Skip to main content
 
 
Concerto มาจากภาษาอิตาลีคือคำว่า Concerti หมายถึงการเล่นประสานกันระหว่างวงดนตรีขนาดใหญ่กับเครื่องดนตรีชนิดใดชนิดหนึ่ง (คำว่า Concerti จึงเป็นที่มาของคำว่า Concert ที่ใช้กันในปัจจุบัน) ถ้าเป็น Piano Concerto ก็หมายถึงการเล่นประสานกับวงออร์เคสตรากับเปียโน และแน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีมักจะจัดให้ เปียโนคอนแชร์โต หมายเลข 5 ของลุดวิก ฟาน เบโธเฟนอันมีชื่อเล่นคือ Emperor เป็นยอดผลงานเคียงคู่หรือแม้แต่อยู่เหนือเปียโนคอนแชร์โตของคีตกวีคนอื่นๆ เช่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 1  ของไชคอฟสกี   เปียโนคอนแชร์โตของโรเบิร์ต ชูมันน์ เปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของแรคมานินอฟและเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 21 ของโมสาร์ตเป็นต้น
 
เบโธเฟนเริ่มแต่งเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 1 ในปี 1796 เมื่ออายุได้ 26 ปีและออกนำแสดงที่กรุงปราก สาธารณเช็คในปัจจุบันโดยมีเขาเป็นผู้เดี่ยวเปียโนเอง ต่อมาในปี 1801 ถึงตีพิมพ์หมายเลข 2  ซึ่งความจริงเขาแต่งก่อนหมายเลข 1 หลายปี หมายเลข 2 นี้สำคัญต่อชีวิตของเบโธเฟนเองเพราะเขาหมายมั่นปั้นมือจะเป็นนักเปียโนเอกภายหลังจากที่ย้ายนิวาสสถานจากกรุงบอนน์ (เมืองหลวงเก่าของเยอรมันตะวันตกในช่วงสงครามเย็น) ไปยังกรุงเวียนนา ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นนักเล่นเปียโนตามความตั้งใจเดิม แต่การเป็นคีตกวีผู้มีชื่อเสียงทำให้เขาก็ไม่เคยย้ายถิ่นออกจากกรุงเวียนนาอีกเลยจนตลอดชีวิต
 
และก่อนหน้านี้หนึ่งปีคือ 1800 เบโธเฟนก็แต่งเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 และออกแสดงอีก 3 ปีต่อมาโดยตัวเองก็ร่วมบรรเลงเปียโนด้วย กระนั้นมีเพื่อนสนิทของเขาก็บอกว่าการแสดงไม่สมบูรณ์เท่าไรนักเพราะสังเกตเห็นสมุดโน้ตบนเปียโนขณะที่เบโธเฟนบรรเลงนั้นว่างเปล่า แสดงให้เห็นว่าคีตกวีเอกไม่มีเวลาที่จะเขียนลงไปในสมุด หากแต่ใช้ความทรงจำล้วน ๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทำไมเบโธเฟนถึงยังแต่งเพลงได้ถึงแม้อาการหูหนวกของเขาจะแย่ลงเรื่อย ๆ
 
ในปี 1806 เบโธเฟนแต่งเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 4 เสร็จสิ้นลง และต้องรออีกหนึ่งปีจึงออกนำมาแสดงในงานแสดงส่วนตัวที่วังของเจ้าชายลอบโควิตซ์ผู้เป็นองค์อุปถัมภ์ ก่อนที่จะนำออกแสดงต่อหน้าสาธารณชน ณ ที่เก่าคือโรงละคร  Theatre an der Wien อีกหนึ่งปีต่อมา ร่วมกับผลงานชิ้นอื่นๆ ของเขาเช่นซิมโฟนีหมายเลข 5 และ 6  ซึ่งได้รับสุ่มเสียงจากนักวิจารณ์ไปในทางที่ดี ถึงแม้คนดูจะแสดงความเย็นชา เพราะความแปลกใหม่ของเพลงและความยาวของการแสดง
 
และแล้วในปี 1809 เบโธเฟนก็ได้ลงมือเขียนผลงานที่ยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกับซิมโฟนีหมายเลข 5 และ 9 ของเขานั่นคือเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 5 และอุทิศงานชิ้นนี้ให้กับอาร์ชดุกซ์ รูดอล์ฟ  ผู้เป็นทั้งองค์อุปถัมภ์และลูกศิษย์ การแสดงมีขึ้นครั้งแรกที่เกวานเฮ้าส์ในเมืองไลป์ซิกเมื่อปี 1811 แต่คราวนี้เบโธเฟนรู้สึกว่าหูของตัวเองอยู่ในภาวะที่แย่เกินกว่าจะลงมือเล่นเปียโนเอง จึงให้คาร์ล เซร์นีย์  ลูกศิษย์เอกมาทำหน้าที่นี้แต่เซร์นีย์กลับกลัวว่าตัวเองจะเล่นไม่ดี จึงเปิดทางให้ฟริดริช ชไนเดอร์ นักเล่นออร์แกนในโบสถ์วัยเพียง 21 ปีเป็นผู้เล่น ส่วนเซร์นีย์มาเล่นเปียโนสำหรับการเปิดการแสดงครั้งแรกในกรุงเวียนนาอีก 3  เดือนต่อมา เซร์นีย์ซึ่งอายุเพียง 20 ปีเท่านั้นสามารถบรรเลงบทเพลงนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และยังเป็นที่น่าสนใจว่าเซนีย์ต่อมาได้เป็นอาจารย์ของนักเปียโนและคีตกวีชื่อดังอีกคนคือฟรานซ์ ลิซต์คีตกวีชื่อดังสุดยอดในยุคโรแมนติกของยุโรปอีกคน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องหนีไม่พ้นที่ลิซต์จะสืบทอดความชื่นชมและการเชิดชูเบโธเฟนจากอาจารย์ อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เบโธเฟนมีชื่อเสียงเป็นอมตะมาดังปัจจุบัน
 
เปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 5 อันยิ่งใหญ่นี้มีทั้งหมด 3 กระบวน ความยาวทั้งสิ้น 38 นาที ซึ่งท่อนแรกและท่อนที่ 3 นั้นก็เหมือนกับหมายเลข 4 ของเบโธเฟนซึ่งถือได้ว่าเป็นการแหกจารีตของเปียโนคอนแชร์โตทั้งหลายเช่นเพราะเบโธเฟนได้ให้เปียโนบรรเลงไปพร้อมกับเครื่องดนตรีต่างๆ ทันที ในขณะที่คตีกวีคนอื่นมักให้วงออร์เคสตราบรรเลงไปนานพอสมควรเสียก่อน
 
ในแต่ละท่อนมีชื่อประกอบจังหวะดังต่อไปนี้
 
1. Allegro 
 
2.Adagio un poco mosso 
 
3. Rondo - Allegro ma non troppo 
 
 
ในภาพยนตร์ที่แอบอิง (และผสมจินตนาการ) ชีวประวัติของเบโธเฟนดังเช่น Immortal Beloved (1994) ที่อ้างว่าเพลงนี้ถูกบรรเลงและกำกับโดยเบโธเฟนแต่กลับล้มเหลว ถึงแม้เบโธเฟนจะพยายามถึงสองครั้ง เพราะ นักดนตรีเล่นดนตรีตามโน้ตที่เขาเขียนไม่ได้ อีกทั้งคนดูพากันหัวเราะเยาะ ทำให้ผู้หญิงอันเป็นที่รักของเขาต้องคอยประคองเดินออกจากเวทีการแสดงไป ...แสดงให้เห็นว่าหนังทำคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะตามข้อมูลของประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เบโธเฟนที่เล่นเปียโน 
 
ส่วนกระบวนที่ 2  ซึ่งช้าเนิ่บนาบและเศร้าสร้อยก็ถูกบรรเลงประกอบตอนสุดท้ายของหนังที่คนดูรู้แล้วว่าผู้หญิงที่เป็น "Immortal Beloved" ของเบโธเฟนคือใครและหล่อนก็ได้รับรู้ถึงความเป็นจริงที่สายไปแล้ว  จากนั้นเมื่อเธอไปเยือนที่ฝังศพของเบโธเฟน (ซึ่งเป็นของจริง) ภาพยนตร์ก็ต่อด้วยเพลงกระบวนที่ 3 ที่เบโธเฟนตั้งใจจะให้ต่อกันอย่างรวดเร็วทำให้ภาพยนตร์ดูอลังการและปราณีตขึ้น
 
ความยิ่งใหญ่ของเพลง ๆ นี้ย่อมเหมาะสมกับชื่อว่า Emperor หรือจักรพรรดิ แต่เบโธเฟนหาได้เป็นคนตั้งชื่อ นี้ไม่ ตามวิสัยของคนที่ไม่ชอบตั้งชื่อเล่นให้กับเพลงของตัวเอง และเบโธเฟนน่าจะแสลงกับคำว่าจักรพรรดิ เพราะคนที่ชื่อนโปเลียนที่เขาเคยเทใจให้กลายเป็นทรราชผู้น่าเกลียดชัง  มีตำนานถึงที่มาของชื่อบทเพลงนี้สองเรื่อง ตำนานแรกชื่อจักรพรรดิถูกตั้งโดยโยฮันน์ บาปติสต์ คราเมอร์  นักเล่นเปียโนและตีพิมพ์บทเพลงผู้พำนักอยู่ที่กรุงลอนดอน อันสะท้อนว่าการที่เบโธเฟนยอมให้มีคนมายุ่งกับงานของเขาเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า คน ๆ นั้นเป็นเพื่อนรักของเขาเพียงไหน
 
หรือถ้าหากมีสีสรรกว่านั้นก็คือตำนานเรื่องที่ 2 คือในช่วงที่บทเพลงนี้ถูกนำมาบรรเลงเป็นครั้งแรกในกรุงเวียนนา นายทหารฝรั่งเศส ได้กล่าวในบรรดาผู้ชมว่า  “C’est l’empereur de concerti!” (นี่คือจักรพรรดิแห่งคอนแชร์โต !)  กระนั้นเองคำว่า จักรพรรดิน่าจะหมายถึงตัวเบโธเฟนมากกว่า และคิดว่าเขาคงจะชอบใจถ้ามีใครเรียกตัวเองเช่นนั้น
 
 
 
 
 
 
 
 
ภาพจาก http://cps-static.rovicorp.com/
 
 
 
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เข้าใจว่าผลงานของ William Shakespeare ที่คนไทยรู้จักกันดีรองจากเรื่อง Romeo and Julius ก็คือวานิชเวนิส หรือ Merchant of Venice ด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกทรงแปลออกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กนักเรียนได้อ่านกัน และประโยค ๆ หนึ่งกลายเป็นประโยคยอดฮิตที่ยกย่องดนตรีว่า &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเพลงหรือ musical ที่มีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทศวรรษที่ห้าสิบและหกสิบ เราก็คงจะนึกถึงเรื่อง West Side Story เป็นเรื่องแรก ๆ อาจจะก่อน Singin' in The Rain หรือ Sound of Music เสียด้วยซ้ำ ด้วยหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือเพลงทั้งบรรเลงและเพลงร้องที่แสนไพเราะ ฝีมือการกำกับวงของวาทยากรอ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มักเป็นที่เข้าใจว่าอเมริกาเป็นประเทศแห่งความเท่าเทียมกัน อาจด้วยอเมริกานั้นไม่เคยเปลี่ยนผ่านยุคศักดินาเหมือนกับประเทศในเอเชียและยุโรป อเมริกาถึงแม้จะมีชนชั้นกลางมากแต่บรรดาในชนชั้นกลางก็มีการแบ่งแบ่งแยกที่ดีที่สุดคือเงิน รองลงมาก็ได้แก่ฐานะทางสังคม สีผิว เพศ ฯลฯ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีสังคมไหนในโลกท
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    1.นอยด์ เป็นคำแสลงที่ถือกำเนิดได้มานานหลายปีแล้ว มาจากคำว่า noid กร่อน (โดยคนไทยเอง) จากศัพท์อังกฤษ  paranoid ซึ่งแปลว่า ความวิตกกังวลว่าคนอื่นไม่ชอบหรือพยายามจะทำร้ายตัวเองแม้ว
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                                                                                    &
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผีเป็นบุคคลที่เราไม่พึงปรารถนาจะพบ แต่เราชอบนินทาพวกเขาแถมยังพยายามเจอบ่อยเหลือเกินในจอภาพยนตร์ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า ด้วยส่วนใหญ่ได้ยินกันปากต่อปาก ประสบการณ์ส่วนตัวก็ไม่ชัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติทางประสาทสัมผัส หรือการหลอกตัวเองก็ได้ ยิ่งหนังผีทำได้วิจิตร พิศดารออกมามากเท่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                 แปลและตัดต่อบางส่วนจากบทความ Gustav Mahler : The Austrian composer เขียนโดยเดรีก วี คุก จาก  www.britannica.com
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ทศวรรษที่ 80 ของฝรั่งคือปี 1980-1989  หรือว่าช่วง พ.ศ. 2523  ถึง พ.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถึงแม้เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) จะได้ชื่อว่าเป็น คีตกวีที่แสนเก่งกาจคนหนึ่งในยุคคลาสสิกและโรแมนติก แต่ศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาไม่สู้จะถนัดนักคือการเขียนอุปรากร เหมือนกับ โมซาร์ท คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ หรือ โจอากีโน รอสซีนี  ดังนั้นช่วงชีวิต 50 กว่าปีของเบโธเฟนจึงสามารถสร้างอุปรากรออกมาไ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ตามความจริง คำว่า Godfather เป็นคำที่ดีมาก หมายถึงพ่อทูนหัว ของศาสนาคริสต์ที่หมายถึงใครสักคนหนึ่งยอมรับเป็นพ่อทูนหัวของเด็กซึ่งเป็นลูกของคนอื่นในพิธีศีลจุ่มหรือ Baptism เขาก็จะเป็นผู้ประกันว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการศึกษาทางศาสนาและถ้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายก็ต้องรับอุปการะ นอกจากนี้ยังหมายถึงฝ่ายห
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 visionary ,under the shadow Prayut tries to be the most visionary politician,but he is merely under the shadow of Thacky.&