พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ

8 February, 2012 - 11:46 -- thanorm

ผมเข้าใจว่า
กระแสความขัดแย้งกันในเรื่องมาตรา 112 ที่ถูกจุดประเด็นขึ้นอย่างเข้มข้นตั้งแต่คดี “อากง” ที่ถูกจับดำเนินคดี และผ่านมาจนถึง “ก้านธูป” ที่กลายเป็นแม่มดที่ถูกตามล่าอย่างไม่น่าเชื่อว่าเธอจะโดนจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ระหว่างฝ่ายที่ต้องการแก้ไขมาตรานี้ โดยมีคณะนิติราษฎร์เป็นหัวหอก ร่วมกับ ครก.112 ที่เข้ามาสนับสนุน และขัดแย้งกับเครือข่ายอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือกลุ่มเสื้อคนหลากสีที่มี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนนำในการปกป้องกฎหมายนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย คงจะเป็นกระแสที่ดำเนินไปอย่างยืดยาว และยากที่จะคาดหมายว่าจะยุติลงในรูปใด

ยิ่งทางฝ่ายคุณหมอตุลย์ออกมาพูดกันว่า “โทษเพียงแค่นี้ยังน้อยไป” สำหรับคนที่หมิ่นสถาบันฯ ก็ยิ่งกระพือความขัดแย้งให้รุนแรงมากขึ้นจากฝ่ายที่คัดค้านต่อต้าน

เพียงแค่ความขัดแย้งกันเรื่อง 112 ก็เหลือที่จะเพียงพอแล้ว แต่คุณหมอ...ยังไม่ยอมหยุดยั้งเพียงแค่นั้น มาคราวนี้คุณหมอยังลากเอาเรื่องมติครม.จ่ายเงินแก่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมขึ้นมาเป็นเรื่องขัดแย้งกันอีกเรื่องหนึ่ง - มาเป็นข่าวดังนี้

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2555 คุณหมอตุลย์และกลุ่มผู้สนับสนุน ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านนายสมภาส นิลพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เพื่อคัดค้านการจ่ายเงินให้ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 2547 - 2553 โดยผู้เสียชีวิตจะได้เงิน 7 ล้านบาท รวมต้องใช้งบประมาณ 2 พันล้านบาท

โดยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ว่า
“ทางเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการนำภาษีของประชาชนไปจ่ายให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาเรียกร้องชุมนุมให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรียุบสภา เพื่อให้พรรคเพื่อไทยกลับมามีอำนาจ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่การชุมนุมทางประชาธิปไตย อีกทั้งยังมีการเผาบ้านเผาเมือง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้คดีก่อการ้ายก็ยังอยู่ในขั้นอัยการ ซึ่งคณะรับมนตรีต้องรอกระบวนการขั้นตอนของศาลว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และการเบิกจ่ายเงินชดเชยนั้น จำเป็นต้องมีกฎหมายมารองรับหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่ยุติมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ทางเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน จะดำเนินการฟ้องต่อศาลต่อไป

อนึ่ง นพ.ตุลย์ ได้โพสต์ลงเฟชบุ๊คเมื่อเวลา 10.30 น. ด้วยว่า
“รวมพลังกดดัน ครม. ให้ยกเลิกมติอปยศจ่ายเงินให้เสื้อแดงอย่างผิดกฎหมาย ไม่มีกฎหมายรองรับ ใครร่วมกดดันรัฐบาลช่วยกันเผยแพร่ด้วย Like กด Share”

อย่างไรก็ตาม
มีผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงเดินทางมาคัดค้านการยื่นหนังสือของ นพ.ตุลย์ ด้วย โดยในช่วงที่กลุ่มของ นพ.ตุลย์ ใกล้เลิกชุมนุม ผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงได้ประท้วงเชิงสัญลักษณ์บริเวณประตู 4 มีการเดินสลับการหมอบกราบกลุ่มของ นพ.ตุลย์ เป็นระยะทาประมาณ 100 เมตร พร้อมชูป้าย

“ไม่อยากให้จ่ายเยียวยา แล้วยุให้ ‘ฆ่า’ กันทำไม”
“ไม่มีใครสมควรตายเพราะคิดต่างทางการเมือง”

จากนั้น มีการล้มตัวลงนอนราบลงกับพื้น เพื่อแสดงคัดค้านการยื่นหนังสือของกลุ่ม นพ.ตุลย์ ดังกล่าว ทั้งนี้ไม่มีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น มีเพียงการตะโกนจากกลุ่มผู้สนับสนุน นพ.ตุลย์ เช่น

“น่าอนาถ”
“น่าสมเพช”
“พวกเผาบ้านเผาเมือง”
ฯลฯ
โดยใช้เวลาไม่นานทั้งสองฝ่ายจึงยุติการชุมนุม.

