเจ็บปวดและความไม่ต้องการให้เจ็บปวด

นาทีนั้น ฉันตัดสินใจอีกหน เจ็บเป็นเจ็บ หักเป็นหัก ให้มันรู้กันไป ถ้ามันจะทำให้ฉันเดินไม่ได้อีกแล้วก็ให้รู้กันไปเลย ในวินาทีที่เหยียดขาออกหากมันจะเจ็บหรือหัก หรือจะล้มลงก็ให้รู้กันไป จริงๆ หากไม่ใช่มันจะต้องผ่านพ้นไปเหมือนที่เคยผ่านบางสภาวะในสมาธิ

“ให้มันตายไปเลย” ฉันคำรามในใจ แล้วจึงสะบัดขาก้าวเดินอย่างแรงและเร็ว... ก้าวที่สอง ที่สาม และก้าวต่อๆ มาก็เป็นก้าวปกติ ที่ไม่เหลือเค้าของความเจ็บปวดอีกเลย

(นี่แหละค่ะ คือความลังเลที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร แต่บอกได้เพียงว่า บางอย่างอาจเกิดขึ้นเพราะชะตากรรม แต่การพลิกผันก็อาจทำได้ ถ้าเรารู้ว่าเบื้องหลังของมันคืออะไร)

วันนี้ ฉันเชื่อมั่นว่าขาข้างหักของฉันกลับมาทำงานได้อย่างปกติ โดยไม่ต้องฝืนทน ไม่ต้องพยายามก้าวเดิน เพราะพละกำลังที่เต็มเปี่ยมของมันได้กลับคืนมาแล้ว

คุณอาจคิดว่า เป็นเพราะฉันคิดไปเอง แบบใช้หลักจิตวิทยารักษาตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรเหมือนกัน

แต่อยากบอกกับคนที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างที่ทรมานตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า “ชะตากรรมพลิกผันได้ ด้วยตัวของคุณเอง”

ทุกวันนี้ ฉันกลับมาทำงานหนักในสวน (หนักจริงๆ ยืนยัน) และยังแบกเป้เดินทางไกลใบโตๆ ได้เท่าเก่า ขับรถได้ไกลๆ โดยไม่ปวดขาตอนกลางคืน ยังเหลือแต่การกลับไปเดินทางไกลรอบหิมาลัยอีกหน เพื่อพิสูจน์ว่า ฉันคือคนปกติจริงๆ ยิ่งกว่าครั้งนั้น ที่เคยลากขาข้างพิการปีนป่ายรอบอันนาปุระนะ แหงนดูยอดเขามัจฉาปูฉะเรอยู่ เกือบสิบวัน ทั้งที่ต้องทรมานกายเพื่อความสบายใจ เพราะคิดว่าไหนๆ ก็จะเดินไม่ได้แล้ว ขอเดินเท้าบนเส้นทางศักดิ์สิทธิ์เสียให้คุ้ม  

นั่นคือการเดินทางเท้าที่ไกลที่สุดเมื่อราวๆ 8 ปีก่อน คาดไม่ถึงว่าวันนี้ ฉันจะยังเดินได้อย่างปกติ
กว่า 20 ปี....จากความสิ้นหวังท้อแท้ กลายมาเป็นพลัง ให้ดิ้นรนหาทางออก จนฉันพบว่า
“เสี้ยววินาทีที่โชคร้าย อาจกลายเป็นเสี้ยววินาทีที่โชคดีได้ หากเรียนรู้ที่จะเป็น”

ก้าวเดินที่เหลืออยู่ ฉันจึงรำลึกเสมอว่า มันคือกำไรชีวิต ที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า

แรงบันดาลใจอันเปราะบาง

28 November, 2007 - 09:29 -- nakolee

เราทั้งหลายต่างรับรู้กันโดยพื้นฐานว่า  เหล่าศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นจิตรกร นักดนตรี กวี หรือแขนงอื่นใดล้วนสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาจากแรงบันดาลใจทั้งสิ้น  

หลายคนให้ค่าคำนี้ยิ่งใหญ่ บางคนอาจน้อยลงไปนิด นั่นก็หาเป็นไรไม่  แต่ความจริงก็คือ ด้วยแรงบันดาลใจนั่นเองที่ส่งผลให้ศิลปินน้อยใหญ่ใหม่เก่าทั้งหลายสร้างสรรค์ผลงานอันมีความหมายและทรงค่า  หากปราศจากแรงบันดาลใจเสียแล้ว ศิลปินก็ไม่อาจสร้างงานได้อีกต่อไป  หรือเมื่อแรงบันดาลใจร่อยหรอลง ศิลปินก็อาจลดสถานะเหลือสภาพเพียงช่าง  แต่กระนั้นแรงบันดาลใจของช่างก็อาจคือการทำมาหาเลี้ยงชีวิต  เป็นสัมมาอาชีวะอันมีความหมาย  นั่นก็อาจเป็นแรงบันดาลใจ แม้สังคมจะมองว่า มันเป็นแรงบันดาลใจที่ปราศจากอุดมการณ์ก็ตาม

มันคงไม่ใช่เท่านี้  นักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดของโลกใบนี้ ค้นพบ และสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีทั้งหลาย ก็ด้วยแรงบันดาลใจทั้งสิ้น    ความจริงก็คือมนุษย์ล้วนมีแรงบันดาลใจทั้งสิ้น  ไม่เช่นนั้นแล้วเขาผู้ไม่มีแรงบันดาลใจนั้นคงไม่อาจมีชีวิตได้อีกต่อไป  หรือไม่ก็อาจเป็นชีวิตที่แห้งแล้งเหลือหลาย  

