อาจารย์ขา หนูกำลังต่อต้านระบบว้ากน้อง แต่หนูทำยังไงหนูก็แพ้

 "อาจารย์ขา หนูกำลังต่อต้านระบบว้ากน้อง แต่หนูทำยังไงหนูก็แพ้"

"ก็คุณมันเสียงส่วนน้อย คุณสู้เสียงส่วนใหญ่ทั้งมหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้หรอก""คุณควรวางเฉย หรือไม่ก็บอกให้เพื่อนคุณเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย"

"แต่หนูก็หวัง ว่าสิ่งที่หนูทำ ที่หนูไม่เห็นด้วยกับระบบว้าก หนูคงจะทำไม่สำเร็จในปีของหนู แต่หนูหวังว่าสิ่งที่หนูทำจะเป็นสิ่งปูทางให้กับคนรุ่นต่อๆไป"

..............เรื่องราวว่าด้วยนักรณรงค์ รับน้องไม่รุนแรงในมหาลัย

จริงอย่างที่พี่สาวคนหนึ่งเคยพูด "แค่เราคิดดีๆ สิ่งดีๆก็จะเข้ามาหาเราเอง" วันนี้ฉันลองคิดดีดูอีกสักวัน เดินๆไป ซุ่มซ่ามอีกแล้ว ทำกระดาษเล็กๆทั้งหลายปลิวว่อนกระจุยกระจายอยู่หน้าคณะ ฉันเลยนั่งก้มเก็บกระโปรงเปิดส่องเห็นกางเกงใน น้องปี1สองสามคนที่ห้อยป้ายชื่ออันเบ้อเร่อก็เดินเข้ามาช่วยเก็บ "พี่คะ หนูช่วย" พอเก็บเสร็จ "อ่ะค่ะ ขอบคุณน้องมากที่มาช่วย พี่แจกให้เลยค่ะ"ฉันยื่นกระดาษนั้นให้น้องๆ คนละสองสามแผ่น "พี่ทำโครงการรณรงค์ พี่แจกให้น้องค่ะ" น้องเอามาเพ่งดูด้วยความงง "เห็นด้วยมากเลยค่ะพี่ หนูเอาค่ะ" ฉันก็เดินๆต่อไป ฉีกแปะ ฉีกแปะ สบายใจ น้องสองสามคนนั้นเดินตามมา "แซ๊บมากเลยอ่ะ แรงดีอ่ะ"

ต่อมา ฉันยืนอยู่ที่ อมช ฉันไม่บอกหรอกว่าฉันทำอะไร แต่แจกให้น้องๆปี1ที่ห้อยป้ายชื่อนั่นแหละ คนชอบบ้างไม่ชอบบ้าง แต่มีนักล่าแม่มดโซตัสมาเพ่งเล็ง ฉันรู้สึกดีใจแฮะ ดีใจอ่ะที่มีหนุ่มๆวิศวะ หนุ่มๆหล่อๆ มายืนเป็นกลุ่มรุมจ้องมองฉัน นานๆทีปีหนจะมีหนุ่มๆเป็นกลุ่มๆมาจ้องมองฉันอย่างนี้ ดีใจอ่ะ ไม่เคยมีหนุ่มเป็นกลุ่มๆมาตั้งใจจ้องแบบนี้เลย

ต่อมา ฉันเก็บงานเศษกระดาษที่มันยับเยิน คนเหยียบคนทำร้ายมัน ถึงมันจะถูกทำร้าย แต่ยิ่งมันยับเยิน มันก็ยิ่งเป็นงานศิลปะประจำตัวฉันที่มีค่ามาก เก็บๆไป "พี่คะ เสียดายที่หนูเพิ่งรู้วันนี้ ไม่งั้นหนูคงไปแล้ว ต่อไปพี่จะจัดงานอะไรอีกมั้ยคะ" งานที่ฉันทำแล้วเงียบเหงาไม่มีคนมา สุดท้ายก็ยังมีคนสนใจมัน "พี่เรียนคณะอะไรคะ" ฉันเล่าให้น้องคณะฉันฟังว่า "พี่ไม่เห็นด้วยกับระบบว้ากค่ะ พี่ก็เคยเป็นปี1เคยรับการว้ากมาก่อน แต่พอพี่จะว้ากเขา พี่ก็ไม่ทำ ปีสุดท้ายที่พี่จะจบ พี่อยากทำกับระบบว้ากที่พี่ไม่เห็นด้วยกับมัน" "หนูเห็นด้วยกับพี่ค่ะ"

