Skip to main content
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง ก็อาจล้มเลิกความตั้งใจเสียง่ายๆสำหรับผม ซึ่งมีความรู้สึกเบื้องแรกคือ การเข้าร่วมโครงการคลับคล้ายกับการมาเข้าค่ายเป็นเวลาหนึ่งปี อาจชัดเจนในจุดประสงค์มากกว่าผู้เข้าร่วมบางท่าน แต่นั่นก็ด้วยวัยวุฒิที่มากกว่า ทั้งไม่ได้หมายความว่า ในเบื้องปลาย ผมและคุณจะได้รับประสบการณ์อย่างเดียวกัน เพราะแม้ว่าเราจะมาอยู่ร่วมกันเนื่องจากความสนใจที่คล้ายกัน ทว่า เราแต่ละคนย่อมสร้างประสบการณ์จากแนวคิดที่เรามีเกี่ยวกับตัวเอง และแนวคิดที่เรามีเกี่ยวกับตัวเองย่อมจะแตกต่างกันเราทุกคนมีเรื่องที่สนใจ และเรื่องที่เราสนใจนั้น คือแนวคิดที่เรามีเกี่ยวกับตัวเอง เราจะมีแนวคิดเกี่ยวกับตัวเองไปตลอดจนกว่าเราจะลงมือปฏิบัติ เมื่อได้ปฏิบัติเราจึงได้รับประสบการณ์ ประสบการณ์ [2]  นั้นคือความรู้สึกว่าเราได้ “เป็น” ดังที่เราได้คาดการณ์ไว้ ยิ่งทำมากตัวเราก็ยิ่งชัดมากขึ้น ยิ่งสร้างสรรค์ศักยภาพก็ยิ่งปรากฎ ผมสนใจเรื่องการทำอาหาร แต่หากผมไม่ได้มาลองทำอาหารที่ the land ผมก็คงไม่มีโอกาสรู้ว่าผมทำอาหารเป็นด้วย  ผมสนใจเรื่องศิลปะ แต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ เช่นเดียวกัน หากเปลี่ยนจาก “ผม” เป็น “คุณ” แนวคิดเกี่ยวกับตนเองของคุณ ก็คือสิ่งที่รอการพิสูจน์ และสิ่งที่ได้พิสูจน์แล้วจะเปลี่ยนเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับตนเองคุณอาจรู้ว่าตนเองเป็นคนรักธรรมชาติ รักศิลปะ แต่หากคุณไม่ทำอะไรที่แสดงถึงความรักต่อธรรมชาติ ต่อศิลปะ คุณย่อมมีเพียงแนวคิดเกี่ยวกับตนเองคำถามสำคัญก็คือ อะไรคือตัวตนสูงสุดของคุณที่คุณต้องการจะเป็น ... ? หน้าที่ของเราคือแสดงมันออกมา มันอยู่ข้างในตัวเรานี่เองดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า concept เกี่ยวกับตัวเรา เป็นชุดปฏิบัติการที่รอการปฏิบัติ และ the land คือ workshop หลายมิติที่พร้อมจะรองรับปฏิบัติการของเราแต่ละคน  และ - - ย่อมมีการเปรียบเทียบเป็นธรรมดาเพราะ the land ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างที่บางคนคิดว่าควรจะมี หรือควรจะเป็น บางคนคิดว่า the land น่าจะเป็นชุมชนต้นแบบเกษตรกรรมธรรมชาติ เศรษฐกิจพอเพียง หรืออย่างน้อยก็มีแหล่งอาหารตามธรรมชาติที่สมบูรณ์กว่านี้ แต่ผมกลับเห็นต่างออกไปthe land มีเสน่ห์เพราะมันเป็นพื้นที่ทดลอง ผู้เข้าร่วมโครงการมีสิทธิ์จะทดลองใช้ชีวิต ทดลองงานความคิด หรือ ทดลองปฏิบัติการบางอย่าง ซึ่งคุณไม่อาจไปทดลองในพื้นที่อื่นได้ concept ของที่นี่จึงไม่ควรจะเป็นอย่างอื่นเราอาจทดลองทำการเกษตร แต่ที่นี่ไม่ควรกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานด้านการเกษตรเราอาจทดลองสร้างงานศิลปะ แต่ที่นี่ไม่ควรกลายเป็น galleryเราอาจทดลองนั่งวิปัสสนา แต่ที่นี่ไม่ควรกลายเป็นสถานปฏิบัติธรรมผมรู้สึกกับ the land อย่างนั้น จึงมาที่นี่ด้วยความสมัครใจและสบายใจ ผมเห็นป๊อบทดลองทำราวตากผ้าจากไม้ไผ่ เห็นน้อยเนื้อทดลองจับปลาด้วยบุ้งกี๋ เห็นเน้ตทดลองทำกล้วยตาก เห็นไม้ทดลองปลูกผัก เห็นพี่ทอมทดลองเพื่อการทดลอง และเห็นว่ามีหลายคนพร้อมจะทดลองทานอาหารที่ผมทำ แต่ละคนล้วนสนุกกับการทดลอง  แต่ละคนล้วนได้ประสบการณ์จากการทดลองความต่างของปัจเจกที่มาอยู่รวมกันจึงคล้ายพรรณไม้หลากสีในระบบนิเวศน์เขตร้อน ขณะที่ความคิดรวมหมู่ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การทดลองและการสร้างสรรค์ เป็นพลังงานเข้มข้นที่รอการเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมทั้งที่เห็นด้วยตา และเห็นด้วยใจใครจะรู้ - - การทดลองบางอย่างอาจจะสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่ล้วนเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆผมจึงตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นการทดลองใหม่ๆ ที่ the land ชุมชนทดลอง    experimental communityโอกาสทดลอง    chance to tryชีวิตจริง        real life----------[1] มูลนิธิที่นา > www.thelandfoundation.org [2] แนวคิดเรื่อง ประสบการณ์ จาก “สนทนากับพระเจ้า (Conversation with God)”, Neal Donald Walsch ; รวิวาร โฉมเฉลา แปล