หลังจากผู้เขียนถูกสายลับพม่าติดตามครั้งแรกทำให้ผู้เขียนเริ่มระวังตัวมากขึ้นในการเดินทางไปพม่าครั้งต่อมา ประสบการณ์ทำงานประเด็นพม่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ผู้เขียนเริ่มเข้าใจวิธีการทำงานของสายลับพม่ามากขึ้น ถ้าจะลองแบ่งประเภทสายลับพม่าจากประสบการณ์ที่เคยพบก็พอจะแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน กรุณาอย่านำไปใช้อ้างอิงทางวิชาการ) คือ สายลับแบบทำงานเต็มเวลา (full- time) กับสายลับแบบชั่วครั้งชั่วคราว (Part-time)
สายลับประเภทแรกอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งตามภาษาบ้านเราว่า "สันติบาล" สายลับประเภทนี้จะแต่งกายแบบชาวบ้านทั่วไปเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามอง สิ่งที่สังเกตได้ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ก็คือ "พฤติกรรมแปลก ๆ" เช่น การเดินตามผู้เขียนในรัศมีที่มองเห็นหรือสัมผัสได้ว่ามีใครบางคน (บางทีก็หลายคน) ติดตามอยู่ การยืนจับกลุ่มกันจ้องมองมาทางผู้เขียนในทิศทางเดียวกันหมด หรือการนั่งจับกลุ่มกันเงียบ ๆ ในรัศมีใกล้ชิดกับผู้เขียนเพื่อแอบฟังบทสนทนาระหว่างผู้เขียนและเพื่อนร่วมเดินทาง เช่น เมื่อครั้งเดินทางไปเมืองเมาะละแหม่ง (เมาะลำไย) ทางภาคใต้ของพม่า ผู้เขียนและเพื่อนร่วมทางรวมห้าคนถูกสันติบาลพม่าสามคนตามมาที่โรงแรม
สิ่งที่สังเกตได้คือ ชายทั้งสามคนแต่งกายด้วยชุดโสร่ง ไม่มีกระเป๋าเดินทางเหมือนแขกทั่วไป และคอยจ้องมองมาทางพวกเราตลอดเวลา ถ้าพวกเราไปนั่งกินข้าวเช้าในห้องอาหารของโรงแรม พวกเขาก็จะมานั่งโต๊ะติดกันแบบเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรเลย เหมือนกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเราคุยกัน พวกเราจึงสันนิษฐานว่าชายกลุ่มนี้น่าจะเป็นสันติบาลที่คอยติดตามนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้มากับกรุ๊ปทัวร์ โดยทางโรงแรมคงทำหน้าที่ "ส่งข่าว" ให้เหมือนที่เคยเจอเมื่อครั้งไปรัฐฉานครั้งแรก และเพื่อความปลอดภัย พวกเราจึงใช้ "รหัสลับ" ที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ในการพูดคุยกันเวลาอยู่ต่อหน้าสันติบาลพม่า เช่น ใช้คำว่า "สัปปะรด" เวลาต้องการพูดถึง "สันติบาล" หรือใช้คำว่า "พ่อหลวง" แทน "รัฐบาลทหารพม่า" เป็นต้น
อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนอาจเกิดคำถามว่า ทำไมต้องใช้รหัสลับในการพูดคุย เพราะสันติบาลพม่าจะเข้าใจภาษาไทยได้อย่างไร คำตอบก็คือ สันติบาลจะต้องเรียนภาษาท้องถิ่นในพื้นที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ เช่น เมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยก็มักจะมีสันติบาลพม่าที่ฟังภาษาไทยออก หรือเมืองที่มีประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่ สันติบาลที่อยู่ประจำพื้นที่นั้นก็จะต้องเรียนรู้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นหากสามารถฟังภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ หรือบางครั้งสันติบาลก็อาจเป็นคนจากกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ๆ เองก็มี
เมื่อครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปรัฐฉานครั้งแรก ผู้เขียนเคยคุยกับครูสอนภาษาไทยใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งถูกบังคับให้เป็นครูสอนภาษาไทยใหญ่ให้กับทหารพม่าที่มาประจำเมืองนั้น เนื่องจากเวลาที่คนไทยใหญ่มีประชุมทางวัฒนธรรมเกินกว่า 5 คนจะต้องยื่นขออนุญาตทางการพม่าก่อนและจะมีสันติบาลเข้าร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง
จากประสบการณ์ของผู้เขียน หากสันติบาลเป็นชาวพม่าแท้ที่ไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์ท้องถิ่น คนที่ถูกติดตามจะสังเกตได้ง่ายเพราะมีความแตกต่างกันทางสีผิวและสำเนียงพูด แต่ในกรณีที่สันติบาลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ๆ เลย อันนี้น่ากลัว...เพราะหลายคนอาจเผลอไว้ใจ ไม่ทันระวังคำพูด และอาจถูกจับได้ง่ายกว่า
ผู้เขียนเคยรู้สึกเสียวสันหลังวาบหลังจากที่พูดคุยกับคุณลุงชาวไทยใหญ่ท่านหนึ่งและเผลอไปซักถามเกี่ยวกับเสรีภาพของชาวไทยใหญ่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ ชาวไทยใหญ่ท่านนั้นหันมาทำหน้าขรึมและพูดว่า "คุณรู้ไหมว่าถ้าอยู่ในพม่า อย่าถามคำถามประเภทนี้กับใคร ไม่ว่าคุณจะสนิทกับคนนั้นหรือไม่ เพราะคุณจะไม่มีวันรู้ว่า คนนั้นเป็นสายลับให้รัฐบาลพม่าหรือเปล่า และคุณรู้ไหมว่า ถ้าผมเกิดเป็นสายลับให้รัฐบาลพม่าขึ้นมา คุณจะเป็นอย่างไร...."