ผู้คนในยุคสมัยบริโภคนิยม  อาจมิค่อยได้ใคร่ครวญถึงวาระนี้  ด้วยว่าการโน้มนำทั้งหลายของการบริโภคได้ดึงชีวิตคนเข้าไปสู่ศูนย์กลางของกระแสของมันเองอย่างลึกล้ำ  ประหนึ่งการจัดวาง ทางที่จะก้าวเดินไป โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ  และนั่นก็คือ ชีวิตสำเร็จรูป  ภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บมากมายต่อชีวิตมนุษย์  อันสำคัญก็คือความเครียด  หลายหนที่มีข่าวการฆ่าตัวตายของผู้คนในเมืองใหญ่  แง่หนึ่งก็อาจจะว่าไปตามปัญหาในระดับปัจเจก  แต่ความจริงที่ไม่อาจมองข้ามก็คือ  ผู้คนทั้งหลายขาดแคลนแรงบันดาลใจต่อการดำรงชีวิต  

สภาวะหนึ่งของชีวิตก็คือคงมีบางครั้งคราว  บางช่วงเวลาของชีวิตที่เราได้สูญเสียแรงบันดาลใจ  เมื่อนั้นเราย่อมเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย ทั้งเรื่องราวของตัวเองและผู้คน  จ่อมจมอยู่กับความทุกข์  ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาของตัวเอง  รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า  เหลือเพียงความหม่นเศร้าเหงาหงอยซึมเซา  ปราศจากความหวัง และความฝัน ปราศจากความมั่นใจ วิตก ลังเล และนั่นก็คือภาวะเวลาอันเปราะบางของชีวิต ช่วงเวลาที่เปราะบางของแรงบันดาลใจ  อาจไม่ง่ายนักต่อการก้าวพ้นภาวะนั้น  ซึ่งมันอาจขึ้นอยู่กับวิถี วิธีการดำเนินชีวิตของแต่ละคน  และทั้งหมดนั้นมันก็อาจไม่ถึงกับยากเกินการแก้ไขเยียวยา  หากเพียงได้ตระหนักในความหมายของวาระนั้นอย่างแท้จริง  และปรารถนาจะสร้างแรงบันดาลใจใหม่  ชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้

สิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่งจากประสบการณ์ของผู้รู้หลายท่านก็คือ  เดินออกไปจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ หรืออาจต้องเปลี่ยนงาน ย้ายบ้าน เดินทางไปต่างถิ่น จากที่คุ้นเคยไปยังที่ที่ไม่รู้จัก พบประสบการณ์ใหม่ๆ ท่องเที่ยว พบผู้คนใหม่ๆ เสพย์สุนทรียภาพศิลปะ  นั่นก็คือการนำพาตัวเองออกไปจากพื้นที่ และพลังงานอันซึมเซาเปล่าร้างนั่นเสีย  หรือเริ่มหยิบจับทำงานด้วยมือ ใช้ร่างกายประดิดประดอย ขุดดิน ปลูกต้นไม้  นั่นอาจเป็นหนทางหนึ่งในการค้นหาแรงบันดาลใจใหม่  เพื่อก้าวข้ามภาวะความเปราะบางของชีวิตนั้น....

นายกฯ ที่อาจหาญและสง่างามของอาจารย์นิธิ?

28 November, 2007 - 09:26 -- karnt

ใครที่ได้อ่านบทความ “นายกฯ ของวิกฤตการเมือง” [1] ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่เพิ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน คงรู้สึกงุนงงไม่น้อยว่า อาจารย์นิธิ “กำลังคิดอะไรอยู่”

เพราะไม่เพียงในเนื้อหาของบทความดังกล่าว อาจารย์นิธิได้ประกาศไว้ชัดเจนว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรีในยามนี้ที่สุด” แต่เหตุผลของความ “เหมาะสมที่สุด” คือ

“นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องกล้าเผชิญกับแรงกดดันจากกองทัพ รวมทั้งแรงกดดันจากองค์กรอิสระอีกมากที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น อย่างอาจหาญและมีศักดิ์ศรีด้วย ดังที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้แสดงให้เห็นอย่างนุ่มนวล แต่สง่างามในครั้งนี้”

ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาแบบทันทีทันควันจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล [2] ในหน้าเวบบอร์ดของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ตั้งแต่วันแรกที่บทความดังกล่าวเผยแพร่สู่สาธารณะ

แม้หลายคนอาจอคติว่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คือ “ขาประจำ” ที่ติดตามวิพากษ์วิจารณ์ “นิธิและมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน” มาโดยตลอด แต่ผมกลับเห็นว่า หากตัดอคติดังกล่าว และสำนวนที่เป็นอารมณ์ออกไป ประเด็นในข้อวิจารณ์ของอาจารย์สมศักดิ์เป็นสิ่งที่ต้องรับฟังและพิจารณา

 

โดยไม่จำเป็นต้องมีจุดยืนข้างประชาธิปไตยและรังเกียจรัฐประหาร,
ผู้ที่สนใจติดตามการเมืองไทยอย่างจริงจัง และไม่ความจำสั้นเกินไป ก็น่าจะมองเห็นไม่ต่างจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

เพราะปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
แต่อยู่ที่เหตุผล ที่อาจารย์นิธิให้ไว้ในบทความดังกล่าวต่างหาก

ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า

อาจารย์นิธิเป็นศาสตราจารย์ทาง “ประวัติศาสตร์”

อาจารย์นิธิเป็น “นักวิชาการสาธารณะ” ผู้ยืนอยู่แถวหน้าสุดของ “มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน” ซึ่งประกาศ “ไม่เห็นด้วย” กับ “รัฐประหาร 19 กันยายน” (แม้ว่าท่าทีและถ้อยคำที่ใช้แสดงความ “ไม่เห็นด้วย” จะชวนให้หลายคนตั้งข้อสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์อยู่มาก)

และล่าสุด อาจารย์นิธิเป็นผู้ที่ถูกชูขึ้นเป็น “ผู้นำ” ในการรณรงค์ “ไม่รับ” รัฐธรรมนูญ 2550 (ตอนหนึ่งในบทความนี้ อาจารย์นิธิได้อ้างถึง การ “ปกป้องสิทธิเสรีภาพขึ้นพื้นฐานซึ่งให้หลักประกันไว้แล้วในรัฐธรรมนูญ” ซึ่งผมอ่านแล้วก็ไม่แน่ใจว่าอาจารย์หมายถึงรัฐธรรมนูญฉบับใด ระหว่างฉบับที่ถูกฉีกทิ้งไปเมื่อปีที่แล้ว กับฉบับที่อาจารย์เพิ่งรณรงค์ให้ “ไม่รับ”?)

