ฤาโลกจะแตกดับ ปี 2012 (1)

 
 
นอสตราดามุส (ค.ศ. 1502-1566)
เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เรียนจบปริญญาตรีคะแนนดีเยี่ยม จึงโดดเรียนปริญญาเอกจนจบสาขาแพทย์ ได้ทำนายไว้ว่า
 “ ...วันเวลาแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของการสิ้นยุคเก่าและการมาถึงของยุคใหม่...กำลังจะเข้ามาปรากฏแก่สังคมโลกมนุษย์อยู่แล้ว ซึ่งคาดตามตรรกะจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 23 ปีข้างหน้านี้ คือระหว่างปี ค.ศ. 2000 ถึง ค.ศ.2023...” (หนังสือนอสตราดามุส โดย ศ.เจริญ วรรธนะสิน หน้า 363)
 
ตีความได้ว่า
นอสตราดามุสได้พยากรณ์ว่า โลกจะแตกดับระหว่างปี ค.ศ. 2000-2023 เขาสามารถเห็นภาพเหตุการณ์ บุคคล สิ่งของ ในอนาคตได้มากมาย โดยใช้วิธีนั่งเพ่งน้ำในอ่างทองเหลืองบนหยั่งสามขา บางครั้งจ้องมองเปลวเทียน นอสตราดามุสไม่ใช่จะทำนายเหตุการณ์ถูกทุกครั้งเสมอไป บางครั้งก็ผิดพลาดเช่นกัน ยิ่งบั้นปลายชีวิต มีการทำนายผิดพลาด อาจเพราะชราภาพ เจ็บป่วย หรือใช้วิชาโหราศาสตร์เพื่อสะสมเงินทอง มีจิตอกุศล ทำให้พลังทำนายเสื่อมถอย ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญประกอบ
 
คำทำนายของนอสตราดามุสชื่อ Prophecies เป็นคำทำนายเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในโลกแต่ละยุคสมัย จนถึงวันอวสานโลก มีลักษณะคล้ายโคลงสี่สุภาพของไทย เขียนผสมปนเปหลายภาษา อ่านเข้าใจยาก ต้องอาศัยการตีความ โครงทำนายเหตุการณ์สำคัญ ที่โด่งดังที่สุดของนอสตราดามุสมีดังนี้
 “ ในปี 1999 เดือนที่เจ็ด(กรกฎาคม)
จอมโหดมหากาฬโผล่จากฟากฟ้า”

 

ความเห็น

Submitted by ืแสงดาว ศรัทธามั่น on

หมอดู กะ หมอเดา ก้อคือๆกันละอ้ายF

Submitted by ืแสงดาว ศรัทธามั่น on

หมอดู กะ หมอเดา ก้อคือๆกันละอ้าย

Submitted by ถนอมรัก เดือนเ... on

คุณแสงดาวครับ เป็นความเห็นอีกมุมมองหนึ่งที่น่ารับฟังครับผม.

Submitted by น้ำลัด on

วิธีการที่นอสตราดามุสใช้นั้น บังเอิญมาพ้องกับความเชื่อของคนไทยเรื่องของ "กสิณน้ำ"
เรื่องราวของจักรวาลมันยิ่งใหญ่นัก มันซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจกันง่ายๆ

เพียงแค่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ก็ทำให้เราตื่นตะลึงกันมาแล้ว
การยืดของเวลา การเปลี่ยนแปลงไปมาได้ระหว่างพลังงานและสสาร
น้ำหนักและขนาดแปรเปลี่ยนไปตามความเร็วของการเคลื่อนที่ ฯลฯ

ถ้าคิดในแง่ที่ว่า พลังงานกับสสารมันเปลี่ยนไปมาได้
มันก็จะช่างดูสอดคล้องกับเรื่องราวของคุณไสย ลมเพลมพัด
หรือเรื่องราวลี้ลับต่างๆนานาที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์

ปัจจุบันเรามีแม้แต่อุปกรณ์ที่จะจับคลื่นความคิดของสมอง
มาแปรเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์เพื่อประมวลผลต่างๆนานา
อย่างเช่นการควบคุมการเคลื่อนไหวของเคอร์เซอร์ในคอมพิวเตอร์
หรือการควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ได้

ในอนาคตไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์อาจกลายเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ครับ

Submitted by ถนอมรัก เดือนเ... on

คุณน้ำลัดครับ ความรู้ไม่มีการยุติ มันดำเนินไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปตามการค้นพบความจริงและทฤษฎีใหม่ๆ จากโลกแบนมาเป็นโลกกลม จากโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล มาเป็นดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล
ผมเปิดอินเทอร์เน็ตค้นหาคำอธิบายทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ จากมวลสารกลายมาเป็นพลังงาน แล้วพลังงานกลับเป็นมวลสาร ยังไม่พบคำอธิบายที่ชัดเจนนัก จะหาต่อไป...ผมอ่านหนังสือ "ประวัติย่อของการเวลา"( A Brief History Of Time ของ Stephen Hawking) แปลโดย รอฮิม ปรามาส ได้รู้เกี่ยวกับจักรวาลมากมาย รู้จักหลุมดำ รู้จัก Big Bang ...โดยเฉพาะเจ้าหลุมดำนี่มันอันตรายต่อโลกมาก
อย่างที่คุณน้ำลัดว่า ไสยศาสตร์กับวัทยาศาสตร์อาจเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้...สมุติฐานนี้กำลังรอการพิสูจน์
ขอบคุณสำหรับความเห็นอันมีค่าครับ.

Submitted by น้ำลัด on

เรื่องของการแปรเปลี่ยนระหว่างสสารกับพลังงานนั้น
ก็ทำให้เกิดระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาไงครับ
ปริมาณพลังงานที่ได้รับ E = mc^2
E = พลังงาน
m = มวล
c = ความเร็วของแสง

ปฏิกิริยานิวเคลียร์มีสองแบบ

แบบฟิชชั่น - เป็นการสลายตัวของธาตุหนักกลายเป็นธาตุเบา มวลที่หายไปจะกลายเป็นพลังงาน

แบบฟิวชั่น - เป็นการรวมตัวของธาตุเบากลายเป็นธาตุหนัก มวลบางส่วนจะลดลงกลายเป็นพลังงานเช่นกัน อย่างเช่นดวงอาทิตย์ ที่เราเห็นนั้นคือระเบิดนิวเคลียร์แบบฟิวชั่นอันมหึมา เป็นการรวมตัวกันของไฮโดรเจนสองอะตอม กลายเป็นฮีเลียมหนึ่งอะตอม

ผมเคยอ่านทฤษฎีสัมพัทธภาพแบบย่อๆตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
ตอนนี้เลยจำไม่ค่อยได้แล้วครับ

Submitted by น้ำลัด on

พอเอ่ยถึงนิวเคลียร์แล้ว ก็เลยนึกถึงพลังงานในโลก
ที่กำลังจะประสพปัญหาการขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ
พลังงานนิวเคลียร์เป็นทางออกที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต

คนจำนวนมากเกรงกลัวเตาปฏิกรณ์ปรมาณูกันเกินกว่าเหตุ
ทั้งที่เมืองไทยเราก็มีเตาปฏิกรณ์ปรมาณู อยู่ในกรุงเทพฯมานานหลายสิบปี
มันจะเล็กหรือจะใหญ่มันก็ใช้หลักการเดียวกัน ผลข้างเคียงเหมือนๆกัน
ต่างกันที่ขนาดของเตาเท่านั้นเอง หรือเครื่องฉายเอ็กซเรย์ทางการแพทย์
เครื่องแกมม่าเรย์ที่ใช้ตรวจสอบแนวเชื่อมเหล็ก ในโครงการใหญ่ๆทั้งหลาย
มันก็คือเตาปฏิกรณ์ขนาดจิ๋วที่ใกล้มอดนั่นเอง
เราจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วพลังงานนิวเคลียร์มันรุกคืบเข้ามาในชีวิตเราตั้งนานแล้ว

เมื่อเราเดินออกแดด ก็จงระลึกเถิดครับว่า เรากำลังรับรังสีนิวเคลียร์อยู่
มันเป็นเตาปฏิกรณ์ขนาดใหญ่มหึมา เป็นพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่นในธรรมชาติ
แทนที่มันจะทำลายชีวิต มันกลับเป็นสิ่งที่สร้างชีวิตเราขึ้นมาด้วยซ้ำไป

Submitted by ถนอมรัก เดือนเ... on

คุณน้ำลัดครับ ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้อันเป็นประโยชน์.

ล้านนาในอ้อมแขนแห่งขุนเขา(7)


                                                                                                                ถนอมรัก  เดือนเต็มดวง