ฟังจบ ผู้เขียนรู้สึกใจเต้นตึกตักพาลจะเป็นลม เพราะหากชายตรงหน้าเป็นสายลับพม่าเข้าจริง ๆ คงถูกส่งเข้าซังเตพม่าแน่ ๆ ผู้เขียนยกมือไหว้ขอบคุณที่ได้รับคำตักเตือนและขอบคุณสวรรค์ที่ยังเมตตาให้คุณลุงไทยใหญ่ท่านนี้ไม่ใช่สายลับของทางการพม่า
เฮ้อ...หวิดเข้าคุกพม่าอีกแล้วสิเรา
ความเห็น
อยากเข
อยากเข้าไปนอนซังเตในพม่านักหรือหนูผึ้ง?(ฮา)
อย่าให้ก
อย่าให้กำลังใจแบบนี้สิ...แค่เห็นข่าวอองซานซูจีจะถูกส่งไปคุกอินเส่งยังรู้สึกกลัวแทน เพราะคุกแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าโหดมากที่สุด และรวมนักโทษการเมืองระดับหัวกะทิไว้ทั้งนั้น
รู้สึกว่
รู้สึกว่า อองซานซูจีจะผอมลงไปมากเลยนะครับ ผู้หญิงตัวเล็กๆไปทำผิดอะไรกันนะ ทำไมถึงโดนรัฐทบาลพม่าขังจนจะหมดลมหายใจแล้วเนี่ย คิดถึงอ้ายแสงดาว เน้อ ว่างๆจะไปออ ซิ ด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้บก เสมอครับ ถึงแม้ไม่เคยได้เจอแต่เข้ามาอ่านเสมอครับ
ขอนุญาตแ
ขอนุญาตแสดงความคิดเห็นที่อาจไม่เกี่ยวกับหัวเรื่องโดยตรง ..
เคยพบกับคุณผึ้งสมัยทำงานอยู่กรุงเทพฯ แอบทึ่งกับการทำงานของผู้หญิงตัวเล็กๆครับ ..
ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีโอกาสอุดหนุนสาละวินโพสต์เป็นครั้งคราวเวลาขึ้นเชียงใหม่ ว่าจะสมัครสมาชิกละ จะได้ไม่ต้องไปหาอ่านที่ไหน เผอิญสองสามวันนี้นึกถึงสาละวินโพสต์ขึ้นมาก็เลยลองเข้าเว็บมาดู และได้เข้ามาอ่านบล็อกนี้ ผมคงไล่อ่านย้อนไปและคงติดตามงานของคุณผึ้งต่อไปเช่นกัน :)
เมืองไทย
เมืองไทยเริ่มมีแล้วครับคุณวันดี
http://www.prachatai.com/05web/th/home/16882
วันดี กล่
วันดี กล่าวว่า ไม่ได้บอกว่าเผด็จการทหารเป็นการปกครองที่เลวร้าย แต่รูปแบบการใช้อำนาจเผด็จการใช้กันในทางไหน ถ้าหากว่ามีทหารประจำการอยู่ทั่วประเทศแต่ไม่มีการคุกคาม ไม่ได้กดขี่ข่มเหงประชาชน ถ้าเป็นแบบนี้แม้จะมีผู้นำ หรือผู้มีอำนาจ เป็นทหาร แต่เขามี คุณธรรม จริยธรรม ก็เป็นที่ยอมรับกับได้ เคยมีทูตในประเทศพม่าบอกว่ารูปแบบการปกครองในเอเชียหลายประเทศยังเป็นรูปแบบเผด็จการอยู่ แต่เขามีจริยธรรม ไม่ได้ข่มเหงประชาชน ซึ่งต่างไปจากพม่า จริงๆ แล้วประชาคมโลกคงไม่ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าหรอก หากเขามีความเห็นอกเห็นใจประชาชนของเขา ทำให้เขามองว่าเงินที่ได้มาจากการบริหารประเทศมาพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนการต่อต้านก็จะน้อยกว่านี้ อย่างกรณีนาร์กีสมีผู้ต้องการความช่วยเหลือเยอะ คนจะช่วยเหลือก็เยอะ ประเทศอื่นพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับเป็นรัฐบาลทหารพม่าที่ไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือและกีดกันตลอด ส่วนการช่วยเหลือที่ได้มาก็แบ่งเข้ากระเป๋าตัวเอง สิ่งเหล่านี้คงต้องติดตามกันต่อไป
เห็นการใ
เห็นการให้สัมภาษณ์คุณวันดีผ่านตาอยู่ แต่ไม่ได้อ่านเนื้อความ วันนี้มีเพื่อนฝูงหวังดีส่งคำสัมภาษณ์บางส่วนมาให้อ่าน เห็นแล้วตกใจไม่น้อย หลังจากที่ได้อ่าน คำถามตามมามากมาย โดยเฉพาะการที่คุณวันดียอมรับกับระบบเผด็จการทหาร จากบทสัมภาษณ์ของคุณวันดี อดสงสัยไม่ได้ว่า มีผู้นำเผด็จการ ทหารประเทศไหนบ้างที่มีคุณธรรม จริยธรรม ไม่กดขี่ข่มเหงประชาชนในประเทศ? ขอให้คุณวันดีช่วยยกตัวอย่างมาให้เห็นด้วยได้ไหมค่ะ
และในฐานะที่คุณวันดีเป็นบก.สาละวินโพสต์ งานที่ทำอยู่มีเป้าหมายเพื่ออะไร หากคุณยอมหรืเห็นด้วยเหมือนที่คุณอ้างประชาคมโลกมาว่า หากรัฐบาลเผด็จการทหารพม่ามีความเห็นอกเห็นใจประชาชน ก็จะไม่ต่อต้าน ?
ประเด็นท
ประเด็นที่ควรตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมจากเนื้อหา มี 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่ไม่ถูกต้อง และอยากให้ผู้เกี่ยวข้อง อาจเป็นคุณวันดี หรือคนจัดทำบทสัมภาษณ์นี้ มาเพิ่มเติม คือ
(เรื่องที่ 1) ตรงประโยคที่ว่า.... "วันดี ตอบคำถามผู้ดำเนินรายการ กรณีกลุ่มผู้อพยพชาติพันธุ์อื่นๆ ในพม่า โดยวันดีกล่าวว่าในประเทศพม่ามีการสู้รบกันเยอะผู้คนต้องอพยพบ่อย เมื่อมีการสู้รบเกิดขึ้นบ่อยเช่นนี้ การที่ทางการจะรับพิสูจน์สถานะจึงน้อยมากเนื่องจากต้องหนีตลอด ผู้ที่หนีจึงกลายเป็นผู้ไร้รัฐไร้แผ่นดินอยู่"
ในความจริงแล้ว เรื่องการสู้รบ กับ การพิสูจน์สถานะ เป็นคนละเรื่องกันเลย และไม่เกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำ
ข้อความที่ว่า - ในประเทศพม่ามีการสู้รบกันเยอะผู้คนต้องอพยพบ่อย อันนี้ถูก และเห็นด้วย
แต่ข้อความที่ว่า - เมื่อมีการสู้รบเกิดขึ้นบ่อยเช่นนี้ การที่ทางการจะรับพิสูจน์สถานะจึงน้อยมากเนื่องจากต้องหนีตลอด ผู้ที่หนีจึงกลายเป็นผู้ไร้รัฐไร้แผ่นดินอยู่ อันนี้ไม่ถูกแน่นอน
ลองอ่านเรื่องการพิสูจน์สถานะเพิ่มเติมได้ที่ http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=15573&...