ก็ยิ่งชวนให้งุนงงต่อสิ่งที่ปรากฏในบทความ และชวนให้ตั้งคำถามว่า
คนอย่างอาจารย์นิธิ “ลืม” ไปได้อย่างไรว่า

คุณอภิสิทธิ์ “ยืน” อยู่ที่ใดในห้วงเวลาแห่งการชู “มาตรา 7” ?

ตลอดปีกว่าๆ ที่ผ่านมา คุณอภิสิทธิ์มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อรัฐประหาร และการดำเนินการต่างๆ ของคมช., กองทัพ และ “องค์กรอิสระอีกมากที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น” ?

หรือล่าสุด, คุณอภิสิทธิ์แสดงท่าทีอย่างไรต่อ “รัฐธรรมนูญ 2550” ที่อาจารย์บอกให้ประชาชน “ไม่รับ” ?

 

“กล้าเผชิญ…อย่างอาจหาญและมีศักดิ์ศรี” ?!?!?

 

---------

[1] นิธิ เอียวศรีวงศ์, “นายกฯ ของวิกฤตการเมือง”, มติชนรายวัน, 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550, ปีที่ 30 ฉบับที่ 10852
[2] โปรดดูหลายกระทู้เกี่ยวกับบทความนี้ ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ใน http://www.sameskybooks.org/board

การสื่อสารของดาวสีส้มกับสรวงสวรรค์

ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น

แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้

โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น

แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต

“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ”
ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งประดับประดาหน้าบ้านเสร็จ สิ่งที่เขาทำก็คือการถือมีดด้ามใหญ่ไปฟันต้นกล้วยมา 2 ต้น เขากับหลานชายช่วยกันมัดติดไว้กับรั้วบ้าน  จากนั้น  ก็ห้อยโคมไฟอันเล็กๆ ติดไว้ทั้งสองข้าง ตลอดเวลา

เขาทำไปด้วยรอยยิ้ม และหันมาทักทายกับฉันเป็นระยะๆ เมื่อเห็นว่าฉันก็พยายามประดับหน้าบ้านด้วยโคมไฟเช่นกัน
“ไม่มีต้นกล้วยเหรอ” เขาถาม
“เอ่อ ค่ะ ไม่มี จริงๆ มันใช้ต้นอื่นได้ใช่ไหม” ฉันถามเขาอย่างเจียมตนในความอ่อนด้อยของประสบการณ์
“ถ้าสมัยก่อน เราก็ใช้ต้นกล้วย ต้นอ้อย หรือก้านมะพร้าว แต่ตอนนี้ต้นอะไรก็ได้แหละหนู”

เขามองอย่างมีเมตตา ฉันยิ้มรับ จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา เล็งไปยังกระถางดอกไม้ที่เพิ่งขนย้ายมาอยู่บ้านใหม่ เมื่อยังไม่ได้ลงดิน ก็จัดแจงยกมาประดับ ชายชราบ้านตรงข้ามหันมาชื่นชมอย่างให้กำลังใจ

หลานชายของเขาเริ่มต้นจุดเทียน จากดวงที่หนึ่ง ไปดวงที่สอง และดวงถัดๆไป ฟ้ายังไม่มืดดีนัก เพียงพอที่จะเห็นสมาชิกในหมู่บ้านแต่ละหลัง วนเวียนกันออกมาจุดเทียนหน้าบ้าน ต่างคนยิ้มแย้มชักชวนกันไปลอยกระทงที่ท่าน้ำ ซึ่งชาวบ้านช่วยกันตอกไม้ไผ่ให้เป็นราวจับ มีแผ่นไม้ให้เหยียบเดินและหยุดอธิษฐานก่อนจะส่งกระทงลงไป

“ไปลอยด้วยกันไหมหนู” เขาชักชวน
“สักพักถึงจะออกไปค่ะลุง เดี๋ยวจะรอจุดโคมไฟก่อน”
“อ๋อ  เห็นว่าปีนี้เขาแจ้งว่าให้ดูทิศลมอะไรก่อน เขากลัวเครื่องบินตก ใช่ไหม”

เขาชวนคุยไปด้วย พร้อมจุดเทียนไปด้วย
“ค่ะ เห็นว่าแบบนั้น โดยเฉพาะจุดที่ปล่อยพร้อมกันเยอะๆ นะคะลุง”
“อืม ใช่ ในเมืองคงจุดกันเยอะ เราก็จุดกันดวงสองดวงพอ ถือว่าบูชาเทวดา”

ว่าแล้ว ชายชราก็หันไปคุยกับหลานชายต่อ ส่วนฉัน จุดเทียนเกือบเสร็จหมดแล้ว มองไปบนถนน แสงไฟวอมแวมต่อกันไปเป็นทอดๆ มองเห็นเป็นสาย ระหว่างนั้น ก็นึกถึงคำของลุง

การบูชาเทวดา เท่าที่เคยอ่านพบ บอกว่าทำเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ บางแห่งบอกว่า การปล่อยโคม เป็นการส่งเหล่าเทวดาอารักษ์กลับขึ้นสู่สวรรค์ หลังจากที่ลงมาปกปักษ์รักษาชาวบ้านจากปีศาจในช่วงเข้าพรรษา ส่วนบางความเชื่อ เขาคิดว่า เป็นการปล่อยทุกข์โศกของแต่ละปีให้พ้นไปจากครอบครัว เช่นเดียวกับการอธิษฐานก่อนลอยกระทง เพื่อให้ชีวิตหลังจากวันนี้ไป เป็นชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ฉันเองก็เชื่ออย่างนั้น เพราะภาพที่เห็น ไม่มีใครเลยที่จะทำหน้าบูดบึ้งสำหรับวันนี้ บางบ้านพากันปูเสื่อที่ลานหญ้า พร้อมต้นกล้วยที่ตัดเป็นท่อน ใบตอง มีเด็กๆ ล้อมวงช่วยกันทำกระทง ดอกไม้สวยงามในบ้านต่างถูกนำมาใช้ในวันนี้ หากเรากำลังรู้สึกดี ได้ทำบุญ และใช้เวลากับครอบครัว มีหรือที่ชีวิตจะไม่เป็นสุข

“เย้ โคมลอยขึ้นไปแล้ว” ฉันพูดอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นดาวสีส้มของฉันลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แม้จะมีเพียง 2 ดวง บนท้องฟ้าทางทิศใต้ของเมือง ฉันยืนนิ่ง และอธิษฐาน ว่าหากที่ผ่านมาไม่ได้แสดงความเคารพต่อสวรรค์และเทวดา ครั้งนี้ก็ขอให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น

เสร็จแล้ว ฉันก็เดินทางไปลอยกระทง เลือกซื้อกระทงใบตองให้คนไปด้วยอีก 2 คน ส่วนฉันเลือกกระทงดอกไม้สีเหลืองสดใสและเหลือเป็นอันสุดท้าย ขยับตัวไปรออยู่บริเวณท่าน้ำ ได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ
“ใส่เหรียญหรือยัง”
“อ๋อ ใส่แล้ว ใส่ไป 2 บาทเองนะ มันโอเคหรือเปล่า”

อีกฝ่ายหัวเราะ แล้วตอบว่า
“ใส่ไปกี่บาทก็ได้น่ะ ตามกำลัง”

ฉันแอบยืนฟังและอมยิ้ม นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนอยากใส่เหรียญลงในกระทงอยู่ ก็ตอนเด็กๆ เคยมีคนเล่าว่า สมัยโบราณ ท้ายคลองหรือท้ายแม่น้ำ จะมีคนยากจนอาศัยอยู่ เขาจะช่วยเก็บกระทงเหล่านี้ให้กับชาวบ้าน  ดังนั้น เงินเหล่านี้เป็นเงินทำบุญให้กับพวกเขานั่นเอง

ลอยกระทงปีนี้ ฉันได้ทำหลายอย่างแบบที่ไม่เคยทำมาหลายปี ขณะมองดูความเชื่อและศรัทธาที่ไหลไปตามแม่น้ำ หรือบนท้องฟ้า นึกถึงใบหน้าชายชราข้างบ้าน และคนแก่ที่อดีตเคยทำไร่ทำนา คงรู้ความหมายของการขอบคุณแม่คงคามากกว่าใคร แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปมากมาย ให้เทศกาลลอยกระทงเป็นอะไรก็ได้ อย่างที่พวกเขาอยากให้เป็น

แต่อย่างน้อยฉันก็ยังหวังว่า เทวดาบนนั้นคงมองเห็น ความห่วงใยในผืนน้ำหรือชะตากรรมของบ้านเมือง จากความรู้สึกของคนบ้านนอกคอกนาที่ไม่ประสากับขบวนแห่กระทงยักษ์ คนตัวเล็กๆ หลายคน
ที่ร้องขอกันอยู่เงียบๆ

picture

picture

picture

picture

picture

picture

ในสวนบนเนินเขา (จบ)

28 November, 2007 - 09:08 -- ongart

ข้าไม่สนใจที่จะก้าวไปข้างหน้า
ข้าเดินอย่างสบายๆ ให้ทุกสิ่งดำเนินไปในวิถีของมัน
มีข้าวสามทะนานอยู่ในย่าม
มีฟืนใกล้เตาไฟ
แล้วจะสนใจไยกับมายาและการบรรลุธรรม
ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อันใด
ข้านั่งในกระท่อม ฟังเสียงฝนยามค่ำ
เหยียดขาอย่างอิสระอยู่ในโลก.

‘เรียวกัน’

 

1

ผมกลับมาพักอยู่ในสวนบนเนินเขาอีกครั้ง,ในวันที่ลมหนาวมาเยือน
เป็นการกลับมาใช้วิถีของความเรียบง่ายและเป็นสุข, ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาพักอยู่ในบ้านสวน ซึ่งนับวันสวนยิ่งคล้ายป่าไปทุกที ใจผมรู้สึกนิ่ง สงบมากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียด เร่งรน หากใช้ชีวิตให้กลมกลืนและใกล้กับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุด

มาถึงห้วงยามนี้ ผมบอกกับตัวเองว่า ต่อไปต้องพยายามลดภาระบางสิ่ง ทิ้งความฟุ่มเฟือยบางอย่างให้มากที่สุด

เช้านี้ก็เช่นกัน, หลังตื่นนอน ผมเดินไปในสวน เก็บกิ่งลำไยแห้งที่ถูกลิดทิ้งกองไว้ใต้ต้น มาทำเป็นฟืนก่อไฟในเตาหลังบ้าน หุงข้าว เดินไปเก็บยอดตำลึงริมรั้ว เก็บฝักถั่ว บิดขั้วลูกฟักทองหนุ่มมาผ่าซีก หั่นเป็นท่อน โยนลงหม้อตั้งไฟกำลังเดือดพล่าน ใส่เกลือ เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อเช้าแล้ว