ครับ ผมพอจะเข้าใจที่คุณหมอตุลย์และผู้สนับสนุนลุกขึ้นมาปกป้องกฎหมายหมิ่นสถาบัน ฯ 112 แต่ไม่เข้าใจวาทกรรมที่ซ้ำเติมผู้ที่โดนในเรื่องนี้ว่า “โทษเพียงแค่นี้ยังน้อยไป” รวมทั้งวาทกรรมจากการลุกขึ้นมาขัดขวางมติเยียวยาผู้ตายจากการสลายการชุมนุมที่ว่า

“คนเสื้อแดงชุมนุมกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ยุบสภาเพื่อให้พรรคเพื่อไทยขึ้นมามีอำนาจ”
(ทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยเขามาจากการเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เองมั่นใจเกินร้อย ว่าตนเองจะต้องนอนเข้าสภาฯ เสียด้วย)
“คนเสื้อแดงชุมนุมไม่ถูกต้องตามทางของประชาธิปไตย”
“คนเสื้อแดงเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง”
ฯลฯ

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวาทะกรรมที่ยั่วยุฝ่ายตรงกันข้ามให้เกิดความโกรธแค้น คลับคล้ายคลับคลาเหมือนอย่างว่า พวกคุณหมอตุลย์ต้องการก่อให้เกิดความรุนแรงอะไรสักอย่างขึ้นมาอีก เพื่ออะไรก็ไม่รู้

แต่ถึงอย่างไรในห้วงเวลานี้
เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เคยมอง ผมกลับนึกขอบคุณที่มีคนแบบคุณหมอตุลย์ลุกขึ้นมาปกป้องทั้งมาตรา 112 และคัดค้านมติการเยียวยาผู้ชุมนุมแบบหัวชนฝา แบบไม่ยอมประนีประนอมกับใครหน้าไหนในโลกนี้ทั้งสิ้น

เพราะถ้าหากไม่มีคนแบบคุณหมอตุลย์ ปรากฏตัวออกมาเป็นคู่ขัดแย้งดังกล่าว คณะนิติราษฎร์ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และกลุ่มครก.112 คงไม่มีโอกาสได้ออกมาแสดงพลังของตนเองให้สาธารณชนได้รู้จักในวงกว้าง และเติบโตมาเป็นพลังทางสังคมที่เข้มเข้มแข็งในทางความคิด เหตุผล ข้อเท็จจริง และหลักการ ที่ยากจะมีใครมาหักล้างได้ ดังที่เห็นๆกันอย่างนี้หรอก โดยเฉพาะคณะนิติราษฎร์ที่คนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าเขายอมรับกัน

อ้าว หลังจากหมอตุลย์ออกมาพูดได้วันสองวัน วันที่ 20 มกราคม 2555 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ออกมาประกาศทาง ASTV เชิญชวนให้ทหารลากปืนออกมาทำการปฏิวัติและพร้อมที่จะร่วมมือว่า

“...มีแต่พลังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะคุ้มจุนประเทศชาติ ทหารอย่านิ่งเฉยรีบออกมาปฏิวัติเสีย แล้วพันธมิตรทั่วประเทศจะออกมาช่วยทหาร ยึดประเทศไทยคืนมาจากไอ้พวกชั่วๆ ก็เท่านี้แหละครับพี่น้อง” (โธ่เอ๋ย...ผีห่าซาตานตนใด มาดลใจให้คุณสนธิ ที่ผมเคยรักและเคารพมาคิดสั้นแกล้งโง่ พูดทำลายตนเองได้ถึงขนาดนี้ โอ้ มายก๊อด)

อ้าว ยังไม่ทันหายตกใจจากคุณสนธิ ก็ปรากฏว่า คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวเครือเนชั่น ก็ได้โพสต์ลงเฟชบุ๊ค “kanok Ratwongsakul” เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2555 โดยวิจารณ์กลุ่มที่สนับสนุนการแก้ไขแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา 112 ว่า

“...ทุก 10 นาที จะมีคนโพสต์ต่อต้านกลุ่มที่จะขอแก้มาตรา 112 ลงที่เฟชบุ๊คนี้ ผมก็อ่านมาตลอด บางคนลงรูปอาจารย์นิติฯ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหัวหอกแก้มาตรานี้ ซึ่งผมจะลบออกทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าพวกนี้บนเฟชบุ๊คผม ถ้าพวกนี้อายุ 30 - 40 กว่าปี ตามที่เสธ.หนั่นไล่ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่าพ่อแม่เขายังอยู่หรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่เขาน่าจะได้เห็น “ในหลวง” ทรงงานมาตลอด ถ้าลูกไม่ใส่ใจความเป็นกษัตริย์นักพัฒนา มัวแต่ดื้อด้านกฎหมายท่าเดียว แล้วพ่อแม่พวกนี้ทำอะไรอยู่...ไม่ห้ามปรามเลยหรือ หรือวายชนม์ไปหมดแล้ว ผมขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมกล่าวล่วง แต่อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า”

ครับ นอกจากเราควรจะขอบคุณคุณหมอตุลย์ เหมือนอย่างที่ผมนึกขอบคุณแล้ว ผมว่าเราควรจะขอบคุณ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เชิญชวนทหารให้ออกมาทำการปฏิวัติ และขอบคุณ คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ที่ตั้งคำถามต่อกลุ่มผู้ที่สนับสนุนการแก้ประมวลกฎหมายอาญาฯ 112 ว่า

“อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า”

เพราะผมมองว่าทั้ง 3 ท่านนี้เป็นผู้ที่มาเปิดช่องทางให้แก่พลังทางสังคมที่เต็มไปด้วยคุณภาพของคณะนิติราษฎร์และกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ออกมาแสดงพลังดังกล่าวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น และทำให้เราได้พิจารณาเปรียบเทียบ “ปริมาณและคุณภาพของอุดมการณ์” ของทั้งสองฝ่าย ว่าใครดีกว่าใคร และเราควรจะเชื่อถือใครดี ระหว่างคณะนิติราษฎร์ และกลุ่มคนเสื้อหลากสี กลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งไม่ว่าจะพูดอะไร ในที่สุดก็จะสรุปซ้ำๆซากๆแบบนกแก้วนกขุนทองในเชิงกล่าวหาเขาได้เพียง Concept เดียวว่า

“พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ” “พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ”
“พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ” “พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ” ฯลฯ

ครับ
ระหว่างวาทกรรมที่เต็มไปพลังทางความคิด เหตุผล ข้อเท็จจริง และหลักการ และวาทกรรมที่อ้างเอาความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาผูกขาดเป็นของตัวเอง - ปกป้องตัวเอง และถือเป็นความชอบธรรมในโต้แย้ง ดุด่า คุกคาม ข่มขู่ และกล่าวหาคนที่เขาคิดต่างว่า “เป็นพวกที่คิดจะ ล้มล้างสถาบันฯ” เป็นคนที่ควรกวาดล้างออกไปจากผืนแผ่นดินไทยให้หมดสิ้น ใครเจ๋งกว่าใคร ใครหน่อมแน้มกว่าใคร (ฮา) ขอเชิญชวนวิญญูชนและท่านผู้เจริญแล้วเลือกพิจารณาและเชื่อถือได้ตามใจชอบ ครับผม.

18 - 28 มกราคม 2555 กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

ความเห็น

Submitted by น้ำลัด on

ก่อนนี้ผมไม่ได้สนใจเลย...ใครจะล้มไม่ล้มสถาบัน
...เออ...ล้มไม่พอยังจะไปล้างอีก...เปลืองแฟ้บตาย

ผมเป็นห่วงอยู่สถาบันเดียว "สถาบันครอบครัว"
นับเป็นสถาบันหลักของชาติที่แท้จริงนะครับ
เพราะชาติต้องประกอบไปด้วยสถาบันครอบครัวจำนวนมากรวมกัน
เพียงครอบครัวเดียวไม่อาจเป็นสถาบันหลักของชาติได้อยู่แล้ว

อย่าให้ใครมาล้มล้างสถาบันครอบครัวก็แล้วกันนะครับ...แฮ่ๆ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

ผมเขียนเรื่องนี้ ตั้งคุณกนกออกมาพูดว่า "อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆนี้ว่าพ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า" ก่อนจะเกิดการวิวาทะ การออกมาประท้วง ทั้งจากฝ่ายสนับสนุนอ.วรเจตน์และฝ่ายคัดค้านกันอย่างยืดยาว และยังไม่จบ แต่บังเอิญบล็อกกาซีน เิดขัดข้องทางเทคนิค ก็เลยเพิ่งมาลง แต่ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะเป้าหมายของผม คือนำเสนอว่าทั้งสองฝ่าย เราควรจะเชื่อถือฝ่ายใดดี

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้ำลัด อารมณ์ของคุณเสี่ยงต่ออันตรายนะมากครับ ขอบคุณครับ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้ำลัด ขออภัย ที่ถูกคือ "อารมณ์ขันของคุณเสี่ยงต่ออันตรายมากนะครับ"

ตกคำว่า "ขัน" ไปครับ

เฮ้อภาษามี่น่ากลัวจริงๆ ในประโยคตกไปแค่คำคำเดียวเท่านั้น
ความหมายเปลี่ยนไปเป็นอื่นหมด

Submitted by Thotspol on

พี่หนอม
ผมเองอยู่มาจนอายุเลยหลักสี่มา 2-3 ปี แล้ว พูดได้ว่า"เกิดทัน" ได้เห็นภาพพระราชกรณียกิจต่างๆของในหลวงแน่นอน และซาบซี้งด้วยความจริงใจ เป็นคนหนึ่งที่ไปยืนหน้าพระที่นั่งอนันต์ฯ ตอนฉลองครองราชย์ปี49

เท่าที่ผมตามอ่านดูความเห็นของกลุ่ม หมอตุลย์ คุณสนธิ คุณกนกรัตน์ หรือคนอื่นในซีกความคิดฝั่งนี้ เหตุผลที่พวกเค้าอ้างขึ้นมามันไม่ได้โต้แย้ง หรือคัดง้าง ข้อเสนอของนิติราษฏร์ ในเชิงวิชาการเลย มีแต่เหตุผลในเชิงอ้างคุณูปการของพระองค์ท่านในอดีด ผมอยากบอกว่า "ผมเข้าใจครับ" ผมเข้าใจ พวกคุณไม่ต้องฉายหนังซ้ำ แต่ข้อเสนอของนิติราษฏร์ เป็นข้อเสนอเพื่อ อนาคต ครับ ขอย้ำ อนาคต ของสถาบันฯ พวกเค้าควร โต้แย้งในเชิงเหตุผลเพื่ออนาคต ของสถาบันครับ ว่าถ้าไม่แก้ คุณจะให้สถาบัน อยู่ และปฎิสัมพันธ์ อย่างไร กับประชาชน และ โลก ในอนาคต พวกเค้าควรใช้สมอง เค้นเอาเหตุผลออกมาอธืบายโต้แย้งมากกว่า มาเล่าประวัติศาสตร์เก่าๆ ลากๆถูๆไปอย่างนี้ เพราะเรื่องเหล่านี้ผมหาดูหลังข่าวสองทุ่มได้ครับ

House

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

้House ครับ ผมเองก็งงๆ เหมือนนั่งดูคนพูดกันคนละภาษาถกเถียงกัน โดยไม่วันที่เข้าใจกันได้

บางท่านก็บอกผมว่ามันเป็นกลทางการเมือง แม้แต่คุณสนธิก็ทำให้ผมงง
งงทั้งวาทะเชิญชวนทหารออกมาล้มรัฐบาล งงทั้งเอาคุณบินณฑ์ บันลือฤทธิ์ มาลงปกหนังสือในเครือข่าย และพาดปก "ใครคิดจะล้มเจ้าต้องเจอกู"

พูดง่ายๆว่า คุณสนธิทำแบบนี้ ผมมองว่าเป็นการทำให้ตัวเองเป็นที่จงเกลียดจงชังแก่ทุกฝ่าย ทั้งจากฝ่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ นปช. พรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ c]tคนที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอย่างเราๆท่านๆ ผมว่า น่าจะเป็นกลลวงทางการเมืองอย่างที่เขาว่า

เพราะมันสมองระดับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล มิใช่ธรรมดา อย่าลืม เขาคือคนๆเดียวกับหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่ง ที่เคยล้มรัฐบาลทักษิณมาแล้ว การออกกระบวนท่าเหมือนแกล้งทำเป็นเซ่อซ่า ไม่ดูตาม้าตาเรือของเขาในครั้งนี้ ต้องมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงซุกซ่อนอยู่อย่างน่ากลัว และอย่าลืมโหวตโนจากเขาคราวที่แล้ว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนไปเป็นจำนวนมิใช่น้อย ในขณะที่พรรคเพื่อไทยมีคะแนนที่แน่นอนจากคนเสื้อแดงอยู่ในกำมือแล้ว

บางท่านก็บอกผมว่า สิ่งที่ผมหรือใครๆเห็นมันเป็นสิ่งน้อยนิด เหมือนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมาให้เราเห็นเหนือผิวน้ำ แต่ที่เราไม่รู้ไม่เห็นให้ผิวน้ำยังมีอีกเยอะ บางทีท่าทีแบบจะพูดอย่างไรก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้โดยไม่แคร์ใครทั้งสิ้นจากฝ่ายต่อต้านคญะนิติราษฎร์ อาจจะสะท้อนถึงความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งจากอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ดั่งภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ลึกใต้ผิวน้ำลงไป ซึ่งเรามิอาจพบเห็น มิอาจล่วงรู้

ขอบคุณครับ

Submitted by หลิวหลงลม on

ผมเคยสงสัยว่าเกาหลีเหนือเขามีวิธีรักษาอำนาจของเขาไว้ได้อย่างไร
พอเปืดดูวิกิพีเดีย...สังเกตว่ามีตำแหน่งพิเศษของประเทศด้วย
ตำแหน่ง "ประธานาธิบดีตลอดกาล"...เข้าท่าแฮะ

นั่นเป็นตัวอย่างของการรักษาอำนาจให้กับตระกูลคิมของเขาได้อย่างดีเยี่ยม
โดยอาศัยผลงานของคนเพียงคนเดียวเท่านั้น

เรื่องทางการเมืองก็เป็นเหมือนหนังเหมือนละครทีวี
มีผู้ชมคือพลเมืองทั้งประเทศ
ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นผู้ร้าย
มันขึ้นอยู่กับการกำกับฉาก กำกับการแสดง
เรื่องจริง กับเรื่องที่เรารับรู้ อาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ดูอย่างนิยายอิงประวัติศาสตร์สามก๊ก ซึ่งมีหลากหลายเวอร์ชั่น
บ้านเราอาจจะคุ้นเคยกันว่า ฝ่ายของเล่าปีี่ที่มีขงเบ้งนั้นเป็นเหมือนฝ่ายพระเอก
ฝ่ายของโจโฉนั้นเป็นเหมือนฝ่ายผู้ร้าย
แต่ก็ยังมีบางเวอร์ชั่น ที่เขียนให้ฝ่ายโจโฉเป็นพระเอก
มันกลับกันยังกะคนละเรื่อง ทั้งที่มันอิงประวัติศาสตร์เดียวกันแท้ๆ

การแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองนั้นมันมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงที่ซับซ้อน
จนยากที่ผู้ชมจะเข้าใจความจริงที่ดำเนินอยู่
เราๆท่านๆเป็นเพียงแค่คนดูหนังดูละคร
และก็วิจารณ์หนังวิจารณ์ละครไปตามเท่าที่เขาฉายให้เห็นเท่านั้น
บ้างก็อินไปกับเนื้อเรื่องที่เห็นซะจนจะฆ่าจะฟันกันเหมือนคนบ้า
บ้างก็น้ำตาไหลพรากๆตื้นตันในบทบาทของพระเอก-นางเอก

ถึงแม้จะต้องลงทุนลงแรงถ่ายทำหนังทำละครกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แต่มันก็มักจะคุ้มค่าเสมอกับเรตติ้งที่ได้รับจนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเชียวแหละ

วันนี้เราจะดูหนังดูละครเรื่องไหนดี มีให้เลือกดูกันเยอะแยะ
ละครโรงเล็ก ละครโรงใหญ่ ละครท้องถิ่น ละครภูมิภาค
ละครเมืองหลวง ละครแห่งชาติ
ใครชอบเล่นก็เล่นกันไป ใครชอบดูก็ดูกันไป
อย่างน้อยที่สุด...บ้านนี้เมืองนี้ก็ยังพอจะมีให้เลือกดูละครกันอยู่

Submitted by namping on

"แม้แต่ในขุมนรกก็ยังต้องมีความเป็นธรรม"
(ช่วงนี้ศึกษาอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้กำกับละครไทยสื่อลงในงานของพวกเขา)

หากนักการสื่อแสดงความจริงใจ* หรือมีความรู้มาตรฐานความรับผิดชอบสังคมได้เพียงพอ
พวกเขาสามารถร่วมก้าวพัฒนา วันหนึ่งความเป็นธรรม ย่อมเกิดขึ้นแก่ประชาชนไทยเช่นกัน
-----------------------------------------------------------------------------------

