ที่ผ่านมาผมพูดถึงการที่ดนตรีไม่ได้ทำให้ใครกลายเป็นปัจเจกเทียมก็แล้ว พูดถึงโลกอันหลากหลายหลังปี 1970 ก็แล้ว พูดถึงการที่ตัวดนตรี Serious Music หรือ Popular Music ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ Liberate อะไรโดยตรง (เว้นแต่วัฒนธรรมที่พ่วงมาด้วย จะว่าไป หากนับวัฒนธรรมที่พ่วงมาด้วย Popular Music น่ะ ช่วย “ปลดปล่อย” ผู้คนได้มากกว่าด้วยซ้ำ) ก็แล้ว
สำหรับในบทนี้ก็จะมาพูดถึงสิ่งที่อดอร์โนทำผิดพลาดมากที่สุด นั่นคือการปฏิเสธดนตรีป็อบโดยสิ้นเชิง ไม่ร่วมสังฆกรรมใด ๆ กับมันอีก เพราะเขาได้ตีกรอบมาแล้วว่าดนตรีป็อบมันย่อมเป็นอะไรที่ถูกทำให้มีมาตรฐานเดียวกัน (Standardize) และความที่มันมีมาตรฐานเดียวกันนี่เอง จึงไม่จำเป็นต้องไปตีความหรือวิจารณ์อะไรมันให้ยุ่งยาก เพราะมันล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตแบบโรงงานที่สร้างมาเพื่อบริโภคแล้วก็รับทุกอย่างไปเท่านั้น
ขอย้ำอีกครั้งว่า นี่คือความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดสำหรับอดอร์โน
ผมเชื่ออยู่ระดับหนึ่งว่า ศิลปะไม่ว่าจะแขนงไหน ป็อบหรือไม่ป็อบยังไงก็ตามแต่ มันมีส่วนในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ อยู่ทั้งนั้น แต่ไม่ถึงขั้นล้างสมองหรือทำให้ผู้คนเกิดยึดถือในมาตรฐานเดียวกันไปหมดได้
การจะทำให้ผู้คนยึดถือมาตรฐานเดียวกันหมด (Standardization) มันเกิดจากการเรียนรู้ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับคน ๆ นั้นก็มีส่วนในตรงนี้
พิธีกรรมยืนเคารพธงชาติ การยืนในสถานการณ์อื่น ๆ ข่าวที่มาเวลาเดิมทุกวัน ภาพ เพลง และชุดสีเดียวซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะถ่ายโอนลงในหัวใครได้ทันทีทันใดแบบการโหลดไฟล์ลงคอมพิวเตอร์ แต่มันเป็นเหมือนไวรัสที่ค่อย ๆ แอบครอบครองพื้นที่ความคิดของเราอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอย่างแนบเนียน
แต่กระนั้นก็น่าสงสัยว่าสิ่งที่ผมเพิ่งกล่าวถึงข้างต้น (และไม่ควรกล่าวถึงบ่อย ๆ หากยังรักตัวกลัวตีน) น่าจะเรียกว่าเป็น 'วัฒนธรรมป็อบ' ได้จริงหรือไม่
เพลงของแกรมมี่ อาร์เอส เราสามารถวิพากษ์วิจารณ์มันได้ในที่แจ้ง อาจจะต้องระแวดระวังแฟนคลับแบบสุดโต่งสักเล็กน้อย (แฟนคลับที่ดี ๆ น่าคบหามันก็มี) และถึงแม้ว่าเราจะถูกคุกคามทำร้ายเพียงเพราะวิพากษ์วิจารณ์เพลงป็อบที่คนส่วนใหญ่ชอบ กฏหมายก็พร้อมจะคุ้มครองเรา
แต่กับสิ่งที่ผมได้กล่าวถึงไป (และไม่ควรกล่าวถึงบ่อย ๆ หากยังไม่อยากถูกยัดข้อหา) นั้น วิพากษ์วิจารณ์ในที่แจ้งแทบไม่ได้ และหากเราถูกคุกคามทำร้ายเพราะวิพากษ์วิจารณ์ “…” ล่ะก็ กฏหมายในปัจจุบันก็คงไม่ปราณีเราแน่