ต่อมา ฉันเก็บเศษกระดาษที่แจกคนอื่นเขา ใช่ มันโดนเหยียบ ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ก็แค่หยิบมันขึ้นมา แล้วก็เอามันไปแปะ ขอให้มันอยู่ที่นี่นานๆ

ฉันเคยไปเสียใจ ว่างานฉันถูกทำลาย "ถูกทำลาย ก็ทำมันขึ้นมาใหม่สิครับ"

ฉันยังคงเดินต่อมา ใส่เข็มขัดคณะ น้องๆยกมือไหว้เก้ๆกังๆ "ไม่ต้องไหว้พี่ค่ะ" ฉันไม่ได้ภูมิใจที่น้องมาไหว้ด้วยความกลัว ฉันไม่ได้กระหยิ่มยิ้มย่องถูมิใจ"มีคนมายกมือไหว้กู" ฉันไม่ได้ตาขวางใส่น้องๆ ฉันเห็นทุกคนเป็นมิตรของฉัน

และฉันจะทำต่อไป ฉันไม่ยอมแพ้

ที่มาภาพ: ศูนย์เยียวยาแผลใจ ผู้ประสบภัยจากการรับน้อง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ความเห็น

Submitted by SuperAnvary on

ถ้าไม่ทำ รุ่นน้องก็ปีนเกลียว รุ่นพี่อยุ่วันยังค่ำ มาก่อนคือพี่ มาหลังคือน้อง มาพร้อมกันคือเพื่อน !! .

Submitted by เปี๊ยก on

ผมเคยผ่านระบบว้ากน้องของม.ที่เรียนมา ตอนว้าก็รู้สึกดีโคตรๆ แต่พอเริ่มเรียนก็กลับไปคิดว่ามันไม่ดี ตอนผมเรียนปี 2-3 ผมก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงมันในระบบแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ปี 4 ผมก็เฟสตัวออกมา และคิดว่าการดำรงอยู่ของเรามันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้น้องได้คิด เช่นเดียวกับที่ระบบว้ากน้องยังคงอยู่ มาคิดย้อนดูการเรียนรู้จากการได้ลงไปคลุกกับว้ากจริงแล้วเข้าใจว่าว้ากไม่ดี ก็เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ แล้วต่อไปพวกน้องๆมันก็จะไม่ทำแบบนี้กับคนอื่นในช่วงชีวิตที่เหลือ แน่นอนว่ามันเสี่ยงที่น้องจะโดนกล่อมเกลาไป แต่ผมว่ามันก็ยังคุ้ม และกาลเวลามันก็อาจเปลี่ยนเขาได้ หากเขารียนจบไปแล้วพบกับภาพของสังคมที่กว้างขึ้น

เมื่อผมจบออกมา ผมรู้สึกว่าสังคมในระดับใหญ่ก็ยังมีการคานกันระหว่าง 2 แนวคิดนี้อยู่เสมอ น้องๆสามารถรับรู้ คิดไตร่ตรอง และเลือกตัดสินใจจากสภาพแวดล้อมด้วยตัวของพวกเขาเอง (ทั้งในมหาลัยและสังคมภายนอก) ถ้าเขาลองแล้วเห็นว่าระบบเช่นนั้นดี เขาเล่นเกมของเขา เพื่อรักษาแนวคิดนั้นไว้ เราคงเปลี่ยนพวกเขาไม่ได้ง่ายๆเช่นเดียวกับที่พวกเขาก็เปลี่ยนความคิดแบบเราไม่ได้ เกมนี้เล่นได้ทั้งชีวิต และเราก็รู้ว่าอาจจะไม่สำเร็จในช่วงชีวิตของเราก็ไม่เป็นไร ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมันช่วงชีวิตหนึ่งอายุแค่ 4 ปี เมื่อจบออกมา ก็ถือว่าเราได้ตายไปแล้ว แม้จะยังเปลี่ยนในมหาลัยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราก็ยังเล่นเกมระดับใหญ่ต่อไปได้ ส่วนพวกผีรุ่นพี่ที่กลับไปเล่นเกมในระดับเล็ก ก็ดีแล้ว เพราะว่าระดับเล็กมันเปลี่ยนคนในวงกว้างไม่ได้ ให้เขาอยู่ในสังคมเล็กๆของเขาต่อไป รอให้ความคิดของประเทศเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็จะสลายไปเอง

