Skip to main content

ผม เขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท และ  ‘หนูจิ๊บ’ วรางคณาง อุ๊ยนอก ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม

- See more at: http://blogazine.in.th/blogs/noomrednon/post/4291#sthash.ucNJIniH.dpuf

ผม เขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท และ  ‘หนูจิ๊บ’ วรางคณาง อุ๊ยนอก ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม

- See more at: http://blogazine.in.th/blogs/noomrednon/post/4291#sthash.ucNJIniH.dpuf

ผม เขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท และ  ‘หนูจิ๊บ’ วรางคณาง อุ๊ยนอก ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม

- See more at: http://blogazine.in.th/blogs/noomrednon/post/4291#sthash.ucNJIniH.dpuf

ผม เขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท และ  ‘หนูจิ๊บ’ วรางคณาง อุ๊ยนอก ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม

- See more at: http://blogazine.in.th/blogs/noomrednon/post/4291#sthash.ucNJIniH.dpuf

ผม เขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท และ  ‘หนูจิ๊บ’ วรางคณาง อุ๊ยนอก ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม

- See more at: http://blogazine.in.th/blogs/noomrednon/post/4291#sthash.ucNJIniH.dpuf

ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทความอีกชิ้น ที่ผมได้เคยเขียน และได้รับการเผยแพร่ในประชาไท ไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “เหตุเกิดที่ชั้นสี่” เพื่อเติมเต็มให้เรื่องเด่นชัดขึ้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ บุคคลในเรื่องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเท่านั้น

ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: คุณปลา ประชาไท และ 
‘หนูจิ๊บ’ วรางคณาง อุ๊ยนอก ที่พิมพ์บทความนี้ จากลายมือต้นฉบับของผม


ตอนที่ 5: พี่กับน้อง...โคจรมาพบกันอีกครั้ง

ป้อมและแฟนสาว ย้ายมาอยู่ที่บ้านของป๋องอีกครั้ง โดยป๋องให้ป้อมทำงานด้านบัญชี งานธุรการทุกอย่าง และคอยเก็บเงิน ส่วนป๋องกับเบิร์ด ทำหน้าที่ผลิตสินค้าและออกไปขาย  ทุกคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบกับกิจกรรมนี้ แล้วกิจการของป๋องก็ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เคยตั้งใจไว้ สินค้าทุกชิ้นขายดี ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพราะมีคนมาช่วยขายเพิ่มอีก 1 คน หนี้สิน ค่าผ่อนรถ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ป๋องจัดการได้หมดอย่างรวดเร็ว ป๋องเห็นว่า เวลานั้น พี่ชายไม่มีรถ เวลาไปไหนมาไหนไม่สะดวก จึงจัดการออกค่าใช้จ่ายให้ ป้อมเองก็ต้องการเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงดีใจมาก โดยขอเพียงป๋องออกเงินดาวน์ให้ ที่เหลือเขาจะผ่อนเอง ป๋องตกลงในทันที เพราะแม้จะเป็นรถของพี่ชาย แต่ก็เหมือนกิจการของเขามีรถสำรองไว้ใช้เพิ่มอีก 1 คัน ไม่มีอะไรหยุดความสำเร็จของป๋องได้อีกแล้ว

 

ตอนที่ 6: รถข้าใครอย่าแตะ

ป้อมมีความสุขกับรถใหม่มาก วันหยุดแทบทุกสัปดาห์ เขาจะพาแฟนเขาและพ่อตามแม่ยายไปเที่ยวไกลๆ ทะเล ภูเขา น้ำตก เมื่อมีงานร้องเพลงแทบทุกครั้ง เขาจะขับรถไปด้วยเสมอ เรียกได้ว่าไม่ยอมห่างรถคู่ใจเลย แล้วไม่ค่อยยอมให้ใครแตะด้วย แม้แต่ป๋องเองที่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ป้อมได้รถคันนี้มาก็ตาม ซึ่งป๋องเองก็ไม่ค่อยไปวุ่นวายกับรถของพี่ชายเลย เพราะรู้นิสัยของป้อมดี