น่าสงสัยว่า สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้นั้น ควรจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมป็อบ (หรือวัฒนธรรมมวลชน) จริง ๆ หรือ เพราะดนตรีที่เป็นวัฒนธรรมมวลชนจริง ๆ นั้น ไม่ว่ามันจะถูกผลิตมาจาก นายทุนใหญ่ (อาเฮีย อากู๋ ฯลฯ) หรือ นายทุนน้อย (อินด้ง อินดี้) มันก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้คน 'เลือก' เข้าถึงมันได้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อหรือทัศนคติแบบใด ไม่จำเป็นต้อง “ยัดเยียด” เปิดตามระบบขนส่งมวลชนที่ล้ำสมัยขัดกับเนื้อหาเพลง
พูดแบบทุนนิยมกระแสหลักเลยก็ได้ ว่าเพลงของ Pink Floyd สำหรับบางคน (รวมถึงผมเอง) อาจกลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะทั้งรูปแบบทางดนตรีที่ถูกจริตและเนื้อหาที่ “ตอบสนอง” ความรู้สึกพวกเขาได้ แต่นั่นเป็นเพราะเขาถูกยัดเยียดหรือเปล่า หรือว่าเขาได้ “เลือก” มันเองกันแน่
ขณะเดียวกัน Pink Floyd สำหรับบางคนอาจเป็นแค่ดนตรีที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ (น่าจะใช้คำว่า “ไม่อิน” จะถูกกว่า) แต่ก็เป็นเพียงเพราะมัน “ตอบสนอง” คนบางกลุ่มไม่ได้ คนกลุ่มนี้ไม่ได้ดีหรือเลว โง่หรือฉลาดกว่าใคร และหากเขาไม่ต้องการสิ่งที่ตอบสนองเขาไม่ได้ เขาก็แค่ “ไม่เลือก” มันเท่านั้นเอง
ความเชื่อหรือทัศนคติที่แตกต่างกันจะนำมาซึ่งการวิจารณ์ และการสามารถวิจารณ์ได้อย่างไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เป็นคุณสมบัติที่มีค่ายิ่งของวัฒนธรรมป็อบ การวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความเห็นโต้ตอบได้นี่แหละ ทำให้มันเป็นศิลปะ เป็นวัฒนธรรมของ “มวลชน” เป็นสิ่งที่ “สาธารณะ” อย่างแท้จริง
เพลง “มอเตอร์ไซค์รับจ้าง” ของ โลโซ อาจทำให้ใครบางคนเปลี่ยนทัศนคติมามอง วิน-มอเตอร์ไซค์ในแง่ดีขึ้น ขณะที่บางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ร้าย ๆ จากคนทำอาชีพนี้มาก่อน เลยรู้สึกว่าเพลงนี้ไม่น่าเชื่อถือ แม้ทั้งคู่จะเห็นอะไรต่างกันในเพลง ๆ เดียว แต่หากพวกเขาแสดงความคิดเห็นกับมันร่วมกันได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
คนเราย่อมมีวิจารณญาณของตนเอง และการที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ มันยังทำให้เกิดการโต้ตอบกับเพลง ๆ นั้น แล้วเรายังสามารถเอาไปถกเถียงกับคนอื่น ๆ ที่ฟังเพลงเดียวกันได้ ทำให้ผู้ที่ฟังเพลงนี้ล้วนแต่เป็นผู้บริโภคที่แอคทีฟ ไม่ได้เป็นแค่ผู้บริโภคแบบสมยอมรับความคิดมาโดยไม่มีการคัดคานแบบที่อดอร์โนว่ามา ไอ่สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้นี่สิ…น่ากลัว
การเมินเฉยโดยสิ้นเชิงต่อดนตรีป็อบซึ่งเป็นอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม รวมถึงเป็นวัฒนธรรมมวลชน จึงไม่ใช่ทางออกอย่างแน่นอน
หากในพื้นที่ของการเมืองมีเรื่องของระบบตรวจสอบจากแนวราบ มีเรื่องของประชาสังคมในการคัดค้านหรือผลักดันนโยบาย ในพื้นที่ของวัฒนธรรมก็มีการวิจารณ์ การแสดงความเห็น ไม่ว่าจะจาก So-Called professional อย่างนักวิจารณ์ , นักวิเคราะห์ , นักวิชาการ ฯลฯ หรือจากคนทั่วไป (แบบที่เรียกว่า Civil Report) ทั้งหลาย ซึ่งไม่ว่ามันจะผิดจะถูก จะฟังดูโง่หรือฟังดูฉลาดยังไง ก็เป็นเสียงที่มีคุณค่าในตัวมันเอง เพราะอย่างน้อยมันก็มาจากประชาชน
ปัญหาต่อมาคือ เราจะทำยังไงให้เสียงของผู้คนเป็นที่รับฟังโดยเท่าเทียม ไม่ว่ามันจะมีอคติ จะชี้นำ จะมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือจะไปขัดใจใคร เพราะมนุษย์ปุถุชนทุกคนล้วนแต่ยังมีอคติ มีการชี้นำในแบบของตนเอง มีการใส่ใจเรื่องผลประโยชน์ (บางคนอาจสำคัญถึงขั้นเป็นเรื่องของปากท้อง การอยู่รอด) แต่ทั้งหลายเหล่านี้คือความเป็นมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้าผืนเดียวกัน ไม่ได้มีใครอยู่เหนือฟากฟ้าของใคร
งานเขียนของอดอร์โนรวมถึงบทความของผมเอง ก็ล้วนอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้ด้วย ทั้งผมและอดอร์โนต่างก็ชี้นำผู้อ่านอยู่ในแบบของตัวเอง แต่ผู้อ่านไม่ใช่หุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์ ทั้งผมและอดอร์โนจึงไม่อาจป้อนข้อมูลชี้นำใครได้ 100% ทุกคนมีวิจารณญาณ มีทัศนคติดั้งเดิมที่ต่างกัน (จากการเรียนรู้ตั้งแต่กำเนิด) และมีเจตจำนงเสรีของตัวเอง
สิ่งที่ผมเพ้อฝันเอามาก ๆ คือจะทำอย่างไรให้คนยอมรับความต่างเหล่านี้ได้ โดยที่ไม่มีความต่างของใครลอยอยู่เหนือฟากฟ้า จนกลายเป็น “ความต่าง” ที่ดีกว่าของคนอื่น และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ อะไรก็ตามที่มันลอยอยู่เหนือฟากฟ้ามันก็จะสร้าง “ความเหมือน” ขึ้นมาให้ต้องยอมรับแต่โดยดี เพราะว่ามันวิจารณ์ไม่ได้ โต้ตอบไม่ได้ … ในที่แจ้ง
ขอขอบคุณทุกท่านที่ (ทน) อ่านการโต้แย้งอดอร์โน (แบบฝ่ายเดียว เอาเปรียบคนที่ตายไปแล้วน่าดู :P ) มาจนถึงตอนจบ
จะ “เห็นชอบ” หรือ “เห็นแย้ง” อย่างไร ประเด็นไหน
เชิญวิจารณ์ และระบาย ได้ตามสะดวก
;)
ความเห็น
มรึงไม่ต
มรึงไม่ต้องหาเหตผลถกเถียง แลกเปลี่ยนส้นตีนไรหรอก
ต่อยกันดีกว่า
นี่แหละที่ผู้เจริญแล้วและมีประชาธิปไตยเขาทำกัน (สส ไต้หวัน สส เกาหลี สว ไทย สมัยรับเลือกยังมีแอบห้าว)
1. ไม่รู้ด
1.