โพสซะยาว มาให้กำลังใจคนเขียนนะครับ

Submitted by s on

เป็นกำลังใจให้ครับ ประเทศนี้ถนัดแต่ทำตามสิ่งที่คนอื่นเคยทำกันมา เรามักไม่มีทางเลือกมากนัก ปชต ก็จอมปลอม ไม่ทำตามระบบกตืกา เพราะผมเคยทำเรื่องพบคณบดี พยายามแสดงตนว่าเราไม่เห็นด้วยกับระบบ ท่านก็ได้แต่เกลี้ยกล่อมให้ร่วมไป ปีต่อๆ ไปค่อยว่ากันใหม่ ช่วงเวลาในมหาลัยช่าวน้อยนิด พอปีสองสามงานก็มากเลยไม่เข้าไปยุ่งอีกเลย สังคมในมหาลัยก็เลยสืบทอดพฤติกรรมที่ไม่ดีมาตลอด อันนี้ต้องมองว่าถ้ามันดีจริง ประเทศที่เขาเจริญและทำมาก่อนคงทำต่อมาเรื่อยๆ แต่เขาก็เลิกลากันไป เขาก็เลยมีเวลาสร้างสรรงานอื่นๆ มีแต่มหาลัยในไทยต้องมาหามน้องส่ง รพ. เพราะเครียด พาไปขรี้เยี่ยวกัน เพราะคำว่าน้องใหม่ ทำเป็นแสดงใจกว้างว่าเข้าร่วมกิจกรรมโดยสมัครใจ (แต่ถ้าไม่ร่วม ก็ถูกบอยคอต) เรียนจบมาก็คิดอะไร สร้างสรรอะไรไม่เป็น ก็ทำงานในโรงงาน เป็นลูกจ้าง ในมหาลัยไม่ได้สร้างให้คนเห็นแลละร่วมกันสร้างเชิงมหภาค มีแต่คนสองกลุ่ม คือ พวกทำแต่เฉพาะกลุ่ม พรรคพวก ใครคุยด้วยกินเท่ยวด้วยกันคือพวก และคนอื่น คณะอื่นที่ไม่คบค้าสมาคมด้วย สังคมรอบข้างเป็นยังงัยช่างมั น มหาวิทยาลัยไม่มีภูมิปัญญาสร้างคนให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ครูอาจารย์ก็ทำธุรกิจการศึกษา ผลผลิตของมหาลัยและสังคมไทย จึงมีแต่คนมีพวก พวกใครพวกมัน ไม่มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม นักการเมือง พวกชนชั้น แม้แต่ ปชช โดยทั่วไปก็ยังกระทำการเยี่ยงเดียวกัน หากเรามีจิตสำนึกและรู้จักระบอบ ปชต จริงๆ มีการดำเนินงานอย่างตรงไปตรงมา มีการจัดสรร อย่างมีคุณธรรมจริยธรรม เมืองไทยคงไม่เดือดร้อนเฉกเช่นทุกวันนี้

Submitted by Gear'32 on

ผมผ่านการรับน้อง แต่ไม่เห็นด้วยกับคำว่ารุ่นน้องปีนเกลียวรุ่นพี่อยู่วันยังค่ำ มันจะปีนเกลียวกันทุกคนหรือไง? รุ่นน้องหลายๆคนก็นิสัยดี เอ็งไปอยู่รูคณะไหนมา บอกผมทีเถอะ