หลังเลิกงานในแต่ละวัน ป้อม ป๋องและเบิร์ด ซึ่งเป็นหุ้นส่วนมักจะตั้งวงสังสรรค์ในบ้าน บางครั้งก็มีแวบออกไปนอกบ้านบ้างตามประสาหนุ่มๆ จึงมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาติดพันพวกเขาบ้าง แต่พวกหนุ่มๆ ไม่เคยทำให้ครอบครัวกระทบกระเทือน เพราะต่างรู้ดีว่ามีครอบครัวกันอยู่แล้ว เมื่อเที่ยวเสร็จ ทุกอย่างก็จบ จะสนุกสนานกันยังไง พวกเขาก็จะรู้กันภายในกลุ่มเท่านั้น

แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ป้อมมีงานร้องเพลงที่ต่างจังหวัด ซึ่งต้องไปหลายวัน และครั้งนี้เขาไม่นำรถไปด้วย ในช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์พอดี จึงมีการสั่งสินค้าเข้ามาเยอะ ทำให้ในแต่ละวันส่งของแทบไม่ทัน เพราะรถส่งของที่ใช้งานหลักมีอยู่คันเดียว ป๋องเลยตัดสินใจนำรถของป้อมมาใช้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่ได้บอกป้อม เพราะคิดไปว่าป้อมคงไม่ว่าอะไร และใช้เพียงไม่กี่เที่ยวด้วย ปรากฏว่าป้อมโทรกลับมาเช็คที่บ้านเพราะหวงและห่วงรถมาก  จึงได้ทราบเรื่องจากแม่แฟนของป้อมว่า ป๋องนำรถไปใช้ส่งของโดยไม่บอก สร้างความไม่พอใจให้กับป้องเป็นอย่างมาก แต่ป๋องไม่เคยรู้เลยว่าป้องไม่พอใจที่นำรถไปใช้

เย็นวันนั้น หลังจากส่งของให้ลูกค้าเสร็จ ป๋องกับเบิร์ดมานั่งจิบเบียร์พักผ่อนกันเหมือนเคย พอนิดแฟนป๋องเดินทางกลับมาจากทำงานก็มีปากเสียงกับป๋องอย่างรุนแรง หาว่าป๋องนอกใจเธอและมีผู้หญิงคนอื่นที่โน่นที่นี่ ชื่ออะไร นิดบอกถูกหมด เมื่อถามว่ารู้มากจากไหนก็ไม่ยอมบอก นิดร้องไห้เสียใจจนป๋องต้องปรับความเข้าใจกันอยู่นาน กว่าจะเข้าใจ เรื่องนี้ทำให้ในวงเหล้าในวันต่อมา ป๋องต่อว่าเพื่อนๆ ร่วมวงทำกันอย่างนี้ได้อย่างไร ป๋องโกรธมาก ถึงขั้นขู่ว่าจะตัดเพื่อน เลิกคบกันไปเลย เพื่อนคนหนึ่งจึงสารภาพว่า ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ที่มีคนโทรบอกแฟนของป๋องเรื่องนี้ และคนที่โทรบอกคือป้อม พี่ชายของป๋องนั่นเอง สาเหตุก็มาจากเรื่องรถนั่นแหละ ป๋องเลยโกรธมาก นึกไม่ถึงว่าป้อมจะกล้าทำได้ขนาดนี้  แต่ป๋องเห็นแก่ธุรกิจที่กำลังเจริญก้าวหน้า ไม่อยากให้มีปัญหา ป๋องจึงยอมนับหนึ่งถึงสิบ อดทนไม่เอาเรื่อง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ ป้อมเองก็รู้ว่าป๋องรู้เรื่องนี้แล้ว เพราะเพื่อนๆในวงเหล้าก็ไปต่อว่าป้อมด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์นี้นับเป็นรอยร้าวครั้งแรกระหว่างพี่น้องคู่นี้ ที่ทำให้ทั้งสองไม่ยอมพูดอะไรกัน และป๋องก็ไม่เคยไปแตะรถของป้อมอีกเลย

 

