Skip to main content
ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย”  บ่าวยิ้ม“สนุกครับ  บ้านปู่สนุกและสบายมากๆ ด้วย” บ่าวตอบ“คิดถึงบ้านกันหรือยังล่ะ” บ่าวกับผมยิ้มให้กันแล้วส่ายหน้าให้ปู่“ยังครับ เรายังอยากอยู่ต่ออยู่เลยครับ” ปู่ยิ้มให้เราทุกคน
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง ที่ลากต่อมาจากอีกจุดหนึ่ง ขณะที่จุดที่เราไม่ได้เลือกอาจเลือนไปจากความทรงจำ ตลอดชีวิตของแต่ละคนมีจุดนับร้อย นับพัน ทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ถูกลากต่อกันมา ถ้าเราพิจารณาการเชื่อมต่อระหว่างจุดเหล่านั้นอย่างละเอียดเราอาจได้พบกับร่องรอยอนาคตของตัวเราเอง อาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวเลือกที่มี การเลือกของเรา และเส้นทางแห่งการเลือกนั้น ทั้งหมดอาจเรียกได้ว่า “ชะตากรรม” และชะตากรรมของคนๆ หนึ่งย่อมมีบทสรุปเมื่อคนๆ นั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ชะตากรรมจึงไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกยกขึ้นพูด เมื่อไม่อาจหาจำเลยให้กับความโชคดีอย่างเหลือร้าย หรือความโชคร้ายอย่างเหลือรับ เมื่อสิ่งที่ไม่คาดหมายเข้ามาสู่ชีวิต ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป ผู้เชื่อในไสยศาสตร์โชคลางก็โน้มเอียงไปในทางหนึ่ง ผู้ใช้เหตุผลเป็นสรณะก็พิจารณามันอีกอย่างหนึ่ง และผู้เชื่อในเรื่อง “กรรม” ตามการอธิบายแบบพุทธศาสนาก็จะมองอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลมาจากกรรมในอดีต สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต เป็นผลจากกรรมในปัจจุบัน ฉะนั้นหากปัจจุบัน ชีวิตยังไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าน่าพึงพอใจ เราก็ไม่อาจแก้ไขให้ปัจจุบันดีขึ้นได้ เพราะมันเป็นผลมาจากอดีตของเรา แต่เราสามารถทำให้อนาคตเราดีได้ หากเราทำปัจจุบันให้ดีขึ้น “...พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ในโลกนี้มีบุคคลอยู่ 4 จำพวก พวกที่หนึ่งมามืดไปมืด พวกที่สอง มาสว่างไปมืด พวกที่สามมามืดไปสว่าง และพวกที่สี่ มาสว่างไปสว่าง...” (ธรรมบรรยายหลักสูตร 10 วันของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า : มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์) ความมืด หมายถึง ความทุกข์ของชีวิต ความสว่าง หมายถึงปัญญา หรือผลแห่งกรรมดี พวกที่หนึ่ง มามืดไปมืด คือ ชีวิตปัจจุบันมีแต่ความทุกข์ ร้อนใจ ไม่มีความสงบ ทั้งในจิตใจก็มีแต่ความโกรธ ความเกลียด มุ่งร้าย ดุจเดียวกับการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ไว้ ก็ย่อมได้รับผลแห่งความทุกข์ในอนาคตต่อไปอีก พวกที่สอง มาสว่างไปมืด คือปัจจุบันมีทรัพย์ มีปัญญา มีความเจริญ แต่จิตใจขาดปัญญา คิดว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น จึงสร้างแต่อัตตา ดูแคลนผู้อื่น ขาดความเมตตา สะสมแต่ความเห็นแก่ตัวเมื่อกรรมดีที่กำลังให้ผลอยู่สิ้นสุดลง เมล็ดพันธุ์แห่งความมืดที่เขาหว่านไว้ก็จะทำให้อนาคตของเขามืดมน พวกที่สาม มามืดไปสว่าง พวกนี้ปัจจุบันมีแต่ความทุกข์ เหมือนพวกที่หนึ่ง แต่กำลังสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นแก่ตน กำลังสร้างความเข้าใจในเหตุผลแห่งกรรมให้เกิดขึ้น แม้ปัจจุบันกำลังประสบความทุกข์ แต่ก็กำลังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาไว้ ซึ่งเมื่อใดที่ผลแห่งกรรมเก่าหมดไป เมล็ดแห่งกรรมดีที่หว่านไว้ก็จะเริ่มให้ผล พวกที่สี่ มาสว่างไปสว่าง พวกนี้ปัจจุบันมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข มีทรัพย์ มีปัญญา ขณะที่จิตใจก็มีความสว่างและมุ่งหวังจะสร้างแต่ความดี มีความรักความเมตตา เปรียบเสมือนได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งแสงสว่างไว้ อนาคตเขาก็ย่อมจะได้รับผลแห่งความสว่างเช่นกัน อดีตคือสิ่งที่ได้เลือกไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ปัจจุบันเราจึงต้องรับผลแห่งการเลือกจากอดีตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ หากเราทำปัจจุบันของเราให้ดี หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งแสงสว่างไว้ อนาคตเราก็ย่อมได้รับผลจากกรรมดี ไม่ว่าจะพบกับสิ่งมืดมนเลวร้ายสักเพียงใด หากระลึกได้ว่านี่คือผลแห่งการกระทำที่เราเคยทำมาและมองมันอย่างเข้าใจ พร้อมๆ ไปกับพยายามทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด เมื่อนั้น ชะตากรรมย่อมไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจาก การเลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างมีสติรู้ และมุ่งไปสู่ตัวตนสูงสุดที่เราปรารถนา การกล่าวโทษความทุกข์หรือความโหดร้ายของชีวิตที่เรากำลังได้รับในปัจจุบัน ไม่อาจทำให้สิ่งใดดีขึ้นมาได้เลย หากต้องการให้อนาคตเราดีขึ้น มีแต่ต้องลงมือเปลี่ยนแปลง “ด้วยตนเอง” เท่านั้น
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน หรือนั่งเหลือบแลปริศนาในพรายฟองนมที่ดูเย้ายวนในบางจังหวะเวลากับคาปูชิโน่สักแก้ว...กาแฟต่างคนชงต่างที่ต่างร้านก็ต่างบอกเล่าเรื่องราวไปคนละเรื่อง มิไยว่าอารมณ์ของคนสั่งคนดื่มตอนนั้นเป็นเช่นไร ก็ยิ่งขยายความออกไปได้แตกต่างกัน..
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา....เมื่อวางแผนการเดินทางเสร็จสิ้น และพยายามที่จะเคลียร์งานทุกอย่างให้แล้วเสร็จก่อนช่วงส่งท้ายปีเก่า ฉันเดินทางออกจากบ้านที่เชียงรายในวันที่ 24 ธันวาคม 2550 เพื่อมาจัดการงานต่างๆ เอกสารที่คั่งค้างจากการทำวิจัย ช่วงการเดินทางโดยรถทัวร์จากเชียงรายมายังกรุงเทพฯ ฉันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะกลัวหลายเรื่อง กลัวรถจะชน กลัวจะมี “มาร” มาขวางไม่ให้ได้ไปปฏิบัติคำว่า “มาร” ในที่นี้ ฉันไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เท่าที่เคยสัมผัสคือ น่าจะมาเป็นลักษณะของอุปสรรค กีดกันไม่ให้เราไปปฏิบัติ อย่างเช่นบางคนพอจะไปปฏิบัติธรรม ก็ป่วยไม่สบาย หรือ ประสบอุบัติเหตุ หรือว่าคนรอบข้างเราเช่น ญาติพี่น้อง ป่วยไม่สบาย ทำให้เราเดินทางต่อไปไม่ได้ เมื่อก่อนตอนที่ฉันจะไปปฏิบัติที่ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก ก็เจอแบบอาการป่วยไม่สบายตามร่างกาย ซึ่งก็กลัวว่าการจะไปปฏิบัติครั้งนี้ที่วัดป่าสุคะโตจะเป็นแบบนั้นอีกทีนี้พออยู่บนรถทัวร์ระหว่างทางไปกรุงเทพฯ ในคืนนั้น รถทัวร์ขับเร็วมากๆ และก็เกือบชนกันสองหน แต่ตอนนั้นก็ตั้งสติตลอดว่า ถ้าจะตายก็ขอให้ตายไปเลย......สุดท้าย มาถึงกรุงเทพฯ ด้วยความปลอดภัย และใช้เวลาอยู่ในกรุงเทพฯ สอง วัน ก่อนจะเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิในวันที่ 27 ธันวาคม 2550 ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ ได้จัดการเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ซึ่งเพื่อนที่ทำงานร่วมกันบอกว่าต้องหาเอกสารเพิ่มอีกหลายชุด เกี่ยวกับทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคงต้องใช้เวลาหานานพอสมควร ดีไม่ดีอาจจะไม่ได้ไปวัดป่าสุคะโต ซึ่งเมื่อฟังข้อเสนอแนะเสร็จ ฉันก็ได้พยายามที่จะหาเอกสารงานต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และจัดการเตรียมตัวก่อนที่จะเดินทางไปยังวัดป่าสุคะโต เพื่อไม่ให้ขัดขวางต่อการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ในที่สุด ฉันก็สามารถจัดการงานได้ทันท่วงที และพร้อมที่จะเดินทางไปยังจังหวัดชัยภูมิ การเดินทางไปวัดป่าสุคะโตที่จังหวัดชัยภูมิ เป็นการเดินทางไปยังที่หมายนี้ครั้งแรก ....ทว่าฉันยังคงระวังตัวและตื่นเต้นอยู่ทุกขณะระหว่างการเดินทาง ฉันคิดถึงหลายๆ เรื่อง ทั้งที่เกิดขึ้นมาในอดีต และคาดการณ์ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ – ชัยภูมิ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ค่าโดยสารรถทัวร์ก็ไม่ถึง 300 บาท (ถูกกว่าค่าเหล้าและกับแกล้มมื้อหนึ่งด้วยซ้ำ) ฉันนั่งคิดไปคิดมา สลับกับการโทรศัพท์หาเพื่อนๆ พี่น้องหลายๆ คน เพื่อทักทายก่อนสิ้นปี บางคนที่เคยมีเรื่องราว “บางอย่าง” ต่อกันในอดีต ก็ขอ “อโหสิกรรม” ต่อกัน - การขอหรือให้อโหสิกรรมเพื่อไม่ให้จองเวร จองกรรม ผูกกรรม สร้างวิบากใหม่ต่อไปให้เกิดขึ้นแก่กันฉันเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนบ่าย 2 และถึงจังหวัดชัยภูมิประมาณ 1 ทุ่มคุณลุงที่เป็นเพื่อนแม่ มารอรับที่บริษัทรถทัวร์ประจำทางที่จังหวัดชัยภูมิ – ลุงทา คือคำเรียกชื่อลุงลุงทา พาฉันไปทักทายกับญาติฝ่ายผู้ใหญ่ที่อยู่ในจังหวัดชัยภูมิ บางท่านเป็นผู้อำนวยการเขตการศึกษา เป็นผู้บริหารขนส่งจังหวัดชัยภูมิ ผู้ใหญ่หลายท่านนั่งสรวลเสเฮฮาเพื่อฉลองการเกษียณอายุราชการของลุงคนหนึ่งป้าคนหนึ่งตักปลาเผาและให้ลุงทาชงเหล้ามาให้ทาน“อ่อ...เอ่อ...ขอบคุณครับ ผมทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ครับและไม่กินเหล้าด้วย” ฉันตอบด้วยความเกรงใจป้าท่านหนึ่งถามว่าทำไม?ฉันจึงได้โอกาสบอกว่า ฉันกินอาหารมังสวิรัติ และถือศีล 5 จึงไม่สามารถทานเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าได้ และได้ขอบคุณในความปรารถนาดีของผู้ใหญ่ทุกๆ ท่าน  จริงๆ ฉันอยากจะตอบด้วยเหตุผลที่มากกว่านี้ แต่เวลาไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก เพราะเธอและหลายคนอาจงง ว่าทำไมฉันต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องถือศีล กินมังสวิรัติ เหตุผลมีอยู่ สามประการหนึ่ง ในการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางมรรคมีองค์ 8 นั้น มีหมวดใหญ่ๆ อยู่ สามอย่างคือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา นั่นคือ หากเราจะปฏิบัติสมาธิ-ปัญญัติเราจักดำรงในศีลเพื่อให้ตัวเองเป็นปกติ ไม่ละเมิดศีล แล้วศีลที่บริสุทธิ์ก็จะส่งผลให้เราทำสมาธิได้ดี และการมีสมาธิได้ดีก็จะทำให้เราเจริญสติ เจริญปัญญาได้ดี ทั้งนี้ ปัญญาของเราก็จะเกื้อกูลการรักษาศีลของเราไปไหนตัวสอง ศีลช่วยกำกับไม่ให้เราทำอะไรที่ไม่ดี เช่น การพูดปด พูดส่อเสียด นินทา ฆ่าสัตว์ ลักขโมยทรัพย์ เพราะการกระทำเหล่านี้จะทำให้เราพบกับผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา ดังนั้นไม่ว่าจะมองทางโลกหรือทางธรรม การรักษาตนในศีลก็ช่วยให้เราไม่พบเจอกับอันตรายใดๆ ที่เข้ามาในชีวิต จากการที่เราทำอะไรผิดๆ สาม พอปฏิบัติวิปัสสนานานเข้า ก็พบว่าตัวเองโกรธ ที่โกรธเพราะอะไรไม่รู้ ลองดูตัวเองมาหลายวัน ก็พบว่าเพราะทานเนื้อสัตว์ จึงลองตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ปรากฏว่าอารมณ์โกรธไม่ค่อยมี เพิ่มเมตตาธรรมในตัวเองเพิ่มมากขึ้น และพอกินไปมากๆ ก็ชินและทำอย่างเป็นปกติติดต่อกันมาหลายเดือน จนพบว่าการทานอาหารมังสวิรัติแม้จะไม่ได้ทานเจ คือ ฉันยังคงกินไข่และนมและผักกลิ่นฉุนต่างๆ อยู่ ก็ช่วยลดการเบียดเบียนสัตว์ ไม่ก่อกรรม สร้างวิบากใหม่ๆ ให้เกิดกับสรรพสัตว์อีกด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกบอกเล่าให้กับเพื่อนๆ ที่สนิทกันฟังอยู่บ่อยๆ จนหลายคนที่รู้จักและเคยกินเคยเที่ยวด้วยกันเมื่อก่อนถึงกับยอมรับกับฉันว่า “รู้สึกไม่คุ้นเคยกับแกเลยนะ” เพราะเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด ทีละน้อย ช่วงหลังๆ เวลาใครเขาจะไปเที่ยวดื่มเหล้าที่ไหน ก็จึงไม่ค่อยจะชวนฉันไป หรืออย่างมากถ้าไป ฉันก็ไปเที่ยว แต่ดื่มเฉพาะน้ำเปล่าหรือน้ำอัดลมเท่านั้นการตั้งวงกินอาหาร ทานเนื้อสัตว์อย่างเอร็ดอร่อยก็เช่นกัน หากฉันได้พูดแบบว่าไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ต่อหน้าพวกเขา มีหวังโดนตำหนิว่าไม่รู้จักกาลเทศะแน่นอนโชคดีที่การเจอผู้ใหญ่ในวงเหล้าฉลองปลดเกษียณนี้ฉันไม่เผลอปากพูดออกไปทีนี้พอลุงทา ดื่มเหล้าจนหมดแก้วก็ได้พาฉันกลับไปพักค้างคืนที่บ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิ 8 กิโลเมตร และคุยกับฉันเพื่อวางแผนการเดินทางในวันรุ่งขึ้น เพื่อไปยังวัดป่าสุคะโต อย่างที่ฉันได้เล่าให้เธอรับทราบในจดหมายฉบับก่อนนั่นแหละ.....
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก ดูเหมือนจะล่องลอยอยู่ในอากาศในทุกๆ ที่ ที่มีคู่หนุ่มสาวอิงแอบกันแล้ว คนที่รอคอยเดือนนี้ไม่น้อยกว่ากันเลย เห็นจะได้แก่พ่อค้า-แม่ค้า “ดอกไม้” ทุกคนเพราะ “กุหลาบ” ดอกไม้ที่มีตำนานเล่าว่าเกิดจากโลหิตของ Saint Valentine นักบุญผู้ให้กำเนิดวันวาเลนไทน์ คือสัญลักษณ์แห่งความรัก จึงทำให้กุหลาบคือดอกไม้ที่สวยที่สุด แพงที่สุด เป็นที่ต้องการที่สุด รวมทั้งขายดีที่สุดในช่วงเวลานี้ของปี กุหลาบไม่ใช่ไม้พื้นเมืองของไทย แม้จะมีการพบพันธุ์กุหลาบป่าที่ดอยหลวงเชียงดาวซึ่งมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี แต่พันธุ์กุหลาบส่วนใหญ่ในปัจจุบันนำเข้าจากต่างประเทศ มีข้อสันนิษฐานว่า ผู้ที่นำกุหลาบเข้ามาปลูกแรกสุดในไทย น่าจะเป็นพวกมิชชันนารี หรือพวกเจ้านายชั้นสูงในสมัยรัชกาลที่ 5ที่เชียงใหม่ มีกุหลาบชื่อดังอยู่ 2 สายพันธุ์ หนึ่งนั้นคือ “ควีนสิริกิติ์” กุหลาบพระนามในองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ใครมาเที่ยวพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์แล้ว ต้องมาชมให้ได้ กับอีกหนึ่งนั้นคือ “จุฬาลงกรณ์” กุหลาบพันธุ์ที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี สั่งจากอังกฤษเพื่อมาปลูกที่เชียงใหม่ และทรงตั้งชื่อพันธุ์ ตามพระนามของผู้เป็นที่รักยิ่งของท่านจากพื้นที่ปลูกกุหลาบประมาณ 7,000 ไร่ทั่วประเทศ ปัจจุบัน เชียงใหม่มีพื้นที่ปลูกกุหลาบมากถึง 658 ไร่ ในพื้นที่ 67 หมู่บ้านในเกือบทุกอำเภอของเชียงใหม่  ในแต่ละปี ช่วงวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์นี้ จะมีดอกกุหลาบจากเชียงใหม่กระจายออกสู่ตลาดทั่วประเทศวันละกว่าสามแสนดอกสำหรับราคาขายปลีกของกุหลาบในช่วงเวลาแห่งความรักเช่นนี้ มีตั้งแต่ดอกละ 20-30 บาทไปจนถึงดอกละ 200-300 บาท ขึ้นอยู่กับสี ขนาดดอก ความยาวของก้าน และที่มา ซึ่งมีทั้งที่ปลูกในเชียงใหม่ นำเข้าจากฮอลแลนด์ หรือนำเข้าจากจีน และหากนำไปจัดเข้าช่อตามร้านขายและรับจัดช่อดอกไม้หลายแห่ง ก็อาจมีราคาสูงถึง ดอกละ 500-2,000 บาท เลยทีเดียวแม้ว่าในช่วงเดือนแห่งความรัก ราคาของกุหลาบอาจจะสูงกว่าปกติถึง 10 เท่า แต่นั่นก็ใช่ว่า จะใช้ตรรกะของราคากุหลาบไปเทียบกับราคาของความรักได้ กุหลาบราคาแพงใช่จะหมายถึงความรักสูงค่า ขณะเดียวกัน กุหลาบราคาถูก ก็ใช่จะหมายถึงความรักต่ำต้อยด้อยค่ากุหลาบ คือดอกไม้ที่งามและโดดเด่นด้วยตัวของมันเองไม่ว่าจะพันธุ์ไหนหรือเฉดสีใด เฉกเช่น ความรัก ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความรักของใคร ในรูปแบบไหน หรือในขอบเขตใดกลางเดือนกุมภาพันธ์เมืองเชียงใหม่ เต็มไปด้วยดอกไม้ และ อวลกลิ่นความรักใต้แสงแดดอุ่น หรือใต้แสงไฟสลัวยามราตรี ความรักถูกมอบให้กันผ่านสัญลักษณ์ของมันกุหลาบดอกนั้น สวยที่สุด เมื่ออยู่ในมือคนรักของคุณข้อมูลจาก : wikipedia,สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงใหม่,ศูนย์วิจัยกสิกร,นิตยสาร compass** หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ ผมเขียนเก็บไว้นานแล้ว คิดว่าน่าจะเข้ากับบรรยากาศช่วงนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขในวันแห่งความรัก และขอให้ทุกวันเป็นวันแห่งความรักของคุณ
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก  เคยผิดพลาดเหมือนฉันก้าวพลาด  และมีความหวังตั้งใจอยากมีชีวิตที่ดีกว่าในทุก ๆ ทาง  ทั้งรูปร่าง หน้าตา ชีวิตความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอ พฤติกรรมเช่นเดียวกับฉันหากเธอเป็นหญิง เป็นผู้หญิงโบราณ เมื่อสมัยสี่สิบห้าสิบปีที่แล้วหรือกว่านั้น  ในยุคที่สตรีแทบทั้งโลกปราศจากสิทธิเสียง  หากเธอสนใจวรรณคดีปรัชญา และศึกษามันอย่างลึกซึ้ง ฉันย่อมชื่นชมเธอในฐานะมนุษย์-สตรีผู้ทรงปัญญา   หากเธอมีความสามารถถึงขั้นขับเครื่องบิน ประดิษฐกรรมใหม่ที่น่าตื่นใจแห่งยุคสมัย  ฉันย่อมจินตนาการไปว่า เธอเก่งกล้าสามารถยิ่ง   เธอเป็นหญิงก้าวหน้ากว่าเพื่อนสตรีในยุคเดียวกัน   เธอเป็นหญิง เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับฉัน  ทว่ามีชีวิตน่าค้นหาน่าเรียนรู้ยิ่งนัก  แต่ฉันกลับได้รับข้อมูลให้รู้จัก เพียงที่ถูกกำหนดไว้ว่าสมควรรู้จักสถานะ บทบาท หน้าที่ ตำแหน่ง อำนาจ หรือเงินตรา ไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นสิ่งนั้น  หัวโขนที่เราสวมใส่  ภาพลักษณ์ หรือบทบาทที่เราเล่นเป็นของชั่วครู่  ถูกกำหนดไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง   แต่แล้ว ต่อมาภายหลังกลับครอบงำเรา  ทำให้เราเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจัง   เราคิดว่าเราเป็นสิ่งนั้น  เราคือความมั่งคั่ง  คือความรู้  คืออำนาจ  หาใช่มนุษย์ธรรมดาสามัญอันที่จริงเราเองแตกต่างกันโดยกำเนิด  ทว่าเป็นความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์แต่ละคนที่งดงามตามธรรมชาติดุจเดียวกับพืชพรรณส่ำสัตว์  อันหลากหลายรูปลักษณ์เผ่าพันธุ์บนโลกใบเดียว   เราบางคนอาจมีนิสัยคล้ายสุนัข เชื่องเชื่อและจงรักต่อผู้ที่เราถวายใจ  บางคนคล้ายแมว หรือกระต่ายป่า หวาดระแวง ตื่นกลัว  เราแตกต่างกันไป  เป็นดอกไม้  เป็นต้นหญ้า ไม้ผล ไม้ประดับ  หรือไม้ป่า   ในสายตาของพระเจ้า- พระธรรมชาติ  ไม่มีสิ่งไหนดีเลิศ หรือสูงส่งกว่ากัน  ทุกชีวิตเสมอหน้า มีสิทธิเต็มที่ที่จะมีชีวิต หายใจและเริงร่าอยู่บนโลกอย่างเท่าเทียมกันสิ่งที่เรียกว่าจรรยามารยาทสังคม  ถึงที่สุดแล้วกลายเป็นการดัดจริตอย่างหนึ่ง  เราจำต้องปรับหรือดัดจริตกิริยาทั้งหลายทั้งปวง  ทั้งท่วงทำนองการพูด  การเลือกสรรถ้อยคำ  ท่าทีกิริยา ให้เป็นไปตามข้อกำหนด  หากแม้นใครสักคนแสดงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ   พูดจาสบาย ๆ  ยืนสงบ สง่า  มั่นใจ  ไม่ค้อมหลัง  ไม่กุมมือไว้   สุภาพนุ่มนวลแต่พูดไม่มีหางเสียง  เขากลายเป็นคนเถื่อน  ขาดมารยาทมนุษย์จะเรียกร้องความเคารพจากกันไปไย  ในเมื่อเราทุกคนล้วนน่าเคารพอยู่แล้ว เราคือมนุษย์ คือชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ดุจเดียวกับดวงอาทิตย์ พืชและสัตว์  หรือว่าบางที เราอาจเคารพตัวเองไม่มากพอ  ยามมีเงินน้อย  เรารู้สึกยากจนต่ำต้อย   เมื่อปราศจากตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีองค์กรสังกัด  เราขาดความมั่นใจ  เรากลับรู้สึกดี  มองตรงไปข้างหน้า ก้าวเดินอย่างสง่า  หากบอกได้ว่าเราเป็นใคร  เราไปไหนโดยรถยนต์ส่วนตัว มีเงินมากมายในบัญชีธนาคาร  (ถึงไม่มีงานทำ ไม่มีองค์กรสังกัดก็ไม่เป็นไร  เราเป็นคนรวย  มีเงินตราให้สังกัด)  หรือเป็นพนักงานบริษัท  เจ้าหน้าที่ราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ  (เรามีสถาบันสังกัด  ไม่ใช่แค่นายนางบ้าน ๆ  ธรรมดา)  ... ฉันเองบางครั้งก็รู้สึกว่าเคารพตัวเองไม่มากพอ   แล้วเมื่อรู้สึกด้อยก็พลอยไม่เคารพคนอื่น   ไม่เคารพหมา ไม่เคารพเด็ก  หรือคนที่อ่อนแอ  คนที่ดูโง่กว่า  รวมทั้งใครที่คิดต่าง  แล้วยังรู้สึกถูกดูถูก  เมื่อแต่งตัวปอน ๆ  แล้วได้รับการปฏิบัติทางสายตาที่ไม่น่าสบายใจตามที่ทำการต่าง ๆ เช่นสถานีขนส่ง ที่ทำการไปรษณีย์  ที่ว่าการอำเภอ  ธนาคารหรือโรงพยาบาล   ถ้าฉันเคารพตัวเองมากพอ  มั่นใจในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของฉันแล้ว  คงไม่รู้สึกหวั่นไหวผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ได้น่าเคารพยิ่งไปกว่าชาวไร่ธรรมดาคนหนึ่ง  ครูบาอาจารย์ผู้ทรงความรู้  ซึ่งร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาก็ใช่ว่าจะมีความเป็นมนุษย์น้อยไปกว่าคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา  บางทีสิ่งที่เรากำหนดไว้แต่ไรมา  จะเพื่อหวังผลเพียงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในฉากหน้า  แต่เพื่อควบคุมทุกอย่างไว้ในมือในเบื้องลึกก็ตาม  อาจเป็นสิ่งที่เราต้องรื้อฟื้นและทบทวนใหม่   ด้วยว่าวันนี้ มนต์คาถาของมันได้เสื่อมลงไปแล้ว  อำนาจที่กำกับด้วยความรู้ ความสามารถ เงินตรา  หรือว่าประเภทใดก็ตามล้วนสั่นคลอน  อันที่จริงมันสั่นคลอนมาตั้งแต่เริ่มแรก  ด้วยขัดขวางกับธาตุฐานตามธรรมชาติของมนุษย์เด็กไม่เคารพครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่  ประชาชนไม่นับถือพระเจ้า  ผู้ถูกปกครองไม่ยอมรับผู้ปกครอง  สัญญาณเหล่านี้เข้มข้นขึ้นทุกวัน  ในซีกโลกตะวันตก มันกลายเป็นความรุนแรงถึงชีวิต   โลกเก่ากำหนดคุณค่าให้คนโลกใหม่  เป็นคุณค่าที่สั่นคลอนง่อนแง่น  ไม่ทนทานต่อการตรวจสอบ  เมื่อเด็กที่กำลังเติบใหญ่ทั้งหลายไม่อาจยอมรับด้วยใจ  การขบถจึงเกิดขึ้น  ปราศจากความเข้าใจ  และไร้ทิศทาง             ...................................................................................................“เธอ” แม้ฉันไม่มีโอกาสพบ แต่ก็ปรารถนาที่จะรู้จัก เสียดายที่สิ่งต่าง ๆ ซึ่งพวกเขานำเสนอ หรือที่ตัวเธอเผยตามที่คิดว่าตัวเองเป็นนั้นไม่ใช่เนื้อใน  ไม่ใช่เธอเรามารู้จักกันเถอะนะ ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร จะอายุมากน้อยแค่ไหน  หรืออยู่ในชนชั้นใด (ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น มันเปลื้องออกได้) เธอที่เป็นเธอ  ซึ่งร้องไห้ได้ เสียใจเป็น โกรธ ขี้เกียจ อิจฉาริษยา   แล้วจากนั้น เราค่อยมาเรียนรู้กันต่อไปว่า เธอรู้สึกคิดนึกกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร  ผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้าง  เพื่อเราจะได้แลกเปลี่ยน แบ่งปันชีวิตต่อกัน  เราจึงจะเคารพ ซาบซึ้ง    ถูกแล้ว  เราพึงได้รู้จักกันในฐานะเพื่อนมนุษย์...    
แสงพูไช อินทะวีคำ
ข่าวการสั่งห้ามชาวบ้านที่หลวงพระบางทำกิจการให้ชาวต่างประเทศหรือนักท่องเที่ยวเช่าจักรยานและจักรยานยนต์ ได้ส่งผลลบมาสู่การท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์บางฉบับในไทยได้ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากกลัวว่าอาจทำให้ความน่าสนใจ น่าเชื่อถือที่จะมาเยือนหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกลดลงไป การสั่งห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำเช่นนั้น เป็นเพราะอะไร หลายคนเข้าใจว่า จากการหยุดไม่ให้ชาวบ้านทำ แต่มอบให้บริษัทเป็นคนทำ อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้ แล้วกลายเป็นการส่งเสริมนายทุนเพียงฝ่ายเดียว ชื่งไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งบอกผมว่า “การห้ามชาวบ้านทำ เพราะไม่มีประกันความปลอดภัย เมื่อนักท่องเที่ยวไปใช้การบริการ ที่ผ่านมามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหลายครั้ง เพราะนักท่องเที่ยวขี่จักรยานหรือจักรยานยนต์ โดยไม่รู้หรือไม่ได้สนใจการจราจร ไม่สนใจทางขื้น หรือทางล่อง จึงเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขื้นมาก็สร้างความเสียหายทั้งกับนักท่องเที่ยว ข้าวของเสียหาย บ้านเมืองก็ไม่มีระบบระเบียบ และหากนักท่องเที่ยวเกิดตายขื้นมา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้? ใครจะเป็นคนจ่ายค่าหัว? ชาวบ้านธรรมดาจะมีเงินขนาดนั้นไหมล่ะ?”ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าวให้ผมฟังว่า “การให้บริการการเช่าจักรยาน หรือจักรยานยนต์ ไม่เกียวข้องกับเรื่องวัฒนธรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องวัตถุนิยมเท่านั้นเอง หรือถ้าเป็นก็เป็นวัฒนธรรมแบบใหม่แล้ว การจัดการเพื่อความเป็นระเบียบก็ควรจัดการ ในเวลาเดียวกันก็ให้มีหลักประกันให้กับชาวบ้าน เพื่อการดำเนินการที่ถูกต้อง”การมาเที่ยวหลวงพระบางของนักท่องเที่ยว ไม่ได้หมายความว่า นักท่องเที่ยวต้องการเห็นความทันสมัยของเมืองหลวงพระบาง แต่เป็นความต้องการอยากเห็นสีสันทางวัฒนธรรมของคนหลวงพระบาง  ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งกล่าวว่า “ชาวต่างประเทศเข้ามาหลวงพระบางเพื่อการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ฉะนั้นชาวหลวงพระบางต้องเข้าใจในเรื่องการบริการด้านนี้ให้ดี การทำบุญตักบาตร ต้องทำตามประเพณีที่เคยทำมา แต่บางครั้งชาวบ้านก็ทำเกินความเป็นจริงที่มี เช่น การนำเอาเครื่องต่างๆ ไปขายให้นักท่องเที่ยว จนทำให้นักท่องเที่ยวไม่พอใจ การทำเช่นนี้เหมือนกับว่า เรามองเห็นแต่ไอ้เรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ไม่ได้มองตรงที่วัฒนธรรมที่เราเคยทำกันมา” ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าวว่า “บ้านเรือนที่อยู่ในเมืองหลวงพระบางจำนวนมากถูกชาวต่างประเทศเช่า ซึ่งส่งผลทำให้ไม่มีใครมาใส่บาตรกันเลย แล้วทีนี้ประเพณีของคนหลวงพระบางก็จะหายไป เรื่องการเช่าจักรยาน หรือจักรยานยนต์เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการดำเนินทางธุรกิจเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนหลวงพระบาง”หมายเหตุ: ภาพจาก http://www.terragalleria.com/asia/laos/luang-prabang-monasteries/luang-prabang-monasteries.html
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว  จะถอดเครื่องยนต์ออกใช้เป็นเเครื่องยนต์ขับเคลื่อนรถอีแต๋นก็ได้ ทำเป็น เครื่องเรือก็ได้ และครั้งนี้ที่เราเห็นเป็นเครื่องสูบน้ำก็ยังได้อีกแดดสายไล่แดดเช้าออกไปแล้ว เครื่องจักรลูกหมาทำหน้าที่สูบน้ำในบึงออกอย่างเต็มกำลัง ความสามารถ  วันนี้ชาวบ้านนัดกันจับปลาที่บึงปลายนาท้ายวัดเมื่อคืนปู่จึงมาช่วยเขาสูบน้ำออกจนเช้า  เด็กๆ ทั้งหมู่บ้านต่างก็รอคอยวันวิดปลาของหมู่บ้านกันอย่างใจจดใจจ่อกันแรมปีในบึงน้ำพร่องไปจนเหลือเป็นตมและเศษไม้เห็นปลาน้อยใหญ่ดิ้นไปมาน่าตื่นเต้นเสียจริง ตาไข่ดับเครื่องจักรลูกหมาที่สูบน้ำอยู่แล้วหันหน้ามายิ้มเพื่อบอกสัญญาณเริ่มต้นการจับปลากันเสียที ปู่ยิ้มตอบแล้วหันมายิ้มกับพวกเรา  ในมือของเรามี “โพง” “นาง” “สุ่ม” และ “ข้อง” ที่ย่าฝากติดมือมาให้ปู่ด้วย   ปู่บอกผมว่า “โพง” เอาไว้วิดน้ำ  “นาง” เอาไว้ตักปลา  “สุ่ม” ก็ใช้สุ่มครอบปลาไว้ และ “ข้อง” ใช้ใส่ปลาที่จับได้อย่างนี้พลางทำท่าทางประกอบดูน่าขันจนเราหัวเราะท่าทางของปู่  ก่อนลงตมจับปลาปู่บอกให้พวกเรากินข้าวที่ย่าใส่ปิ่นโตมาให้ก่อน มื้อนี้เป็นแกงพุงปลากับน้ำชุบแมงดาและผัก  บอยกินเร็วกว่าใครเหมือนเคย ส่วนผมก็หลังคนอื่นเช่นเคยเหมือนกัน  กับข้าวของย่าอร่อยทุกวันแม้จะไม่มีให้เลือกเหมือนเวลาแม่พาไปซื้อในตลาด บ่าวกับผมเริ่มชินกับอาหารรสจัดของย่าแล้ว ต่างกับวันแรกๆ ที่ต้มส้มเป็นอาหารจานเด็ดอย่างเดียวของเราตะวันสายโด่อยู่กลางท้องฟ้าสีคราม ปู่นำทางเราลงสู้ศึกจับปลากลางโคลนพร้อมอุปกรณ์ในครั้งนี้ เราเดินตามปู่ลงไปเหมือนลูกเป็ดที่เดินตามแม่ของมันไปหาอาหารไม่มีผิด คนเริ่มเยอะแล้วปู่จึงเริ่มจับอย่างไม่รอช้า“น้องๆ ทางนี้ๆ” ผมหันรีหันขวางก็เห็นจ้อยโบกมือเรียกอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบึง“ครับๆ” ผมตอบรับแดงกับจ้อยตามพ่อมาตามความคาดหมาย ทั้งสองสะพายข้องไว้ข้างลำตัวคนละอันเตรียมพร้อมสำหรับจับปลากลับบ้านอย่างพร้องพรึง เผลอแป็บเดียวย่าก็ตามมาจับปลาอยู่ข้างปู่เสียเมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ ใบหน้าและเนื้อตัวของปู่และย่าเลอะโคลนไปทั่วเหมือนๆ กับเรา  ผมกับบ่าวหัวเราะทันทีที่หันไปเห็นทั้งคู่“ทางโน้นๆ ไอ้ช่อนๆ” บอยชี้ไปที่ไอ้ช่อนขณะที่มันกระเสือกกระสนตะลุยโคลนอยู่อีกทางหนึ่ง“สุ่มเลยๆ เร็วเข้าเห็นหรือยัง?” จ้อยลุกลี้ลุกลนพลางชี้มาทางผมผมกับบ่าววิ่งผ่าโคลนไปช่วยกันสุ่มไว้ ไอ้ช่อนกระดุกกระดิกพรางตัวอยู่ในโคลน ผมกับบ่าวเอามือกดสุ่มไว้แน่นแล้วเอามือควานหาไอ้ช่อนตามคำบอกของจ้อยแต่ไม่เจอ“ฉันเองๆ” จ้อยวิ่งรี่เข้ามา มือของจ้อยควานหาไปทั่วสุ่มรู้สึกเหมือนจะโดนตัวไอ้ช่อนเข้าแล้วแต่ยังจับไม่ได้ “หลุดไปแล้วๆ” จ้อยโหวกเหวกขึ้นเสียงดัง ขณะที่เห็นมีอะไรก็ไม่รู้กระดุกกระดิกอยู่นอกสุ่ม  บอยกระโดดพุ่งมาจากข้างหลังล้มตัวลงในโคลนกระฉูดเลอะเพื่อนๆ จนเลอะกันทั่วหน้า แดงหัวเราะนำเพื่อนๆ ไปก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะตามกัน“ได้แล้วๆ” บอยชูปลาในมือเปื้อนโคลนขึ้นอวด เพื่อนๆ หัวเราะลั่นกันอีกครั้ง“ไม่ใช่ไอ้ช่อนนี่...นั่นมันปลากระดี่” เสียงหัวเราะของคนในบึงนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กันเมื่อหันมาเห็นหน้าตาของเจ้าบอยกับปลากระดี่ในมือ“โน่นอีกตัว”บ่าวชี้มาทางผม  ผมตะครุบมันโดยไว“โน่นอีกตัว”“อีกตัว”“ได้อีกตัวแล้ว”เราเลอะเทอะจนดูมอมแมมไปหมด  ทุกคนมีปลาหลายชนิดรวมกันแล้วเต็ม “ข้อง” มีปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลาโอน(ปลาเนื้ออ่อน) ปลากระดี่ ปลาไหล ฯลฯ สารพัดปลา  ย่าจับได้เต่ามาด้วย ผมจะเอาไปเลียงไว้ในบ่อหลังบ้านบอยดวงตะวันคล้อยบ่ายมากแล้ว ในบึงเละไปด้วยรอยย่ำของผู้คน หลงเหลือไว้แต่ลูกปลาตัวเล็กๆ และโคลนตมรอคอยน้ำหน้าฝนระลอกใหม่“หน้าฝนน้ำมา ลูกปลาพวกนั้นก็จะโตขึ้น” ปู่ยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ด่างไปด้วยโคลนสีดำ“กว่าน้ำจะมามันจะไม่ตายเสียหรือครับปู่”“ไม่หรอก มันจะฝังตัวอยู่ในโคลน เอาความชุ่มชื้นนั้นรักษาชีวิตไว้”“จริงหรือครับ?”“จริงสิ...ปีหน้าปลาพวกนี้จะโตขึ้น แล้วชาวบ้านก็จะช่วยกันสูบน้ำกันอีกในหน้าแล้ง  เป็นที่รู้กันว่าหน้าแล้งอย่างนี้เราจะมาช่วยวิดปลากัน” ปู่อธิบายแล้วลูบหัวผมแผ่วเบาแล้วหันไปโปรยยิ้มให้ย่า“รีบกลับเถอะ  เย็นนี้ย่าจะต้มส้มปลาโอนที่น้องชอบให้กินอีก”“ครับย่า” ผมรับคำย่าแล้วหันไปโบกมือลาแดงกับจ้อยและเพื่อนๆ     
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันที่ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ก็คงหนีไม่พ้นงานพบปะของคอลัมนิสต์ประชาไท.....ที่เชียงใหม่เพราะผมไม่ได้นึกว่าจะมีโอกาสมาเจอเพื่อนสหาย นักเขียนไทยมากหลายเอาขนาดนี้ ส่วนมากก็คงเป็นคนเชียงใหม่....รอยยี้ม...เสียงหัวเราะ....ไม่ได้ต่างกันแม๋นิดเดียว....อาจจะต่างภาษา...แต่เรื่องนี้ก็ไม่แปลก เพราะเผ่าพันธุ์ต่างๆ ล้วนมีภาษาที่เป็นตัวของตัวเอง....สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจที่มีต่อกัน และเป็นสิ่งนี้เองที่บ่งบอกถึง “มิตรภาพ”  ซึ่งสื่อออกมาได้จากภาพที่ผมเก็บไว้
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภา…แม้ว่าฉันจะไม่ได้ไปที่วัดป่าสุคะโตกับเธอ ฉันเห็นบรรยากาศไปพร้อมกับการเล่าสู่กันของเธอ อดไม่ได้ที่จะนึกถึง “ความกลัว” ตั้งแต่เด็ก เรามักถูกขู่ให้กลัวอยู่เสมอ เมื่อพ่อแม่เลี้ยงเรามา รัก ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เด็กเล็กๆ มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นของตัวเอง เขาเพิ่งเกิดใหม่ ยังไม่รู้ว่า ไฟมันร้อน น้ำในบ่อมันลึกหรือตื้นเพียงไหน ปลั๊กไฟห้ามเอานิ้วแหย่เข้าไป อาจจะเดินไปไหนไกลๆ โดยพ่อแม่ไม่เห็นแล้วประสบอันตรายสิ่งที่เด็กไม่ได้ประสบกับตัวเอง เด็กไม่รู้ว่าอันตราย ไฟมันร้อน น้ำมันลึก เป็นอย่างไร พ่อแม่จึงมักดึงเอาสัญชาติญาณด้านลึกคือความกลัวออกมา การขู่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กแก ตำรวจ คนบ้า ผี ฯลฯ อีกมากมายที่หล่อหลอมเรามาความกลัว เมื่อสัมพันธ์กับสิ่งใด นอกจากเราจะไม่แย่กว่า เรากลัวสิ่งนั้นจริงๆ หรือความกลัวที่อยู่ด้านในของเรามากกว่าตอนเด็กๆ ฉันกลัวที่จะเห็นผี ฉันไม่รู้จักว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างน้อยผีอาจจะหน้าตาเหมือน ปู่ ย่า หรือตา ของฉัน เพราะเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังเด็ก ถ้าฉันพบหน้าตาแบบในรูปที่บ้าน หมายความว่าเขาเหล่านั้นเป็นผี ใช่ไหม แต่ตลอดช่วงชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยเห็นเขาเลย แม้ว่าจะรู้ว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่จริงหรือจริงๆ แล้ว ฉันกลัวความตายกันแน่...หากเปรียบกับชีวิตที่ฉันดำเนินอยู่ในเมือง ต้องพบเจอผู้คนมากมาย ทั้งที่รู้จัก ไม่รู้จัก และไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เขาคิดได้ ไม่รู้ว่าเขาคิดดี คิดร้าย เป็นคนดีหรือคนร้าย เราเรียนรู้...ว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ประสบการณ์ชีวิตกับความกลัว สอนให้เรากลัวคนอื่นมากกว่ากลัวตัวเราเองทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เราประสบกับความกลัวของตัวเองมากกว่ากลัวคนอื่น เหตุการณ์ครั้งหนึ่งของฉัน ที่ทำให้คลี่คลายจุดนี้คือ ฉันมักชอบอ่านดวงชะตาชีวิตผ่านหนังสือต่างๆ ที่เพื่อนๆ บอกว่าแม่น! ...แล้วอย่างไร ฉันกลัวมาก เมื่อเขาเขียนว่า วันนี้ต้องระวังนั่น ระวังนี่ “ให้ระวังคนจะทำร้ายจิตใจ แล้วมีผลกระทบกับการงาน”  วันนั้นไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่ระวังว่า คนที่เขาไม่ชอบเราอยู่แล้วจะเล่นงานเราอย่างไร นอกจากสิ่งที่ได้คือความเครียดแล้ว ยังทำให้เราไม่มีความสุข ไม่สนุก เราไม่ได้จดจ่ออยู่กับการทำงาน มัวแต่กังวลว่าเขาจะทำอะไรเรา เราจะถูกเล่นงานอย่างไร แท้จริงแล้ว ความกลัวคือสิ่งที่อยู่ในใจของฉันนี่เอง มากกว่าความกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากเรามีสติและใช้ปัญญาที่เรามี แก้ไขสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นจริง เราก็จะผ่านพ้นมันไปได้ความกลัวของคนเมืองหรือคนสมัยใหม่ (modern human) มันลึกซึ้งกว่าการทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน ทั้งกลัวว่าจะไม่มีงาน กลัวว่าคนที่ทำงานกับเราจะแย่งผลงานของเรา กลัวเราเก่ง/ไม่มีความสามารถเท่าเทียมกับคนอื่นการแข่งขันกันในที่ทำงาน ในสำนักงาน ผู้ที่ได้รับประโยชน์มักเป็นองค์กรหรือสถาบัน หรือจะชี้ให้ถูกจุดก็คือ คนที่เป็นเจ้าของบริษัทหรือสถาบันนั้น ยิ่งลูกน้องแข่งขันกันทำงานให้ดีมากเท่าไร ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน ชื่อเสียงก็ย่อมอยู่กับองค์กรนั้นๆ มากขึ้นแล้วจะทำอย่างไรให้เรามีสติและใช้ปัญญากับความกลัวเหล่านั้นได้...จะมีอะไรดีไปกว่าการฝึก ใช้สติ และมีหลักธรรม คือความเป็นจริงตามธรรมชาติเป็นหลักในการไม่ทำร้ายกัน ซึ่งหากสถาบัน องค์กรใดๆ มีการสร้างระบบที่ดีก็จะช่วยให้คนที่แข่งขันกัน อยู่ในกฎ กติกา อย่างเช่น การสอบเพื่อให้ได้งาน มีความยุติธรรม ผู้เลือกและผู้ถูกเลือกเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆแต่คนเราเดี๋ยวนี้ มักมีความสามารถ ความเก่ง มาอยู่แถวหน้าได้ จากการแข่งขันแล้วเป็นผู้ชนะที่เห็นได้ภายนอก ทั้งการเลื่อนตำแหน่ง การประกวด คนที่ได้ที่ 1 มีคนเดียวเสมอ หากการประกวด การสอบแข่งขัน หรือการเลื่อนตำแหน่งนั้น ไม่ได้ใช้ความยุติธรรมในมือของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ย่อมได้คนที่มีความสามารถหากเราเป็นคนที่แข่งขันในเกมนี้ แล้วเราเป็นผู้ชนะในเกม แล้วเราเอาชนะความกลัวในขณะที่เราแข่งขันมาได้อย่างไร บางคนภาคภูมิใจในการแข่งชนะ เพราะเขาแข่งด้วยความสามารถและสติปัญญาที่แท้จริง บางคนแม้จะชนะแต่ไม่ภาคภูมิใจเลยเพราะเขารู้ตัวว่า เขาไม่ได้ใช้สติปัญญาที่แท้จริงมาแข่ง เขาย่อมกลัว  กลัวว่าคนอื่นจะรู้ กลัวว่าแล้วเขาจะรักษาชัยชนะอย่างไรนอกจากความกลัวและการแข่งขันนี้แล้ว ความกลัวยังเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติ มนุษย์ที่อยู่ภายใต้ธรรมชาติที่โหดร้าย อย่างทะเลทราย นอกจากมีความรู้เรื่องการอยู่กับทะเลทราย พายุทะเลทรายแล้ว ยังพยายามสร้างเครื่องมือ การป้องกันตัวให้พ้นจากธรรมชาติที่โหดร้าย และสามารถใช้เครื่องมือ ความรู้เพื่อการอยู่รอดอีกด้วยความกลัว...นอกจากจะมีด้านไม่ดีแล้ว ยังมีด้านดี อันเป็นปัจจัยผลักให้มนุษย์ได้เรียนรู้ ไม่ต่างอะไรกับการที่พันธกุมภาเจอะเจอกับความกลัวที่หลุมศพ แล้วผ่านมันมาได้ แท้จริงแล้ว ไม่มีความกลัวใดในมนุษย์ เท่ากับความกลัวที่อยู่ในใจของตนเลย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน  วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงูระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง  บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว  ผมกับบ่าวเก็บไม่เป็นกลับมาเสื้อผ้าเลอะเทอะไปด้วยยางจนเสื้อผ้าดูด่างๆ ดำๆ น่าขัน เสียจริง“บอย…ทางนี้ๆ  เร็วเข้าๆ” แดงตะโกนเรียกเร่งเราให้รีบเดินมาแต่ไกล“บ่าว…น้อง…” บอยตะโกนเรียกบ้างขณะที่เรายังเดินชมนกชมไม้กันอยู่เรารีบจ้ำเดินเร็วขึ้นตามคำเร่งของแดงรี่ตรงไปที่ศาลา  เด็กๆ หลายคนรอเราอยู่แล้ว ทุกคนต่างหิ้วถุงเม็ดหัวครกของตัวเองมาจากบ้านรวมทั้งเรา ผมรู้สึกแปลกตากับความรู้สึกนี้ ปกติที่เห็นกันอยู่แถวบ้านในเมืองของเราเจอะเจอแต่เด็กๆ ที่หิ้วพวกการ์ดสะสมรูปการ์ตูนหรือ พวกเกมกดต่างๆ มาโอดกันมากกว่า  ผมโปรยยิ้มให้กับทุกคนแทนคำขอโทษที่เรามาสาย ไม่ทันไรแดงก็ลงมือวาดเส้นเป็น วงกลมเล็กแล้ววาดวงรีอันยาวอีกวงต่อกัน“แดงทำอะไร? ” บ่าวถาม“วาดงู” แดงตอบ“วาดงูเหรอ ทำไมล่ะ?”“วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงู เราต้องวาดงูอย่างนี้แหละ เอาไว้วางเม็ดหัวครกต่อกันเป็นแถว ยาวดูแล้วเหมือนงูน่ะสิ” บ่าวยิ้มตอบเพื่อนอย่างบริสุทธิ์“ไม่เคยเล่นเหรอ?” แดงถามกลับ“ไม่เลย  ที่บ้านเราไม่มีต้นหัวครกให้เก็บหรอก มีแต่เม็ดที่เคยสั่งกินตามร้านอาหาร หรือซื้อเอาตามตลาด” บ่าวอธิบาย  แดงยิ้มบอยชิงว่าดังขึ้น บอกกติกาและเรียกเก็บเม็ดหัวครกจากเพื่อนๆ มาคนละ 2 เม็ด ทุกคนทำตามคำบอกของบอยเหมือนเคย แดงรับหน้าที่วางเม็ดหัวครกเม็ดหนึ่งไว้ในวงกลมเล็ก แล้ววางที่เหลือเรียงยาวต่อกันเป็นแถวคล้ายกระดูกงูไว้ในวงรีอีกวงูที่วาดไว้ก่อนแล้ว  การละเล่นนี้นับเป็นการละเล่นแปลกใหม่ในชีวิตของเราทั้งสองพี่น้อง  บ่าวยืนพินิจอยู่นานก่อนหันไปถามบอยเบาๆ“เล่นอย่างไรล่ะ?”“หาแม่เกยไว้สักเม็ด” บ่าวฟังบอยแล้วหัวเราะเรื่องแม่เกย“บอย…อะไรคือแม่เกย?”“แม่เกยก็คือเม็ดที่เราเลือกไว้สำหรับเป็นเม็ดที่จะขว้างออกไปให้โดนเม็ดอื่น ต้องเลือกเม็ดโตๆ น้ำหนักดีหน่อยนะ เวลาขว้างจะได้กระชับมือ น้ำหนักดีก็เมื่อไปโดนเม็ดไหน แล้วกระเด็นออกจากตัวงูที่วาดไว้แล้ว เราก็จะได้เม็ดหัวครกตั้งแต่เม็ดนั้นไปจนสุดปลายหาก เลยนะ” บอยบอกเรื่องแม่เกยพร้อมอธิบายกติกา“โอ้โห! …น่าสนุกนะ” บ่าวยิ้ม บอยยิ้มตอบบ่าวและผมตื่นเต้นกับการหาแม่เกยของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจนได้มา 2-3 เม็ด แบมือถ่วงน้ำหนักคะเนก่อนได้แม่เกยลำดับ 1-3 เตรียมไว้ขว้างหัวงูเป็นการละเล่นประลองความแม่นยำของเด็กๆ ที่นิยมเล่นกันแถวชนบทปักษ์ใต้ เมื่อหน้าแล้งมาถึงและวันปิดเทอม  เพราะเป็นช่วงที่ต้นหัวครกจะออกผลสุกสีเหลืองบ้างสีส้มและ บ้างก็สีแดงเต็มต้นให้เด็กๆ เก็บมากินกันส่วนที่เป็นเม็ดดูจะมีคุณค่าที่สุดในบรรดาส่วนต่างๆ ของหัวครก ใบอ่อนใช้เป็นผักจิ้มเครื่องเคียง ผลก็กินได้ ส่วนเม็ดที่โผล่ออกมาดูแปลกตานั่นผ่าออก ก็เจอเม็ดในสีขาวอีกทีหนึ่งนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เด็กๆ ชอบให้แม่ผัดน้ำผึ้ง(น้ำตาลทรายแดง) บ้างเอาหมกไฟทุบกินกันอย่างสนุกสนานบ่าวทำท่าเล็งเป้าไปที่หัวงูตามที่บอยบอกแล้วขว้างมันออกไป  เพื่อนๆ ที่นำโดยจ้อย หัวเราะลั่นเมื่อแม่เกยของบ่าวพลาดเป้าไปอย่างไม่เฉียดเลยแม้แต่น้อย  คราวต่อไปเป็นจอมแม่น มือฉมัง  จ้อยเล็งตรงหัวแล้วขว้างไปด้วยความแรงพอประมาณ  แม่เกยของจ้อยพุ่งตรงไปที่หัวงู โดนแล้วกระเด็นออกจากวงกลมเล็กๆ ทั้งคู่ จ้อยกระโดดเหยงๆ ดีใจชูกำปั้นเมื่อเห็นผีมือการขว้าง ของตัวเอง  เม็ดหัวครกกระเด็นออกไปคนละทาง เพื่อนๆ โห่ร้องกันสนุกสนาน“เห็นมั๊ยๆๆ” จ้อยทำท่าเย้ยเพื่อนๆ อยู่นัยๆจ้อยเก็บเม็ดหัวครกทั้งหมดเป็นรางวัลจากความแม่น บอยรวมรวมเม็ดหัวครกสำหรับการ เล่นครั้งต่อไปแล้วเรียงไว้อย่างเดิม คราวนี้ผมเริ่มก่อน ผมพยายามเลียนแบบทำท่าทางตาหยีๆ เหมือนที่จ้อยทำเผื่อจะแม่นอย่างจ้อยบ้าง ผมเงื้อมือขว้างแม่เกยพุ่งตรงออกไปยังส่วนปลายหาง เพื่อนๆ โห่ร้องดีใจแล้วหันมายิ้ม จับมือแสดงความยินดี รางวัลของผมเป็นเม็ดหัวครก 5 เม็ดต่อมาเป็นบอยที่พลาดเป้า แดง บ่าว และคนอื่นๆ ตามลำลับผลัดเปลี่ยนกันไปอย่างสนุกสนาน การแข่งขันดำเนินไปเรื่อยๆ จนตะวัน ล่วงบ่ายพวกเรารวบรวมเม็ดหัวครกของทุกคนมารวมไว้ด้วยกันเป็นส่วนกลาง แดงวิ่งไปหาหม้อ เก่าๆ ที่บ้านแล้ววิ่งกลับมา จ้อยจุดไปแล้วเราก็เอาเม็ดหัวครกทั้งหมดเทลงหม้อนั้นหมกไฟรวมกัน ไฟลุกท่วมหม้อเพราะยางของมันเป็นเชื้อไฟอย่างดีครู่หนึ่งเม็ดหัวครกในหม้อกลายเป็นสีดำอย่างตอตะโก จ้อยคว้ำหม้อให้เม็ดหัวครกเกลื่อน พื้น บอยหยิบเม็ดหัวครกที่หมกจนสุกเป็นสีดำมาเคาะให้แตกแล้วยื่นเม็ดในสีขาวหอมให้บ่าวและ ผมกินก่อน“อร่อยนะ  หัวครกหมกนี่อร่อยจริงๆ” ทั้งมือและแก้มของผมเปื้นสีดำจากเม็ดหัวครกจนดู มอมแมม เพื่อนๆ พากันหัวเราะและเราก็สนุกด้วยกัน“ขว้างหัวงูแล้วหมกหัวครก”“พรุ่งนี้เอาอีกนะ ผมชักชอบแล้วสิ” บ่าวโปรยยิ้มให้เพื่อนๆ แล้วมองมาทางผม“พี่กินแม่เกยเสียแล้ว” บ่าวพูดแล้วเพื่อนๆ ก็หัวเราะ“แต่ก็อร่อยดี” คราวนี้เพื่อนๆ เฮกันลั่นกว่าเก่า ควันไฟยังโขมงอยู่ข้างศาลา กลิ่นเม็ดหัวครกหมกลอยไป ในสายลม ผมนึกอยู่ว่าเปิดเทอมคราวนี้จะกลับบ้านไปปลูกต้นหัวครกไว้เก็บเม็ดมาหมกกิน เล่นสักสองสามต้น