ในความเรียบง่าย ผมมองเห็นความงาม
และในความงามนั้นผมมองเห็นดอกผล

2

3

4

5

สวนของผมในเดือนพฤศจิกายน ผักผลไม้กำลังผลิบานเริงร่าราวกับว่ากำลังแข่งกันประชันโฉม มะเฟืองออกดอกสีชมพูอมขาว พร้อมลูกเล็กๆ ดกพราวไปทั่วกิ่งก้าน ฟักทองลูกยักษ์นอนนิ่งสงบอยู่ใกล้ต้นขนุน มะละกอลูกใหญ่ยาวกำลังแก่งอมคาต้น และทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน ดอกถั่วแป๋เหลืองนวลผลิบานสะพรั่งอวดสีสันกันเต็มไปหมด ส่วนใบสดเขียวก็ลามเลื้อยพันเป็นเถาเครือขึ้นคลุมสวน คลุมดิน คลุมหญ้าในขณะที่ฝักอ่อนกำลังยืดตัวชูแถวอยู่อย่างนั้น

ใช่, อีกไม่นาน ถั่วแป๋ก็จะกลายฝักแก่ ผมนึกถึงภาพในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เดินก้มเก็บมาพอกำมือใช้ตอกมัดเป็นกำๆ ต้มหรือนึ่งกินเป็นของว่างในคืนหนาว ครั้นรออีกเดือนสองเดือนฝักถั่วก็คงแก่แห้ง ชาวลาหู่ที่มาขออาศัยพื้นที่สวนของผมปลูก ก็คงจะมาเก็บ นวด ตี เป็นเมล็ด เทใส่กระสอบไปขายให้พ่อค้าที่มารับซื้อถึงหมู่บ้าน ส่วนผมก็ได้เปลือก ต้นถั่วที่กลายเป็นปุ๋ยให้ดินในสวน คืนความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ผมยังคงมองเห็นวิถีความเบิกบานไปทั่วสวน
นั่น,เล้าหมูที่ก่อนเคยตั้งอยู่ตรงหน้าบ้านปีกไม้หายไป กลายเป็นเล้าไก่แทน พ่อของผมในวัยเจ็ดสิบกว่ายังคงมีความสุข อยู่กับความเรียบง่าย ขุดหลุม ลงเสา ทำเล้าไก่เอง พ่อกำลังเลี้ยงไก่แจ้ ไก่พื้นเมืองที่กำลังออกลูกกว่าสามสิบตัว

6

7

8

9

และทุกเช้าตรู่,ผมยินเสียงไก่ขันเหมือนต้องการปลุกสรรพชีวิตและโลกให้ตื่นฟื้น พอตะวันไล่หมอกจางหายไปแล้ว เจ้าเหมียวกับลูกแมวสี่ตัวที่ผมพามันย้ายจากเมืองมาอยู่ในบ้านสวน ต่างก็พากันออกมานอนอาบแดด บ้างปีนต้นไม้ ไต่หลังคากันอย่างสนุกสนาน ผมจ้องดูครอบครัวของเจ้าแมวเหมียวแล้ว รู้ได้เลยว่า พวกมันสนุกและชอบพื้นที่ตรงนี้มากกว่า เพราะเห็นนอนเกลือกกลิ้ง วิ่ง กระโจนขึ้นต้นไม้ ไต่หลังคา ซุกหมอบซ่อนในดงถั่ว ขี้ถ่ายและกลบในกองทรายหลังบ้าน

“บางที ไม่ว่าสัตว์หรือคนเราล้วนก็ต่างอยากมีพื้นที่ของตัวเอง อยากมีชีวิตที่เรียบง่ายและอิสระเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่าใครและใครจะมองเห็นและค้นพบก่อนใครเท่านั้น...” ผมบอกกับตัวเอง

ครั้นทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง ชาวนาชาวสวนกำลังทยอยกันไต่ไปตามคันนาริมลำเหมือง ไปสู่ท้องทุ่งที่แสงแดดส่องเป็นสีเหลืองทองดูงดงาม เป็นการเริ่มต้นการงานของวันใหม่

ในสวนบนเนินเขาของผมยังคงปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ยังคงเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง เหมือนกับที่ใครคนหนึ่งบอกไว้ว่า...งานทำสวนไม่เคยจบสิ้น มีแต่เริ่มขึ้นและต่อเนื่องไปปีแล้วปีเล่า...

มาถึงตอนนี้ ผมไม่รู้ว่ามีใครคิดและรู้สึกเหมือนกับผมบ้างมั้ย ว่า ‘สวนทำให้ชีวิตคนเราเปลี่ยนได้’ เหมือนกับที่ใครหลายคนบอกไว้ ในนิตยสาร Home and Décor นานมาแล้ว...

ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน บอกว่า ‘สวน สามารถเยียวยาความเจ็บปวดใดๆ ให้ฉันได้เสมอ’
Mushih-ud-Din บอกว่า ‘สวนให้ความสดใสกับดวงตา และให้ความเบิกบานกับจิตวิญญาณ’

ผมเห็นด้วยกับแนวคิดเหล่านี้.