ตอนที่ 7: ควายของลูก

“แม่เลี้ยงไม่ไหวหรอกลูกเอ๊ย”  หญิงชราพูดกับลูกชายที่กำลังจูงควายลงจากรถคันงาม “นะ แม่นะ ฝากเลี้ยงหน่อย แม่ดูซิ มันสวยมากเลย พันธุ์นี้โตไวเลี้ยงง่าย แม่ไม่ต้องทำอะไรเลย เลี้ยงไม่กี่เดือนก็ขายได้แล้ว ผมฝากไว้ไม่นานหรอกนะแม่” และแล้วป้อมก็อ้อนแม่สำเร็จ แม่จำใจรับสมาชิกใหม่ 5 ตัว ที่เป็นควายตัวน้อยๆรุ่นๆมาเลี้ยงไว้ แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ขนมาแล้วจะให้ทำอย่างไร

สองอาทิตย์ก่อนที่จะถึงวันนั้น แฟนของป้อมได้ร้องขอให้เขาช่วยเหลือเรื่องคดีกับพ่อแม่ของเธอ ที่ต้องหนีคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ป้อมไปที่บ้านแฟน เพื่อสอบถามเรื่องราวต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่พบใครอยู่บ้านเลย เหลือแต่ลูกควาย 5 ตัวที่ไม่มีคนดูแล ผูกอยู่ท้ายบ้านด้วยอาการหิวโหย เขาจึงตัดสินใจนำควายทั้ง 5 ตัวใส่รถ และขนไปที่บ้านแม่ซึ่งห่างออกไปไม่กี่สิบกิโลเมตร โดยมองเห็นโอกาสจากรายได้ก้อนโตของควายทั้งหมดนี้ คิดยังไงก็กำไรเห็นๆ แม่ของเขาเองก็อยู่บ้านเฉยๆ น่าจะเลี้ยงให้ได้ มันจะกินอะไรมากมาย บ้านแม่ก็มีหญ้าเยอะ เลี้ยงไม่กี่เดือนก็ขายได้แล้ว

เมื่อฝากควายให้แม่เสร็จแล้ว ป้อมก็บึ่งรถกลับกรุงเทพทันที ปล่อยให้แม่กับพี่สาวมึนงงอยู่กับควายหลายวัน โดยไม่ได้ฝากค่าใช้จ่ายอะไรไว้ให้เลย ภาระการเลี้ยงควายตกเป็นของแม่วัยชราอายุ 70 ปี เพราะพี่สาวต้องไปทำงานที่อบต.ทุกวัน ทุกเช้าแม่จะต้องเข็นรถออกไปหาหญ้า ตัดหญ้ามาให้ควายกิน เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแผล ใบหญ้าจากการถูกกิ่งไม้บาด แม่ออกไปตัดหญ้าทุกวัน จนกระทั่งล้มป่วย พี่สาวพยายามเกลี้ยกล่อมให้ป้อมขายควาย แต่ป้อมก็พยายามยื้อเวลา เพราะคิดว่าถ้ารีบขายก็จะไม่ได้ราคา แม่กับพี่สาวจึงต้องอดทนเรื่อยมา จนกระทั่งแม่บ่นว่าไม่ไหวแล้วพี่สาวจึงตัดสินใจขายควายในทันทีโดยไม่บอกป้อม เพราะบอกก็คงไม่ได้ขายอีก แม่ก็คงแย่ไปอีก จนกระทั่งมีคนมารับซื้อในราคา 21,000 บาท หลังจากแม่เลี้ยงมาได้เกือบ 1 ปี เงินก้อนนี้พี่สาวหักเอไว้ 5,000 บาท ให้แม่เป็นค่าที่เลี้ยงควาย ที่เหลือก็โทรให้ป้อมมารับเอาไป

ทันทีที่ป้อมรู้ข่าวการขายควาย เขาก็โกรธมาก และไม่พอใจที่ขายได้ราคาน้อยกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ เขาบอกกับแม่ละพี่สาวว่ามันควรจะได้ไม่น้อยกว่าตัวละ 5,000 บาท เพราะเขาตรวจสอบราคาทางอินเตอร์เน็ตอย่างแน่นอนแล้ว เขาต้องได้ 25,000 บาท เป็นอย่างน้อย ไม่งั้นเขาไม่ยอมแน่ๆ พี่สาวพยายามอธิบายเหตุผลต่างๆ เขาก็ไม่ฟัง ยืนยันจะเอาเงินให้ครบให้ได้ เถียงกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดพี่สาวก็ต้องยอม โดยของเงินที่ตั้งใจจะหักให้แม่เป็นค่าเบี้ยเลี้ยง 5,000 คืน แล้วไปหยิบยืมจากเพื่อนบ้านมาอีก 4,000 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 บาท คืนให้ป้อม เขาจึงพอใจและกลับกรุงเทพไปในทันที

