praejaru's picture

<p><strong>ชีวิตนี้สวยงาม</strong></p> <p>คำถามว่า ชีวิตยังจะสวยงามอีกไหม <br /> <br /> คำตอบก็คือ เราก็อาจจะต้องยืนยันว่า เราจะพยายามให้มีชีวิตที่สวยงาม การลุกขึ้นคัดค้าน การลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมของมนุษย์คือการมีชีวิตที่สวยงามของเขา ยิ่งมิได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ทำเพื่อส่วนรวม<br /> นั่นคือการมีชีวิตที่สวยงามยิ่ง</p> <div id=":135"> <div>การมีชีวิตที่สวยงามอาจจะไม่ใช่<wbr></wbr>ชีวิตที่เป็นสุข แต่ชีวิตที่ได้ทุกข์ร่วมกันก็ถื<wbr></wbr>อว่าสวยงามแล้ว</div> </div> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>แพร จารุ</strong></p> <p>นาม &ldquo;แพร จารุ&rdquo; หลายคนคงคุ้นเคยกันดี นักเขียนหญิงที่มุ่งมั่นกับงานเขียนมานานนับ 20 ปี เธอเป็นชาวปักษ์ใต้ แต่มาหลงใหลมนต์เสน่ห์ของเมืองเหนือ และเขียนหนังสือได้ทุกแนว ทั้งข่าว บทความ เรื่องสั้น นวนิยาย วรรณกรรมเยาวชน</p> <p>ยังจำได้ นวนิยาย &ldquo;แผ่นหลังพ่อ&rdquo; ของเธอได้รับรางวัลชมเชย จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ปี 2534 และปีนี้ (2548) เธอมี &ldquo;คนรักและหินหอย&rdquo; รวมเรื่องสั้นล่าสุดออกมาให้หลายคนได้เสพอรรถรสกัน และ &ldquo;ชีวิตนี้สวยงาม&rdquo; ก็เป็นหนึ่งคอลัมน์ที่เธอตั้งใจนำมากำนัลแด่ผู้อ่านประชาไท</p>

บล็อกของ praejaru

ปายที่ซึ่งหนุ่มสาวหอบฝันมาทิ้ง (ตอนจบ)

"ที่ซึ่งหนุ่มสาวหอบฝันมาทิ้ง" ฉันบอกเพื่อน ฟังดูน่าตกใจและดูจะเป็นคนใจร้ายไปสักหน่อย และหากว่าน้อง ๆ หนุ่มสาวที่นี่ได้ยินฉันพูดทำนองนี้ พวกเธออาจเสียกำลังใจ

เพราะการเดินทางครั้งนี้เราพบหนุ่มสาวพวกที่ฉันคิดว่าเป็นพวก"หอบความฝัน"มากมายหลายคนทีเดียว

บันทึกปาย ตอน มะละกอทอดกับกล้วยน้ำว้า

"ปายแบบเมื่อก่อนจะไม่กลับมาอีกแล้ว เรามาค้นหาคุณค่าใหม่กันเถอะ" เพื่อนคงรำคาญที่ฉันพร่ำเพ้อถึงความหลังครั้งก่อน (ฉันเขียนมาถึงตอนนี้เมื่อฉบับที่แล้ว )

 

เราได้เพื่อนใหม่ทันที เธอชื่อเนเน่ เธอบอกว่า เธอเดินทางมาที่นี่ปีละหลาย ๆ ครั้ง และแม้ปายจะเปลี่ยนไปอย่างไรเธอก็ยังชอบปาย เธอมาเพื่อหาที่นั่งอ่านหนังสือสบาย ๆ ช่วง เย็น ๆ ก็ออกเดินเล่นไปตามถนน เดินคุยกับคนโน้นคนนี้เพราะผู้คนส่วนมากเป็นมิตร

บันทึกปาย ตอน อย่าลืมฉัน

  

 

1

 

ปาย เปลี่ยนไปมาก และที่ฉันไม่กล้าไปปายก็เพราะกลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวจะเสียใจกับความเปลี่ยนแปลงก็เลยพยายามจะลืมปายทำเหมือนหนึ่งว่าไม่เคยมี ไม่เคยไป

ไฟยังไหม้ป่าต่อไป

"ป้าไฟไหม้ ไฟไหม้ " หลานสาวส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน

"ไฟไหม้ที่ไหน" ฉันถาม เดี๋ยวนี้อาการตื่นกลัวเรื่องไฟไหม้ป่าหลังบ้านลดลงไปแล้ว หากเป็นเมื่อสองปีก่อน ฉันจะกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นและรีบโทรศัพท์ไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทันที และบางครั้งก็ลงมือดับไฟเองก่อนที่รถดับเพลิงจะมา พร้อมกับบ่นด่าคนที่ทำไฟไหม้ คนที่มาเก็บของกินในสวนร้างแต่ไม่เคยสนใจหน้าแล้งยามที่ไม่ค่อยมีอะไรเก็บกิน และเจ้าของสวนที่ทิ้งสวนตัวเองไว้แล้วไม่มาดูแล  รวมถึงดับเพลิงที่มาช้าไม่ทันใจ