นักเสี่ยงโชค นักดื่ม นักบวชและตำรวจ ต่างมาในที่เดียวกัน

ขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีสาระอะไรเลย
เล่าเรื่องนี้ เพราะวันพิเศษเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถือว่า เป็นการผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์เลยทีเดียว

ฉันจะเรียกเขาว่า แขกพิเศษ เพราะเป็นการมาเยือนแบบไม่คาดคิดมาก่อน และต่างมาในวันเดียวกันด้วย อีกทั้งไม่ได้นัดหมายมาล่วงหน้า ต่างมาแบบตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น

แขกคนที่หนึ่ง เขาเดินทางมาด้วยรถมอเตอร์ไชค์ มาถึงก่อนที่เจ้าของบ้านจะทันตื่น ได้ยินเขาส่งเสียงตะคอก เจ้าสองตัวแม่ลูก ที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน มันเห่าเสียงแหลมเล็กตามแบบของหมาเล็ก และยังเยาว์

ฉันว่าคนเลี้ยงหมาทุกคนไม่ชอบให้ใครตะคอกหมา และยินดีที่มีคนรักหมาของตัวเอง เพราะหมาของตัวเองล้วนน่ารักเป็นที่สุด ไม่ว่ามันจะทำตัวน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม

เจ้าของบ้านลุกขึ้นไปต้อนรับแขก และบอกว่า มันเห่าไปอย่างนั้นแหละ และหันไปปรามเจ้าสองตัวให้หยุด
“เอากีตาร์มาคืน”เขาว่าแล้วพูดต่อว่า จะรีบกลับเพื่อไปซื้อกีตาร์มาไว้ที่บ้านสักอัน

แล้วเขาก็ออกจากบ้านไป อย่างง่าย ๆ

ฉันรู้ภายหลังว่า เขามายืมไปเมื่อวาน และเขาไม่ใช่นักดนตรี แต่เป็นนักเสี่ยงโชคคนหนึ่ง และพบว่าตัวเองชอบเล่นดนตรี ชอบกีตาร์ขึ้นมา

1
กำลังหาบ้านค่ะ เผื่อใครจะรับอุปการะ

แขกคนที่หนึ่งกลับไปแล้ว สองชั่วโมงต่อมาแขกคนที่สองก็เดินทางมาถึง

เขามาพร้อมกับเหล้าภูมิปัญญาใส่ถุงมา เขามีมารยาทพอที่จะแขวนถุงเหล้าไว้ที่กิ่งไม้หน้าบ้าน ก่อนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ เจ้าของบ้านกำลังเขียนต้นฉบับให้ประชาไทดอดคอม เขาบอกผู้มาเยือนว่า กำลังรีบทำงาน และส่งกล่องยาเส้นให้

เขาเอายาเส้นไปม้วนแต่ไม่จุดสูบ นั่งโยกตัวเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า อยากหาหนังสืออ่านสักสองสามเล่ม เจ้าของบ้านลุกขึ้นไปหยิบหนังสือให้สามเล่ม ฉันไม่รู้ว่าหนังสืออะไรบ้าง

เขาลุกขึ้นเดินไปอย่างเงียบ ๆ คนนี้ไปมาแบบเงียบมาก เขามาปรากฏครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว ฉันรู้มาว่า เขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เมื่อก่อนเคยเป็นหนุ่มหล่อเนียบ ต่อมาถูกรถสิบล้อชน และออกจากงาน ไม่แน่ขัดว่าเขาลาออกเองเพราะทำงานไม่ได้หรือถูกให้ออก มาดหนุ่มหล่อแบบพนักงานธนาคารยังหลงเหลืออยู่

วันหนึ่งเขาบอกฉันว่า เขาสามารถซ่อมเครื่องใช้ฟ้าได้ ฉันจึงเอาเครื่องเล่นซีดีให้เขาซ่อม ปรากฏว่า เขารื้อออกมาแล้ว และบอกฉันว่า เครื่องที่ฉันซื้อมาเมื่อเดือนก่อน เป็นเครื่องเก่า มันถูกซ่อมมาแล้วครั้งหนึ่งและชี้ให้ฉันดูร่องรอยที่บอกว่า มันถูกเปลี่ยน ฉันถูกคนขายหลอก เขาบอกฉันอย่างนั้น ตกลงว่าฉันถูกหลอกสองครั้ง ครั้งแรกถูกหลอกให้ซื้อเครื่องเล่นซีดีเก่า ครั้งที่สองถูกหลอกว่าซ่อมเป็น เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาไม่เคยพูดเรื่องซีดีของฉันอีกเลย

ผ่านไปสองคนก็ยังธรรมดาอยู่

2
แม่แห่งปี

ครับ สวัสดีครับ เชิญครับ เสียงเจ้าของบ้านทักทายพร้อมกับรีบเข้าไปในบ้าน เพื่อเปลี่ยนจากผ้าขาวม้าเป็นกางเกงขาสั้น เพราะคราวนี้เป็นหญิงสาวสองคน

ฉันนั่งพิมพ์ดีดอยู่ข้างหน้าต่าง หันไปมอง เธอทั้งสองเป็นแขกแปลกหน้า คนหนึ่งผอมบางอีกคนหนึ่งสูงใหญ่ เธอเริ่มต้นด้วยการทักทายฉันว่า กำลังทำงานอยู่หรือค่ะ

“ค่ะ” ฉันตอบเธอก็ฉันกำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่ จะกินข้าวได้อย่างไร
“เป็นลีซอหรือค่ะ”เสียงเธอยินดีนัก

เอาเข้าไป ตัวดำเมี่ยงแบบซาไกจากถิ่นใต้ หน้าตาแขกอินเดียออกอย่างนี้เป็นลีซอได้อย่างไรกัน ลีซอมันต้องขาวสวยออกไปทางจีน

“ไม่ใช่ค่ะ”
“เห็นมีกระเป๋าลีซอแขวนอยู่” เธอว่า
ฉันบอกเธอว่า ฉันมีเพื่อนเป็นลีซอหลายคน และเคยไปบ้านเขาด้วย ที่แม่อาย และที่เปียงหลวง
เธอบอกฉันว่าเธอเป็นลีซออยู่ที่เชียงดาว แม่ยังอยู่ที่นั่น แต่เธอมาอยู่หางดง

