นอสตราดามุส (ค.ศ. 1502-1566)
เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เรียนจบปริญญาตรีคะแนนดีเยี่ยม จึงโดดเรียนปริญญาเอกจนจบสาขาแพทย์ ได้ทำนายไว้ว่า
“ ...วันเวลาแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของการสิ้นยุคเก่าและการมาถึงของยุคใหม่...กำลังจะเข้ามาปรากฏแก่สังคมโลกมนุษย์อยู่แล้ว ซึ่งคาดตามตรรกะจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 23 ปีข้างหน้านี้ คือระหว่างปี ค.ศ. 2000 ถึง ค.ศ.2023...” (หนังสือนอสตราดามุส โดย ศ.เจริญ วรรธนะสิน หน้า 363)
ตีความได้ว่า
นอสตราดามุสได้พยากรณ์ว่า โลกจะแตกดับระหว่างปี ค.ศ. 2000-2023 เขาสามารถเห็นภาพเหตุการณ์ บุคคล สิ่งของ ในอนาคตได้มากมาย โดยใช้วิธีนั่งเพ่งน้ำในอ่างทองเหลืองบนหยั่งสามขา บางครั้งจ้องมองเปลวเทียน นอสตราดามุสไม่ใช่จะทำนายเหตุการณ์ถูกทุกครั้งเสมอไป บางครั้งก็ผิดพลาดเช่นกัน ยิ่งบั้นปลายชีวิต มีการทำนายผิดพลาด อาจเพราะชราภาพ เจ็บป่วย หรือใช้วิชาโหราศาสตร์เพื่อสะสมเงินทอง มีจิตอกุศล ทำให้พลังทำนายเสื่อมถอย ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญประกอบ
คำทำนายของนอสตราดามุสชื่อ Prophecies เป็นคำทำนายเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในโลกแต่ละยุคสมัย จนถึงวันอวสานโลก มีลักษณะคล้ายโคลงสี่สุภาพของไทย เขียนผสมปนเปหลายภาษา อ่านเข้าใจยาก ต้องอาศัยการตีความ โครงทำนายเหตุการณ์สำคัญ ที่โด่งดังที่สุดของนอสตราดามุสมีดังนี้
“ ในปี 1999 เดือนที่เจ็ด(กรกฎาคม)
จอมโหดมหากาฬโผล่จากฟากฟ้า”
ความเห็น
หมอดู กะ หมอเดา
หมอดู กะ หมอเดา ก้อคือๆกันละอ้ายF
หมอดู กะ หมอเดา
หมอดู กะ หมอเดา ก้อคือๆกันละอ้าย
คุณแสงดาวครับ
คุณแสงดาวครับ เป็นความเห็นอีกมุมมองหนึ่งที่น่ารับฟังครับผม.
วิธีการที่นอสตราดามุสใช้นั้น
วิธีการที่นอสตราดามุสใช้นั้น บังเอิญมาพ้องกับความเชื่อของคนไทยเรื่องของ "กสิณน้ำ"
เรื่องราวของจักรวาลมันยิ่งใหญ่นัก มันซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจกันง่ายๆ
เพียงแค่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ก็ทำให้เราตื่นตะลึงกันมาแล้ว
การยืดของเวลา การเปลี่ยนแปลงไปมาได้ระหว่างพลังงานและสสาร
น้ำหนักและขนาดแปรเปลี่ยนไปตามความเร็วของการเคลื่อนที่ ฯลฯ
ถ้าคิดในแง่ที่ว่า พลังงานกับสสารมันเปลี่ยนไปมาได้
มันก็จะช่างดูสอดคล้องกับเรื่องราวของคุณไสย ลมเพลมพัด
หรือเรื่องราวลี้ลับต่างๆนานาที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
ปัจจุบันเรามีแม้แต่อุปกรณ์ที่จะจับคลื่นความคิดของสมอง
มาแปรเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์เพื่อประมวลผลต่างๆนานา
อย่างเช่นการควบคุมการเคลื่อนไหวของเคอร์เซอร์ในคอมพิวเตอร์
หรือการควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ได้
ในอนาคตไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์อาจกลายเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ครับ
คุณน้ำลัดครับ
คุณน้ำลัดครับ ความรู้ไม่มีการยุติ มันดำเนินไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปตามการค้นพบความจริงและทฤษฎีใหม่ๆ จากโลกแบนมาเป็นโลกกลม จากโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล มาเป็นดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล
ผมเปิดอินเทอร์เน็ตค้นหาคำอธิบายทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ จากมวลสารกลายมาเป็นพลังงาน แล้วพลังงานกลับเป็นมวลสาร ยังไม่พบคำอธิบายที่ชัดเจนนัก จะหาต่อไป...ผมอ่านหนังสือ "ประวัติย่อของการเวลา"( A Brief History Of Time ของ Stephen Hawking) แปลโดย รอฮิม ปรามาส ได้รู้เกี่ยวกับจักรวาลมากมาย รู้จักหลุมดำ รู้จัก Big Bang ...โดยเฉพาะเจ้าหลุมดำนี่มันอันตรายต่อโลกมาก
อย่างที่คุณน้ำลัดว่า ไสยศาสตร์กับวัทยาศาสตร์อาจเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้...สมุติฐานนี้กำลังรอการพิสูจน์
ขอบคุณสำหรับความเห็นอันมีค่าครับ.
เรื่องของการแปรเปลี่ยนระหว่าง
เรื่องของการแปรเปลี่ยนระหว่างสสารกับพลังงานนั้น
ก็ทำให้เกิดระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาไงครับ
ปริมาณพลังงานที่ได้รับ E = mc^2
E = พลังงาน
m = มวล
c = ความเร็วของแสง
ปฏิกิริยานิวเคลียร์มีสองแบบ
แบบฟิชชั่น - เป็นการสลายตัวของธาตุหนักกลายเป็นธาตุเบา มวลที่หายไปจะกลายเป็นพลังงาน
แบบฟิวชั่น - เป็นการรวมตัวของธาตุเบากลายเป็นธาตุหนัก มวลบางส่วนจะลดลงกลายเป็นพลังงานเช่นกัน อย่างเช่นดวงอาทิตย์ ที่เราเห็นนั้นคือระเบิดนิวเคลียร์แบบฟิวชั่นอันมหึมา เป็นการรวมตัวกันของไฮโดรเจนสองอะตอม กลายเป็นฮีเลียมหนึ่งอะตอม
ผมเคยอ่านทฤษฎีสัมพัทธภาพแบบย่อๆตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
ตอนนี้เลยจำไม่ค่อยได้แล้วครับ
พอเอ่ยถึงนิวเคลียร์แล้ว
พอเอ่ยถึงนิวเคลียร์แล้ว ก็เลยนึกถึงพลังงานในโลก
ที่กำลังจะประสพปัญหาการขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ
พลังงานนิวเคลียร์เป็นทางออกที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต
คนจำนวนมากเกรงกลัวเตาปฏิกรณ์ปรมาณูกันเกินกว่าเหตุ
ทั้งที่เมืองไทยเราก็มีเตาปฏิกรณ์ปรมาณู อยู่ในกรุงเทพฯมานานหลายสิบปี
มันจะเล็กหรือจะใหญ่มันก็ใช้หลักการเดียวกัน ผลข้างเคียงเหมือนๆกัน
ต่างกันที่ขนาดของเตาเท่านั้นเอง หรือเครื่องฉายเอ็กซเรย์ทางการแพทย์
เครื่องแกมม่าเรย์ที่ใช้ตรวจสอบแนวเชื่อมเหล็ก ในโครงการใหญ่ๆทั้งหลาย
มันก็คือเตาปฏิกรณ์ขนาดจิ๋วที่ใกล้มอดนั่นเอง
เราจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วพลังงานนิวเคลียร์มันรุกคืบเข้ามาในชีวิตเราตั้งนานแล้ว
เมื่อเราเดินออกแดด ก็จงระลึกเถิดครับว่า เรากำลังรับรังสีนิวเคลียร์อยู่
มันเป็นเตาปฏิกรณ์ขนาดใหญ่มหึมา เป็นพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่นในธรรมชาติ
แทนที่มันจะทำลายชีวิต มันกลับเป็นสิ่งที่สร้างชีวิตเราขึ้นมาด้วยซ้ำไป
คุณน้ำลัดครับ
คุณน้ำลัดครับ ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้อันเป็นประโยชน์.