เท่าที่สังเกตโดยอาศัยประสบการณ์ส่วนตัวและคนรอบข้าง ดูเหมือนว่า ‘นักจัดรายการวิทยุ' หรือ DJ ในยุคมิลเลนเนียม จะต้องมีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน คือ พูดเก่ง ยิงมุขฮากระจาย ชวนคนฟังเล่นเกม และท่องจำรายชื่อสปอนเซอร์ได้อย่างชัดเจนไม่มีตกหล่น
หรือกรณีที่คนฟังวิทยุไม่นิยมดีเจพูดมาก ก็จะมีรายการอีกประเภทไว้คอยท่า คือรายการวิทยุที่ ‘ไม่มีดีเจ' แต่จะมีเพลงเปิดให้ฟังสลับกับโฆษณา และรายการทั้ง 2 ประเภทที่ว่ามาก็ได้รับความนิยมสูงเสียด้วย ส่วนเรื่องที่ว่า-ดีเจแต่ละคนมีภูมิรู้เรื่องดนตรีแน่นแค่ไหน หรือมีวิธีพูดคุยถึงเรื่องในสังคมและชีวิตประจำวันให้คนฟังได้คิดตามหรือรู้สึกเพลินๆ ได้หรือเปล่า กลับไม่ค่อยมีใครพูดถึงสักเท่าไหร่
ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเหมือนกันว่ามาตรฐานนักจัดรายการวิทยุแบบหลังเริ่มหายหน้าหายตาไปตอนไหน?
แล้ววันหนึ่งรายการวิทยุ The Radio คลื่น 99.5 FM ซึ่งเป็นแหล่งรวมของดีเจรุ่นใหญ่ (อาทิ มาโนช พุุฒตาล, วาสนา วีระชาติพลี หรือ วิโรจน์ ควันธรรม ฯลฯ) ไม่ค่อยเปิดเพลงตาม ‘รีเควสท์' ของคนฟัง แถมยังไม่มีค่ายเพลงค่ายไหนสนับสนุนเป็นพิเศษ (แต่ ‘รู้ลึกรู้จริง' เรื่องดนตรีกันทุกคน)-ก็หลุดจากผังไปเมื่อปลายปี 2550 ด้วยเหตุผลว่า ‘เรตติ้งไม่ดีพอ' ที่สปอนเซอร์จะให้การสนับสนุน
ฟังดูเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะวัฏจักรของธุรกิจดนตรีในโลกทุนนิยมก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ครั้งนี้คนฟังที่เคยเป็น ‘พลังเงียบ' มาตลอด กลับลุกขึ้นมาทักท้วงและเรียกร้องให้รายการ The Radio ได้กลับมาออกอากาศอีกครั้ง เพราะนี่คือรายการวิทยุที่พวกเขาเห็นว่า ‘มีคุณค่า' และ ‘มีสาระหลากหลายมากกว่าการเปิดเพลงตามคำขอ' ที่มีอยู่เกลื่อนแผงหน้าปัดวิทยุ
บล็อกจำนวนหนึ่งจึงเกิดขึ้นเพื่อรายการวิทยุแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น Save the Radio หรือ The Radio Live และ Radio Star ที่เคยเป็นบล็อกดั้งเดิมของเดอะเรดิโอ บล็อกเหล่านี้เป็นศูนย์กลางสำหรับคนฟังที่ต้องการให้เดอะเรดิโอกลับมาออกอากาศ ลงชื่อเรียกร้องกับทางสปอนเซอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ‘นานๆ ที' จะเกิดขึ้นสักครั้ง
ใครสนใจลองเข้าไปเข้าไปดูได้ตามอัธยาศัย เผื่อบางทีปรากฎการณ์ที่ ‘คนชั้นกลาง' ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเพื่อรายการวิทยุเล็กๆ รายการหนึ่ง อาจต่อยอดไปสู่การเคลื่อนไหวในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประเด็นโครงสร้างมากขึ้นก็ได้...ใครจะรู้...เพราะอย่างน้อยครั้งนี้ ทุนนิยมก็ไม่ได้ชนะขาดลอยเหมือนที่แล้วๆ มา
ความเห็น
เล่นมาแล
เล่นมาแล้ว ติดหนึบเลย
เมามันส์กับคำศัพท์มาก
ถึงแม้จะเป็นเหมือนข้อสอบโทเฟลยุคโบราณก็เถอะ
มันส์ดีข้าวไม่เต็มถ้วยไม่เลิก อิอิ
like it hot rotary any ti
like it hot rotary any time.
like it hot rotary any ti
like it hot rotary any time.
why or not?
ผมเคยใช้
ผมเคยใช้ภาษาอังกฤษหาเงินมาบ้าง แปลหนังสือขายสำนักพิมพ์ แต่หลังๆมานี้หลงใหลภาษาไทยมาก ยิ่งค้นคว้ายิ่งพบความลึกซึ้ง จนกล้าพูดว่าภาษาไทยเป็นภาษาเพียงหนึ่งเดียวที่ดีที่สุดในโลก บรรพบุรุษของเราช่างน่าเทิดทูน ภาษาคือพูด พูดเป็นการใช้เสียง เสียงคือสระ(สระแปลว่าเสียง)ภาษาดีที่สุดต้องเป็นภาษาที่มีสระมากที่สุด เพราะสามารถออกเสียงได้ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะหมดลม เหมือนกับการเล่นดนตรีด้วยเครื่องเป่า การพูดภาษาไทยปากไม่เสียรูปทรงเหมือนพูดภาษาอื่น ภาษาจีนกลาง ภาษาอังกฤษ ที่เราเคยฟัง จะสังเกตพบว่าผู้พูดปากบิดปากเบี้ยวขณะพูด เพราะต้องกักเสียง กดเสียง ฉีกปาก ห่อปาก แต่ก็มีเงื่อนไขว่าปล่อยลมได้ไม่เต็มที่เพราะตัวพยัญชนะบังคับ ซึ่งผิดกับภาษาไทย คุณตะเบ็ง คุณตะโกน จนสุดเสียงสังข์ ไม่มีผลใดๆต่อรูปปากของท่านเลย ท่านปากสวยเป็นรูปกระจับอย่างไร ก็ยังคงรูปอยู่อย่างนั้น ในทางกลับกันถ้าท่านปากเบี้ยวอย่างไร ภาษาไทยก็คงไม่ทำให้ท่านเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พูดมาทั้งหมดเพื่อชวนคนไทยทุกคน ทำภาษาไทยให้เป็นสินค้าไทยตัวใหม่ จุดประสงค์ก็เพื่อการส่งออก แล้วคนไทยจะรวยใหญ่กันถ้วนหน้าพนมเทียนคงขายเพชรพระอุมา รวยกว่าเจ เค โลริ่ง