บรรยากาศการพูดคุยเริ่มราบรื่น เจ้าของบ้านชายแต่งตัวสุภาพออกมาแล้ว เชิญเธอทั้งสองนั่ง เธอคนที่เป็นลีซอ เริ่มด้วยการบอกว่า เธอนำเรื่องราวใหม่มาสู่ครอบครัวของเรา พร้อมกับส่งหนังสือเล่มบาง ๆให้เขา ปกหนังสือเขียนว่า หอสังเกตการณ์ ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา หน้าปกหนังสือสวยทีเดียว เป็นรูปหญิงสาวนั่งจับปากกาและเด็กหญิงหน้าตาสดใส

“อยู่หางดงทั้งคู่หรือครับ” เขาชวนคุย
หญิงสาวอีกคนหนึ่งทำเสียงอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะพูดอะไรออกมาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ได้ยินคำว่า ญี่ปุ่น

เขาเตรียมน้ำให้เธอทั้งสอง สาวญี่ปุ่นคงจะหิวเธอดื่มน้ำหมด และบอกว่าอร่อย เธอคงคิดว่า ถ้ากินอะไรเข้าไปต้องบอกว่าอร่อยหมด

แต่อีกคนบอกว่า ดื่มมาแล้ว และพูดเรื่องของเธอ พูดเรื่องพระยะโฮวา ฉันจับความได้ว่า ท่านเป็นบิดาของพระเยซู

ฟังดูคล้าย ๆกับว่า เราต่างเป็นคนบาปและท่านจะช่วยเราได้
และถามว่า ชอบอ่านหนังสือหรือเปล่า เจ้าของบ้านตอบว่า ชอบอ่านครับ ผมทำงานเขียนครับ ต้องอ่านอยู่แล้วครับ

เธอตอบว่า ดีค่ะ
เจ้าของบ้านตอบกลับว่า ครับดีครับ ผมสนใจครับ

ทั้งผู้มาเผยแพร่ศาสนาและคนรับสารต่างคุยไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเขารู้เรื่องราวของศาสนาและลัทธิต่าง ๆ อย่างมากมายจากการอ่าน แต่ในส่วนปฏิบัติเช่นเข้าโปสถ์ เข้าวัด หรือพิธีกรรมอะไรไม่เคยเห็นทำ

เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนหนังสือหรือว่าเพื่อตอบแทนเขาจึงหยิบหนังสือ วัยรุ่นไม่วุ่นอย่างที่คิด Right to know ของเอดส์เน็ท ที่ตัวเองทำส่งให้และบอกว่า นี่เป็นหนังสือของเราขอมอบให้ เป็นหนังสือเรื่องเอดส์เรื่องเพศ

หญิงสาวบอกว่า เราไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะเราเชื่อในพระองค์ และบอกว่า ที่เกิดปัญหานี้เพราะมีการทำผิด และเธอพูดเรื่องความผิดพลาดของมนุษย์อีกพักหนึ่งจึงลากลับ

หลังจากเธอไปแล้วฉันได้ยินเสียงเจ้าของบ้านถอยหายใจ
ฉันบอกเขาว่า ผู้พูดมีมากผู้ฟังมีน้อย การเป็นผู้ฟังที่ดียากนะ
เอ้อ...วันนี้เรามีแขกแปลก ๆ มาเยี่ยมบ้าน มีสามแบบแล้ว เราพูดกันยังไม่ทันจบ แขกชุดใหม่ก็เข้ามา เขามากับรถสีบรอนซ์

เป็นตำรวจ

ฉันมักตกใจที่เห็นตำรวจ ไม่คุ้นเคยกับตำรวจเพราะในวัยเด็ก ถูกหลอกว่า อย่างร้องไห้อย่าเรื่องมาก ตำรวจจะจับ เราถูกหลอกให้กลัวตำรวจมาตั้งแต่เด็ก

“ว้าย ตำรวจมาทำไม” ฉันกลัวตำรวจทั้งที่ในชีวิตฉันไม่เคยทำอะไรผิดให้ตำรวจจับได้เลย นอกจากขับมอเตอร์ไซค์ไม่มีใบขับขี่ออกมาซื้อบะหมี่ที่หน้าซอย แล้วถูกจับปรับ เป็นเรื่องขำเพราะฉันขับได้ไม่เกินหน้าซอย แต่มันถึงคราวซวย เจอตำรวจจราจรพอดี

ตำรวจมาเยี่ยมน้องชาย เออ...ลืมไปว่ามีน้องชายของเขาที่เป็นตำรวจมาป่วยอยู่ที่บ้านคนหนึ่ง
วันนี้เรามีแขกครบถ้วนแล้ว ทั้งนักเสี่ยงโชค นักดื่ม นักบุญ และตำรวจ ชีวิตของวันนี้คงจะครบแล้ว

ยามบ่าย ฉันได้รับโทรศัพท์จากนักเขียนรุ่นน้อง เธอบอกว่าจะมาเยี่ยมเรา เธอเป็นคนที่ฉันอยากเจอมากแต่ต้องปฏิเสธเธอไปเพราะวันนี้เราผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์พอแล้ว ถ้าเจอนักเขียนอีกคนท่าจะไม่ไหวแล้ว เพราะตั้งใจจะดูพรรคศิลปินแถลงนโยบายในช่วงเย็นทางโทรทัศน์ด้วย

เฝ้าไข้ข้างเตียงพ่อ (6)

27 November, 2007 - 00:14 -- malam

พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่น

เช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน หลายคำที่พูดจาเหมือนเสียงคนโบราณ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา หรือว่าหลังพ่อช็อคคงเป็นธรรมดาที่จะเพ้อ ใช่หรือเปล่านะแม่ ฉันถามแม่เบาๆ

แม่สบตาฉันแล้วดึงฉันออกมาจากข้างเตียงพ่อ จูงมือฉันมานั่งที่ระเบียงตึก หลังปูเสื่อลงแล้วแม่บอกฉันว่า กินข้าวก่อนนะ แม่มีอะไรจะบอกให้ฟัง