ไม่รู้ดิ แต่กรูรู้สึกว่าพื้นที่ของคนจนกับคนชนกลางในการแสดงออกถึงความชอบ ไม่ชอบ ศิลปะไม่ค่อยเท่าเทียมกัน และดูเหมือนว่าชนชั้นกลางที่ดูแนวๆ มักจะเป็นผู้ผูกขาดและชี้ขาดว่าอะไรคือศิลปะที่วิเศษสุด เหนือคนอื่น เหนือศิลปะแมสที่นายทุนหลอกแดกคนจน
พวกอินดี้มันอาจจะไม่ได้ดูถูกคนจนตรงๆ โต้งๆ แต่การกระทำ การบริโภค การสร้างกลุ่มพูดคุยของพวกมันขึ้นมาเอง ในสายกรูก็ดูเหมือนมันละเลยที่จะพูดถึง ศิลปะคน ยาก
มรึงกับกรู (สนิทกับคนเขียนพอสมควร) จำได้ป่าว ที่เคยขอเพลง 14 อีกครั้งของโลโซ ในผับแนวๆ ที่เล่นแต่เบเกรี่ เขามอบเพลงนั้นให้เราไหม แทบต้องไปกราบตีนมัน กว่ามันจะเล่นคนก็ไม่มี และเล่นแบบขำๆ (เหมือนว่าคนชอบโลโซนี่มันเป็นคนอีกระดับกับพวกมัน)
อย่างน้อยนายทุนทำหนังทำเพลงตลาง เจ๊แดง สุรางค์ เปรมปี ช่อง 7 เจ๊ไก่ วรายุทธ มะลินทะจินดา พี่พจน์อานนท์ คนเหล่านี้รู้จักหากินกับมวลชนส่วนใหญ่ และเขาเคารพมวลชนส่วนใหญ่ มากกว่าไอ้พวกอินดี้ที่กรูโจมตีมาตลอดเวลา (เด๋วจะพิมพ์ต่อตัวอักษรจะหมด)
2. กรูก็เ
2.
กรูก็เข้าใจพอสมควรกับวัฒนธรรมทางเลือก อิสระเสรี การเลือกที่จะคิดหรือจะทำอะไร แต่สิ่งที่กรูสนใจมากกว่าคือคนที่ไม่สามารถหาวัฒนธรรมทางเลือก อิสระเสรี การเลือกที่จะคิดหรือจะทำอะไร มาประดับบารมีตนเองได้ คนจนไม่มีเคเบิ้มทีวี ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่อ่านจุลสารใต้ดินเก่วกับหนังกับเพลง
คนจนเหล่านี้เสพย์สื่อตลาดทั่วไป แล้วอินดี้เลือกที่จะไม่เสพย์สิ่งเหล่านี้
ทำไมอินดี้ ชนชั้นกลางไม่เลือกจะเสพย์สื่อตลาด ให้กรูแลกเปลี่ยนมันก็มีสองอย่างคือ
1 มันบรรลุธรรม ค้นหาอสระเสรี ต่อต้านนายทุน เพื่อหาอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ปลดปล่อยมนุษยชาติ หรือไม่หาเหี้ยอะไร แค่อยากเป็นตัวของตัวเอง (วลียอดฮิตที่เอาไว้หลอกแดกวัยรุ่น)
2 มันแค่อยากทำตัวให้เหนือกว่าคนจนเท่านั้น ไม่มีเหี้ยอะไรแอบแฝง
(เด๋วมาขยายความต่อ)
3 การบริ
3
การบริโภคงานศิลปะมันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและชนชั้นเท่านั้น กูไม่รู้ว่าศิลปะคืออะไร แต่ที่กรูรู้ได้คนจนไม่ได้ซีเรียสจะเป็นจะตายมาวิเคราะว่าอันไหนน่าดู องค์ประกอบภาพ การเค้นความรู้สึก สิ่งเฝงเร้น สัญลักษณ์ ในเพลงในหนังส้นตีนมีอะไรบ้าง
ไม่เหมือนชนชั้นกลางพยายามตีความเพื่อตอบสนองคนทำ ที่ชอบจะแฝงสันตีนอะไรเข้าไป แล้วไอ้พวกนี้ชอบทำตัวเหนือผู้จัดละครตลาดๆ หรือพี่ดรี้นิติพรงษ์ ที่ชอบแฝงธรรมมะ คติพจ ทำดีได้ดี
พวกมันจะชอบว่าพวกมันแฝงอะไรได้ดีกว่าพวกตลาด ไอ้พวกอินดี้ส้นตรีนน่ะ
แต่ไม่มีอะไรหรอก ไม่ได้หลุดกรอบอะไร คนทำงานศิลปะตลาดตอบสนองผู้บริโภคของเขา แม่ค้า คนจน เด็กมัธยม
ไอ้แสงสะหัดสะวัด ไอ้เป็นเอดส์ รัตตะนะเรื่อง ไอ้อะพาทเม้นส้นตรีน ไอ้พวกนี้ก็ทำงานตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคของพวกมันแหละ ไม่ได้วิเสดไปกว่าพจอานน พี่ไก่วรายุท
กลุ่มผู้บริโภคอินดี้มันมีกำลังซื้อสูง ดูถูกคนจน บางครั้งจะแก้ตัวว่าไม่ได้ดูถูก เพียงแต่ไม่สนใจคนจนเท่านั้น ไม่พูดถึง
4 อีกอย่
4
อีกอย่างพวกมันดัดแปลงและต่อสู้กับกรอบไม่ค่อยเป็น
ดูละครช่องเจ็ดสมัยก่อนดิ ตอนเขาจะเมคเลิฟกันเขาค่อยๆ แพนกล้องมาที่แสงเทียน
ส่วนหนังอินดี้ ด่าเจ้าหน้าที่จะเป็นจะตาย เช่นสมมติว่าพวกมันไม่สามารถเสนอรูปครวยในหนังได้ โดนเซนเซอร์ แล้วเสือกมาเรียกร้องจะเป็นจะตาย ขอร้องนะครับรูปครวยในหนังโรงเนี่ยพ่อมรึงเขาให้ออกได้หรือ?
แล้วไอ้พวกส้นตรีนพวกนี้ตอนรัดถะประหารพวกมึงหายหัวไปไหนกัน พวกมรึงอวดอ้างว่าพวกมึงเป็นแนววัฒนธรรมทางเลือก อิสระเสรี การเลือกที่จะคิดหรือจะทำอะไรก็ได้
แต่แค่เรื่องประชาธิปไตยพื้นฐานพวกมรึงยังไม่รู้เรื่อง หนำซ้ำยังไปขึ้นเวทีพันธมิตรดูถูกคนจนอีก กรูจำได้นะไอ้สันตีนอะพาร์ทเม้น หนอยเป็นอนาธิปไตย ด่าเป็นแต่นายทุนละวะ ส่วนศักดินา กับสนธิลิ้ม วิ่งไปเลียส้นตีนเขาแผล่บๆ ไอ้ปัญญาอ่อน
ไอ้พวกนี้จิตสำนึกเสรีภาพมันยังมีน้อยกว่าคนที่พวกมันดูถูก คนจน นปก เสียอีก
ไอ้พวกอินดี้หน้าส้นตีน
กรูเห็นด
กรูเห็นด้วยกับบทความมาตลอด แต่กรูขอยืมพื้นที่ด่าพวกชนชั้นกลางหน่อย
เพ่ "
เพ่ " เกรียนสาด ชามะนาว " ไปบริโภคอารายยมา ถึงได้เกรี้ยวกราดขนาดนี้ สนทนาประสาธรรมกันดีๆก้อด้ายยยย
แล้วชีวิตจักไม่เครียด จักงดงามขึ้น นะ พี่
ขอบคุณนะ
ขอบคุณนะที่น้องผู้กองแป้ง
แต่ละคนเขามีความสุขแตกต่างกันไป สุภาพ ถ่อย เถื่อน
ในอินเตอร์เนตใครจักทำอะไรก็ทำได้
ชีวิตไม่จำเป็นต้องงดงามตลอดเวลา ด้านมืดมันมีน่ะ
ไม่ใช่มัวแต่สายลม แสงแดด สองเรา ปัญญาอ่อนอยู่ตลอดเวลา
สนทนาธรรมก็ไปเวบธรรมกายนู่น
คุณเกรีย
คุณเกรียนทำให้ผมหายโง่ สังคมที่มีแต่เรื่องดัดจริดและเสแสร้ง อยากให้มีคนแบบคุณเกรียนคอยทุบหัวคนอีกเยอะๆ
ก้อม่า
ก้อม่ายเป็นไรพี่ กรียนสาด หากเป็นความสุขของพี่ เชิญให้สุดๆเลย เติบใหญ่ขึ้นทางอารมณ์ แล้วจักบรรลุธรรมเอง
คนที่เค้า สายลม แสงแดด สองเรา เมฆ หมอก น้ำค้าง ฯลฯ เราก้อเคารพอารมณืของเขาด้วย หากเขาด้านเดียวตลอดไป สังคม และชีวิตจักให้เขาได้รับรู้เอง
ลุยเลยเพ่ ให้สุดๆทางอารมณือันสุนทรีย์ ของพี่เล๊ย
ขอบคุณน้
ขอบคุณน้องผู้กองแป้งนะ ที่เข้าใจ และให้อภัยกับพฤติกรรมถ่อยของเกรียนสาด
(พึ่งกินยาลดกรดมา)
ว่าจะไปบำบัดตัวเองที่ถ้ำกระบอกเหมือนกัน ช่วงนี้เครียด เพราะพี่สพรั่งจะแปรพักต์เสียแล้ว
พี่แกดันไปอยู่ก๊วนไหน หัวหน้าแก๊งค์ชิบหายตลอด เป็นห่วงท่านทักษิณน่ะ
เถียงกัน
เถียงกันเรื่องเพลงโยงไปถึงสพรั่งได้เฉยเลย :O
(เกลียดมันเหมือนกัน ไอ้สพรั่งสพรูเนี่ย)
เอาละบ่า
เอาละบ่าเฮ้ย...ท่านเกรียนสาดเลือดร้อนแล้วขอรับท่านผู้ชม
สัญชาติญาณความตาย มีไว้เพื่อให้มนุษย์เอาตัวรอดได้จริงหรือ
ขอให้กระแสการปั่นบล็อกยังคงอยู่นานสถาพร เอิ้กๆๆๆๆๆๆๆ
พี่เกรีย
พี่เกรียนสาดกลับบ้านมาฉีดวัคซีนด่วน ทางบ้านให้อภัยพี่แล้วค่ะ
สาดดด จข
สาดดด
จขบ กับ เกรียนสาด
เมิงเขียนได้ดี เขียนได้ถูกต้อง
กรูอ่านแล้วกรูชอบจริงๆ
แต่กูไม่แน่ใจว่าไอ้อะดอโน่ อะไรนี่ แม่ง
เขียนอย่างที่เมิงว่าจริงรึป่าว
กรู คิดว่า นักวิชาการฝร่งมักไม่เขียนอะไรทื่อๆอย่างที่เมิงบรรยาย
แต่ไม่เป็นรัยกรูอาจจะมั่วเองก็ได้
ตอนแรกตก
ตอนแรกตกใจสำนวนนิดหน่อย แต่โดยเนื้อหาแล้ว ผมว่าความเห็นของคุณเกรียนฯน่าสนใจมากนะครับ
ผมชอบที่
ผมชอบที่คุณเขียนบทความเกี่ยวกับดนตรีลักษณะนี้ และเคยพยายามโพสความเห็นไปในตอนที่สอง แต่ไม่ติด ไม่รู้จะโพสขึ้นหรือเปล่า?
ผมไม่เคยอดอโนเลย แต่เท่าที่คุณเขียนมา ดูเหมือนจะโจมตีในเรื่อง "รสนิยม" หรือเปล่า? ราวกับว่าอดอร์โนปฏิเสธไม่ยอมรับดนตรีป๊อป แต่ผมไม่แน่ใจว่าจริงๆอดอร์โน พูดในเชิงการประเมินค่าดนตรีด้วยหรือว่าคลาสิกเจ๋งกว่าป๊อบ หรือเขาเพียงพยายามชี้ให้เห็นกระบวนการครอบงำของอุตสาหกรรมเพลงที่เกิดมาพร้อมกับดนตรีป๊อป อันนี้ผมไม่รู้เพราะผมไม่ได้อ่าน ตั้งเป็นข้อสังเกตเฉยๆ
ส่วนความเห็นของคุณเกรียดสาด ชามะนาว ผมเห็นด้วยมากๆ ที่สุดแล้ว "รสนิยม" มักผูกติดอยู่กับชั้นทางสังคมของคนแต่ละกลุ่ม ซึ่งให้ความหมายแตกต่างกัน พวกที่อยู่ในวัฒนธรรมป็อปก็ใช่ว่าจะคิดอะไรไปไกลเกินกว่าในพรมแดนกลุ่มของตัวเองได้ และสร้างอคติต่อกลุ่มวัฒนธรรมอื่นๆเหมือนกัน
ผมเพิ่งไ
ผมเพิ่งได้มีโอกาสอ่านบทความชิ้นนี้ คงถือว่าช้าไปมากเพราะบทความเขียนตั้งแต่ต้นปี
แต่ผมขอแลกเปลี่ยนบ้าง ในฐานะของคนที่เคยอ่านงานของ Adorno
เผื่อว่าผู้เขียนบล็อคอาจจะกลับมาอ่านนะครับ
ปัญหาสำคัญที่ทำให้งานของอดอร์โนถูกวิจารณ์มากๆ ส่วนหนึ่งเพราะผู้อ่านหลายคนมองว่าอดอร์โนมองภาพดนตรีป๊อบและแจ๊ซในลักษณะที่เหมารวมมากเกินไป แต่ประเด็นที่เราต้องเข้าใจก็คือ สิ่งที่อดอร์โนมองว่าเป็นปัญหาไม่ใช่แนวเพลงแบบใดแบบหนึ่ง แต่เป็นกระบวนการผลิตและการบริโภคอุตสาหกรรมในเชิงวัฒนธรรมที่ทำให้คนในสังคมยอมรับในโครงสร้างและสามัญสำนึกแบบผู้ผลิตและผู้บริโภคในสังคมทุนนิยม ไม่ว่าเนื้อหาของเพลงหรือแนวของเพลงเป็นอย่างไร แต่เมื่อเพลงเหล่านี้ถูกผลิตและบริโภคในฐานะสินค้า ทั้งคนผลิตและคนบริโภคก็จะปฏิบัติต่อมันตามตรรกะของการซื้อขายแลกเปลี่ยนในกลไกตลาด ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำโครงสร้างส่วนบนในสังคมทุนนิยม ทำให้ตรรกะของทุนนิยมกลายเป็นธรรมชาติ และกลายเป็นสิ่งที่เราไม่ตั้งคำถามกับมัน ส่วนว่าทำไมอดอร์โนตำหนิเพลงเพลงป๊อบกับแจ๊ซแต่ยกย่องเพลงคลาสสิค คำตอบก็คือในช่วงที่อดอร์โนเดินทางไปอยู่ในอเมริกาสมัยสงครามโลกนั้น สิ่งที่อดอร์โนพบก
ก็คือ ดนต
ก็คือ ดนตรีป๊อบกับแจ๊ซถูกผลิตและบริโภคอยู่ภายใต้ตรรกะของอุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรมมากที่สุด ผลของกระบวนการดังกล่าวทำให้อดอร์โนรู้สึกว่า ดนตรีเหล่านี้ถูกตีกรอบเพื่อให้ตอบรับกับระบบตลาด แม้แต่เพลงแจ๊ซเองที่ดูเหมือนจะมี Improvisation แต่ก็เป็นอิสระของการบรรเลงที่มีการซักซ้อมมาก่อน การที่เขายกย่องเพลงคลาสสิคนั้น เพราะเขามองว่าเพลงคลาสสิคมีวิธีผลิตและวิธีเสพที่ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในตรรกะของอุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดว่าเพลงคลาสสิคดีกว่าหรือมีศักยภาพในการปลดปล่อยมากกว่าเพลงประเภทอื่น ในบทความของอดอร์โนบางชิ้น อดอร์โนยังพูดด้วยซ้ำว่าการที่เพลงซิมโฟนีต่างๆถูกนำมาผลิตเป็นสินค้าในกรอบของอุตสหากรรมในเชิงวัฒนธรรม ก็ทำให้เพลงเหล่านี้กลายสภาพเป็นสินค้า และทำให้พลังของมันในฐานะงานศิลปะถูกทำลายลงไปเช่นเดียวกัน
ส่วนที่ผู้เขียนบล็อคเสนอว่าดนตรีสมัยใหม่ก็มีทางเลือกมากขึ้นสำหรับปัจเจก ผมคิดว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่อดอร์โนพูดไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า ไม่ว่าแนวเพลงจะมีมากแค่ไหน แต่ถ้ามันถูกผลิตอยู่ภายใต้ตรรกะของอุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม ผลที่ได้จะไม่ต่างกันนั่นคือผู้ฟังจะกลายเป็นผู้บริโภคซึ่งเสพ
งานเหล่า
งานเหล่านั้นในลักษณะของสินค้า เพียงแต่เป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของกลไกตลาดในช่วงที่ระบบทุนนิยมพัฒนามากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องกระจายส่วนแบ่งของตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภครายย่อย แต่การบริโภคในสินค้าทางเลือกเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคหลุดออกไปจากตรรกะของผู้ผลิตและผู้บริโภคแบบทุนนิยม และไม่ทำให้พวกเขามีอิสระจากการมองดนตรีในฐานะที่เป็นสินค้าที่พวกเขาสามารถซื้อหามาบริโภคและตอบสนองความต้องการของตนเองได้
ถามว่าถ้าอดอร์โนตำหนิงานศิลปะสาธารณ์ขนาดนี้ แล้วสิ่งที่อดอร์โนอยากจะเห็นคืออะไร
ผมคิดว่าการที่คุณพูดถึงศิลปะสาธารณ์ แปลว่าคุณน่าจะเคยอ่าน ความเบาหวิวอันเหลือทนของชีวิตมาก่อน
เพราะคำว่ารสนิยมสาธารณ์ในภาษาไทย น่าจะมาจากหนังสือเล่มนี้
ผมคิดว่าคำตอบของอดอร์โนก็อยู่ในหนังสือเรื่องความเบาหวิวอันเหลือทนของชีวิตนั่นเอง
คุณคงจำได้ว่าในช่วงที่นางเอกสองคนคุยกัน นางเอกที่เป็นศิลปินได้บอกกับนางเอกอีกคนว่า เธอได้คิดวิธีการ
สร้างงานศิลปะแบบใหม่ขึ้นมาได้ นั่นคือการกระเทาะสีของภาพเขียนให้หลุดออก เพื่อให้เห็นภาพที่อยู่ข้างหลัง
เพื่อให้
เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ดูเป็นธรรมชาติที่อยู่ข้างหน้านั้น มันมีจุดบอดหรือความขัดแย้งบางอย่างที่อยู่ข้างหลัง
ศิลปะในแบบที่อดอร์โนอยากเห็นก็คือจุดกระเทาะจุดนั้น สำหรับอดอร์โน ศิลปะที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลง ก็คือศิลปะที่ทำให้เรามองเห็นถึงความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ในฉากหน้าของสังคมที่ดูเหมือนกับจะมีความเป็นธรรมชาติ ลงตัว ไม่มีคำถาม ศิลปะที่สะท้อนความเป็นปัจเจกชนที่แท้จริง ที่ทำให้ผู้ที่สัมผัสงานเกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นในตัวเอง นั่นคือความเป็นปัจเจกที่แท้จริง ไม่ใช่ปัจเจกที่อยู่ในเนื้อหาของเพลงที่ถูกผลิตขึ้นในกระบวนการของอุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม ที่แม้จะมีเนื้อหาดูเป็นปัจเจก แต่ในตัวของมันเองกลับทำงานอยู่ภายใต้ตรรกะของการผลิตและบริโภคแบบทุนนิยม