จะได้เข้าใจมากขึ้น
ขอบคุณที
ขอบคุณที่ตั้งคำถามค่ะ เพราะจะได้แลกเปลี่ยนกันมากขึ้น จริง ๆ เรื่องข้อความที่ยกมา คงมาจากข่าวอีกข่าวอีกหนึ่งที่ทางประชาไทถอดเทปมาจากรายการวิทยุ มองคนละมุม เนื่องจากเป็นรายการวิทยุทีมีช่วงเวลาตอบคำถามเพียงสั้น ๆ ทำให้ไม่สามารถอธิบายบางเรื่องได้ชัดเจน
ขอตอบคำถามดังนี้นะคะ
เรื่องระบอบเผด็จการทหาร ดิฉันไม่เคยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อประชาชนทุกประเทศ แต่ความหมายของดิฉันก็คือ ทุกวันนี้มีหลายประเทศที่ยังปกครองด้วยเผด็จการทหาร แต่บางประเทศอาจถูกต่อต้านมากน้อยแตกต่างกันไป กรณีของพม่า ผู้นำขาดจริยธรรมอย่างรุนแรงทำให้มีประชาชนต่อต้านมาก สำหรับประเทศที่ผู้นำทหาร "อาจ" มีจริยธรรมต่อ "คนบางกลุ่ม" มากหน่อย ประเทศนั้นก็จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ได้ผลประโยชน์จากระบอบเผด็จการทหาร แต่ก็ยังมีประชาชนที่ถูกกดขี่ต่อต้านอยู่ดี โดยความเห็นส่วนตัว ดิฉันอยากให้พม่าเป็นประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างบริสุทธิ์อย่างแน่นอน แต่ประชาธิปไตยของแต่ละประเทศกว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่หรือคะ ถ้าระบอบเผด็จการทหารเข้มข้น เราก็คงต้องต่อสู้ยาวนานกว่ามันจะเจือจางลง ดิฉันยืนยันว่า...(มีต่อ)
(ต่อ) ดิฉั
(ต่อ) ดิฉันยืนยันว่า ไม่ต้องการเห็นพม่าปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารอย่างแน่นอนค่ะ
สำหรับคำถามเรื่องการอพยพจากการสู้รบและการพิสูจน์สถานะสัญชาติ ดิฉันอาจมีเวลาพูดสั้นเกินไป จริง ๆ แล้วการสู้รบจะทำให้เกิดผู้อพยพทั้งผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (Internal Displaced Persons หรือ IDPs)และผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน (refugee) ผู้พลัดถิ่นภายในที่ยังหลบอยู่ตามป่าเขาในชายแดนพม่าจะจึงขาดโอกาสได้รับการพิสูจน์สถานะว่าเป็นประชาชนของ "รัฐพม่า" หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พวกเขาก็จะไม่ได้รับสิทธิในการลงคะแนนเสียง จากประสบการณ์ที่เคยพบผู้พลัดถิ่นภายในบริเวณชายแดนรัฐกะเหรี่ยง สิ่งที่มีติดตัวคือเสื้อผ้าคนละชุดและเครื่องหุงหาอาหารที่จำเป็นในป่าเท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่น ๆ ไม่มีเลยและหมู่บ้านบางแห่งที่ถูกทหารพม่าเผาไปแล้วทำให้ไม่มีโอกาสพิสูจน์สถานะตนเองค่ะ ส่วนเรื่องใบแจ้งเกิดคงไม่มีแน่ ๆ เพราะทำคลอดเองที่บ้านค่ะ
ถ้าดิฉันตอบอะไรไม่ชัดเจนหรือให้ข้อมูลผิดไป รบกวนช่วยชี้แนะด้วยนะคะ ดิฉันจะได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น
ขอตอบเรื
ขอตอบเรื่องเป้าหมายของสาละวินโพสต์ว่า เพื่อให้คนไทยเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ "ประชาชน" ทุกกลุ่มชาติพันธุ์จากประเทศพม่าในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งค่ะ
ดิฉันเห็นว่า ข้อมูลที่คนไทยส่วนใหญ่รับรู้เกี่ยวประเทศพม่าผ่านสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หัวสีมักเป็นไปในเชิงลบ ทั้งที่จริงมีเรื่องราวแง่มุมอื่น ๆ เกี่ยวกับประเทศพม่าอีกมากมายที่เราน่าจะเรียนรู้ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับเรา จึงพยายามนำเรื่องราวต่าง ๆ มานำเสนอ ที่ผ่านมาก็ค่อย ๆ พัฒนาให้มันดีขึ้นท่ามกลางข้อจำกัดหลายอย่าง หากมีคำแนะนำอะไรก็อย่าลังเลนะคะ ถ้ามันทำให้หนังสือมีคุณภาพมากขึ้นและเราทำได้ก็จะรีบลงมือทำค่ะ
หนูผึ้ง
หนูผึ้ง อ้ายพูดแหย่เล่นบ่ดาย ต่อไปเข้าไปพม่าก็ระมัดระวังหน่อยเน้อ เผด็จการพม่าคงรู้แล้วว่า ผึ้งทำงานช่วยเหลือผู้อพยพ ... สาละวินโพสต์ ได้ช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้พี่น้อง ให้คนไทย และชาวโลกรับรู้ในความหฤโหด ของเผด็จการฟัสซิสม์ทหารเมียนม่าร์ ขอให้กำลังใจ พี่น้อง และผู้ทำงานช่วยเหลือพี่น้อง คับ
คนพม่าใน
คนพม่าในตลาดมหาชัย เสื้อแดงหลายคนครับ
เป็นผมก้
เป็นผมก้อคงตกใจมากเหมือนกันครับ เฮ้อ...น่ากลัวจริงๆ แต่สะใจคุณลุงมากครับ โดนใจจริงๆ...