แม่เล่าว่า วันแรกที่พ่อช็อค แม่นั่งเฝ้าพ่ออยู่ข้างเตียงหลังจากที่คลายความวุ่นวายลงแล้ว แม่ว่าแม่ยังรู้ตัวอยู่แต่เหมือนอยู่ในภวังค์เคลิ้มๆใกล้หลับ แม่ได้ยินเสียงดังในหูว่า

มันไม่เชื่อกู ไม่เคารพกู มันเลยต้องเจออย่างนี้เลย แล้วก็เป็นเสียงหัวเราะ แม่ขนลุกไปหมด สะดุ้งสุดตัว  แม่ว่าพ่อคงทำผิดอะไรสักอย่าง ที่สำคัญพ่อคงไม่สนใจเรื่องอะไรอย่างนี้  แม่เลยไม่ได้เล่าให้พ่อฟัง

แม่บอกฉันเบาๆว่า ลูกคงจำได้ บ้านเรามีห้องสวดมนต์ของแม่ มีหน้ากากนายพรานและกระดูกของบรรพบุรุษ   สงสัยเขาจะโกรธพ่อ แม่ต้องกลับไปขอโทษเขาก่อนและขอให้เขายกโทษให้พ่อ พ่อจะได้ดีขึ้น

ถ้าทำให้แม่สบายใจก็ทำเถิด ฉันยิ้มให้แม่

สมัยที่มีมโนราห์โรงครูที่บ้านปู่ ซึ่งมีการเข้าทรงหลังการรำมโนราห์  ฉันชอบนั่งข้างหน้าสุดเพื่อดูทุกอย่างให้เต็มตา ฉันชอบการรำมโนราห์ เสียงกลองทับที่ตีฉับฉับสะเทือนเข้าไปในหัวใจ  ปี่มโนราห์โหยหวนส่งเสียงแทนคำร้อง หลายครั้งที่คนฟ้อนมาฟ้อนอยู่ตรงหน้า ฉันจ้องตาเขาพบว่าแววตาเลื่อนลอย หรือการรำคือการเข้าทรง  ฉันนึกสงสัย

ยิ่งในเวลากลางคืน มโนราห์โรงครูยิ่งขลัง น้ำเสียงกลองทับและปี่ยิ่งดังก้องกังวาน เร่งเร้า สั่นหัวใจของเราเหมือนจะให้ออกมาเต้นอยู่นอกอก คนรำมโนราห์นั้นเล่า ฉันไม่กล้าสบตาเขาเลย เพราะตาที่แข็งกร้าวนั่นเหมือนจะสะกดจิตคนนั่งหน้าโรงได้ ถึงกระนั้นฉันก็ยังนั่งดูตาไม่กระพริบจนกระทั่งมโนราห์เลิกในตอนที่ดึกมากแล้ว แล้วฉันก็หลับอยู่หน้าโรง ไม่ยอมลุกไปที่ไหนจนโรงมโนราห์ถูกถอนออก 

ทุกครั้งที่มีมโนราห์โรงครู ฉันต้องขอแม่ไปดูเสมอ บางคราวมีการซัดข้าวสารก่อนรำถวาย เป็นการโหมโรง เสียงครูโนราห์ตวาดเด็กๆที่อยู่หน้าโรงให้ถอยไป เดี๋ยวจะถูกของ  ฉันยังวิ่งออกมาเสียไกล เพราะกลัวที่ต้องถูกเข้าทรง นึกถึงอาของฉันที่ต้องเป็นคนทรงในคราวหนึ่ง  เธอถูกเข้าทรงอยู่สองวันสองคืนเต็มๆ อาเหนื่อยจนเป็นลม คำถามที่ฉันถามหลังอาฟื้นมาคือ  อาหายไปไหนมาถึงสองวัน หลังจากที่อากลายเป็นคนอื่นในสายตาฉัน  อายิ้มและหลับต่อ  ทิ้งให้ฉันสงสัยและเก็บไปกลัวจนกระทั่งโต

พ่อเป็นคนเดียวที่ไม่เคยลงนั่งเข้าทรง  พ่อเดินตัวตรงผ่านหน้าโรงมโนราห์ เป็นพี่ชายคนโตที่น่าเกรงขามของน้องๆ  พ่อไม่เคยถูกร้องขอให้มาเข้าทรงเลย ปู่รู้จักพ่อดี

แม่กลับบ้านไปทำอย่างที่พูด พ่อตื่นมากินข้าวต้มของแม่ ฉันถามพ่อว่าพ่อเพ้อทั้งคืน พ่อจำได้หรือเปล่าว่าเป็นอะไร พ่อบอกว่า ไม่รู้หรอกลูกแต่พ่อเหนื่อยจัง เหมือนเดินไปไหนมาที่ไกลมากๆและหยุดพักไม่ได้ พ่ออยากนอนพักมากๆ พ่อพูดแล้วหลับตาต่อ หายใจยาวๆสักครู่เดียว พ่อก็หลับสนิท พลอยให้ฉันนึกถึงอาหลังจากฟื้นตื่นจากการเข้าทรง  อาหลับไปอย่างง่ายดายและเหนื่อยอ่อนเหมือนกับพ่อ

ฉันเช็ดตัวให้พ่อใหม่ กลิ่นยาจากตัวพ่อฉุนแตะจมูก  พ่อหลับลงอีกครั้งและครั้งนี้ยาวนานจนฉันตกใจ

เย็นย่ำแล้ว พยาบาลมาวัดความดันเลือดตลอดทุกสองชั่วโมง พ่อก็ยังหลับอยู่อย่างนั้น หน้าตาที่บวมเพราะแพ้ยาเริ่มยุบลงบ้าง ปากที่เจ่อก็ยุบลง ความดันเลือดเริ่มดีขึ้น แต่พ่อยังหลับแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนพลบค่ำ

Pages

Subscribe to RSS - blogs