ถุงก้นขาดข้าวสารเคลือบขี้ตีน

"อย่าลืมเอาถุงผ้าไปซื้อของ" ฉันเคยบอกใครต่อใครจนเขาเบื่อหน่ายกันแล้ว

"อย่าเอาถุงพลาสติกเข้าบ้านถ้าไม่จำเป็น"

และทุกครั้งที่ฉันเห็นถุงพลาสติกที่ใส่อาหารแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก็จะรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและรีบเก็บแต่ถุงพลาสติกก็ไม่เคยหมดไปจากบ้านฉัน มันวางอยู่ตรงโน้นตรงนี้เสมอ ๆ

ยี่สิบบาทกับผู้ชายยามวิกาล

ผู้ชายคนหนึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาขยันมาก นั่งทำงานทุกวัน เขามีเมียขี้คร้านกับหมาพุดเดิ้ลตัวเล็ก ๆ ที่ส่งเสียงเห่าแหลมเล็กทั้งวันทั้งคืน

เสียงหมาเห่าดังมาก  แต่เขายังนั่งทำงานอย่างไม่สนใจ  เมียเขานอกจากขี้คร้านแล้วขี้รำคาญด้วย เธอจึงลุกขึ้นไปที่ประตูอย่างหงุดหงิดรำคาญใจเพราะเธอกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างสำราญอยู่ ประตูบ้านยังไม่ปิด บ้านนี้ประตูจะไม่ปิดจนกว่าเจ้าของบ้านจะนอน  ลักษณะพิเศษคือเจ้าของบ้านไม่ชอบปิดประตู เปิดไว้ทั้งวันทั้งคืน

ฟ้าหม่นคนขี้คร้าน


 

หน้าร้อนใคร ๆ ก็ไม่อยากมาเชียงใหม่ อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนที่อยู่เชียงใหม่ที่พอออกจากเมืองได้ก็จะพากันออกจากเมืองไปพักผ่อนที่อื่น

ฉันเป็นคนหนึ่งที่หนีออกจากเมืองเชียงใหม่ในช่วงหน้าร้อนเสมอ ให้เหตุผลกับตัวเองว่า ถือโอกาสกลับใต้ เป็นการกลับบ้านปีละครั้ง

อย่าหวังเลอเลิศในการย้ายมาอยู่ในชนบท

บ้านฉันไม่ได้อยู่ใกล้สถานบันเทิงเลยค่ะ แต่หนวกหูมากเหมือนกัน”

ฉันบอกเพื่อนที่โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องที่บ้านของเธออยู่ใกล้สถานบันเทิง หลังจากที่ ฟังเธอบ่นปรับทุกข์ เรื่องเสียงเพลงหนวกหูจากสถานบันเทิง เธอเล่าว่าย้ายบ้านจากกรุงเทพฯ มาอยู่ต่างจังหวัดได้ไม่นาน ร้านอาหารคาราโอเกะก็มาเปิดข้างบ้าน

ใครอย่าบอกฉันเลยว่าที่ไหนดีกว่ากัน

นี้ไม่ใช่เรื่องสั้นหรือเรื่องแต่งแต่เป็นเรื่องจริง และนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า ไม่ใช่เรื่องตลกแต่ถ้าคุณจะหัวเราะก็มีสิทธิที่จะทำได้ เพราะฉันก็หัวเราะไปแล้ว

 

เรื่องจริงที่จะเล่าให้ฟัง ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ

 

ที่เชียงใหม่ ยามค่ำคืน มีหญิงสาวคนหนึ่งขับรถโฟล์คสีบานเย็น อยู่บนถนนสายหางดงเชียงใหม่ ในขณะขับรถไปนั้น น้ำมันหมด เพราะที่วัดระดับน้ำมันเสีย เธอรีบโทรศัพท์ไปหาน้องสาว บอกเส้นทางที่ตัวเองอยู่ แต่โทรศัพท์แบต หมดก่อนที่จะทันคุยกันรู้เรื่อง

สงสารท่านผู้นำ

"สงสารท่านผู้นำ"

นาน ๆ ฉันถึงจะได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉันจึงหยุดมองเธอคนพูด และเห็นว่าในมือของเธอถือหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ที่หน้าปกมีรูปท่านผู้นำของเธอ

 

"ทำไมถึงสงสาร" ฉันเสี่ยงถาม

"ก็เขาไม่ได้กลับบ้าน"

ฉันพยักหน้ารับคำแบบสงวนท่าที่ ไม่ผลีผลามแสดงความคิดเห็น แต่ก็รู้สึกประทับใจในเหตุผล เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่ไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารทั้งนั้น ฉันเองก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงปีใหม่ คนไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก

Pages

Subscribe to RSS - บล็อกของ praejaru