กิตติพันธ์ กันจินะ
มาถึงเชียงใหม่แสงแดดยามเช้าตรู่ ปลุกให้ผมตื่นจากการหลับใหล – เวลาทั้งคืนที่ผ่านมา, ผมนอนไม่ค่อยหลับ กระวนกระวายใจ และไม่เป็นอันหลับอันนอน ไม่รู้ว่าพี่บัวจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเป็นจะตายยังไง เป็นเรื่องที่คิดมาตลอดเส้นทางพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรงกับฝั่งที่ผมนั่งบนรถ พนักงานบริกรประจำรถพาร่างเล็กๆ ของเขาหยิบข้าวของขนมหวานนมกล่องให้ผู้โดยสารแต่ละคน “ท่านผู้โดยสารทุกท่าน เรายินดีนำท่านมาสู่จังหวัดเชียงใหม่....” พนักงานหญิงแจ้งข่าวแก่ผู้โดยสาร ด้วยท่าทีกระฉับเฉงอรชร เชียงใหม่เช้านี้ ท้องฟ้าไม่ค่อยมีเมฆมาก พระอาทิตย์สีแดงที่เส้นขอบฟ้า ปล่อยแสงแสบปวดตา ผมลงจากรถทัวร์คันใหญ่ เดินมุงหน้าไปหารถแดง เพื่อโบกไปยังบ้านเพื่อนที่เชียงใหม่เรื่องที่เกิดขึ้นผมเข้ามาถึงบ้านเพื่อนไม่นานก็รี่เข้าไปหาปลั๊กไฟสำหรับชาร์ทแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือคู่ใจ เพื่อที่จะโทรกลับไปหาเต้ยเพื่อติดตามอาการของพี่บัวเสียงสัญญาณรอสายดังไม่ถึงสองครั้ง “เออ พี่เมื่อคืนตัดสายทิ้งทำไมอ่ะ” เต้ยรีบพูด“โทษๆ เมื่อคืนแบตมือถือหมด” ผมตอบรับและถามว่า พี่บัวเป็นไงบ้าง“ช่วยไม่ได้แล้ว พี่ต้องทำใจแล้วละ ตอนนี้ทุกคนอยู่นี้หมดเลย” เสียงเศร้าของเต้ยบอกให้ผมทำใจ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น“จริงเหรอ! หมอช่วยไม่ได้เลยเหรอ”“อืม.....เขาก็คงทำเต็มที่แล้ว”“แล้วพ่อแม่พี่บัวรู้หรือยัง เขามาหรือยัง”“ยังไม่รู้มั่ง เพราะไม่เห็นใครมาเลย ตอนนี้พวกเราก็อยู่กันเต็มเลย” “แล้วเกิดอะไรขึ้น สรุปแล้วใครยิงพี่บัว” เต้ยเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “ได้ข่าวว่ามีคนยิงผิดตัว เพราะมีคนตั้งค่าหัวไอ้โจ้แต่เข้าใจว่าคนเก็บมันเก็บผิดคน เลยโดนพี่บัว”“โดน.....” “ก็โดนที่หลังเต็มๆ เลยไง นัดเดียว กำลังกินข้าวอยู่ข้างทางกับไอ้นัน”“ตอนนี้ผมว่ามาดูอาการพี่บัวดีกว่า ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ แล้วค่อยว่ากัน”“อืมๆ ได้ๆ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะ” ผมวางสายเสร็จ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า และมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลด้วยความระทมใจเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลผมมาถึงโรงพยาบาล ไม่ทันจังหวะที่เกิดเรื่องเรื่องของเรื่องคือ พอวางสายจากผม เต้ย กับเพื่อนๆ หลายคนที่มาเฝ้าพี่บัวก็ถูกพ่อแม่ของพี่บัวต่อว่า ทุกๆ คนออกมาอยู่ที่ด้านนอกโรงพยาบาล เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่“มาถึงก็บอกว่าที่พี่บัวเป็นอย่างนี้ก็เพราะพวกเรา บอกว่าติดเพื่อนมากไป ไม่กลับบ้าน ไม่ใส่ใจอะไรมากมาย แล้วแม่เขาก็บอกว่าเพราะพวกเราพี่บัวเลยโดนยิง” เต้ยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่แม่พี่บัวต่อว่า ด้วยน้ำเสียงน้อยใจ“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนกัน” ผมสงสัย “คงอยู่ด้านใน พี่บัวไม่รอดแน่เลยพี่” เต้ยเสียงสั่นผมรีบบึ้งรถมอเตอร์ไซค์จากด้านนอกโรงพยาบาลไปยังด้านในอาคารแล้วรีบขึ้นไปหาพี่บัวที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทำให้ต้องรอลิฟต์นานเอาการผมรอไม่ไหวจึงรีบขึ้นบันไดไปยังชั้น 4 ที่ด้านหน้าห้องไอซียู มีผู้ใหญ่สองคน นั่นคือพ่อและแม่ของพี่บัว“อ้าว ว่าไงเรา ไปไหนมา ไม่เห็นหน้าเลยนะ” หญิงวัยกลางคนถามผม ด้วยความที่เคยเจอกันหลายครั้ง จึงจำหนาค่าตาผมได้ “ผมพึ่งกลับจากกรุงเทพครับ รู้ข่าวเมื่อคืนจากเพื่อนๆ ครับ” ผมตอบกลับ“ไอ้เด็กพวกนั้นเหรอ” พ่อร่างโตหน้าตาเคร่งเครียดถาม“คะ..