เรื่องสถาบันและการปกครองอารมณ์ความรู้สึกตะวันออกคล้ายบางส่วนแตกต่างบางด้านจากยุโรป
แผนพัฒนาแห่งชาติ การเมือง สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ของไทยไม่สัมพันธ์กับสื่อมีเดียต่างๆนัก

หากเราจะก้าวด้วยกัน สื่อที่ส่งอิทธิพลถึงบ้านคนอย่างละครโรทัศน์ ควรมีบทบาทลอยตัวเหนือความขัดแย้ง
ขณะเดียวกันต้องละ เลิก การนำเสนอด้านชนชั้น เน้น ๆ(เช่นการมีคนใช้ให้พระเอก กดขี่ ต้องเตะ ต่อย หรือตลกต้องโขกสับ ตีหัว ฯลฯซึ่งสังคมประชาธิปไตยไม่มี)

ก็ฝากขอบคุณยูทูบของวงการละครไทย
ที่เหมือนห้องสมุดให้ได้รวบรวมศึกษา/

มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดูเหมือนเล็กน้อย แต่มองข้ามไม่ได้
เยอรมันช่วงประชาธิปไตยบูมแรงในอเมริกา หรือฝรั่งเศส *

ผู้นำเยอรมันกลับไม่ต่อต้าน ทั้งที่มีคนตื่นตัีวมากไม่แพ้ที่อื่นตามกระแสวิวัฒนาการสังคม
แต่เขาได้ศึกษาปัญหาของมวลชน เข้าไปถามกรรมกรถึงในเหมืองแร่ โรงงานฯลฯ

ทางออกทางการเมืองสมัยนั้นน่าสนใจมาก
คนเกิดสังคมนิยมประชาธิปไตยจนถึงปัจจุบัน

ปัญหาการวิวัฒนาการสังคมไทย เราไปด้านเทคโนโลยี
แต่ด้านการศึกษาเรากลับยึดติด และมีเสรีภาพน้อยเกินไป

ฉะนั้นเมื่อเกิดสิ่งใดที่ไม่เคยได้ยินมักจะตื่นตูม(เช่นกรณีที่กระทู้นำเสนอ)
แต่ไม่เลวร้ายเท่าฝ่ายค้านนำมาเป็นประเด็นขัดแย้งประหัตประหารลบล้างเป็นประเด็นทางการเมือง

ซึี่งปัญหานี้ดิฉันก็คาดหวังว่าความรักเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติที่พร้อมถ่อมใจต่อกันเท่านั้น
ที่จะนำเราทุกฝ่ายซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกันผ่านวันเวลายากลำบากที่กำลังร่วมก้าวผจญ

นั่นคือ...จุดหักเหสำคัญ
ที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง

Submitted by น้ำลัด on

คุณน้ำปิงครับ...การเปลี่ยนวิธีการนำเสนอของละครทีวีไทย
มันคงยากพอๆกันกับการแก้มาตรา 112 นั่นแหละครับ

เรื่องนี้มันถูกฝังลึกไว้ในจิตใต้สำนึกของคนไทย
มันยิ่งกว่าสันดานอีก คงเทียบเท่าสัญชาตญาณปานนั้น
เหมือนพวกนกพวกกา มันเกิดมามันก็ต้องทำรังเป็นกันแล้ว
ไม่ต้องรอพ่อแม่มาสั่งสอน (...ไม่เหมือนคุณกนกที่ต้องรอให้พ่อแม่มาสั่งสอนก่อน)

ละครทีวีไทย หนังไทยแทบทุกเรื่องต้องมีผู้รับใช้
จะเป็นหนังบู๊ หนังชีวิต หนังตลก หนังจักรๆวงศ์ๆ...

มันอาจเป็นความเก็บกดในอดีต ที่บรรพบุรุษเคยเป็นผู้รับใช้ชาวขอมมาก่อน
ต้องแบกไหแบกโอ่งใส่น้ำอันหนักแสนหนักขึ้นเขาไปถวายเจ้านายขอม
พวกขอมนั่นก็เป็นบ้าอะไรกันไม่รู้ ชอบสร้างปราสาทบนเขา
แล้วให้คนอื่นแบกน้ำไปส่งให้ ไม่รู้เป็นโรคจิตกันหรือเปล่า
เพราะยังงี้ละมั้ง...คนไทยแทบทุกคนก็เลยอยากเป็นเจ้าคนนายคน อยากมีผู้รับใช้
อยากด่าคนอื่นที่อยู่ในสภาวะทางเศรษฐกิจที่ต่ำต้อยกว่าว่าไอ้...ว่าอี...

ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ที่คนไทยจะมองคนไทยด้วยกันอย่างเสมอภาค
เหมือนอย่างพวกฝรั่งมันทำกันในปัจจุบัน คงต้องปฏิวัติวัฒนธรรมแบบที่จีนเคยทำมั้ง
ไม่เอาละ...เดี๋ยวเขาหาว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์อีก...ฮาละก้าย

Submitted by namping on

แต่ที่ปิงชอบก็มี สื่อศิลปินลูกแม่ระมิงค์ ชื่อคุณชรินทร์ นันทนาคร
"ทาสเทวี" เป็๋นอะไรที่ให้เกียรติผู้หญิง อมตะไม่ล้าสมัย น่ายินดี

ศิลปะ หรือผู้สร้างงานสื่อ(ปลูกฝังด้านจิตวิญญาณ)ที่มีวุฒิภาวะสามารถปลูกฝังสามัญสำนึก
ที่จริงมันจำำเป็นและสำคัญพอกับงานของ สถาปนิค วิศกรรมศาสตร์ "สร้างบ้านแปลงเมือง"

เพียงแต่งานของกลุ่มแรกไม่อาจจับต้องรูปธรรม(แต่จริง ๆ คือรากฐานสังคมที่แท้จริง)
งานของฝ่ายหลัง มี่รูปธรรม จับต้องให้เห็น เท่ากับผุพังและสูญสลายได้ในเวลาจำกัด

Submitted by namping on

สังคมไทยได้เปลี่ยนไป๋ .....
แต่(ลึกๆ)ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

คศ. 2012 สังคมไทยเปิดกว้างกว่าเดิม รบ.นี้ก็ถือว่ามาจากประชาชน
เราต่อสู้กับเผด็จการยุบสภา /เลือกตั้ง ฯลฯ

เพื่อหาทางอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น
"ในสังคมประชาธิปไตย"

สังคมประชาธิปไตยเนื้อหาหลักคือสังคมเท่าเทียม พัฒนาการสู่ความเสมอภาคและควรเป็นธรรม
โดยไม่เลือกปฏิบัติ ในข้อแตกต่าง หญิง/ชาย สีผิว เชื้อชาติปูมหลัง ศาสนาความเชื่อฯลฯ

ดูวันเวลานี้จากพฤติกรรมสังคมไทยเปิดใจการยอมรับสิ่งใหม่ๆ (ด้านเทคโนฯนั้นแน่นอน)
และในอารมณ์ความรู้สึกทุกด้านด้วย

ขอยกตัวอย่างชนิดใกล้ตัว
และไม่ต้องใช้ภาษาวิชาการมากมาย*

ตะก่อน ท่าเกาของไมเคิล แจ๊คสัน ก็เดือดร้อนวุ่นวาย
สมัยนี้ซุปตาอย่าง ณเดชน์(นักแสดง) ก็แสดงออกสมวัยฮ๊อตในงานคอนเสิร์ตได้(สื่อมวลชนกรี๊ดกร๊าดชื่นชม)

แต่ทำไม จ๊ะ คันหู สาววัยฮิ(ซึ่งก็นักแสดง)แสดงในเวทีเพื่อความบันเทิงเล็กๆสังคมกลับประณามหยามหมิ่นได้แสดงออกไปแถบทุกวงการ(โดยเฉพาะสื่อ ยกตัวอย่างชัดๆ รายการวู๊ดดี้เกิดมาคุย)

มันจะได้ความรู้กว้างขวางที่ควรตั้งคำถามว่าสังคมไทยเราเลือกปฏิบัติ ต่อ วัยรุ่นหญิง/ชาย
หรือเป็นตัวตนแบบไทย(ตะวันออก)อันไม่แฟร์กับผู้หญิง (ประเด็นนี้มันค่อนข้างล่อแหลม แต่ท้าทาย)

น่าถก น่าถามสังคมไทย ว่าอารมณ์ความรู้สึกของเราเติบโตเป็นผุ้ใหญ่
ถึง"ให้ความเป็นธรรม" แบบสังคมประชาธิปไตย เราเปลี๋ยนไป๋ (แต่ไม่เปลี่ยนแปลง ชิมิ)

(ดิฉันชอบศิลปินวัยรุ่นแบบ ณเดชน์ และไม่มีคำวิจารณ์กดขี่ จ๊ะ คันหู)

Submitted by namping on

ท่าทีสัมคมไทยดัดจริต ลับ ลวง คราง
กับ ณเดชย์ คุกิมิยะ (คืนนี้อยากได้กี่ครั้ง)/จ๊ะ เทอโบ (คันหู)

พวกเขาแสดงออก(โโยเฉพาะสื่อ)ด้วยทัศนะ
ไม่เป็นธรรม*เลือกปฏิบัติ สองมาตรฐาน ไม่เป็นประชาธิปไตย

นักแสดงวัยรุ่นชาย ณเดชน์เด้งได้เด้งเอา สื่อมวลชนฮือฮาชื่นชม /
แต่วัยจี๊ดหญิง จ๊ะ คันหู เกาทะลึ่งสองสามแกร๊ก รุมด่า รุมจวก (ถึงกระทรวงวัฒนธรรม)

มันตรงกับที่คุณทนายสากลที่ทำงานกับเรื่องมนุษยชนที่มีชื่อว่า โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมว่าไว้ในบทสัมภาษณ์ไหม
He ว่า "ที่อื่นมีเรืื่องละเมิดสิทธิมนุษยชาติ เหยียดผิวหลงเหลือบ้าง แต่ที่เมืองไทยยังเหยียดเพศอย่างน่าตกใจ"

Submitted by namping on

ซึ่งในด้านสิทธิเสรีภาพ หากวัยรุ่นชาย/หญิง บรรลุนิติภาวะ ก็ควรเคารพสิทธิเท่ากัน
นักแสดงณเดชน์ แสดงออกด้วยท่าเต้น"วันนี้อยากได้กี่ครั้ง" แบบวัยรุ่นแรงส์เพศชาย
นักแสดง จ๊ะ เทอโบ ก็แสดงออกด้วยท่าเต้น "เพลงคันหู" แบบวัยรุ่นร้อนส์เพศหญิง*

(ขอแสดงความนับถือเจ๊า) อันนี้นำมาแสดงเปรียบเทียบกับกระทู้อ้ายถนอม
ว่ามันสมควรแก่เวลาที่เฮาต้องจริงใจที่จะอยู่บนความจริงร่วมสังคมกันอย่างมุ่งมั่นเป้าหมาย"อย่างเป็นธรรมเท่าเทียมเสมอภาค"คือก้าวสู่สังคมประชาธิปไตยเจ๊า

รายการ The Daily Dose ประจำวันที่ 9 ก.พ. 55

กิตติศักดิ์ ปรกติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"ขณะเดียวกันสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่อาจตั้งมั่นอยู่บน การสรรเสริญด้วยเพียงลมปาก บนความไม่เอาใจใส่ บนความหวาดกลัว หรือความโกรธ คาดโทษผู้อื่นโดยขาดเหตุผล แต่ต้องเทอดไว้บนบัลลังก์แห่งความจริงและสติปัญญาของคนในชาติ กฎหมายจึงยอมรับการวิจารณ์ การร้องเรียน การเสนอข้อปรับปรุงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ และสิ่งเหล่านี้ย่อมบำรุงให้สถาบันเข้มแข็งยิ่งขึ้น ใกล้ชิดประชาชนและแนบแน่นอยู่บนความเป็นจริงของสังคมยิ่งขึ้น"

"แต่ทุกวันนี้ มีบางท่านอ้างตนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยการตวาดด่า ใช้คำหยาบประณาม จนถึงข่มขู่ และยุยงให้ประทุษร้ายผู้อื่นที่เห็นต่างจากตัวในเรื่องพระมหากษัตริย์ คติเยี่ยงนี้ นอกจากจะเผาลนตนเองด้วยโทสะแล้ว ที่จริงยังบ่อนทำลายความเชื่อถือของมหาชนต่อผู้รักเคารพสถาบันส่วนใหญ่อีก ด้วย ถ้าปล่อยให้เข้าใจกันว่าผู้ปกป้องสถาบันล้วนแต่มีโทสะเป็นเจ้าเรือนแล้ว สถาบันจะตั้งอยู่บนอะไร"

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328442922&grpid=03&cat...

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

มีเพียงคำถามเดียวสั้นๆว่า ประทศไทยสมมุติเราเป็นประชาธิปไตยแท้จริงหรือ(ต้องเน้นคำว่า แท้จริง)ประชาธิปไตยย่อมมีสิทธิวิพากษ์ ได้ โดยไม่ยึดติดกับเรื่องจารีตประเพณี มันดูน่าขำขันเจ้า ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็เป็นเผด็จการทางความคิด ท่านผู้รู้ใดรู้เรื่องคำว่าประชาธิปไตยกรุณาช่วยตอบให้ข้าพระพุทธเจ้ามีดวงตาสว่างไสวซักทีเจ้า

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

มีเพียงคำถามเดียวสั้นๆว่า ประทศไทยสมมุติเราเป็นประชาธิปไตยแท้จริงหรือ(ต้องเน้นคำว่า แท้จริง)ประชาธิปไตยย่อมมีสิทธิวิพากษ์ ได้ โดยไม่ยึดติดกับเรื่องจารีตประเพณี มันดูน่าขำขันเจ้า ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็เป็นเผด็จการทางความคิด ท่านผู้รู้ใดรู้เรื่องคำว่าประชาธิปไตยกรุณาช่วยตอบให้ข้าพระพุทธเจ้ามีดวงตาสว่างไสวซักทีเจ้า

Submitted by namping on

จารีตประเพณี หรือ /ขอบเขตทางศีลธรรม คือ ผนังทองแดงกำแพงเหล็กหรืออย่างไร ?
(อย่างดิฉันยกตัวอย่างเสรีภาพนักแสดงวัยรุ่นหญิง/ชาย)ก็ดีล้วนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

หากสังคมไทยมีท่าทีต่อ จ๊ะ เทอโบ(ท่าเต้นเพลงคันหู)
ด้วยความรัก+เข้าใจที่จะนำเสนอสังคมอย่างเป็นธรรม วู๊ดดี้จะไม่ยิงคำถามว่า
คุณคิดอย่างไรที่มีคนบอกว่าคุณ"หน้าด้าน" ดิฉันว่าเขาไม่ยิงคำถามนี้กับ ณเดชน์

สังคมไทย...จนถึงกระทรวงวัฒนธรรม ฯลฯก็ตอบรับกระแส จ๊ะ เทอโบ (เด็กสาววัยแรงส์)
"ไร้ยางอาย ตัวอย่างที่ไม่ดีแก่วัยรุ่น ดอกทอง ...จนถึง อีกระหรี่ ฯลฯ"

ณเดชน์ Super star วัยรุ่นชาย ทำงานการแสดงออกของเขาแรงส์อย่างมีความสุขได้
เพราะแบคกราวน์คือช่อง3 เด้งแรงส์แค่ไหนก็โห่ฮาชื่นชอบ รวมทั้งวู๊ดดี้ด้วยอย่างแน่นอน

จ๊ะ วงเทอโบ เด็กสาวบ้านนอกสู้ชีวิต ด้วยการร้องเพลงกลางคืนอย่างมีความสุข
เพราะได้เงินจากการเป็นศิลปินคนกลางคืนมาเรียนหนังสือ คือแบคกราวน์ของเธอ

เด็กหนุ่มจากภาคอีสาน ณเดชย์เด้งเพลง "คืนนี้อยากได้กี่ครั้ง"ได้ เพราะเป็นวันรุ่น"เพศชาย"
ในสังคมไทยสมัยใหม่ เขากลายเป็นซุปตา

เด็กจากครอบครัวดิ้นรน จ๊ะ เทอโบ สาวสุพรรณบุรี
เกานิดเกาหน่อยต้องกลายเป็น จำเลยสังคม ......

นี่คืออารมณ์ความรู้สึกของสังคมไทย พวกเราเติบโตพอที่จะใจกว้างถึงความเป็นธรรมแค่ไหน
พศ. 2555 ขณะที่เราใช้สื่อสารโซเซี่ยนมีเดียร่วมกับคนทั้งโลก เรายังกดขี่และเลือกปฏิบัติ*

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

ขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นให้ผมมองเห็นอะไรที่ลึกและกว้างออกไปอีก โดยเฉพาะคุณ numping ที่ชี้ยังให้เห็นอำนาจทางวัฒนธรรมกระแสหลักที่เลือกปฎิบัติ ระหว่าง ต๊ะ คันหู แห่งวงเทอโบอร์ ที่ถูกประนามอย่างย่อยยับ และ ณ เดช ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างหรูหรา ทั้งๆที่เป็นเรื่องเดียวกันแท้ๆ ขอบคุณครับ

Submitted by หมายเหตุประเทศไทย on

ส่วนหนึ่งและส่วนใหญ่สื่อคือตัวการที่ปากว่าตาขยิบสุดท้ายมันก็คือเรื่องธุรกิจที่ใช้สื่อสารทำมาหากินพร้อมโฆษณา อัดยายซื้อขนมยาย เงินเข้ากระเป๋าเจ้าของสื่อเจ้าของรายการ เจ้าของสินค้าที่จ้างโฆษณา ประชาชนผู้บริโภคเป็นคนจ่ายสังคมเป็นคนจ่าย จ่ายค่าเสียหายทางสังคม ดาราดังทำอะไรก็ดีไปหมด คนที่พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่นแต่สภาพสังคมไม่ดีไม่มีเส้นไม่มีเงินไม่มีสื่อโปรโมทถูกประณาม ไม่มียางอาย
คนดูกันทั้งประเทศ แล้วลงคะแนนคันหูผิด ต่อมาเราแน่ใจแค่ใหนว่าสื่อกระแสหลักของประเทศนี้พัฒนาแล้วหรือ
เราแน่ใจแค่ใหน ว่าสื่อสารมวลชนในประเทศนี้รักษาจรรยาบรรณในวิชาชีพที่มีอยู่แต่ในตำรา แต่ในความเป็นจริงไม่มีอยู่เลย จากนักข่าวนักสื่อสารมวลชนจนๆ 5ปีให้หลังรวยมีเงินเป็นร้อยๆล้าน แล้วสังคมนี้ใครผิด

คันหูผิด ประชาชนผิด ผิดเพราะมีสื่อกระแสหลักที่ควบคุมได้ ให้คุณให้โทษคนในประเทศนี้ได้ เลือกข้างตามกระแส กลัวอำนาจนอกระบบ ไม่มีจุดยืนถ้ามีจุดยืนเคียงข้างประชาชนสังคมเดียวไม่มีโฆษณารายได้หด
ทรัพย์สมบัติน้อยลง อุดมการกินไม่ได้

Submitted by namping on

สังคมและอารมณ์ความรู้สึกยังเคยชินกับการเป็นสังคมจิตนิยม(ตนเองเป็นศูนย์กลาง)
ผู้นำชุทมชนสร้างภาพ หรืออะไรยังเวิร์ค primitive societies

สมัยหลังสหัสวรรษนี้เป็นยุคโลกไร้พรมแดนทุกอย่างปฏิสัมพัลวัล ประชาชนถึงข้อมูลจริงได้จากห้องนอนเขาเองอารมณ์ ความรู้สึกคนในโลกใบนี้จะเป็นแบบสัจนิยม Direct Realism

ที่ปิงพยายามสื่อ เพื่อให้เห็นว่า ความรู้สำคัญก็จริง แต่ความรักสำคัญอย่างยิ่ง
ทั้งการเมือง การปกครอง จารีตประเพณี เทคโนโลยี อารมณ์ความรู้สึก ฯลฯ

การปฏิบัติต่อ ศิลปินวัยรุ่น ชื่อ จ๊ะ วงเทอโบ ของสังคมไทยซึ่งดังในข้ามคืนด้วยอิทธิพลไฮเทค
อาจเป็นการไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ควรนำมาเป็นอุทธาหรณ์ นั่นเป็นการปฏิบัติอย่างไร้ความรักต่อเธอ*

ความสำคัญยิ่งใน รธน.ฉบับแรก ๆ ของโลกอันเป็นตัวอย่างระบอบประชาธิปไตย เช่นของ ดไว้ท์ ดี ไอเซ็นฮาวน์ อันได้แสดงทัศนะความเสมอภาค (จุดมุ่งหมายภายในประเทศ)
"ความเสมอภาคต้องยึดหลักทัดเทียมกัน ห้ามกีดกันสตรีและการแปลกแยกเลือกปฏิบัติ"

ประเทศไทยมี ดร.และ คนมีความรู้มากมายชนิดเอามะนาวโยนขึ้นบนอากาศตกใส่หัวใคร
คนนั้นแหละคือนักวิชาการ หรือ ดร.ด้านใดด้านหนึ่ง อันนี้เป็นเรื่องจริง ประเทศไทยมีคนมีความรู้เยอะ

แต่ social perception การศึกษากระบวนการเข้าใจมนุึษยชาติอาจละเลย
ศาสตร์นี้สำคัญที่สุดนี้คือต้องเปี่ยมด้วย "ความรักมนุษยชาติ"

คะ ขอบคุณอ้ายหนอมสำหรับประเด็น
สุขสันต์วันวาเลนไทน์เจ๊า /