หลายคนที่ไม่ผ่านการรับน้อง ผมเคยลองคุยๆกับเขา เขาก็มีเหตุผลที่น่าฟังของเขา เช่น บ้านจน ตอนเย็นต้องทำงานเพื่อส่งตัวเองและช่วยเหลือทางบ้านบ้าง เหตุผลเคยเรียนแล้วไม่รอดบ้าง ฝังใจ เลยจะตั้งใจเรียนในคณะใหม่ที่ได้ และอีก ฯลฯ หลายๆเหตุผลที่ผมฟังมาทำให้ได้รู้เลยว่า "คนที่ไม่ผ่านการรับน้องไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว"

ระบบรับน้องรุ่นหลังๆต่างหากที่ปลูกฝังให้หลายๆคนมีมุมมองที่ผิด เช่น ปฏิบัติกับคนที่ไม่เอารุ่นอย่างไม่เที่ยงธรรม ไม่สนใจ ไม่คบหาสมาคม รังเกียจ และอีกต่างๆนาๆ คนนะเฮ้ย มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ระบบชนชั้นวรรณะเหมือนดั่งแต่ก่อน

แบบนี้ SOTUS มันจะไปต่างอะไรกับระบบคอมมิวนิสต์ครับ? แล้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของเรามันจะไปต่างอะไรกับสถาบันการปลูกฝังคอมมิวนิสต์ครับ?

ที่มาบอกนี่ไม่ใช่อะไร แค่เป็นศิษย์เก่าคนหนึ่งที่อยากเห็นการพัฒนาของเยาวชนที่จะก้าวไปเป็นอนาคตของชาติครับ มันต้องแก้ที่รากของปัญหานี่ล่ะครับ และหนึ่งในปัจจัยสำคัญก็คือสถาบันการศึกษาของเราๆนี่ล่ะ...

Submitted by ... on

ความเห็นคุณแมร่งโคตรอำนาจนิยมเลยหวะ ห่าเอ๊ย
กูแมร่งสงสารรุ่นน้องที่ต้องเจอพี่อย่างมึงจริงๆ หวะ
คนเราเกิดมาล้วนเท่าเทียมกัน
ไม่แปลกใจเลยทำไมประเทศไทยถึงมีรัฐประหารบ่อยๆ แบบนี้ หรือ ความอยุติธรรมต่างๆ เพราะเราไม่เคารพถึงสิทธิเสรีภาพของคนอื่นๆ สมสมองของคุณคงโดนอำนาจนิยมฝังหัวไปหมดแล้วใช่ไหมเนี่ย

Submitted by T90LaserIII on

สู้ๆครับผมเป็นกำลังใจให้ครับ เบื่อพวกบ้าอำนาจรุ่นพี่ไม่ใช่พ่อแม่ ส่วนได้ส่วนเสียกับการจบ มหาลัยก็ไม่มี

Submitted by Ten Yoshiki on

ใครผูกมันผู้นั้นแหล่ะที่ต้องแก้....เชือกที่ผูกมันละลายเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้วครับน้อง น้องแตกกอต่อยอดของน้องใหม่ซะ มีคนที่คิดเหมือนน้องไม่น้อยเหมือนกันแหล่ะ น้องต้องหาให้เจอแล้วต่อยอดให้มีปริมาณมากกว่าแล้วมันจะกลืนหายไปเอง

Submitted by รักรุ่นพี่ถนอมร... on

สุภาพบุรุษมักใช้วาจาและกริยารวมทั้งวิธีปฏิบัติกับคนที่อ่อนแอกว่า อ่อนวัยกว่าด้วยความสุภาพ การว๊ากรุ่นน้องแล้วอ้างว่า พวกน้องจะไม่อยู่ในโอวาท จะปีนเกลียวรุ่นพี่นั้นได้วิธีคิดนี้ได้มาจากการเรียนแบบทหาร ทหารมีวิธีปฏิบัติในขอบเขตของวินัย เคารพวินัยสูงสุด แต่พวกเรานักศึกษาล่ะ เคารพวินัยอย่างทหารได้บ้างไม๊ ทำไมไปเอาแบบอย่างเขาแต่เอามาไม่หมด ในรั่วมหาลัยต่างๆในต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้เห็นมีว๊ากรุ่นน้องเหมือนบ้านเรา คณาจารย์ท่านก็ปล่อยปะกันมานาน รองทบทวนกันบ้างก็ดีน่ะว่า มันจะเรียกว่าประเพณีปฏิบัติในมหาลัยได้ไม๊ ในการกระทำที่แสดงถึงความก้าวร้าวทางเสียงต่อนักศึกษาที่อ่อนพรรษากว่า ทำไม ไม่ปฏิบัติกับรุ่นน้องด้วยความดีความเมตตาให้ความช่วยเหลือรุ่นน้อง ความดีไม่กดดันใครให้ตอบโต้ด้วยความชั่วความก้าวร้าวแน่นอน

Submitted by น้ำลัด on

เป็นกำลังใจให้ครับ

ผมเองก็เป็นศิษย์เก่ามช. และเคยผ่านระบบ SOTUS มาแล้วเช่นกัน
สมัยนั้นก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเท่าไหร่ กับการว้ากแบบเอาเป็นเอาตายของรุ่นพี่
ก็แค่มองว่าว้ากเก้อร์นี่มันเหมือนคนบ้า เหมือนเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งเท่านั้น
ตอนนั้นก็ยังรู้สึกถึงข้อดีของมันอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ทำให้รู้จักเพื่อนๆมากขึ้นในตอนนั้น

แต่เมื่อยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
บางสิ่งบางอย่างที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา
ก็น่าจะได้รับการทบทวนถึงข้อดีข้อเสีย
และร่วมกันคิดว่าสมควรที่จะคงไว้ต่อไปหรือไม่

ระบบ SOTUS ไม่ใช่โบราณวัตถุ ที่ยิ่งเก็บไว้นานวันยิ่งทวีคุณค่า
แต่ใทางกลับกัน ระบบ SOTUS ยิ่งเก็บไว้นานอาจจะยิ่งล้าหลังในแนวคิดของการศึกษา

มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันเพื่อการศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่สถาบันเพื่อการผลิตทหารนักรบ
เป็นสถาบันที่ควรจะสร้างความห่วงใย ความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน เปิดทางสู่ความรู้อันกว้างไกล
มากกว่าที่จะมัวมาสร้างระบบอาวุโส สร้างความยำเกรงกัน เหมือนสร้างกะลามาครอบหัวกัน

การที่จะให้รุ่นน้องเคารพยำเกรงนั้น น่าจะให้คำปรึกษาให้คำแนะนำ คอยช่วยเหลือน้องๆจะดีกว่า
มันเป็นการสร้างความเคารพยำเกรงให้กับรุ่นน้องแบบใช้ "พระคุณ"
ส่วนการว้ากน้องนั้นมันเป็นการสร้างบารมีของรุ่นพี่แบบใช้ "พระเดช"
ซึ่งระบบขุนนางในสมัยโบราณเขาอาจจะถนัดใช้ "พระเดช" มากกว่า "พระคุณ"
ว้ากเก้อร์ทั้งหลายคงเป็นลูกสมุนขุนนางในอดีตที่ถูกส่งไปว้ากชาวบ้านนะครับ

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

ยกเลิกได้แล้วถ้าไม่รับน้องอย่างสสร้างสรรค์ ตอนช่วงหลังเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ของนักเรียน นิสิต นักศีกษา ประชาชนทั่วประเทศในการโค่นล้มเผด็จการทหารจอมพลถนอม - ประภาส - ณรงค์กิตติขจร ที่ปกครองกดขี่ข่มเหงประชาชน(พวก sotus ในมหาวิทยาลัยก็ไม่แตกต่างจากระบบเผด็จการทหารดอกจ๊ะ มันคือเผด็จการเหมือนกัน) พอประชาชนถีบพวกเผด็จการตกลงเวทีไปแล้ว(พวกน้องๆลูกหลานในมหาวิทยาลัยหล่ะ กล้าถีบพวกโซตัสเผด็จการอะเป่าเจ้า?)

