Skip to main content
นายกรุ้มกริ่ม
 มาเยือนเมือง “สตูล สะอาด สงบ” เป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปีกว่าๆ ที่แล้วติดสอยห้อยตามเพื่อน NGO มาดูกิจกรรม “สัญญาประชาคม” ที่คนสตูลร่วมกันแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา แต่ครั้งนี้สดใสกว่าเดิม มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมที่อาจารย์พานักศึกษาจากม.ทักษิณ มาลง
คนไม่มีอะไร
ความเงียบได้กลับคืนสูบ้านท่าสูงบนอีกครั้งหลังจากงานสมัชชาประมงพื้นบ้านได้ผ่านไป ก็คงเหมือนลมทะเลที่พัดหอบเอาไอทะเลเข้าสู่ฝั่ง คงเหลือไว้แต่รูปภาพและความทรงจำที่ติดอยู่ในสมองของใครใครหลายคน ผมซึ่งมีโอกาสได้เข้าร่วมงานนี้ตั้งแต่วันที่เตรียมงานจนวันสุดท้าย           ภาพที่เห็นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวกับคำถามมากมายที่ตามมาว่า งานนี้มีไว้เพื่อ.......?           มันเป็นคำถามที่ผมสงสัยเรื่อยมาจนคำตอบของคำถามเหล่านั้นค่อยๆ คลายออกมาทีละนิดทีละนิด เริ่มจากภาพของผู้คนที่เตรียมงานกันอย่างแข็งขัน อดหลับอดนอน ทำงานกันจนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหงื่อของพวกเขาเหล่านั้นพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำที่กำลังกัดเซาะตะลิ่งให้พังมิปราน  มือสองข้างยังคงเต็มไปด้วยงานที่ได้รับมอบหมายจนหนักอึ้งราวกับแบกยอดเขาไว้ทั้งลูก           แล้วอะไรที่ทำให้ผู้คนเหล่านั้นยอมทำในสิ่งที่ยากลำบากถึงเพียงนี้  ผมยังคงสงสัยและงุนงงว่า   แต่คำถามเหล่านั้นก็มีคำตอบในตัวมันเอง คำตอบของคำถามเหล่านั้นเริ่มเฉลยมาให้ผมได้เข้าใจทีละนิดๆ            เริ่มตั้งแต่วันแรก ภาพของผู้คนที่ไม่ได้พบเจอกันมานานได้มีโอกาสได้พูดคุยกัน ถามถึงความเป็นอยู่ว่าเป็นยังไงกันบ้าง รอยยิ้มของคนเหล่านั้นได้ตราตรึงหัวใจของผู้ได้พบเห็นมันเป็นรอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติและยินดี แต่พออ่านถึงตรงนี้ทุกคนอาจสงสัยว่า เพียงเท่านี้เหรอที่ยอมให้ผู้คนเหล่านั้นยอมเหน็ดเหนื่อย ถึงเพียงนั้นถ้าใช่แล้วมันจะต่างอะไรกับงานเลี้ยงรุ่นพบปะกันธรรมดาที่เราเห็นทั่วไป         และเมื่อถึงวันสุดท้ายของงาน คำตอบทุกอย่างก็เฉลยทุกสิ่งให้ผมใด้เข้าใจทั้งหมด ภาพของผู้คนจำนวนมากมายที่หลั่งไหลมาจากทิศต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลกันชนิดที่ว่าเดินไปหากันคงไหว ได้ออกมาบอกกับทุกคนถึงความเดือดร้อนที่พวกเค้าเหล่านั้นกำลังได้รับ มันคงไม่มากเกินไปที่พวกเค้าเหล่านั้นจะออกมาปกป้องสิ่งที่รักและห่วงแหนเพื่อลูกหลานของพวกเค้าเหล่านั้น            ผมเชื่อว่า "ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นและศรัทธา" ของผู้คนเหล่านั้น จะส่งไปถึงหัวใจของใครหลายๆ คนที่รู้สึกห่วงแหนและรักถิ่นเกิดของตัวเอง รักทรัยากรธรรมชาติ ภาพสุดท้ายที่ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นนักสู้ของคนเหล่านั้นคือภาพของคนจำนวนมากที่เดินให้แดดที่ร้อนเหมือนจะกลืนกินผู้คนเหล่านั้นให้หายไปจากโลก ความร้อนที่แผดเผาผิวหนังให้ไหม้เกรียม แต่ถึงอย่างไรความร้อนก็มิอาจเผาไหม้ใจที่เชื่อมั่นของพวกเค้าได้          และนี่ก็คงเพียงพอแล้วกับคำตอบที่ผมได้รับว่าทำไมผู้คนเหล่านั้นต้องยอมเหน็ดเหนื่อยกันถึงเพียงนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่ได้มอบประสบกราณ์ที่ดีแก่ผมและขอเป็นหนึ่งกำลังใจ ที่จะร่วมกันสู้                                                                                                                                                                                                                                 ภาพ : เต้เต้ซัง,ไอ้จี้ด เรื่อง : เด็กวัดไร่ขิง (มวล.) ป้าย : บังบ่าว (อาสาวลัยลักษณ์)