หลังเกิดเรื่องควายแล้ว ทุกคนในครอบครัวต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ป้อมเปลี่ยนไปมาก เป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น เอาเปรียบได้แม้กระทั่งแม่ของตัวเอง ป๋องเองก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่เพิ่มความทุกข์เข้าไปในจิตใจ ความสัมพันธ์ของเขากับพี่ชาย นับวันจะถอยห่างออกไปทุกที

 

ตอนที่ 8: หมาของเรา

ป๋องกับเบิร์ดนั่งจิบเบียร์อยู่ที่ลานจอดรถอย่างเช่นทุกวัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาในบ้าน ป้อมเดินถือกล่องเข้าไปหาแฟนของเขาที่กำลังกินข้าวอยู่ “เธอไปเอามาจากไหนเนี่ย โอย น่ารักมากเลย หมาฝรั่งหรือเปล่า”

ป้อมตอบแฟนไปว่า “น่าจะใช่นะ หน้าย่นขนฟูแบบนี้ น่าจะมีเชื้อฝรั่งบ้างแหละ นี่ผมของซื้อมันมาจากไซต์งานก่อสร้าง ถัดจากบ้านเราไปสามซอย บังเอิญผมผ่านไปแถวนั้น พวกคนงานก่อสร้างชาวพม่า เหมือนกำลังจะจับมันกิน ผมสงสารเลยของซื้อชีวิตมันมาด้วยเบียร์หนึ่งลัง ได้ทำบุญด้วยนะ” ป๋องแอบได้ยินเขาพูดคุยกัน แต่มองดูอยู่ห่างๆ ก็น่ารักดีนะ ขนสีน้ำตาลปุกปุย กำลังซนเลย ป้อมตั้งชื่อหมาตัวนี้ว่า “เจ้าตาล”

เจ้าตาลเป็นหมาน่ารักจริงๆ ฉลาดแสนรู้ คนในบ้านรักทุกคน ป๋องเองก็แอบให้ของกินเจ้าตาลอยู่บ่อยๆ แต่คนที่เลี้ยงจริงคือป้อมกับแฟน ช่วงแรกๆ ป้อมอุ้มเจ้าตาลขึ้นไปนอนในห้องด้วยกันทุกคืน เนื้อตัวสะอาด เพราะอาบน้ำบ่อย ใครเห็นก็ต้องอิจฉาเจ้าตาลเพราะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี

แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเจ้าตาลเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเป็นสาว รอยย่นที่หน้าก็หายไป ขนที่เคยยาวปุกปุยก็เริ่มสั้นลง ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กๆ ความรักที่ป้อมมีให้เจ้าตาลก็มีน้อยลง จนแทบไม่สนใจเลย เหมือนจะผิดหวัง เพราะอยากได้หมาฝรั่ง แต่กลับได้หมาไทย มีความพยายามหาหมาตัวใหม่มาแทน เพราะกำลังเห่อเลี้ยงหมา สุดท้ายเขาก็ได้หมาฝรั่งจริงๆ มา 1 ตัว สีขาว ซื้อมาจากสวนจตุจักร ป้อมตั้งชื่อมันว่า “เจ้าฝ้าย”

มีอยู่วันหนึ่ง ป๋องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกแล้วบังเอิญไปเห็นเจ้าตาลนอนอยู่ใต้รถ มียุงกัดเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด เห็นแล้วสงสารจึงอุ้มเข้ามานอนในบ้าน แล้วเปิดพัดลมให้ รุ่งเช้าป๋องก็บ่นให้แฟนป้อมฟังว่า ทำไมเอาเจ้าฝ้ายขึ้นไปนอนข้างบน แต่ไม่เอาเจ้าตาลขึ้นไปด้วย ป้อมได้ยินจึงตอบว่า เขาไม่เลี้ยงแล้ว ใครจะเอาไปเลี้ยงก็ตามใจ ป๋องจึงบอกว่า เออ งั้นขอเลี้ยงเองละกัน หลังจากนั้นเจ้าตาลก็มีเจ้าของใหม่อย่างเป็นทางการ คือป๋อง แถมยังได้ชื่อใหม่ด้วย เพราะป๋องไม่ชอบชื่อเดิม จึงตั้งชื่อเจ้าตาลใหม่ ว่า “เจ้าเชอรี่”