... หลังจากเหตุการณ์การลุกขึ้นสู้อันยิ่งใหญ๋นั้น ระบบโซตัสในมหาวิทยาลัยก็เริ่มซาไป เพราะรุ่นพี่ที่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยเขาเคารพสิทธิเสรีภาพแห่งปัจเจกชนของน้องๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รับน้องใช้คำว่า "รับเพื่อนใหม่" พาน้องไปบำเพ็ญประโยชน์ ไปเยือนพี่น้องสลัม พี่น้องกรรมกร คนชราฯลฯ นี่เป็นการต้อนรับน้องfreshy ที่ยิ่งใหญ่ยิ่ง ที่เราขอคารวะ

- - - จะเล่าให้ฟังอีก ฉัน เองก็เคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รหัส 142558(จำได้เสมอ) พูดให้ถึงที่สุด ฉันก็เป็น พี่รหัส ลุงรหัส อุ๊ยรหัส(ปู่รหัส) ของพวกลูกหลานอย่างน้องๆทั้งที่ โซตัส และไม่โซตัส แล้วจ้า ลูกๆหลานๆเอ๋ย ... และตอนนั้นระบบโซตัสซาลงมาก( ระบบนี้มันเอามาจากฝรั่งตะวันตก เป็นระบบบาร์แบเลี่ยน ระบบป่าเถือน ที่อารยชนเขาไม่ทำกัน มันน่าอับอายชาวพาราโลก เจ้า หนูเอ๋ย...)

... ที่มช. รั้วสีม่วงของเราและของประชาชน(ที่เสียภาษีให้เราเรียน จ้างครูอาจารย์ สร้างตึกเรียน ฯลฯ) มันมีคณะที่ระบบโซตัสที่กดขี่แข็งมากก็คือที่คณะวิสวะฯ และคณะเกษตรฯ นอกนั้นไม่แข็ง และต่อมานักศึกษาหัวก้าวหน้าที่มีจิตสำนึกเคารพในความเสมอภาค ความเป็นมนุษย์(นักศึกษาก็เป็นมนุษย์ตีนติดดินธรรมดา มิใช่เป็นอภิสิทธิชนที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ตีนไม่ติดดิน!) นักศึกษารุ่นพี่ในคณะต่างๆ(ยกเว้นสองคณะเผด็จการที่กล่าวถึง พูดเช่นนี้ลูกหลานเหลนโหลนอย่างไปโกรธ ปู่เน้อ ลองใช้สมองและจิตสำนึกตรองดูว่าเป็นจริงหรือไม่ เอ๊า เปิดประชาธิปไตยกันให้เต็ทที่เพราะเราไม่ใช่ Dictator เผด็จการ! ) นักศีกษาหัวก้าวหน้าคณะต่างๆสามารถยึดสโมสรคณะได้อย่างสง่างามทำให้การรับน้องงดงามสร้างสรรค์!

ที่ปู่รหัสสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกะ น้องๆลูกหลานก็เพื่อจะเล่าทั้งสิ่งที่ดีงามและสิ่งที่ไม่งดงามให้ฟัง ...ถ้าหากการรับน้องใหม่ไม่สร้างสรรค์ เป็นเผด็จการ (ดูสีหน้าการว๊าก ของว๊ากเก้อร์ซี มันน่าดูที่ไหน เหมือนออกจากโรงพยาบาลประสาทจากที่ไหนมาซักแห่ง ...พูดเช่นนี้ ลูกหลานรักว๊ากเก้อร์ กรุณาอย่าโกรธอุ๊ยนะ ถ้าโกรธโกธาก็แล้วไปไม่ว่ากระ คือเหมือนบทเพลงของThe Beatles สี่เต่าทอง ที่ขับร้องโดยปู่ John Lennon ชื่อเพลงว่า Let It Be...แปลเป็นคำเมืองภาษาล้านนาอิสระก้อแปลว่า ..."จ้างมันเตอะ" ถ้าเป็นคำไทยภาษาภาคกลางประเภทจิ๊กโก่ไม่ตีหัวใครเข้าบ้าน ก้อแปลว่า "ช่างมะแร่งงง มัน! เจ้า เอ๊าสนทนาธรรมกะลูกหลานรหัสก็ เอ วัง ด้วย ประ กา ระ ฉะ นี้ ขอบคุณ ยินดี คร๊าบ

