เยือนถิ่นอีสาน..เหล้าขาวและกรองทิพย์
ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบ
คนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"
เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"
<p><font size="2" color="#ff00ff"><strong>มองแล้วยิ้ม</strong></font></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">การมีตัวเองเพียงลำพัง </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">ไม่ว่าเดินทางเพียงลำพัง อยู่ลำพัง</span><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma"> </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">มักทำให้เรามองสิ่งต่างๆ รอบตัวแล้วครุ่นคิด</span><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma"> </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">มองโน่นมองนี่ มองโน่นมองนี่ </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">มอง... มองแล้วก็ยิ้ม </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">มอง... มองแล้วก็ถอนใจ</span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">เพราะภาพที่ผ่านมาสู่สายตา </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">มีเรื่องราว มีแง่มุม ชวนมอง และชวนคิด </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">ฉันเก็บภาพผ่านเหล่านั้นมาเล่า </span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">ทีแรกตั้งชื่อว่า </span><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">“<span>แต่ละวันมีเรื่องเล่า ทุกๆ คนมีเรื่องราว</span>”</span></font></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">แต่แล้วเปลี่ยนใจตั้งชื่อใหม่ว่า </span><strong><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">“<span>มองแล้วยิ้ม</span>”</span></strong></font></p> <p><font size="2" color="#ff00ff"><strong><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma">เพราะอยากให้คนอ่านยิ้ม</span></strong></font><strong><font size="2" color="#ff00ff"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma"> เมื่ออ่านจบมากกว่า</span></font></strong> </p><p><font size="2" color="#808000"><strong>สร้อยแก้ว คำมาลา<br /></strong><br />บ้านเกิดที่แม่ฮ่องสอน <br />จบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่<br />มีการงานอาชีพคือ เป็นลูกจ้าง <br />เขียนหนังสือ เป็นงานแห่งชีวิต <br />นอนมองใบไม้ ฟังเสียงลม ปั่นจักรยานไล่ตามก้อนเมฆ ฯลฯ เป็นงานอดิเรก <br />ผลของงานที่ผ่านมา เรื่องสั้น “เดียวดาย” ได้รับการประดับช่อการะเกด ปี 2542 งานรวมเล่มพ๊อกเกตบุ๊ค เรื่องสั้น “ยังมีความรักหนึ่ง” “ความอ่อนไหวของชีวิต” “ประตูสายรุ้ง” และบันทึกความเรียง “หอมกลิ่นภูเขา” </font><br /> </p>
ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบ
คนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"
เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"
ช่วงปิดเทอม ดาวใจกับไพจิตรได้เข้ามาที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านเกือบทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอมารับจ้างสับมัน (มันสำปะหลัง) กับสหกรณ์ปากมูล (สหกรณ์ปากมูลและศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอยู่ติดกัน) บางครั้งดาวใจก็รับจ้างด้วย เพราะเธอโตแล้ว อายุสิบสี่ปีกว่า เธอทำงานแบบนี้ได้สบายมาก ส่วนไพจิตรยังคงเป็นเด็กหญิงซนๆ วิ่งไปวิ่งมา ทำงานตามแต่คำบัญชาการของพ่อแม่
๑.
ผูกพัน เป็นชื่อเพลงเพลงหนึ่ง
ไม่บ่อยนักที่ฉันจะได้ฟังเพลงสักเพลงแล้วมันตรึงเราให้อยู่นิ่งๆ ตั้งอกตั้งใจฟัง
จำได้ว่า วันนั้นฉันนอนเปลที่ผูกเข้ากับเสาอาคารและต้นไม้ข้างศูนย์ฯ มีกิจกรรมค่ายของน้องๆ วัยมัธยมและมหาวิทยาลัยราวสี่สิบคน บรรดาพี่เลี้ยงเป็นคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่แต่ละคนล้วนฝีมือฉกาจฉกรรจ์ โดยเฉพาะ แคน และน้องผู้ชายอีกคนจำชื่อไม่ได้ (มาจากแก่งเสือเต้น) ดำเนินกิจกรรมให้กับเด็กๆ ได้อย่างมีสาระและสนุกสนาน เรียกว่าเอาอยู่ เก่งมากๆ
หน้าบ้าน
ดอกโมกบานก่อนเพื่อน
ดอกมะลิตามมา
ดอกคูนเริ่มผลิไสว
ลั่นทมสี่ต้นที่เคยปลูกเองกับมือก็ผลิดอกให้ชมเร็วทันใจ
ปีที่แล้วนี้เอง, ตอนนั้นเอามาปลูกกับเด็กหญิงไพจิตร
พายุคะนองทำให้กิ่งก้านใหญ่ของลั่นทมหน้าศูนย์ฯ หัก
ฉันแบ่งออกเป็นสี่กิ่ง
ปลูกรอบบ้านดิน
ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้มาอยู่บ้านหลังนี้
ลั่นทมกลิ่นหอม ชอบเด็ดมาดม
ดอกพุก ไม้ยืนต้นก็บานแล้วสีขาว
ดอกยอกขี้หมาส่งกลิ่นหอมจากคืนถึงเช้า
มันเป็นดอกที่ชื่อกับตัวไม่เข้ากันเลย
ยอกขี้หมาสีขาวร่วงหล่นบนพื้นสีขาวเกลื่อนทางเดินดูสวยดี
ยามเช้าตื่นมาเดินเล่น สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้แสนสดชื่น
เย็นวันนี้ ได้เห็นดอกไม้อีกชนิดหนึ่งในบึงน้ำ
ดอกบัวตูมสีชมพู
แดดร้อนดินแล้ง
น้ำในบึงแห้งขอดไปมาก
แต่กอบัวยังแข็งแรงอดทนดี
ดอกบัวหนึ่งดอกจึงผลิช่อตูม
หัวใจดวงน้อยก็เบิกบานตามแม้ยามแล้ง
กล้วยสุกอีกแล้วคาต้น
เด็ดมากินแสนอร่อย
อ้อยดำก็ฉ่ำหวาน
พืชผักพื้นบ้านขึ้นรอบศูนย์ฯ มีให้เก็บกินมากมาย
แม้ม็อบเสื้อสีๆ จะซาลงไปแล้ว (ซาแต่นามภาพ-รูปธรรม แต่ในความรู้สึกนั้นยังคงไหลแรง) แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าคนที่เข้าร่วมแต่ละกลุ่มย่อมมีความคิด มีทัศนคติที่ชัดเจนของตนเอง
อย่างที่ทิ้งท้ายไว้ในตอนที่แล้วว่าฉันจะนำความคิดของ ไม้หนึ่ง ก.กุนที มานำเสนอ เพราะเห็นว่าวิธีคิดของเขาน่าสนใจมาก ซึ่งแม้ปัจจุบันฉันจะยังอยู่ขอบปลายชายแดนอีสาน ไม่มีโอกาสได้เจอหรือพูดคุยกับตัวตนจริงๆ ของเขา และบทสัมภาษณ์ที่คัดลอกมาฝากนี้ก็เคยผ่านหน้านิตยสารมาบางส่วนแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากให้ใครอีกหลายๆ ที่อาจยังไม่ได้ผ่านตากับความเห็นเหล่านี้ได้ลองอ่านเล่นๆ ดูบ้าง
ไม้หนึ่ง ก. กุนที - เป็นใคร?
สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจงานเขียนประเภทกวีนิพนธ์หรืองานวรรณกรรม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะตั้งคำถามนี้ แต่สำหรับแวดวงนักเขียนหรือคนที่สนใจงานวรรณกรรม ย่อมรู้จักเขาดีว่าเขาคือหนึ่งในกวีหัวก้าวหน้าที่มีความสามารถสูงในด้านฉันทลักษณ์จนก้าวพ้นกรอบกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ไปได้อย่างสง่างามและพยายามที่จะให้ฉันทลักษณ์รับใช้ศิลปะ มีชีวิตชีวา มากกว่าเพียงแค่ถ้อยคำไพเราะเพราะพริ้ง
แมนยูฯ คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ศูนย์ฯ คือ ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน
ฉันย้ายจากบ้านเช่าในเมืองโขงเจียมมาอยู่บ้านดินของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน ได้ ๑ เดือนเต็มๆ แล้ว
และนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ภายในบ้านที่มีโทรทัศน์ใส่กล่องกระดาษตั้งอยู่ มันก็มีหน้าที่เป็นพนักพิงยามเขียนหนังสือ (กับโต๊ะญี่ปุ่น) ให้เท่านั้น ฉันขอความร่วมมือจากคนร่วมชายคาบ้านว่าหากอยากดูข่าวสารจากโทรทัศน์ก็ช่วยออกแรงเดินสักร้อยกว่าเมตรไปดูในห้องทำงานของศูนย์ฯ เถอะนะ ซึ่งที่นั่นจะมีน้องชายอ้วนดูอยู่เป็นประจำ (และนอนที่นี่) คนอาศัยชายคาเดียวกันก็นับว่ามีน้ำใจยิ่ง ให้ความร่วมมือกับคนเรื่องมากอย่างฉันโดยดี
ไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงเล้ยยยยย... จริงๆ พับเผื่อยซิ
วันประชุมสมัชชาคนจน ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อน ได้มาประชุมปรึกษาหารือกันที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน เจ้าแมวตัวนี้นอนซุกอยู่ในรองเท้าเจ้าอ้วน - เด็กอ้วนแห่งรายการวิทยุชุมชน เด็กๆ แถวนี้บอกว่าพี่น้องมันตายไปหมดแล้ว หมาฟัดเรียบ
ฉันได้แต่ฟังเขาพูด ไม่ได้ขึ้นไปฟังเขาประชุมด้วย เลยไม่รับรู้ต่อการมีอยู่ของมัน
แต่ว่าพอบ่ายแก่ๆ ก็มีมือดีจับใส่กระเป๋าเสื้อเดินมาให้ที่บ้านดิน
"อยู่ที่นี่ดีกว่านะ ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะถูกหมาฟัดตาย"
เจ้าของเสียงดึงมันออกมา ตัวเล็กๆ อยู่ในอุ้งมือเดียวเท่านั้นของชายหนุ่ม
ฉันมองแล้วทั้งยิ้มทั้งถอนใจ
ร้อนๆ อย่างนี้ ซื้อน้ำแข็งกินทีไร ก็อดคิดถึงตู้เย็นไม่ได้ทุกที ถ้ามีตู้เย็นฉันคงจะซื้อน้ำแข็งกินไม่เปลืองเท่านี้ เพราะกินเท่าที่ต้องการ เหลือก็ใส่ตู้เย็น หรือบางทีก็ทำน้ำแข็งกินเองก็ได้ ส่วนของสดหรืออาหารที่กินเหลือก็แช่ตู้เย็นไว้ได้ หิวเมื่อไหร่ก็นำมากินได้อีก ไม่เปลือง
อืมม์! คิดทีไรก็อยากกลับไปเอาตู้เย็นที่กรุงเทพฯ ทุกที แต่ก็ติดตรงที่ฉันไม่เคยแน่ใจสักทีว่าจะปักหลักที่ไหน การเคลื่อนย้ายบ่อยจึงไม่เหมาะที่จะมีสัมภาระอะไรมาก นี่ขนาดว่าไม่มาก ฉันก็ยังซื้อโทรทัศน์ (ไว้ดูข่าวสารบ้านเมือง) เครื่องซักผ้า (แก่แล้ว นั่งซักปวดหลัง) หนังสืออีกหนึ่งเข่งและข้าวของจิปาถะอีกสองเข่งกับอีกสองลังเสื้อผ้า จนหลายคนสงสัยว่า นี่เธอมาอยู่ปีเดียวเองหรือ มันมากกว่าคนอยู่สิบปีที่นี่อีกนะ ฉันได้แต่หัวเราะ