ค...ครับ” “เพราะพวกนั้นแหละบัวเลยโดยแบบนี้” น้ำเสียงใหญ่ของพ่อพี่บัวบอกถึงความโกรธในใจ “แต่ผมว่าไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ พวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน ทุกคนรักและรู้จัก เคยกินอยู่กับพี่บัวด้วยกัน เหมือนกันกับผม” “แต่ดูแต่ละคนสิ แต่งตัวไม่ดี ผมยาวรุงรัง สักเต็มตัว แล้วจะเป็นคนดีได้ยังไง” แม่ให้เหตุผลอืม...คนดีไม่ดี มันดูกันภายนอกหรือยังไงครับ – ผมคิดในใจก่อนพูดออกมาว่า “ดีครับ ไม่อย่างนั้นเขาจะมาหาพี่บัว มาเฝ้าอาการที่โรงบาลเหรอครับ” พ่อกับแม่พี่บัวนิ่ง ไม่พูดอะไรออกมาอีกผมชวนทั้งสองคุย “แล้วตอนนี้อาการล่าสุดของพี่บัวเป็นยังไงบ้างครับ ได้ยินว่าโอกาสรอดยากมาก” “อืม คงช่วยไม่ได้แล้วละ โดนยิงเต็มๆ ที่ด้านหลัง รู้ว่าหมอพยายามช่วย แต่คงไม่รอดอย่างที่เขาบอก” แม่หยิบผ้าเช็คหน้าปาดน้ำตาที่ไหลออกจากเบ้าพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เขายืนมองภายในด้านในห้องผู้ป่วย“ทำใจเย็นๆ ไว้นะครับ” ผมให้กำลังใจคุณแม่“เพราะแม่เองที่ไม่ดูแลเขา ฮือ....แม่ไม่น่าจะทำแบบนั้นกับบัวเลย” แม่ว่าร้ายเข้าตัวเอง“ผมว่าไม่ต้องว่าใครผิดใครถูกครับ ทุกอย่างเป็นไปตามชะตาชีวิตแล้วและครับ” ผมเริ่มตั้งสติทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดครู่หนึ่ง หมอสูงอายุในชุดขาว ผ้าคุมปาก เดินมาทางพวกเรา“ผมเสียใจด้วยนะครับ ลูกของคุณท่านสองสิ้นใจแล้ว……”คุณหมอพูดสั้นๆ แม่พี่บัวล้มลงกับพื้นผมรีบเข้าไปประคอง ส่วนคุณพ่อยังมีทีท่าสงบไม่พูดคุยอะไรนอกจากจะเดินไปคุยอะไรบ้างอย่างกับคุณหมอส่วนผมก็ค่อยๆ พยุงแม่พี่บัวไปหาเก้าอี้ น้ำตาผมไหลออกมา แล้วรีบโทรศัพท์ไปบอกเต้ยกับเพื่อนๆ “ว่าไงพี่” เต้ยรับสาย“แก… พี่บัวไปแล้ว” เสียงสั่นไหวไปทั่วลำคอ“ผมจะรีบไปหาพี่” เต้ยรีบวางแล้ววิ่งมายังห้องไอซียูแด่พี่ที่พรากลาหมอไม่สามารถช่วยชีวิตของพี่บัวได้ จนในที่สุดเขาจึงได้จบชีวิตลงก่อนเวลาอันควร พ่อ แม่ ของเขา และพวกเรา พี่น้องเพื่อนฝูง เศร้าและเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไป ตำรวจชุดใหญ่ถูกตั้งขึ้นเพื่อสืบสวนสอบสวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พ่อแม่ของพี่บัว เตรียมการจัดงานฌาปนกิจศพของลูกด้วยความโศกอาดูร ที่งานศพของพี่บัว ผมช่วยงานทุกคืน พวกเราทุกคน, คนที่ใครๆ เรียกว่าเด็กแก๊งมางานศพของรุ่นพี่ด้วยความอาลัย และระลึกถึงรุ่นพี่ด้วยความคำนึงหา หนังสือเล่มใหญ่หนากว่าร้อยหน้าที่พี่บัวเขียนถึงคนแต่ละคนที่เขารู้จัก ทั้งเพื่อนฝูง ญาติ พี่น้อง ครูบาอาจารย์และคนอื่นๆ อีกมากมาย – ผมไม่รู้ว่าพี่บัวทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่อย่างน้อยก็ได้ทำในสิ่งที่เขาหวังและฝัน ชีวิตของคนเราเกิดขึ้น มีชีวิตและต้องจากโลกไปด้วยวัฎจักรของชีวิตตามหลักสัจธรรม คนอย่างพี่บัว เป็นคนที่น่าจดจำในฐานะพี่ เพื่อน ที่ทำให้ผมได้เข้าใจ เข้าถึง ชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมตราหน้าว่าไม่ดี แต่ผมว่าคนเราไม่มีใครดีจริงหรือเลวสุดๆ ไม่มีขาว ไม่มีดำ คนอย่างเรา, ก็แค่คนสีเทาคนหนึ่งเท่านั้นเอง