ป้อมกับป๋องจึงมีหมากันคนละตัว ต่างคนต่างเลี้ยง ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ใครจะรู้ว่าอีกไม่นาน จะเกิดปัญหาจากเรื่องหมาๆ นี่แหละระหว่างพี่น้องสองคนนี้ ซึ่งกระทบความสัมพันธ์ในสายเลือดเดียวกัน จนยากจะทำให้กลับมาเหมือนเดิมอีก


ตอนที่ 9: เมื่อไปไม่ไหว ก็ตัวใครตัวมัน
ธุรกิจจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เอาความรู้สึกมาเป็นตัววัด แต่จำเป็นต้องดูที่ตัวเลข ป๋องที่คิดอยู่เสมอว่าธุรกิจของเขากำลังไปได้สวย เพราะขายได้มาก ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ป้อมที่ดูแลบัญชีอยู่ บอกว่าธุรกิจขาดทุน ไม่น่าจะไปรอด ซึ่งขัดแย้งกับความเห็นของป๋องและเบิร์ดที่เป็นหุ้นส่วนอย่างมาก ความสงสัยว่าทำไมขาดทุน จึงพุ่งเป้าไปที่ป้อม เพราะเป็นคนดูแลบัญชีทั้งหมด แต่ป๋องก็ได้แต่สงสัยเท่านั้น แล้วก็พยายามที่จะประคองธุรกิจต่อไปอย่างเต็มที่

มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ป้อมออกไปเสียภาษีที่สรรพภากรเขต นิดเดินมาจูงมือป๋อง ไปยังโต๊ะทำงานป้อม แล้วชี้ให้ดูในสลิปเอทีเอ็มของป้อม ที่ดูเหมือนจะแกล้งวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้เห็น ป๋องเห็นแล้วก็ตกใจ คุยกับนิดว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ป้อมจะมีเงินฝากในบัญชีหลายแสนบาท เขาเริ่มเชื่อเสียแล้วว่าพี่ชายของเขาต้องคิดไม่ซื่อแน่ แต่เขาก็ยังไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เพราะอยากจะจับให้ได้คาหนังคาเขาเสียก่อน
ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป เบิร์ดที่เป็นหุ้นส่วน รับไม่ได้ที่บริษัทขาดทุน เพราะมั่นใจว่ามีผลกำไรแน่ จึงของถอนหุ้นที่เคยลงทุนไว้ออกไป เป็นผลให้กิจการของป๋องขาดสภาพคล่องมากขึ้นในทันที ป๋องจึงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีกครั้ง

ป๋องนั่งเปิดอกคุยกับป้อมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ป้อมไม่เคยต้องลงทุนอะไรในกิจการ แต่ผลประโยชน์รับมาเต็มตลอด ในสภาวะที่ธุรกิจต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดสภาพคล่อง เพราะโดนถอนหุ้นไป จึงอยากขอให้ป้อมช่วยนำเงินมาลงในกิจการบ้าง เพื่อจะได้อยู่ต่อไปได้ ป๋องก็พูดกับป้อมตามตรงเรื่องที่เขาคิดว่าป้อมไม่โปร่งใส แต่ป้อมไม่ยอมรับ และทำเฉยที่จะนำเงินมาช่วยลงทุน แม้ป๋องของยืม ป้อมก็ปฏิเสธมาตลอด  ป๋องจึงพบกับความลำบากมาก ในใจมีแต่คำถามมากมายเกี่ยวกับพี่ชายของเขา และเก็บความอัดอั้นตันใจเอาไว้ แล้วกัดฟันก้มหน้าก้มตาประคองกิจการต่อไปเพียงลำพัง

ป๋องยังคงเดินหน้าทำงานอย่างที่เคยทำต่อไป โดยป้อมและครอบครัวของป้อมก็ยังอยู่ที่เดียวกัน ป้อมยังช่วยงานป๋องเช่นเดิม เพียงแต่ป๋องระมัดระวังเรื่องเงินมากขึ้น  ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับป้อมอยู่พอสมควร

มีอยู่คืนหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนกำลังล้อมวงกินข้าวกันอยู่ ก็เกิดมีโทรศัพท์เข้ามาในมือถือป๋อง เขารับแล้วพูดคุยไม่กี่คำก็วาง แล้วพูดออกมาว่า “พวกก่อกวน โทรมาอีกแล้ว ทำไมหมูนี้พวกก่อกวนโทรมาบ่อยเหลือเกิน สงสัยเป็นพวกคู่แข่งแน่ๆ เลยที่ทำเรื่องพวกนี้” ป๋องบ่นออกมาให้ทุกคนฟังอย่างยอมรับในชะตากรรม และยังบอกอีกว่าจะทำอะไรมันได้ ป้อมจึงแสดงความเห็นออกมาว่า เขามีความรู้ในเรื่องนี้ และบอกว่าจับคนก่อกวนพวกนี้ได้แน่นนอน เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวหน้ามาก ป๋องเองก็เถียงว่า เขารู้ว่าเทคโนโลยีมันสามารถจับได้ เขาเชื่อ แต่นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ตำรวจที่ไหนเขาจะมาทำให้ เสียเวลาเปล่า ป้อมจึงเถียงกลับว่า คดีเล็กๆ แบบนี้ก็ต้องทำ เขารู้กฎหมายดี ยังไงตำรวจก็ต้องทำได้ แล้วก็ยกเหตุผลต่างๆนานา จนป๋องฟังแล้วรำคาญ จึงพูดตัดบทว่า “เอาดิ ถ้าจับได้จริงๆ ก็เอาเลย ทำไปเลย” ป้อมจึงลุกขึ้น แล้วชี้หน้าด่าป๋องว่า “มึงไม่เชื่อกู กูไม่แปลกใจหรอก เพราะมึงมันโง่ ความรู้สู้กูไม่ได้ แล้วยังอวดเก่งอีก” เท่านั้นแหละ ป๋องก็อารมณ์โมโหขึ้นเหมือนกัน จึงคว้าแก้วน้ำบนโต๊ะอาหารและขว้างลงกับพื้น แล้วเดินขึ้นห้องไปด้วยความไม่พอใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น ป้อมและครอบครัวของแฟนเขา รวมถึงเจ้าฝ้าย หมาตัวโปรด ก็ย้ายออกจากบ้านของป๋องไปโดยไม่ทันพูดอะไรเลย

 

ตอนที่ 10: ล้มแล้วสู้ใหม่

ความจริงแล้วที่ป้อมย้ายออกไปกะทันหัน ไม่ได้เกินความคาดหมายของป๋องเลย เพียงแต่รอจังหวะเท่านั้น ป๋องรู้ว่าถ้าเมื่อใดป้อมออกไป เขาจะเอาประสบการณ์การทำธุรกิจที่ทำกับป๋องที่นี่ ไปทำของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะมีความพยายามที่จะดึงคนงานที่เป็นมือผสมสูตรน้ำยาของป๋องไป แม้สุดท้ายคนงานคนนี้จะไม่ได้ไปด้วย  แต่ป้อมก็เอาสูตรน้ำยาที่ป๋องเก็บเอาไว้ไปด้วย ป๋องก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะคิดว่าหัวใจของธุรกิจไม่ใช่สูตรสินค้าที่ดีเลิศแต่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่วิธีการขายด้วย ซึ่งป้อมขายของไม่เป็น ป๋องขายเก่งกว่า แต่ที่ทำให้ป๋องโกรธมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องสูตรน้ำยา  แต่มันคือบัญชีรายชื่อลูกค้าต่างหากที่ป้อมเอาไปด้วย ไม่เหลือข้อมูลอะไรไว้ในคอมพิวเตอร์เลย ป๋องจึงเหมือนต้องเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่  แต่เขาก็ไม่กลัว เพราะเคยผ่านความยากลำบากมาก่อน ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองใหม่ๆ แล้วป่องก็พิสูจน์ตัวเองได้ กิจการของเขาสามารถฟื้นกลับมาได้เหมือนเดิม

แต่เวลานี้ เขาไม่มีหุ้นส่วนแล้ว เขาเป็นเจ้าของคนเดียว ขายเอง เก็บเงินเอง จ่ายเอง ทำเองทุกอย่าง จนสามารถซื้อรถใหม่เพื่อมาใช้งานได้อย่างสบาย เงินทองก็มีเหลือเก็บ เขาฟื้นกลับมายืนได้อีกครั้ง

ด้านป้อม เขาทำสินค้าเหมือนกับป๋องทุกอย่าง กลุ่มลูกค้าก็กลุ่มเดียวกัน แต่ผลกำไรกลับไม่ดีเท่าที่ควรเหมือนอย่างป๋อง เป็นเวลากว่า 2 ปี ที่เขาออกไปทำเอง สุดท้ายก็ไปไม่รอด ธุรกิจเจ๊ง หมดเนื้อหมดตัว จึงคิดจะกลับมาขออยู่กับป๋องอีกครั้ง โดยให้แฟนตัวเองติดต่อผ่านมายังนิด ขอโทษขอโพย ขอโอกาสกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งนิดก็ใจอ่อน พุดเกลี้ยกล่อมจนป๋องใจอ่อนด้วย ยอมให้ครอบครัวของป้อมกลับมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการย้ายกลับมานี้ ป๋องเป็นผู้ออกให้ทั้งหมด ป๋องยอมให้อภัยพี่ชายตัวเอง ที่เคยหักหลัง ทำร้ายเขาจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ป้อมเองกลับไม่เคยสำนึกอะไรเลย ไม่เคยขอโทษหรือกล่าวคำใดๆที่แสดงถึงความเสียใจกับการกระทำของตนเอง ตรงกันข้าม เขากลับอาย และรู้สึกเสียหน้ามาก ที่ต้องบากหน้ามาพึ่งน้องชาย ที่คิดว่ามีความรู้น้อยกว่าด้วย

การตัดสินใจของป๋องที่ยอมให้ป้อมกลับมาในครั้งนี้ นำมาซึ่งปัญหาอีกมากมาย ชนิดที่ป๋องเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ในชีวิตของเขา ชนิดที่จะไม่มีทางลืมจนวันตาย

โปรดติดตามตอนต่อไป

  • หรือเราจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ชุดที่ 2 (ตอนที่ 5 - 10)
- See more at: http://blogazine.in.th/blogs/noomrednon/post/4291#sthash.ucNJIniH.dpuf

โปรดติดตามตอนต่อไป

บล็อกของ หนุ่มเรดนนท์

หนุ่มเรดนนท์
วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช.
หนุ่มเรดนนท์
ช่วงนี้ ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน ได้โพสต์เรื่องราว เกี่ยวกับ "ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์" ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่โดน คสช.
หนุ่มเรดนนท์
หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมี
หนุ่มเรดนนท์
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด
หนุ่มเรดนนท์
 
หนุ่มเรดนนท์
“ถ้าผมรู้ว่าอากงจะจากไปเร็วอย่างนี้ ผมคงจะดูแลอากงให้ดีกว่านี้” ผมยังจำได้ไม่มีวันลืม เพราะคำพูดนี้ ผมได้พูดกับทนายอานนท์ นำภ
หนุ่มเรดนนท์
นับจากที่ผมได้เข้ามอบตัวต่อศาลอาญารัชดา เพื่อต้องการที่จะต่อสู้คดีตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 จนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ 11 และผมก็ได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีตามสิทธิขั้นพื้นฐานรวมแล้วก็ 6 ครั้ง และได้รับการ
หนุ่มเรดนนท์
เป็น เดือนที่ 5 แล้วสำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำแห่งนี้ของผม หลังจากที่ครบ 4 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้นับเป็นสัปดาห์ที่สำคัญที่สุดสัปดาห์หนึ่งของการเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ต้องขังเสื้อแดง เพราะรัฐบาลที่มีพรรคเพ
หนุ่มเรดนนท์
ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทคว