Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทองเป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดดเรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’ กำลังกลายเป็นวาระคุณธรรมแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่งไปแล้ว ทั้งที่เรื่องสิทธิใน ‘จู’ กับ ‘จิม’ นั้น บางคนมองว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลมากๆ ทำไมต้องมาไล่ถกกระโปรงดูกันขนาดนี้ หรือสาวน้อยคนดังอย่าง ‘บริทนี่ สเปียร์’ ต้นธารกระแสจิมเสรีเองก็เคยแสดงความเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลตรงนี้ด้วยการออกมาบอกว่าการไม่สวมกุงเกงในทำให้เธอรู้สึกเป็นอิสระ แน่นอนก่อนหน้านั้นเราได้ชมภาพความเสรีของเธอผ่านอินเตอร์เน็ตกันแทบถ้วนทั่ว และคาดว่า หนูบริทนี่คนนี้เองน่าจะเป็นผู้ทำให้เกิดกระแสนี้ในบ้านเราหลังผู้หลักผู้ใหญ่รู้ข่าวว่าเรื่องแบบนี้มีจริงและกำลังแพร่หลายเลยถึงกับปวดเศียรเวียนเฮดกับเทรนใหม่ หลายคนรับออกมาอ้อนวอนกันระล่ำระลัก...เพื่อศีลธรรมเถิดลูกเอ๊ยยยย...กลับไปสวมลิงเสียเถอะ จากนั้นก็พูดวนเวียนกันไปโดยประเด็นไม่ไปไหนแบบนี้ทั้งสัปดาห์ หนูๆ ที่ไม่สวมกุงเกงในจึงกำลังกลายเป็นอีกสัญลักษณ์เลวร้ายที่ทำลายศีลธรรมอันดีงามพอๆ กับ ‘อำนาจเก่า’ ดังนั้น ใครที่อยากเป็นคนดีมีศีลธรรมต้องสวมใส่ลิงนะครับ และถ้าทำกันไม่ได้ ไปถกใต้กระโปรงมากๆ เข้าแล้วยังโล่งโปร่งสบายอยู่ คาดว่าอีกไม่นานอาจมีแคมเปญใหม่ ‘แอ่นจิม พกลิง’ จากกระทรวงคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ ออกโทรทัศน์รณรงค์ตามมา พูดถึงเรื่องกระแสพอขำๆ กันแล้ว ทีนี้อยากให้หันมามองปรากฏการณ์นี้แบบไม่ขำกันบ้าง การไม่สวมใส่ลิงของหญิงสาวควรถูกมองในมุมอื่นได้มากกว่าการเป็นเรื่องของความไร้ยางอายหรือความไม่มีคุณธรรมได้หรือไม่ และเอาเข้าจริงอาจเป็นสังคมเองที่กำลังหาเหยื่อมาบำบัดความบ้าคลั่งทางวิญญาณที่ถูกทำลายไปมากในปัจจุบัน ถ้าเคยได้ดูภาพยนต์เรื่อง BABEL แล้วหลายคนคนจำเรื่องราวของเด็กสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ เธอผิวขาว ผมดำ แววตาสดใสน่ารัก หากดูผิวเผินเธอเหมือนเด็กผู้หญิงญี่ปุ่นทั่วไปที่โตมาตามวัย และสนุกสนานกับเพื่อนได้ เธอปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะซึ่งเป็นร้านที่วัยรุ่นญี่ปุ่นทั่วๆ ไปเที่ยวกัน แต่แท้จริงแล้วเธอทั้งเป็นใบ้และหูหนวกกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอก็คือเพื่อนที่มีความผิดปกติทางร่างกายเช่นเดียวกันกับเธอ เมื่อกลุ่มพวกเธอสื่อสารกันด้วยภาษามือในครั้งหนึ่ง หลายสายตาจับต้องมาที่กลุ่มพวกเธออย่างตั้งคำถาม สงสัย ดูแปลกประหลาดและ ‘เป็นอื่น’ ถัดนั้นมาก็เป็นฉากที่เธอถอดกุงเกงลิงออกมาและเปิดโชว์ผู้ที่กำลังจ้องมองเธออย่างเป็นอื่น เขาคนนั้นตกใจ ส่วนเธอรู้สึกสมใจ...ฉากตอนนี้เป็นฉากเล็กๆ แต่ค่อนข้างสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่าแท้จริงแล้วเธอคือ ‘คน’ ที่มีอารมณ์ความรู้สึก เธอและกลุ่มเพื่อนก็ต้องการมี ‘พื้นที่’ และ ‘ตัวตน’ ทางสังคมเช่นเดียวกันกับคนอื่นทั่วไป ในฉากอื่นๆ ถัดยิ่งคล้ายแสดงถึงทั้งความต้องการทางความรัก การต้องการความใส่ใจ การต้องการการสัมผัสในแบบเดียวกับที่คนอื่นๆ ในสังคมได้รับและมีให้แก่กันBABEL ยังสื่อสารเรื่องราวที่ลึกไปจนถึงแบ็กกราวชีวิตของเธอ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งสูญเสียแม่จากเหตุการณ์ที่เธอเองไม่สามารถบอกกับใครได้ในขณะที่แม่เป็นเพียงคนเดียวที่สื่อสารกับเธอได้รู้เรื่องมากที่สุด ส่วนพ่อนั้นแม้จะดูแลอย่างดีเพียงใดก็ตาม แต่คงเป็นเพียงการดูแลชีวิตมากกว่าการสื่อสารที่เข้าไปถึง ‘หัวใจ’ ของระหว่างกัน ความโดดเดี่ยวกลายเป็นความกดดัน ความอ้างว้าง เงียบเหงา ว้าแหว่ ทั้งหมดถูกเธอเก็บซ่อนไว้ระหว่างการใช้ชีวิตในสังคมด้วยภาพความสดใสในวัยสาวของเธอถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้หญิงใจแตกแม้จะไม่สามารถพูดได้ก็ตาม เธอและเพื่อนไปตามที่ต่างๆ ด้วยการไม่สวมใส่กางเกงใน เที่ยวเตร่ เสพยา และพยายามเรียกร้องการสัมผัสจากเพศตรงข้าม หนังได้ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่มีพื้นที่ยืนของเธออีก เมื่อเพื่อนสนิทในกลุ่มคลอเคลียกับผู้ชายที่เธอชอบ และการเรียกร้องของเธอกลับดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นไปทุกที แต่สุดท้ายของหนังเป็นอย่างไรขอให้ไปรับชมกันเอาเอง อย่างไรก็ตาม แม้หนังเรื่องนี้จะบอกถึงปัญหาของการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันด้วยสัญลักษณ์ที่ชัดเจนผ่านปัญหาทางร่างกายที่พูดไม่ได้ และไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ผลจะมันเป็นดุจเดียวกันถ้าหูหรือปากนั้นแม้จะเป็นปกติแต่ไม่เคยใช้ฟัง ‘เสียง’ หรือ ‘คุย’ อะไรกันเลย การมีเด็กแกงค์ไปซิ่งรถมอเอตร์ไซค์บนท้องถนนจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นอยากเป็นนักบิดมืออาชีพ ที่ต้องสร้างสนามแข่งขันมารองรับเสมอไป แต่การใช้ ‘ความเร็ว’ เพราะ ‘เสี่ยง’ และทำให้คนในกลุ่ม ‘ยอมรับ’ หรือการใช้เสียงรถการสร้างความรำคาญเพื่อให้คนหันมามีปฏิสัมพันธ์กับเขาด้วยการด่าทอ มันอาจเป็นการแสดง ‘ตัวตน’ ที่มีอยู่ของพวกเขาต่างหาก และเรื่องแบบนี้คงไม่ต่างอะไรไปจากเทรนใหม่เรื่องการเปิดเผยเนื้อหนังมังสาของหญิงสาว หรือการมีความสุขของการถูกจ้องมอง คำตอบทาง ‘ศีลธรรม’ คงไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ หากสังคมยังไม่เคยเห็น ฟัง สัมผัส ได้ยิน พวกเขาและพวกเธอเลย ในมุมกลับกันกรอบศีลธรรมของสังคมกำลังยิ่งกีดกันให้พวกเขาและพวกเธอต้องออกไปให้ต้องแสวงหา ‘พื้นที่’ ยืนของตัวเองและบางทีที่พวกเธอและพวกเขาเหล่านั้นกำลังโชว์ ‘ความไร้ศีลธรรม’ ในความหมายของพวกคุณอยู่นั้น พวกเขาอาจกำลังสื่อสารกับ ‘หัวใจ’ ของคุณอยู่ก็ได้ว่า...เข้าใจกันให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม