คำ ผกา กับงานศิลปะเปลือยกาย เปิดใจ เพื่ออากง

6 December, 2011 - 11:13 -- thanorm

 

1.
ผมสัมผัส งานวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองของ คำ ผกา ด้วยความรู้สึกเดียวกันกับใครบางคนหรือสองคนสามคน ที่เคยแอบเป็นห่วงความแรงเธอ และต่อมาต่างก็พากันเลิกรู้สึก เมื่อเธอยืนยันความเป็นตัวตนของเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย และยืนหยัดอยู่ได้มานานจนเป็นปรกติธรรมดามาจนถึงวันนี้ และสรุปกันว่ามันเป็นธรรมชาติวิสัยของเธอที่ต้องเป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับสังคมที่เคยตกอกตกใจ ต่างก็เคยชิน...และยอมรับความเป็นตัวตนในการสื่อสารของเธอ ทั้งคนที่รักเธอและเกลียดเธอในเรื่องอุดมการณ์ความคิดที่ต่างกัน

 
หรือ คนที่รักเธอเพราะชื่นชมในตัวเธอ และคนที่เกลียดเธอเพราะความอิจฉาในตัวเธอ ผู้หญิงเก่งที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่และมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักเขียนฝีปากกล้า ตามบทบาทที่ผมเกริ่นเอาไว้เบื้องต้น เพราะแม้แต่บางสิ่งบางอย่างในสังคม ที่คนมากมายหลายคนถือกันว่าเป็นที่พึงละเว้นหวงแหนโดยปราศจากเงื่อนไข และไม่สมควรที่จะเข้าไปแตะต้อง เช่นพระสงฆ์องค์เจ้าบางท่านที่คนชั้นกลางยกย่องนับถือที่หลุดเข้าไปในวงจรทางการเมือง และแสดงความคิดในเชิงสนับสนุนอำนาจเผด็จการที่ทำให้คนเล็กคนน้อยล้มลงตายเป็นร้อยบาดเจ็บนับพัน เมื่อเดือนเมษาและพฤษภา ปี 2553 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เธอก็ไม่ยอมละเว้นที่จะวิพากษ์วิจารณ์ และชี้ให้เห็นว่าท่านทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ไปสนับสนุนการฆ่าคน ด้วยตรรกะและภาษาสำเนียงกร้าวกล้าที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของเธอ
 
มีนักเลงภาษาที่ผมคารวะท่านหนึ่ง เคยอธิบายให้ผมเอาไว้อย่างน่าฟังว่า ภาษาของคำ ผกา คือภาษาที่ผสมผสานกัน ระหว่างภาษาพูดที่เป็นคำโดดๆที่เป็นออริจินัล (Original) แบบไพร่ ที่เธอจงใจไม่ยอมให้วัฒนธรรมอันศิวิไลซ์มาขัดเกลา บวกกับภาษาของปัญญาชนนักคิด และภาษาทางวิชาการสาขาที่เธอร่ำเรียนมาจนเกือบจะเป็นดอกเตอร์ หลอมรวมกันเป็นภาษาของคำ ผกา ที่เต็มไปด้วยสีสันอันรุนแรงจัดจ้าน เช่นเดียวกับภาพเขียนอันฉูดฉาดที่เขียนด้วยสีสดๆแบบภาพเขียนเอ็กเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) และช่างดูเหมาะเหม็งเสียจริงๆกับนามปากกาของเธอ ที่แปลไทยเป็นไทยได้ความหมายออกมาในเชิงแดกดันอะไรสักอย่างออกมาอย่างเจ็บปวดกระดองใจว่า ดอกทอง  
ส่วนเรื่องคนรักและเกลียดคำ ผกา นี่ เห็นได้ชัดเลยว่า ต่างก็มีพลังขับเคลื่อนที่แรงกล้าพอๆกับความแรงของคำ ผกา นั่นคือต่างรักมากและเกลียดมาก และพร้อมที่จะวิวาทะกันอย่างดุเดือด ทั้งด้วยเหตุผลและอารมณ์ล้วนๆในโลกของการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือเฟชบุ๊ก ฯลฯ ที่มักจะเล่นกันอย่างดิบๆ สดๆ แบบไม่ค่อยกลั่นกรองภาษาและอารมณ์ และต่างไม่ค่อยหวาดกลัวผลกระทบที่จะติดตามมา เพราะส่วนใหญ่มักจะใช้นามแฝงมาสำแดงพลังกัน จึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะต้องรับผิดชอบ จนเป็นเรื่องปรกติธรรมดาอีกเช่นกัน
 
แต่ที่น่าทึ่งมากๆก็คือ คนที่เกลียดคำ ผกา บางพวกบางกลุ่ม เขาถึงกับตั้งชมรมคนเกลียดคำ ผกา กันขึ้นมา และป่าวประกาศชักชวนคนอื่นๆมารวมตัวกันเกลียดและสาปแช่งคำ ผกา กันอย่างเอาจริงเอาจัง การแสดงความเกลียดคำ ผกา อย่างเป็นระบบที่ชมเชยนี้ ว่าๆไปแล้ว ก็ดูไม่ต่างจากบรรดาหัวเมืองเล็กหัวเมืองน้อยที่ง่อยเปลี้ยในประวัติศาสตร์ ที่ป่าวประกาศรวมตัวกันด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้รับทราบข่าวว่า กองทัพอันห้าวหาญจากแดนไกลจะเดินทัพผ่านหัวเมืองเหล่านี้ไปตีเมืองใหญ่ โธ่เอ๋ย...จะไปเกลียดไปกลัวอะไรกันนักหนาถึงปานนี้ ในเมื่อ คำ ผกา เป็นเพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งกับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เท่านั้นเอง
 
2.
 

 
วันนี้ ( 3 ธ.ค. 54 ผมตื่นฟื้นขึ้นมาจากอาการแฮงก์เหล้า ลุกขึ้นไปเปิดหน้าแรกของเว็บประชาไท ผมต้องตกใจที่พบข่าวของ คำ ผกา ที่พาดหัวตัวโตว่า “คำ ผกา เปลือยกาย เปิดใจ ไม่เกลียดไม่ชัง” พร้อมกับภาพเปลือยครึ่งตัวของเธอ ที่ผมตกใจมิใช่เป็นเพราะว่าภาพเปลือยของเธอ เพราะผมเคยเห็นภาพเปลือยของเธอในนิตยสาร GM ที่เปลือยยิ่งกว่านี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นการเปลือยด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง รวมทั้งความต้องการจะพิสูจน์บางสิ่งจากสังคม
 
ที่ผมตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่า เธอจะลุกขึ้นมาเปลือยกายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมต่อสู้ปัญหาทางสังคมระดับชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่โตกว่าเรื่องที่เธอเคยเปลื้องผ้าทำมาก่อนมากมายหลายเท่า และเป็นการสื่อสารที่เกินปรกติธรรมดาของเธอที่แรงเสมอต้นเสมอปลายอยู่แล้ว และในงานนี้โดยส่วนตัวผม ผมถือว่าเป็นการสื่อสารแบบก้าวกระโดดขึ้นไปสู่ความแรงจนสุดขีดของเธอ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่คุณอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ อากง ที่ต้องคดีหมิ่นฯ สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีรายละเอียดของข่าวทั้งหมด ดังนี้
 
“คำ ผกา” เปลือย (หน้าอก) และ (หน้าใจ) ส่งข้อความเรียกร้องปล่อยอากง ชี้สังคมไทยต้องก้าวข้ามความกลัว ถอดอคติ และสำรวจจิตใจตนเองในฐานะมนุษย์
 
เมื่อวันพุธ (30 พ.ย. 54) ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะได้เห็นแคมเปญ “ฝ่ามืออากง” กันไปบ้างแล้วในเฟชบุ๊กการรณรงค์ดังกล่าว เริ่มต้นโดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยจากสถาบันตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้แก่นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ด้วยการถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือที่มีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูงจำนวน 4 ข้อความไปยังเลขาส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ (ในขณะนั้น)
 
แคมเปญดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ใช้เฟชบุ๊กในประเทศและต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมีคนส่งภาพตัวเองที่มีข้อความ “อากง” เขียนบนฝ่ามือในการรณรงค์ดังกล่าว 150 คน ในเวลาเพียง 2 วัน หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงสาวเปลือยพร้อมข้อความ “No Hatre Naked Haked Heart” หราอยู่บนหน้าอกหน้าใจ พร้อมคำว่า “อากง” บนฝ่ามือจะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก ลักขณา ปันวิชัย หรือนักเขียนชื่อดังในนาม “คำ ผกา”
 
เธอเล่าให้ฟังว่า “Art Proet” ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นภาพเปลือยของเธอพร้อมข้อความ “No Hatre Haked Heart” เขียนด้วยน้ำหมึกดำอยู่บนอกสองข้างออกมาว่า อยากสื่อออกไปถึงสังคมไทย ให้ถอดอคติส่วนตนออกไปจากจิตใจ และลองเปลือยใจเพื่อสำรวจถึงความเป็นมนุษย์ และตั้งคำถามดูว่า
 
ทำไมกรณีของอากงจึงเกิดขึ้นได้
มันเป็นสิ่งยอมรับได้ไหม
และมันมากไปหรือเปล่า
 
“แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอม อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรสักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปสู่สังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นไปด้วยกัน” เธอกล่าว
 
“คำ ผกา” ให้รายละเอียดอีกว่า งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งคนกล้าเปิดกาย - ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวเองนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้า และเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง.
 
3.
ครับ ผมคงไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ศิลปะงานสื่อสารชิ้นนี้ของเธอ เพราะเธอได้พูดถึงเป้าหมายของเธอออกมาแล้วอย่างชัดเจน และเมื่อมองจากข้อเท็จจริงจากจำนวนผู้ที่โพสท์เข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานนี้ของเธอจากข่าวนี้นับเป็นร้อยๆข้อความ จนผมแทบอ่านไม่หวัดไม่ไหว แต่เท่าที่ผมอ่านดูแบบผ่านๆ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์กว่าๆชื่นชมและเห็นด้วยกับความกล้าหาญเกินร้อยของเธอ
 
อีกไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ เข้าใจว่า คงจะเป็นคนที่มีอุดมการณ์ตรงกันข้ามกับเธอและคนที่เกลียดในตัวเธอ ดังที่ผมได้กล่าวเอาไว้ในเบื้องต้น ซึ่งต่างไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลใดๆมาหักล้างงานสื่อสารในรูปแบบนี้ของเธอ นอกจากก่นด่าประณามเธอ และมองผ่านวาทกรรมการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมของเธอที่เป็นแก่นสารของงานไปที่ร่างเปลือยของเธอ ที่แลดูงดงามได้สัดส่วนตามลักษณะโครงสร้างเฉพาะที่เป็นอนาโตมี่ของเธอ ซึ่งไม่มีกริยายั่วยวนชวนเชิญในทางกามารมณ์แม้แต่น้อย
 
โดยพุ่งตรงลงไปหาเรื่องตำหนิติเตียนและเยาะเย้ยสีของหัวนมเธอ  ซึ่งเป็นสีของหัวนมที่ต่างจากสีหัวนมตามค่านิยมที่มาจากอุดมคติความงามของผู้หญิงแบบโรแมนติกดั้งเดิมของคนชั้นสูง หรือสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ในการกำหนดคุณค่าต่างๆในสังคม และดูเหมือนว่าจะมองเห็นคุณค่าของผู้หญิงอยู่เพียงมิติเดียว นั่นคือ เป็นวัตถุทางกามารมณ์ ที่ถ่ายแบบผ่านทางงานวรรณกรรมและงานจิตรกรรม ฯลฯ โดยศิลปินที่รับใช้ชนชั้นของเขาผ่านลงมาสู่คนชั้นกลางที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นคนชั้นสูง โดยกำหนดมาตรฐานความงาม ตั้งแต่เส้นผม ใบหน้า อก เอว สะโพก มือไม้ ลงไปถึงปลายตีนอย่างเคร่งครัด ดังเช่นภาพของนางในวรรณคดีผู้เลอโฉม
 
โดยเฉพาะเต้านมจะต้องไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป จะต้องเต่งตึงชูชัน และเมื่อเอามือกอดอกเต้านมทั้งสองข้างจะเบียดชิดติดกัน จนสามารถเด็ดดอกไม้ไปเสียบก้านไว้ได้โดยไม่ตกหล่น และหัวนมต้องเป็นสีชมพู หรือสีแดงระเรื่อเป็นประกาย เท่านั้น จึงจะเรียกว่าสวยและเป็นที่ยอมรับ
 
ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ที่เป็นคนผิวคล้ำและดำ ซึ่งหัวนมก็ย่อมต้องคล้ำและดำไปตามโทนของผิวเกือบร้อยทั้งร้อย และในโลกของความเป็นจริงของสามัญชนคนธรรมดา ก็ไม่เห็นมีใครที่ไหนเขาเดือดร้อนเรื่องหัวนมของผู้หญิงไทยคนไหนจะขาว จะคล้ำ หรือว่าดำ   
 
ซึ่งมิใช่เรื่องที่แปลกประหลาดแต่ประการใด ถ้าใครจะชอบหรือชื่นชมบูชาความงามเช่นนี้  เพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยมที่ห้ามกันไม่ได้ แม้แต่คนที่เป็นไพร่จะชอบความงามแบบศักดินา หรือคนที่เขาเป็นศักดินาจะชอบความงามแบบไพร่ ใครเลยจะห้ามใจใครได้ และคงไม่มีปัญหาโลกแตกแต่ประการใด ถ้าหากไม่มีคนหยิบยกเรื่องนี้มากดข่มคนอื่นเขาในทางวัฒนธรรม โดยถือตัวว่ามีรสนิยม มีมาตรฐานทางสุนทรียะสูงกว่าและดีกว่าคนอื่นเขา ที่ไม่คิดและชอบเหมือนตนเอง...
 
แต่ก็เท่านั้น เดี๋ยวนี้ ผู้หญิงผิวดำแล้วหัวนมจะขาว หรือผู้หญิงผิวขาวแล้วหัวนมจะดำ แหกเหล่าแหกกอของตัวเองออกมานอกกฎของดาร์วิน ก็หาใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวลของผู้หญิงในยุคใหม่ของเราแต่ประการใดไม่ ในเมื่อสาวนิโกรผิวดำมืด...ราวกับขุดออกมาจากเหมืองถ่านลิกไนต์ และมีหัวนมดำยิ่งกว่าหมึกอินเดียนอิ๊งค์ ยังได้รับการยกย่องให้เป็นนางแบบ และเป็นซิมโบลเซ็กซ์ระดับโลกกันมาแล้วตั้งหลายคน นี่คือข้อเท็จจริงของโลกและสังคมที่เปลี่ยนไป
 
4.
สรุปได้ว่า งานชิ้นนี้ของ คำ ผกา ประสบความสำเร็จด้วยความครึกโครมในสื่อทางเลือกเป็นอย่างดีและคงส่งผลไปถึงสื่อกระแสหลักด้วย ถ้าหากไม่มีคนจงเกลียดจงชังเธอ - - - ทั้งในทางการเมืองและส่วนตัว พากันขุดคุ้ยกฎหมาย (ถ้ามี) หรือออกกฎหมายมาเอาผิดกับเธอที่เปลือยอกออกมาแล้ว แต่ไม่ยอมปิดหัวนม...เหมือนภาพเปลือยในหนังสือโป๊ที่ไร้รสนิยมทำกัน เพราะกลัวว่าถ้าไม่ปิดหัวนม...ด้วยอะไรสักอย่างเอาไว้ จะทำให้ศีลธรรมอันดีงามในสังคมตกต่ำ เศรษฐกิจของประเทศล่มจม สถาบันทางการเมืองปั่นป่วน และเกิดไฟประลัยกัลป์ล้างโลก.
 
3 -  5 ธันวาคม 2554 กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 
 

 

ความเห็น

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

มนุษย์อวิชชาที่ถูกสั่งสอนโดนหลักสูตรของกระทรวงศึกาธิการ(ที่ประชาชนไพร่ราบหรือแม้แต่คนชั้นกลางระดับล่างไม่มีสิทธิ์ร่วมออกหลักสูตรได้ นั่นถ้าพูดให้ถึงที่สุดก็คือเขาคือเผด็จการของชนชั้นปกครอง อ้ายยังชอบที่มีคนพูดว่า"ชนชั้นใดร่างกฏหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น" )ทำให้เชื่อไปทุกอย่างที่หลักสูตรกำหนดให้ ไม่ว่าจะบิดเบือนประวัติศาสตร์อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกจารีตนิยม พวกอนุรักษ์นิยมและพวกศีลธรรมจ๋าฯลฯ เขารับไม่ได้ เขาไม่มีกิ๋นที่จะรู้ว่าที่พี่แขก คำผกาทำนั้นคือความกล้าหาญที่จะต้านความไม่เป็นธรรมในสังคมที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เขาไม่รู้จักคำว่าศิลปะในการแสดงออกดอกเจ้าอ้ายหนอม พวกอภิสิทธิ์ชนและพวกจารีต ตลอดจนพวกล้าหลังคลั่งชาติเขาไม่เข้าใจดอกคับ และเขาก็ไม่รู้ว่าเขาถูกกดขี่เป็นชั้นๆ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

แสงดาว ศรัทธามั่น อ้ายแสงดาวมองมนุษย์แลสังคมแบบกลไก ซึ่งเป็นเรื่องของวัตถุที่ปราศจากชีวิตจิตใจนะครับ หมายความว่าอยู่ตรงนั้นต้องเป็นอย่างนั้น ผมว่าความจริงไม่ใช่ คนที่เขาเป็นศักดินาหลายคน ความเป็นคนของเขากลับเป็นคนธรรมดาสามัญยิ่งกว่าเรามีตั้งเยอะ เช่นหม่อมหลวงด้วงที่น่ารักของพวกเรา หรืออ้ายแสงดาวก็มีสายมาทางเจ้านายชั้นสูงอ้ายก็เป็นคนธรรมดา

ในขณะเดียวกันคนที่เป็นไพร่แต่ไต่ตัวเองจากท้องนาไปเป็นข้าราชการ แต่ทำตัวเป็นศักดินา ยิ่งกว่าคนที่เขาเป็นศักดินาจริงๆก็มีเต็มบ้านเต็มเมือง และโดยส่วนตัวผมคนพวกนี้น่ากลัวกว่าคนที่เขาเป็นศักดินาจริงๆด้วยซ้ำ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่พี่อาจจะลืมไป เพราะพี่อาจจะไปติดทฤษฏีบางอย่างของคาลมาร์กซ์ ที่ค่อนข้างเป็นกลไก เพราะมาร์กซ์เขาเป็นวัตถุนิยมจนบางครั้งลืมไปว่า มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความรู้สึกนึกคิด และข้างในเขาอาจมิได้เป็นตามชนชั้นที่เขาสังกัด ก็อ้ายแสงดาวนี่แหละคือตัวอย่าง สวัสดี

Submitted by นายกล้วย on

อากง

ขอขอบคุณ คุณคำ ผกา ถ้าไม่มีคนอย่างคุณ ประเทศไทย จะล้าหลังไปกี่สิบปี นะ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

นายกล้วย ขอบคุณนายกล้วยครับ ที่ช่วยสื่อสารแทนอากงมา คุณคำ ผกา ได้รับทราบแล้วเธอคงดีใจ

Submitted by โสมคาน on

อ้ายหนอม

คุณช่างสรรหา นางแบบ
ผมอยากจะเริ่มต้น เหมือนทุกครั้ง แต่ไม่ใชคราวนี้

ภาพแรก

หน้าตาเูธอ คล้ายกับเคยพบเห็น แถวแถวหน้าเนท
จึงมิใช่นางแบบสรรหา แต่ผ่านกระบวนการโหวต จากสมาชิกพรรค กระดองใจไทย

หญิงเสื้อดำ กริยาท้าทาย สื่อสารผ่านไมโครโฟน

เป็นงานศพ หรือไม่ ? เดายาก เพราะไม่มีภาพของคนฟัง

อาการแบมือสองข้าง แว่นตาทรงผม ออกแนวมั่น ประเภทผ่านเมืองนอก
หูผมแว่ว เสียงอังกฤษ ปนไทย ที่ัอัดแน่นในลำคอ กระทุ้งสู่ริมฝีปาก กระหยิ่ม
ถ้าเดาไม่ผิด เธอยักไหล่ เข้ากับจังหวะยกมือ

แน่นอน เธอไม่ใช่ คำเอ้ย จากสันคะยอม

ภาพที่สอง

คือซากศพยังสด ถูกทิ้งในที่มืด ถ่ายด้วยกล้องอัตโนมัติ ไม่ใช้แฟลต
ร่องรอยถูกลวนลาม โดยฆาตกร รู้ภาษาอังกฤษ แล้วโยนบาป ชี้เบาะแสป้ายให้ อากง เขียนเป็นภาษาไทยบนฝ่ามือเธอ

ฆาตกร จับเธอยืน สังเกตุจากสี ที่ไหลที่สูง สู่ที่ต่ำ ย้อยแยก เป็นสายจากทรวงอก

นึกถึงปิงวังยมน่าน รวมกันเป็นเจ้าพระยา แล้วเข้าท่วมโจมตีเบื้องล่าง คือ กทม.

ผมกลัวผี จนลืมดูหัวนม

และอยากแทงหวย ตามประสาเด็กวัดใช้เส้น

Submitted by น้ำลัด on

จริงอย่างอ้ายหนอมบอกแต๊ๆเน่อ
บ้านเมืองที่วุ่นวายตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แท้จริงมันเกิดจากการที่ไพร่สะเออะเสนอหน้าอยากเป็นศักดินา
พากันเสนออาสาขับไล่คนที่ดูไม่ค่อยถูกใจไปให้พ้นๆเส้นทาง
เพียงหวังว่าตนเองจะได้รับการยอมรับจากคนชั้นสูงให้เป็นพวกพ้อง

แผ่นดินนี้้ป็นของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด...
ผมคงเจ็บปวดใจทุกครั้ง หากมีการแอบอ้างว่าแผ่นดินนี้เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แผ่นดินนี้มันจะมีความหมายอันใด
หากเราไม่มีส่วนของความเป็นเจ้าของ
แล้วจะให้เรารัก จะให้เราปกป้องแผ่นดินนี้ไปใย
ถ้าหากแผ่นดินนี้มีเจ้าของเสียแล้ว
และก็ไม่ยอมให้เราร่วมเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้
ไม่ย่อมให้เราร่วมกำหนดชะตากรรมในแผ่นดินนี้

วันนี้คุณได้ร่วมกำหนดชะตากรรมแผ่นดินแล้วหรือยัง?

Submitted by โสมคาน on

หรือเมืองนี้ ไม่มีพื้น ที่ศักดิ์สิทธิ์
คนเก่าคิด ตั้งมั่น เลือกสรรหา
กำหนดวัน ฤกษ์เสริม เพิ่มเวลา
เพื่อสถา ปนางาม ความรุ่งเรือง

หรือเืรือนนี้ ไม่มีพื้น ที่ศักดิ์สิทธิ์
ออกแบบคิด ได้อยู่ ต้องฟูเฟื่อง
ผีปู่ย่า ประจำที่ ไม่มีเคือง
ลูกหลานเลื่อง ลือนาม ตามคุ้มครอง

ในห้องหอ ก่อนเก่า เรือนเรานี้
"หำยน"มี ป้องกัน ภัยทั้งผอง
เขตปลอดคน ภายนอก ห้ามล้ำลอง
คล้ายเป็นของ ต้องสงวน ห้องส่วนตัว

เคยได้ยิน ไหมเพื่อน คำ"เรือนกาย"
เกิดจนตาย ร้องขวัญ รู้กันทั่ว
ประหนึ่งร่าง คล้ายเรือน เตือนให้กลัว
อย่าเปิดมั่ว เลยเพื่อน ขวัญเรือนพัง

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

โสมคาน ผมเขียนถึงตัวตนของเธอและงานของเธอจากมุมมองของผมพอสมควร จึงขอรับฟังความเห็นแล้วเก็บไปคิดครับ ครับ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้ำลัด ขอบคุณครับที่แสดงความเห็นมา ผมคงไม่ต่อความที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกันกบที่ให้แก่คุณโสมคาน สวัสดีครับ

Submitted by น้อยสุข on

ลุงหนอม ใช้ภาษาสื่อให้ผู้คนจำนวนหนึ่งที่ทำตัวกลาง (ซะงั้น) ได้เข้าใจมากขึ้นกับกรณีนี้ได้ดีมากครับ ..

ผมแนะนำเพื่อน ๆ หลายท่านให้อ่าน เพราะอยากให้พวกมันเข้าใจมากไปกว่า "เหี้ยแม่งไรวะ" "หุยหัวดำเลยมิง"
คำสบถและล้อเลียนหยาบคาย คือนิสัยสันดานอย่างหนึ่งของคนกลาง ๆ และอ้างว่าไม่มีเวลาจะเข้าใจ...

......เรื่องร้ายแรง รุนแรง สารพัดเรื่องที่คนกลาง ๆ จำนวนมาก เลือกที่จะไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีเวลา และพร้อมจะสบถ หรือกล่าวตลกฝืด ๆ ไม่รู้ในจิตใจคนเหล่านี้เขาเคยมีความรักไหม??? เห็นคนเป็นคนบ้างไหม???

ขอบคุณลุงหนอมอีกครั้งครับ ...

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้อยสุข ขอบคุณหลานมากๆครับที่เข้ามาแสดงความเห็น และดีใจที่หลานเข้าใจสื่อสารที่ลุงพยายามสื่อออกไป เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกัน

Submitted by น้ำลัด on

เรื่องเล่าเล็กๆของน้ำ

น้ำจะไหล น้ำจะลัด น้ำจะท่วม น้ำจะลด
แล้วน้ำ...นี่หน้าตามันเป็นยังไงหนอ?

ผมว่าน้ำมีหน้าตากลมๆเป็นตัวโอ
มันมีหู 2 หูเป็นรูปตัว H

กลมๆรูปตัวโอ บวกหูสองหู กลายเป็นน้ำ
H-O-H = H2O

น้ำนั้นหูเบา เชื่ออะไรง่าย เข้ากันกับอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายๆ
บางครั้งน้ำหูหลุด เขาจับเอาหูของน้ำไปใส่ลูกโป่งแล้วลูกโป่งลอยได้
ลูกโป่งจะลอยสูง เหมือนจะขึ้นสวรรค์ ก็เลยเรียกลูกโป่งสวรรค์ ใช่ไหนละ?

เมื่อไหร่หูน้ำจึงจะหลุดละ?
หูของน้ำจะหลุดก็ต่อเมื่อน้ำเปรี้ยวๆเจอกับโลหะเกิดฟองฟู่ เพราะว่าน้ำหูหลุด
บางทีน้ำถูกช็อตด้วยไฟฟ้ากระแสตรง น้ำก็หูหลุดได้เหมือนกัน ไม่เชื่อลองดู

แล้วน้ำมันมีสารพัดน้ำ จารไนกันไม่หวาดไม่ไหว

น้ำหวานๆคนมักชอบ - น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำอัดลม ฯลฯ
น้ำขมๆคนก็ชอบ - น้ำเหล้า น้ำเบียร์ น้ำเพี้ย น้ำดี ฯลฯ
น้ำเปรี้ยวๆคนก็ชอบ - น้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำนมเปรี้ยว ฯลฯ
น้ำเค็มๆคนก็ชอบ - น้ำปลา น้ำซีอิ๊ว น้ำปลาร้า น้ำบูดู ฯลฯ
น้ำหอมๆคนก็ชอบ น้ำเหม็นๆอย่างปลาร้าคนก็ชอบ
น้ำขาว น้ำแดง น้ำดำ น้ำเขียว คนก็ชอบกันทั้งนั้น

เอ๊ะน้ำแบบไหนกันที่คนไม่ชอบ?
น้ำท่วมมั้ง?...ที่คนไม่ชอบ
น้ำลาย...คนก็ไม่ค่อยชอบ...บางทีมันก็สร้างความหายนะได้ไม่แพ้น้ำท่วมเลย

เขาว่าน้ำเนี่ยนะ...มันก่อเกิดชีวิตขึ้นได้บนดาวโลกดวงนี้
ผู้คนจำนวนมากได้ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เบื่อ
ทดลองฉีดน้ำเชื้อเข้าไปในรูเร้นลับ แล้วเกิดได้คนตัวเล็กๆขึ้นมา และเรื่อยๆมา...

เห็นนักดาราศาสตร์เขาบอกว่ามีดาวอีกดวงที่คล้ายดาวโลก
มันชื่อเคปเลอร์-16บี มีดวงอาทิตย์ตั้งสองดวงเชียวแนะ
ใครอยากอพยพไปอยู่ดาวดวงใหม่ก็เตรียมตัว
มันอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 200 ปีแสงเท่านั้น...จิ๊บๆ

แต่หลายๆคนยังไม่อยากไป อ้างว่าหัวนมดำ

Submitted by ถนอมรัก เดือนเ... on

เป็นงานเขียนที่เข้มข้นมากครับ คุณ คำ ผกา เป็นหญิงหาญกล้า เป็นตัวเอง มั่นคง ตัวหนังสือ ปากกา สมอง หล่อหลอมเป็นกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง... แนวคิดของเธอน่าสนใจครับ.

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง.

Submitted by wanwisa on

เห็นด้วยกับคุณถนอมค่ะ เมื่อก่อนเคยอ่านประชาไทยบ่อยมาก(และเป็นแฟนตัวยงของคุณคำ ผกา) ตอนนี้ต้องเริ่มถอยเพราะนำเสนอแต่แนวคิดติดทฤษฏีที่มองข้าม agency ของความเป็นคนไป แต่ดูเฉพาะเรื่องของโครงสร้างสังคม ชนชั้นตามแนวมาร์กซิส บางครั้งแนวความคิดนี้ก็จำเป็นเพราะมันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ (radical change) แต่หลายครั้งที่พออิงกับมาร์กซ์ปุ๊บ เราจะไม่มองความซับซ้อนของปัญหา ไม่มองปัจจัยหลายๆตัวที่บางตัวซุกซ่อนอยู่ และที่สำคัญคือเราจะเห็นชนชั้นล่างเป็นพระเอกเสมอ และชนชั้นelite เป็นตัวโกงทุกครั้งไป ในทฤษฏีทางสังคม(structuralism) การมองแบบนี้มันใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆได้และง่าย เราก็เลยหลงลืมไปและพลันลืมไปว่ามันมีรากฐานมาจากการปฏิวัติที่มีภูมิหลังแตกต่างเราอย่างมากมาย คงถึงเวลา(นานแล้ว)ที่เราต้องคิดภาษาและทฤษฏีใหม่ในการ theorize และอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

สำหรับกรณีอากง คิดว่าแกไม่น่าจะเป็นคนทำในสิ่งที่ถูกกล่าวหาและควรมีการเสาะหาความจริงให้ถึงที่สุด

สำหรับคำ ผกา ไม่เคยเกลียดเธอ แต่ก็แอบเสียดายงานเขียนstyle ตรงไปตรงมา กล้า(แต่ไม่กร้าว) ทว่าเจือปนด้วยความอ่อนไหวและแสนจริงใจเช่นใน "จดหมายจากหมู่บ้านสันคยอม" "จดหมายจากเกียวโต", "ยุให้รำ ตำให้รั่ว" คำ ผกาจะรู้หรือเปล่าหนอว่าเธอเองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนกัน จากกลุ่มคนที่ดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าเอาเข้าจริงๆแล้วเข้าใจสิ่งที่เธอพูดได้ขนาดไหนเชียว? จริงๆมีหลายอย่างๆที่อยากจจะโต้แนวคิดของคำ ผกา แต่เอาไว้แค่นี้ก่อน
เออ เป็นคนบ้านนอกอีสาน พูดอีสาน ทำงานรับราชการ จบโทออสเตรเลีย เรียนเอกที่อินเดีย ไม่รู้ว่าจะเป็นไพร่หรือelite ดี หรือสลิ่ม? มันช่วยอะไรได้บ้างกับการตีตราคนให้เป้นอย่างงั้น อย่างงี้?

Submitted by wanwisa on

เห็นด้วยกับคุณถนอมค่ะ เมื่อก่อนเคยอ่านประชาไทยบ่อยมาก(และเป็นแฟนตัวยงของคุณคำ ผกา) ตอนนี้ต้องเริ่มถอยเพราะนำเสนอแต่แนวคิดติดทฤษฏีที่มองข้าม agency ของความเป็นคนไป แต่ดูเฉพาะเรื่องของโครงสร้างสังคม ชนชั้นตามแนวมาร์กซิส บางครั้งแนวความคิดนี้ก็จำเป็นเพราะมันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ (radical change) แต่หลายครั้งที่พออิงกับมาร์กซ์ปุ๊บ เราจะไม่มองความซับซ้อนของปัญหา ไม่มองปัจจัยหลายๆตัวที่บางตัวซุกซ่อนอยู่ และที่สำคัญคือเราจะเห็นชนชั้นล่างเป็นพระเอกเสมอ และชนชั้นelite เป็นตัวโกงทุกครั้งไป ในทฤษฏีทางสังคม(structuralism) การมองแบบนี้มันใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆได้และง่าย เราก็เลยหลงลมไปและพลันลืมไปว่ามันมีรากฐานมาจากการปฏิวัติที่มีภูมิหลังแตกต่างเราอย่างมากมาย คงถึงเวลา(นานแล้ว)ที่เราต้องคิดภาษาและทฤษฏีใหม่ในการ theorize และอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

สำหรับกรณีอากง คิดว่าแกไม่น่าจะเป็นคนทำในสิ่งที่ถูกกล่าวหาและควรมีการเสาะหาความจริงให้ถึงที่สุด

สำหรับคำ ผกา ไม่เคยเกลียดเธอ แต่ก็แอบเสียดายงานเขียนstyle ตรงไปตรงมา กล้า(แต่ไม่กร้าว) ทว่าเจือปนด้วยความอ่อนไหวและแสนจริงใจเช่นใน "จดหมายจากหมู่บ้านสันคยอม" "จดหมายจากเกียวโต", "ยุให้รำ ตำให้รั่ว" คำ ผกาจะรู้หรือเปล่าหนอว่าเธอเองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนกัน จากกลุ่มคนที่ดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าเอาเข้าจริงๆแล้วเข้าใจสิ่งที่เธอพูดได้ขนาดไหนเชียว? จริงๆมีหลายอย่างๆที่อยากจจะโต้แนวคิดของคำ ผกา แต่เอาไว้แค่นี้ก่อน
เออ เป็นคนบ้านนอกอีสาน พูดอีสาน จบโทออสเตรเลีย กำลังเรียนเอกที่อินเดีย ไม่รู้ว่าจะเป็นไพร่หรือelite ดี หรือสลิ่ม? มันช่วยอะไรได้บ้างกับการตีตราคนให้เป้นอย่างงั้น อย่างงี้?

Submitted by wanwisa on

ขอโทษทีโพสต์สองครั้ง นึกว่าครั้งแรกโพสต์ไม่ติดค่ะ นานๆจะได้เข้ามาโพสต์อะไรกับเค้าซักที แและที่บอกว่าเห็นด้วยกับคุณถนอมนั้น เห็นด้วยกับที่ตอบคุณแสงดาว ศรัทธามั่น ไม่ใช่เห็นด้วยกับเรื่องคุณ คำผกาเรื่องการโชว์นมพร้อมข้อความ No Hatred for Naked Heart (แต่เรื่องอากง เราเห็นด้วยแน่นอนว่าต้องช่วยกัน)

Submitted by wanwisa on

เห็นด้วยกับคุณโสมคานค่ะ เป็นคอนเซ็ปเกี่ยวกับ private space ของทางตะวันออกเราที่มีมิติเรื่องจิตวิญญาณ(spirituality)มาเกี่ยวข้อง ในอินเดียแนวคิดนี้ (กำลังเรียนอยู่ที่นี่) มีอิทธิพลมากในการต่อสู้ทางอุดมการณ์กับอังกฤษสมัยอาณานิคม

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

Wanwisa คุณวันวิสาแสดงความเห็นมาชัดเจนครับ ผมไม่มีอะไรต่อและขัดแย้ง เข้าใจว่าที่คุณกำลังเรียนอยู่ที่อินเดียจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมหาตมะคานธีด้วยอย่างแน่นอน ขอบคุณมากครับ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

Wanwisa ลืมบอกไปนิดหนึ่ง ผมรู้จักคานธีค่อนข้างลึกซึ้งจากงานแปล "เมื่อข้าพเจ้าทดลองความจริง" (The Story of My Experimenth Truth) ของคานธี ที่แปลโดย อ.กรุณา - เรืองอุไร กุศลาสัย ในทางวรรณกรรมนี่ชอบรพินทรนาถ เคยอ่าน คีตาญชลี สาธนา แต่ที่ชอบที่สุด คือ คนสวน (The gardener) ที่มีลักษณะเป็นสากลของความเป็นมนุษย์ที่เข้าใจได้ง่าย โดยไม่ต้องไปติดกำแพงทางวัฒนธรรม ต่อมาก็รู้จักอินเดียจาก อ.ประมวล เพ็งจันทร์ ในแง่มุมที่เกี่ยวกับศาสนาและปรัชญา แค่นี้เองครับ

Submitted by วิหคหลงฟ้า on

คานธีบอกว่า...นักสัตยาเคราะห์จะเผชิญกับความรุนแรงทุกชนิดที่ "ฝ่ายตรงข้าม" อาจกระทำต่อเขาด้วยความอดทนและด้วยความกล้าหาญ แต่จะไม่ถือว่าฝ่ายตรงข้ามเป็น "ศัตรู" จุดมุ่งหมายสำคัญก็คือ การเปลี่ยนจิตใจของฝ่ายตรงข้ามมากกว่า สำหรับพวกเขาแล้วจะไม่มีคำว่ามิตรหรือศัตรู ทุกคนอยู่ในครอบครัวของมนุษยชาติเดียวกันทั้งหมด..........มหาตมะ คานธี ยอมรับว่า มนุษยชาติยากที่จะพัฒนาไปถึงภาวะที่ปราศจากความขัดแย้ง หรือแม้แต่ภาวะที่ความขัดแย้งจะได้รับการแก้ไขโดยไม่ต้องใช้กำลัง คานธีพยายามค้นหาวิธีการอื่นที่จะมาใช้แทนสงคราม วิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงและไม่ทำให้ความเป็นมนุษย์ต้องตกต่ำลง

เมื่อย้อนกลับไปอ่านแนวคิดสัตยาเคราะห์ของคานธี แล้ว....มีคำถามกับตัวเองว่าวิธีการที่คนไทยใช้กระทำต่อกันนั้น ล้วนแต่ทำให้ความเป็นมนุษย์ของคนไทยตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง หรือไม่.....ไม่ว่า การปิดสนามบินดอนเมือง การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ การรัฐประหาร การเผาบ้านเผาเมืองเผาศาลากลางจังหวัด การส่ง sms ของอากง แม้แต่การแก้ผ้าเปลือยอกของคำผกาที่แม้ว่าจะเห็นหน้าอกสวยๆ ( ผมคิดว่าสวยเพราะผมชอบหัวนมใน style ของคำผกา ผมไม่ชอบหัวนมชมพู ) ถ้าวิเคราะห์ให้ดี การกระทำเหล่านั้น (หรือแม้แต่การแก้ผ้าเปลือยอกของคำผกา)..คนไทยเราคิดว่าความขัดแย้งที่มีอยู่ทุกวันนี้ เราเห็นคนไทยด้วยกันเป็นศัตรูหรือไม่ เรามีจุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนจิตใจฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธี สงบ สันติ อหิงสา หรือไม่....และที่สำคัญที่สุดก็คือ...การกระทำของเราคนไทยทั้งมวลนั้น ทำให้ความเป็นมนุษย์ต้องตกต่ำลง หรือไม่ .. นมของคำผกา ไม่สำคัญเท่ากับความคิดของคำผกา...ถามคำผกาหน่อยว่า...เปลือยอกแล้วเห็นคนไทยด้วยกันที่แตกต่างเรื่องความคิดเป็นศัตรูไหม...การเปลือยอกของเธอพร้อมกับคำกล่าว...ไม่มีความเกลียดชังในหัวใจที่เปลือยเปล่า..ของเธอ...การที่อากงเกลียดสถาบันแล้วส่ง sms นั้น อากงเห็นพระองค์เป็นศัตรูหรือไม่ อากงเห็นคนไทยที่คิดต่างเป็นศัตรูหรือไม่ อากงใช้วิธีการที่ทำให้ความเป็นมนุษย์ต้องตกต่ำลงหรือไม่...การโกรธแค้นของฝ่ายที่ไมเห็นด้วย จะทำให้ความเป็นมนุษย์ของตนเองตกต่ำลง หรือไม่....และในขณะนี้ การกระทำของคนไทยเราที่บางคนไม่เคยรู้จักหลักสัตยาเคราะห์เลย บางคนรู้จักแต่ไม่คิดจะนำมาใช้ ทั้งหมดล้วนทำให้ความเป็นมนุษย์ของคนไทยด้วยกันทั้งมวลต้องตกต่ำลง....หรือไม่...

Submitted by wanwisa on

คุณถนอม และคุณวิหคหลงฟ้า ขอบคุณที่อุตส่าห์ตอบมาค่ะ ต้องบอกว่ายังไม่ได้อ่านหนังสือต่างๆที่กล่าวมาเลย อยากจะขอเพิ่มเติมว่าที่ comment ไปนั้น เป็นเป็นการส่งสารถึงคำผกาโดยรวมและแนวคิดที่มักถูกจะนำมาใช้ในบทความเชิงการเมืองของประชาไท ไม่ได้เจาะจงเรื่องหน้าอก(จริงๆก็เคยเห็นของเธอที่ดู firm กว่าจาก GMแล้วเหมือนกัน) คือจะพูดยังไงล่ะ คิดว่าคำ ผกา(ช่วงหลังๆ) เองก็อาศัยการคิดแบบพันธมิตรแต่เพียงแค่ไปอยู่ขั้วตรงข้ามแบบสุดๆเท่านั้น แล้วมันเลยเกิดกระแสแบบเหวี่ยงต้านกันไปกันมาเป็น pendulum แล้วจะหาความพอดีหรือจุดร่วมที่สามารถเดินไปด้วยกันได้ยาก จริงๆคุณคำผกามีความรักเพื่อนมนุษย์สูง แต่การส่งสารของเธอหลายครั้งที่เหมือนเหมารวมว่าเรา(แดง ไพร่ ประชาชนชั้นล่าง)เท่านั้น ที่รักมนุษย์ รักความเป็นธรรม อีกฝ่ายมีแต่ความเกลียด ความกลัว และขณะที่เธอมักจะชอบinvoke ความเป็นมนุษย์ในความคิดเห็นหลายๆอย่าง เธอกลับปฏิเสธมิติทางด้านจิตวิญญาณที่คณหมอประเวศ พยายามจะนำเสนอ และเช่นเดียวกันกับที่คุณวิหคหลงฟ้าเอ่ยถึงสัตยานุเคระห์และชูสังคมแนว liberal ที่ไร้ราก ยังไงฝากคุณถนอมช่วยเตือนเธอบ้างก็แล้วกัน บางทีก็รู้สึกว่าเธออยู่บนหลังเสือแล้ว มันหาทางลงได้ยาก มันต้องแร็งส์แรงต่อไป ...

ที่อินเดียมีนักวิชาการหลายกลุ่มและถ้ามีกรณีต่างๆทางการเมือง หรือสสังคมวัฒนธรรมเกิดขึ้นเค้าจะถกเถีงโต้กันไปกันมา และเถียงแบบถึงที่สุด เกี่ยวกับคานธี มีนักวิชาการที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห้นด้วย พวกสาย liberalist และ Marxist จะไม่เอาคานธีเลยเพราะคิดว่าทฤษฏีของแกไม่สามารถ apply กับสถานการณ์ของสภาพสังคมปัจจุบันได้ (และอาจจะให้ผลไม่ทันใจด้วย) และอีกฝ่ายคือ (critical) traditionalist ฝ่ายนี้สนับสนุนแนวคิดของคานธี ที่มองเรื่องมิติของสัง คม วัฒนธรรมเป็นเรื่องสำคัญในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และทางประชาธปไตย และพยายามจะอธิบายสังคม การเมืองอินเดียจากมุมมองของอินเดียเอง มิใช่มุมมองตะวันตกที่อิงทฏษฏีของตะวันตกเพียงอย่างเดียว ประสบการณ็การเป็นอาณานิคมทำให้เค้า critical กับแนวคิดตะวันตก
คงไม่ respond อีกแล้วนะคะเพราะเขียนและพิมพ์ และแสดงความคิดเห็นไม่เก่ง นานมากกว่าจะได้หนึ่งพารากราฟ

Submitted by wanwisa on

แก้ไขเล็กน้อย: เธอกลับปฏิเสธมิติทางด้านจิตวิญญาณที่คณหมอประเวศ พยายามจะนำเสนอ และเช่นเดียวกันกับที่คุณวิหคหลงฟ้าเอ่ยถึงสัตยานุเคระห์ แต่เธอกลับชูสังคมแนว liberal ที่ไร้ราก ยังไงฝากคุณถนอมช่วยเตือนเธอบ้างก็แล้วกัน บางทีก็รู้สึกว่าเธออยู่บนหลังเสือแล้ว มันหาทางลงได้ยาก มันต้องแร็งส์แรงต่อไป ...

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

อ้ายหนอมคับ อ้ายมิได้มองมนุษย์แบบสังคมกลไก(ถึงแม้อ้ายจะเคยเป็นแนวร่วมและผู้ปฏิบัติงานส่วนล่างของ พ ค ท . ในเมืองในอดีตมาก่อน)อ้ายไม่ได้มองมวลมนุษยชาติแบบสังคมกลไก อ้ายมองว่าที่พคท. แพ้ส่วนหนึ่งก็คือการคิดแบบกลไก แบบเคร่องจักรกลนอกจากความเป็นเผด็จการภายในพรรคของฝ่ายนำแล้ว อ้ายไม่ชอบมองคนแบบกลไก อ้ายมองในความเป็นมนุษย์ของเขาที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ เราเองก็มีด้วย เพราะเรามิใช่พระอรหันต์ที่บรรลุธรรม เรายังอยู่ในโลกโลกียะอยู่ มิใช่โลกุตตระ อ้ายปฏิเสธความเป็นกลไกเสมอมา และอ้ายก็ไม่ยึดติดทฤษฏีของคาลมาร์กว่าเจ๋งเสมอไป และอ้ายก็ไม่ได้ศึกษาทฤษฏีของคาลมาร์กมากอะไร เพียงแต่อ้ายเห็นด้วยที่เขาเปิดโปงทุนนิยมสามานย์ที่กดขี่(ต้องใช้คำนี้) ที่กดขึ่กรรมกรและชนชั้นล่าง ฯลฯ ให้ลุกตื่นขึ้นมา

อ้ายเห็นด้วยกะอ้ายหนอมในส่วนหนึ่งที่ว่า ไพร่ที่ไต่เต้าไปเป็นข้าราชการ แล้วทำตัวเหมือนศักดินา(แต่เขาไม่สามารถเป็นศักดินาเป็นๆ ตัวจริงได้ อย่างน้อยก็เป็นลูกกระจ๊อกเขา)ยกตัวอย่างเช่น ดู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือพวกผู้แทน นักธุรกิจกินเมืองการเมือง นักเลือกตั้งฯลฯซี

ที่อ้ายแสดงความคิดเห็น พูดให้ถึงที่สุดคืออ้ายปฏิเสธโครงสร้างสังคมในส่วนที่ห่วยแตกทั้งในอดีตและปรัตยุบัน คือระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง ระบบการศึกษาวัฒนธรรม (ในส่วนที่ดีเราก็รักษาไว้ ... ในส่วนที่ห่วยก้อเขวี้งทิงไปอย่าไปเสียดายมัน...เอแรงปายยยยหรือเนี่ย?พระเดชพระคุณทั่น)

ระบบโครงสร้างหลักๆนี้เพ่งพิศมองดูองค์รวมไม่เอื้อเฟื้อประโยชน์ให้กะสังคมอย่างแท้จริง!!! อ้ายว่าหากวิเคราะห์โดยระบบโครงสร้างนี้อ้ายคิดว่าอ้ายถนอมเข้าใจเพราะอ้ายหนอมพูดถึงโครงสร้างบ่อยอยู่

แต่ทว่า คนที่เป็นศักดินาสมมุติไม่ว่าจะเป็นศักดนาระดับสูงตีนไม่ติดดิน(แต่อาจติดดินเป็นบางครั้งบางครา)หรือไม่ว่าศักดินาอภิสิทธิชนระดับไหนโดยสถานะภาพของเขาแล้วเขาก็คือพวกอภิสิทธิ๙นเท่านั้นเองที่อยู่เหนือหัวชาวบ้าน ไพร่ราบ หรือชนชั้นกลางระดับล่างใต้ส้นตีนอย่างพวกเรา

ใช่แล้ว ชนชั้นศักดินาสมมุติมีคุณค่าสร้างสรรค์สังคมเข้าใจสังคมเข้าใจชาวบ้านเห็นใจและช่วยชาวบ้านก็ก็มีอยู่ เราไม่เหมารวมทั้งหมดดอกเจ้า เช่นหม่อมด้วงหีออาจารย์ อะไรนะอ้ายจำชื่อไม่ค่อยได้ แกชื่อ ศักดินา ศักดิกุลฯ หรือเปล่า เขาก็ดูเหมือนยืนข้างประชาชน หรือฯลฯแต่มีน้อยมาก หรืออ้ายคิดไปเองไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง? ท่านผู้ใดรูก็กรุณาช่วยบอกด้วยคับ

อ้ายหนอมคับอ้ายเองไม่ได้คิดว่าทุกคนเป็นศัตรูนะคับอ้ายถือว่าทุกคนเพื่อนเพื่อนร่วมโลกร่วมแผ่นดินด้วยกัน ไม่ว่าในสถานะภาพสมมุติเป็นศักดินา อมาตย์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ฯลฯ แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกต้องเป็ธรรมเอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมแผ่นดินของเขาเราก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์และต่อสู้กันทางความคิดแบบแผ่เมตตาหรือไม่ก็ต้องรวมตัวกันเดินบนท้องถนนเพราะที่อื่นไม่มีให้ประชาชนเดิน เดินด้วยอหิงสาธรรมและเมตตาธรรม ซึ่งคงไม่มีใครมากระชับพื้นที่

อ้ายหนอมคับ มีเพื่อนคนหนึ่งพูดกะอ้ายว่า...เมื่อมีการออกกฏหมาย มาตราที่ไม่เป็นธรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชน(โดยอย่าอ้างจารึตประเพณี อย่าอ้างความเป็นไทย อย่า "ล้าหลังคลั่งชาติ" คำพูดของอ้ายสุจิตต์ วงษ์เทศ อดีตบรรณาธิการนิตยสารศิลปวัฒณธรรม) เพื่อนเขาบอกว่า... ถ้ามีกฏหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยสมมุตินี้อย่าสะเอะเรียกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยเลยขายขี้หน้าทั่วโลกถ้าเป็นบแบประเภท มีปากเหมือนมีตูด พูดไม่ได้ ก็ให้มีการปกครองแบบเผด็จการทหาร หรือเปนแบบสมบูรณาญาสิทธิราชไปเล๊ย ... ฮารำคาญ ...เพื่อนเขาบ่นแบบนี้ ใครท่านใดคิดเห็นอย่างไรโปรดกรุณาสนทนาธรรมมาปุจฉา วิสัจสนากันด้วยเจ้า

Submitted by กบฎชนชั้นกลาง on

เป็นกำลังใจให้คุณคำผกา
ดิฉันก็เป็นผู้หญิง ก็เห็นว่าสวยงามและสื่อสารสิ่งที่อยู่ในจิตใจเธอได้ดี
เธอได้ก้าวข้ามความกลัวในจารีตของไทยไปพร้อมกับการนำพาข่าวสารของเธอไปยังผู้ที่เห็น
ทุกคนมีสิทธิ์จะมองได้ต่างมุม
แต่ก็อย่างที่เธอเขียนไว้
ไม่มีความเกลียดชังในจิตใจที่เปิดกว้าง
คนที่รังเกียจเดียจฉันท์สิ่งที่เธอทำ
ตำหนิติเตียนร่างกายหรือความกล้าบ้าบิ่นของเธอ
ก็ลองถามตัวเองดูว่า
ในใจคุณมันมีความเกลียดชังอยู่มากน้อยขนาดไหน
แล้วยังพอจะมีที่เหลือให้กับความถูกต้องยุติธรรมอยู่บ้างหรือเปล่า

Submitted by วิหคหลงฟ้า on

มองปรากฎการณ์การเมืองไทยช่วงขัดแย้งอย่างหนัก แล้วไปนั่งดูซีรีย์เกาหลี "ทงอี" แล้ว ก็สบายใจขึ้นนะครับ ความเป็นจริงในโลกกับละครที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ก็คงไม่เลวร้ายกว่ากันมากมายนัก ผู้คนที่ยืนบนจุดยืนแบบฝ่ายพระสนมฮีบิน กับผู้คนที่ยืนบนจุดยืนแบบฝ่ายของ "ทงอี" ก็คงมีมากมายเช่นกัน ดังนั้น มองสถานการณ์ความขัดแย้งวุ่นวายของสังคมไทยในปัจจุบันเปรียบเทียบเรื่องราวในละคร "ทงอี" ก็ดูจะทำให้สบายใจขึ้นว่าของเราก็ไม่แตกต่างกับโลกมนุษย์ทั่วไป เราคงแยกแยะยากว่าความเป็นจริงของสังคมไทยขณะนี้ ใครเป็นแบบพระสนมฮีบินใครเป็นแบบทงอี เพราะทุกอย่างมันซุกในเบื้องลึกของจิตใจและไม่มีใครบอกหรอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายอธรรม เพียงแต่กังวลว่าจำนวนคนที่มีจุดยืนในจิตใจแบบฝ่ายของทงอีในสังคมไทยจะมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากว่าสิ่งที่ตัวละครในชีวิตจริงของสังคมไทยแสดงออกมาในทุกวันนี้ เป็นเพียงฉาบหน้าที่แสดงออกว่าปรารถนาดีต่อบ้านเมือง แต่ซ่อนความเลวร้ายไว้ใต้หน้ากากละก็ สังคมไทย คงพบจุดจบแบบน่าอนาถ แน่นอน..........คนไทย สมควรทำใจว่านอกจากสิ่งที่เกิดขึ้นแบบปรากฎการณ์ ๙๑ ศพที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น สถานการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ในบ้านเมืองอาจจะเกิดขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้.....ดูหนังดูละครที่สะท้อนความจริงในเบื้องลึกของ "อำนาจ" และการแย่งชิงอำนาจแล้ว ทำใจกันไว้บ้างก็ดีครับ ถึงเวลา "นองเลือด" เมื่อใด จะได้ไม่ตกใจมากจนช๊อกตายกระทันหัน.......................

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

วิหคสายฟ้า ครับ ผมอ่านๆความเห็นจากทุกท่านดูแล้ว แม้จะมาจากมุมมองที่ต่างกัน แต่ทุกฝ่ายก็ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายที่เป็นความปรารถนาดีต่อส่วนรวมด้วยกันทั้งสิ้น นั่นคือ ไม่อยากเห็นความขัดแย้งที่ยังดำรงก่อให้เกิดความรุนแรงอีก หรือไม่ก็ต้องทำใจอย่างที่คุณวิหคสายฟ้าว่ามา

ผมเคยได้ยินจากที่ใดที่หนึ่งมาว่า "ในโลกนี้ มีสิ่งที่น่ากลัวอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตนด้วยกันท้งนั้น" และต่างก็เชื่อในเหตุผลที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แล้วเราต่างก็ไม่ยินยอมกัน

โดยเฉพาะยิ่ง ถ้าต่างฝ่ายต่างถือตัวว่าเหตุผลของตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แถมยังสามารถพิสูจน์ได้อีกด้วย และทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามความเชื่อของตนเองเท่านั้น ถ้ามากันแบบนี้ เราก็คงถอยออกมายืนอยู่ห่างๆ ให้สังคมที่ขัดแย้งกันลงมือทำลายล้าง และยุติกันเอง เนื่องจากต่างพินาศด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนไม่รู้จะเอาอะไรมาทำลายกันอีก ท่ามกลางความร่ำรวยของคนมากมายหลายกลุ่ม ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากเหตุการณ์เหล่านี้ เช่น สื่อมวลชนที่ขายข่าวความรุนแรง สื่อรับจ้างใส่ร้ายป้ายสี พ่อค้าขายอาวุธ ฯลฯ น่าจะดีกว่า ที่คิดไปจะไปช่วยกันยับยั้งสิ่งที่ไม่สามารถยับยั้งได้ เช่นมหาอุทกภัยที่ผ่านมา โดยถือเสียว่ามันเป็นธรรมชาติความขัอแย้งของสังคมที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ที่ต้องเป็นเช่นนี้ น่าจะดีกว่านะครับ ขอบคุณครับ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

กบฏคนชั้นกลาง ขอบคุณแทนคุณคำ ผกา ครับ จริงของคุณ ถ้าเราไม่กล้าก้าวผ่านบางสิ่งบางอย่าง เช่นคุณคำ ผกา เธอก้าวผ่านจารีต เราก็คงไม่สามารถที่จะทำอะไรที่ควรทำได้มากมายหลายอย่าง จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่จะมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กับวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมายของเธอ ซึ่งเธอก็คงรู้อยู่แล้ว

ส่วนเรื่องค่านิยมของความงามนั้น ผมก็ไม่ได้เขียนขึ้นมาด้วยอคติเพื่อปกป้องคุณ คำ ผกา หรือโจมตีค่านิยมความงามแบบคนชั้นสูง ที่มีคนฝากกันมาบอกผมว่า "มันเรื่องอะไรที่ผมต้องไปป้องหัวนมของคุณคำ ผกา"

ผมเข้าใจว่า เขาคงจะมีอคติต่อคำ ผกา และอ่านงานชิ้นนี้อย่างลวกๆ เลยมองข้ามเห็นประเด็นที่ผมบอกว่า เราไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้มากดข่มกันเท่านั้นเอง เพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยมที่เราต้องเคารพกัน พูดง่ายๆว่าความงามที่ถึงความงามจริงๆคำว่าชนชั้นหรืออำนาจใดๆ ก็ไม่สามารถหักห้ามคนไมิให้ชื่นชมได้

อย่างเช่นตัวผมนี่เป็นไพร่ ถ้าผมจะชื่นชมความงามของราชินีผู้เลอโฉมสักองค์หนึ่ง ก็คงไม่มีอำนาจใดในโลกนี้มาหักห้ามความรู้สึกนึกของผมได้ (แม้แต่สำนึกทางชนชั้นของสังคมชั้นต่ำที่ผมสังกัดอยู่) ถึงแม้ในโลกของความเป็นจริงภายนอก สถานะแห่งความชื่นชอบของผม จะดูไม่ต่างจากหมาเห่าเรื่องบิน แต่ผมเชื่อว่า แม้แต่อำนาจรัฐที่โง่ที่สุดในโลก ก็คงไม่กล้าที่จะออกกฎหมายมาเอาผิดกับผมได้ ขอบคุณครับ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

แสงดาว ศรัทธามั่น ผมอยากให้อ้ายแสงดาวแสดงความคิดเห็นที่มีรายละเอียดที่ทำให้คนนอื่นเขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนอย่างนี้แหละครับ ขอบคุณคร้าบ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

wanwisa ผมไม่มีอะไรจะแย้งกับคุณวันวิสา เพราะคุณเปิดเผยตัวเองและแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างชัดเจนและคงสามารถเข้าใจกันได้ทุกคน และถือว่าเป็นสารที่ส่งผ่านไปถึงคุณ คำผกา โดยตรง ขอบคุณอีกครั้งครับ

Submitted by วิหคหลงฟ้า on

คุณถนอมครับ
ผมเพียงแต่อินกับละครทงอี มากไปมั้ง จนถวิลหาคนที่มีความคิดแบบทงอีว่าอยากจะให้มีขึื้นในสังคมไทยของเรา แม้ทงอีจะอยู่ในความขัดแย้ง แย่งชิงและความรุนแรงแห่งการต่อสู้ แต่ทงอีมี 1.ความรักต่อชาติบ้านเมือง 2.ความปรารถนาดี ความหวังดีและความจริงใจต่อผู้อื่น แม้แต่พระสนมฮีบินผู้ถูกกิเลศแห่งการแสวงหาอำนาจมาครอบงำจนผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทงอีก็ยังให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า 3.การมองคนอื่นในแง่ดี และมองเห็นด้านดีของมนุษย์ มองโลกในแง่ดี 4.ทงอีเป็นผู้ไม่ปรารถนาการฆ่าฟันและความรุนแรง และคุณลักษณะอื่นๆของทงอีที่กำลังวิเคราะห์เล่นแบบสนุกๆ
"ดูหนังดูละครแล้วย้อนมาดูตัว" ดูแล้วอิจฉาราชสำนักโชซอนที่มีคนอย่างทงอีเกิดขึ้นมา ย้อนมาดูสังคมไทยในปัจจุบันมันเลยห่อเหี่ยวที่่มีแต่รังสีอำมะหิตแผ่ซ่านไปทั่วผืนแผ่นดิน จนผู้คนเหน็บหนาวและวังเวงกันอยู่ถ้วนทั่ว เมื่อผู้คนในแผ่นดินไร้สิ้นซึ่งความรักและปรารถนาดีต่อกัน แผ่นดินก็คงหาความสงบมิได้แล้ว

Submitted by โสมคาน on

อ้ายหนอม

ประกาศด้วย ช่วยที พี่ผมหาย
เดิมชื่อศักดิ์ รักหน่าย แล้วพ่ายหนี
ปลดเกษียร ก่อนเวลา ชอบพาที
บอกศักดิ์นี้ ชังนัก ศักดินา

เป็นมือวาง แข็งแรง แทงซะนุก
ไม่มีฟลุ๊ค ได้แต้ม คล้ายแรมบ้า
แต่พักหลัง ไม้สั่น เลยหันมา
สุขสนาน เฮฮา กับยาดอง

เป็นครูเก่า เคยสอน สันป่าสัก
ว่องไวนัก เคยวิ่ง ได้ที่สอง
เป็นนักบาส โยนลูก ก้อเคยลอง
แต่เหรียญทอง ไม่เคยได้ เลยหายลา

ระวังหวย งวดจะถึง หนึ่งหนึ่งสอง
หากถูกต้อง แบ่งกันด้วย รวยถ้วนหน้า
ผมไม่เอา ขอเปลี่ยน เป็นสุรา
เพียงแก้วเดียว ส่งมา สีขาวเพียว

Submitted by น้ำลัด on

ดูๆแล้ว...กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือคำว่า "เหตุผล" นี่เองใช่ไหมครับ

อันที่จริงบางทีในชีวิตเราก็ไม่ต้องการเหตุผลกันสักเท่าไหร่หรอก
พอเราต้องการเหตุผลกันขึ้นมา มันก็มักกลับกลายเป็นเรื่องซะงั้นๆ

อย่างคนเขาจะรักจะชอบกัน ส่วนใหญ่เขาก็คงไม่ได้มานั่งหาเหตุผลกัน
ว่าทำไมถึงรัก ทำไมถึงอยากอยู่ใกล้ ทำไมถึงอยากพูดคุย...ทำไม...และทำไม
แต่คนเรากลับเอา "ความรัก" นี่แหละไปเป็นเหตุผลซะงั้น

แล้วก็ยังมีประเภทหาสารพัดเหตุผลมาสร้างเป็นความรัก
และผมก็รู้สึกว่าไอ้ความรักที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสารพัดเหตุผลนี่นะ
มันน่าจะเป็นคววามรักจอมปลอม ความรักเทียมๆ ที่ไม่อาจอยู่ได้อย่างยั่งยืนหรอก

เพราะโลกใบนี้มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรักชนิดที่ไร้เหตุผลล้วนๆ
เพราะโลกใบนี้มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรักชนิดสันดานดิบของผู้คนล้วนๆ

สังคมใดยิ่งปรุงแต่งความรักให้มันทรงเครื่องมากขึ้นเท่าใด
ดูเหมือนก็ยิ่งเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ความเกลียดชังกัน มันก็เป็นผลมาจากการสร้างความรักจอมปลอมนั่นแหละครับ

ชีวิตนี้แสนสั้นนัก หลายคนตระหนักถึงเรื่องนี้กันดี
หลายๆคนก็พยายามใช้ชีวิตให้คุ้มค่าทุกเวลาทุกนาที
หลายๆคนไม่เคยปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป ในเมื่อเขามีโอกาสที่จะทำได้ดั่งฝัน
และผมก็เชื่อว่าคุณคำ ผกา ก็คือคนหนึ่งที่ไม่เคยรีรอจะทำสิ่งใดๆให้ได้ดังฝันของเธอ

Submitted by อรวรรณ on

สวัสดีเจ้า ข้าเจ้าเป็นผู้ติดตามอ่าน คำ ผกา คนหนึ่ง สำหรับข้าเจ้าผู้โตมาอย่างละอ่อนเรียบร้อยล้าหลัง คำ ผกา เธอเหมือน ซีโมน เดอ โบวัวร์ เลยทีเดียว ในข้อที่ว่าเธอกำลังต่อสู้หื้อหมู่ผู้ถูกกดหื้อล้าหลัง โดยเฉพาะหมู่แม่ญิงบ้านเฮา คำ ผกา เธอเสนอมา เฮาคิด (บางอย่างเฮาอาย ก็บ่ต้องทำเหมือนเธอหรอกเนาะ อิอิ) ข้าเจ้าคิดว่าเฮาอย่าไปเกลียดและกลัวเสรีภาพนะเจ้า ถ้าเปิ้นปล่อยโซ่ตรวนแล้วยังยืนงง บ่ฮู้จะทำอย่างใด บ่เคยคิดก็คิดบ่เป็นเลยอยากเอาโซ่ตรวนมาคล้องตัวไว้อย่างเก่า บางคนเข้าข่ายนั้นทีเดียว ข้าเจ้าขอชื่นชมและหื้อกำลังใจเธอผ่านทางนี้เจ้า ป.ล.เพิ่งเข้ามาเขียนในนี้ครั้งแรก ขอบคุณสำหรับข้อเขียนดีๆ กระตุ้นความคิด ขอร่วมวงอู้จาเจ้า

Submitted by อรวรรณ on

ขอเพิ่มอีกหน่อยเจ้า แม่ญิงสมัยใหม่เฮา นุ่งเตี่ยวเหมือนป้อจาย ก็งามดีและทะมัดทะแมงนะเจ้า แต่เมื่อซักห้าสิบปีมาแล้ว แค็นเธอรีน เฮ็ปเบิร์นก็โดนด่าขนาด ที่เป็นแม่ย่าแม่ญิงบังอาจใส่เตี่ยว อิอิ

Submitted by wanwisa on

อีกข้อนึงหนึ่งที่เฮาอยากส่งสารถึงคำ ผกาอีหลีกะคือว่าเธอเองเป็นคนสนับสนุนการวิพากษ์วิจารณ์เนาะ
เธอประกาศปาวๆว่าอยากสิวิจารณ์ผู้นั้นผู้นี้ หมอประเวศเอ่ย พระว. วชิรเมธีเอ่ย เอ่อ เล่ากะ ท่านพุทธทาสนำ
เหตุผลของเธอกะคืออยากให้สังคมไทยเฮาเป็นสังคมการวิจารณ์ ฉะนั้นกะอยากฝากอีกว่า เธอเองกะต้องฟังคนอื่นเขาวิจารณ์คือกันเด้อ (บ่อแม่นว่าฟังแต่แฟนคลับ) ....อีกอันนึงกะคือว่าบางคนที่เธออยากวิจารณ์เขาบ่อได้มีสถานะ สิมาโต้ตอบเธอได่ บางคนก็บ่อได้มีพื้นที่สื่อมาสนุนสนุนคือกันกับที่เธอมี....ฉะนั้นขั่นเธออยากวิจารณ์ผู้ได๋กะขอเลือกคู่ชกให้มันพอเหมาะพอควรกันแน่เด้อ

ขอโทษเจ้าของบทความด้วยที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับบทความซักเท่าไหร่ แต่จะเกี่ยวกับคำ ผกาเป็นส่วนใหญ่(ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว)

Submitted by โสมคาน on

อันคนเรา ชั่วร้ายดี ล้วนมีโซ่
เส้นเล็กโต น้อยใหญ่ เอาใจว่า
มีบ้างบอก ถอดโซ่ โฆษณา
อนิจจา วิ่งหาใหม่ ใหญ่กว่าเดิม

คำผกา นารี คือชีวิต
เผยความคิด เปลือยร่าง บอกสร้างเสริม
พูดอ่านเขียน ไม่พอ ขอเพิ่มเติม
เธอฮึกเหิม แก้ผ้า ผมท่ารอ

จากขึ้นปก มติชน จนตาค้าง
คราวนี้อ้าง อากง งงจริงพ่อ
กล้ากว่าเดิม เติมเต็ม เค็มไม่พอ
คราวหน้าขอ อย่ามี กว่านี้เลย

อันคนเรา ชั่วร้ายดี ล้วนมีโซ่
เส้นเล็กโต น้อยใหญ่ คล้องกันเฉย
มีบ้างบอก ถอดเถอะเรา เก่ามันเชย
แม่เจ้าเหวย หาใหม่ ใหญ๋กว่าเดิม

Submitted by โสมคาน on

คำผกา ทายท้า ออกมาชก
ทั้งประสก สีกา หน้าตาเฉย
หมอประเวศ ท่านวอ ไม่พอเลย
สองท่านนี้ คงไม่เคย เรื่องหมัดมวย

ผมโสมคาน อยากมัน ขันอาสา
แต่คิดมา คิดไป คงไม่สวย
ประเพณี ก่อนเก่า เราร่ำรวย
เรื่องต่อสู้ รำมวย ต้องไหว้ครู

ณ ทีนี้ งดงาม ห้ามผู้หญิง
ข้อเท็จจริง ชายชัด ถนัดสู้
หากผู้หญิง ขึ้นเวที ผิดผีครู
เลยนั่งดู คำผกา ท้าชกนม

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

ฝนตกขี้หมูไหล

หมู่เฮาคนไม่จังไรมาพบกัน

สนทนาธรรมและรังสรรค์

ยกจอกแก้วจีบ( เอ๊ยพูดผิดวะขอสูมาลาโดษตวยอ้ายเผลอไปเพราะอ้ายชอบจีบหญิงสาว และบางคราหญิงสาวก็จีบอ้าย ha ha) ยกจอกแก้วขึ้นจิบกัน

แล้วสังสรรค์เฮฮากันดังน้องพี่

หนาวนี้มีสายฝน

ฟ้าเบื้องบนวันนี้ไม่สดใส

มันจะขึดหรือกระไร

ทั่นมหากูรู้ใครก็ได้ช่วยบอกตวย

ทว่าคืนนี้ วันนี้

เขาบอกว่าจักมีจันทรคราสด้วย

และจะเห็นพระจันทร์สีแดงตวย

ช่วยพากันดูด้วยหายากนานนัก

พี่น้องเอ๋ย...

สบายใจเลยเรื่องการเมืองการมุ้งเราประจักษ์

ปี้แขก...คำผกาเปิ้นน่าฮัก

เอ๊ายกจอกกันพร้อมพรักแล้วโอบกอดกันให้นานนาน(และอ้ายโสมคานโปรดอย่าเสียว!! hi hi)

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

โสมคาน คุณเขียนบทกวีได้คมคายชวนคิด ชวนขัน ชวนสะดุ้งจริงๆ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้ำลัด เหตุผล เป็นความจำเป็นสำหรับมนุษย์ครับ ส่วนใหญ่คนเราล้วนแล้วแต่มีเหตุผลที่ดีของตัวเอง ให้คนอื่นยอมรับ ว่าชอบธรรมและถูกต้อง...แทบทุกเรื่องราว สิ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลที่เกี่ยวข้องอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ที่เราไม่ถูกหลอกลวง แต่ถ้าเป็นคนละเรื่อง ก็คงสามารถรู้ได้ จากการกระทำที่ขัดแย้งกับเหตุผลและหลักการที่ประกาศออกมา

มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่เราก็ขาดมันมิได้ เพราะคนทุกคนที่เรามีความสัมพันธ์เขาต้องการเหตุผลที่ทำให้เขาเชื่อมั่น เมื่อวานนี้ ผมมีความจำเป็นต้องใช้เงินอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่เงินไม่พอ ผมจึงไปยืมน้องสาวและบอกเธอว่า ไม่ต้องเป็นห่วง และให้เหตุผลที่ยอดเยี่ยมแก่เธอว่า อีกไม่กี่วันเช็คเงินค่าทำงานหลายพันของผมก็จะเดินทางมาถึงแล้ว เธอจึงควักให้ผมอย่างง่ายดาย ความจริงเหตุผลของผมอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ครั้งนี้ไม่จริงครับ แต่ผมต้องทำเ พราะความจำเป็นเฉพาะหน้ามันบีบคั้นให้แก้ปัญหาด้วยเงินให้ได้ สวัสดี

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

เพิ่มเติม วรรคที่สาม ประโยคที่เขียนว่า

"ที่เราไม่ถูกหลอกลวง..."

เพิ่มเติมเป็น

"ที่เราไม่ถูกหลอกลวงหรือไปหลอกลวงคนอื่น"

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

อรวรรณ คุณเปิดเผยตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับคุณ wonwisa เพียงแต่มุมมองต่างกันเล็กน้อย ผมเองก็ชอบซีโมน มีเล่มหนาปึกอยู่เล่มหนึ่ง มอบให้คนรักของคุณจรัล มโนเพชร ไป เพราเขาชอบยิ่งกว่าผมหลายเท่า

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

wanwisa ผมเห็นด้วยกับคุณครับ เมื่อคุณคำ ผกา อยากให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ คุณคำ ผกา ต้องยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของเธอที่เกี่ยวข้องกับสังคม แต่คงลำบากนะครับ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมของความเชื่อ และต้องปฎิบัติตาม ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีอิทธิพล อำนาจรัฐ และอีกสารพัดอย่าง หรือถ้ามี...บางทีก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะมักจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่มีเจตนาเพื่อยกย่อง หรือไม่ก็ทำลายกัน มากกว่าการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์จริงๆ

ทำยังไงได้ละครับ เราไม่เคยมีวัฒนธรรมแบบนี้มาก่อน เพราเราแต่มีวัฒนธรรม "ห้ามวิพากษ์วิจารณ์สารพัดอย่างมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์" ขอบคุณครับ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

เพิ่มเติมวรรค 2 "คุณคำ ผกา ต้องยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของเธอที่เกี่ยวข้องกับสังคมทั้งในด้านบวกและด้านลบ"

เพิ่มเติมคำว่า

"ทั้งในด้านบวกและด้านลบ"

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

อ้ายแสงดาว ขอบคุณพี่ท่านครับ ที่สามารถทำให้ตัวหนังสือเมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์จริงพี่ท่าน ถ้าไม่อย่างนั้น คงซีเรียสกันแย่ ขอบคุณครับ

Submitted by ราหูอมจันทร์ on

คืนนี้ราหูอมดวงจันทร์เสียจนเมื่อยปาก...
เห็นบางคนจุดเทียน...บูชาราหู

...ราหูจะรู้ไหมหนอ...ว่ามีคนศรัทธาและบูชาอยู่
ถึงแม้ราหูจะปู้ยี่ปู้ยำจันทร์...จนจันทร์ต้องหมองมัว
แต่...ทำไมถึงมีคนพึงพอใจ...ชอบใจ ให้จันทร์หมองมัว กระนั้นหรือ?

แล้วราหูเอาเหตุผลอะไรมาอมจันทร์?
เป็นเพราะจันทร์เด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟ้า?
หรือว่าจันทร์เจ้าไปเหยียบตาปลาราหู?

จะอะไรก็ช่าง...ราหูจะอมจันทร์เสียอย่าง
เหตุผลมันก็แค่เรื่องเล็กๆ...จะกล่าวอ้างอย่างไรก็ได้
และราหูก็ไม่เคยจะแยแส...ว่าเหตุผลเล็กๆเหล่านั้นมันจะน่าฟังหรือไม่

Submitted by โสมคาน on

เมื่อแสงดาว สาวแดง มาแรงนัก
แล้วครูศักดิ์ วันนี้ หนีไปไหน
หนาวทั้งลม พรมทั้งฝน บ่นทำไม
ไม่เป็นไร ไม่เห็นมี ขี้หมูเลย

เพราะฝนตก คืนนี้ จึงมีกบ
ออกกินเดือน หลังพลบ ขอเฉลย
อย่ามัวหลับ คุดคู้ ไม่รู้เลย
เห็นไหมเอ่ย กบปากอ้า คำอากง

Submitted by โสมคาน on

มีหมายเหตุ จากความเห็น ของแสงดาว
บรรทัดสอง รองสุดท้าย กันคนหลง
คำ"ปี้แขก" ภาษาเหนือ อย่างนงง
ความหมายคง "พี่ชื่อแขก" ไม่แยกกัน

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

คำว่า ปี้ ในคำเมืองหมายถึงพี่ในคำไทยสมมุติ

บริสุทธิ์ผุดผ่องและสดใส

มิช่ายยยยหมายถึงอยาก ปี้ อี่ปี้ แขกแต่อย่างใด

ครายอย่าไปคิดมากกะเด่วปวดหัวตัวร้อน

อ้ายโสมคานแกก็ชอบปี้

เพราะแกมีพี่น้องกันสลอน

แต่บางทีแกก็แอบปี้ใครที่นอน

เฮ๊ยแกบอกว่าอ้ายแสงดาววอนหาส้นตีน(มะรึงเอาควา่มลับของกูมาเปิดเผยทำมายยยย กูจักฟ้องศาลโลกนะบ่าเฮ๊ย The End Of The World จบแล้วเจ้า ha ha

Pages