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

ยกเลิกได้แล้วถ้าไม่รับน้องอย่างสสร้างสรรค์ ตอนช่วงหลังเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ของนักเรียน นิสิต นักศีกษา ประชาชนทั่วประเทศในการโค่นล้มเผด็จการทหารจอมพลถนอม - ประภาส - ณรงค์กิตติขจร ที่ปกครองกดขี่ข่มเหงประชาชน(พวก sotus ในมหาวิทยาลัยก็ไม่แตกต่างจากระบบเผด็จการทหารดอกจ๊ะ มันคือเผด็จการเหมือนกัน) พอประชาชนถีบพวกเผด็จการตกลงเวทีไปแล้ว(พวกน้องๆลูกหลานในมหาวิทยาลัยหล่ะ กล้าถีบพวกโซตัสเผด็จการอะเป่าเจ้า?)

... หลังจากเหตุการณ์การลุกขึ้นสู้อันยิ่งใหญ๋นั้น ระบบโซตัสในมหาวิทยาลัยก็เริ่มซาไป เพราะรุ่นพี่ที่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยเขาเคารพสิทธิเสรีภาพแห่งปัจเจกชนของน้องๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รับน้องใช้คำว่า "รับเพื่อนใหม่" พาน้องไปบำเพ็ญประโยชน์ ไปเยือนพี่น้องสลัม พี่น้องกรรมกร คนชราฯลฯ นี่เป็นการต้อนรับน้องfreshy ที่ยิ่งใหญ่ยิ่ง ที่เราขอคารวะ

- - - จะเล่าให้ฟังอีก ฉัน เองก็เคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รหัส 142558(จำได้เสมอ) พูดให้ถึงที่สุด ฉันก็เป็น พี่รหัส ลุงรหัส อุ๊ยรหัส(ปู่รหัส) ของพวกลูกหลานอย่างน้องๆทั้งที่ โซตัส และไม่โซตัส แล้วจ้า ลูกๆหลานๆเอ๋ย ... และตอนนั้นระบบโซตัสซาลงมาก( ระบบนี้มันเอามาจากฝรั่งตะวันตก เป็นระบบบาร์แบเลี่ยน ระบบป่าเถือน ที่อารยชนเขาไม่ทำกัน มันน่าอับอายชาวพาราโลก เจ้า หนูเอ๋ย...)

... ที่มช. รั้วสีม่วงของเราและของประชาชน(ที่เสียภาษีให้เราเรียน จ้างครูอาจารย์ สร้างตึกเรียน ฯลฯ) มันมีคณะที่ระบบโซตัสที่กดขี่แข็งมากก็คือที่คณะวิสวะฯ และคณะเกษตรฯ นอกนั้นไม่แข็ง และต่อมานักศึกษาหัวก้าวหน้าที่มีจิตสำนึกเคารพในความเสมอภาค ความเป็นมนุษย์(นักศึกษาก็เป็นมนุษย์ตีนติดดินธรรมดา มิใช่เป็นอภิสิทธิชนที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ตีนไม่ติดดิน!) นักศึกษารุ่นพี่ในคณะต่างๆ(ยกเว้นสองคณะเผด็จการที่กล่าวถึง พูดเช่นนี้ลูกหลานเหลนโหลนอย่างไปโกรธ ปู่เน้อ ลองใช้สมองและจิตสำนึกตรองดูว่าเป็นจริงหรือไม่ เอ๊า เปิดประชาธิปไตยกันให้เต็ทที่เพราะเราไม่ใช่ Dictator เผด็จการ! ) นักศีกษาหัวก้าวหน้าคณะต่างๆสามารถยึดสโมสรคณะได้อย่างสง่างามทำให้การรับน้องงดงามสร้างสรรค์!

ที่ปู่รหัสสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกะ น้องๆลูกหลานก็เพื่อจะเล่าทั้งสิ่งที่ดีงามและสิ่งที่ไม่งดงามให้ฟัง ...ถ้าหากการรับน้องใหม่ไม่สร้างสรรค์ เป็นเผด็จการ (ดูสีหน้าการว๊าก ของว๊ากเก้อร์ซี มันน่าดูที่ไหน เหมือนออกจากโรงพยาบาลประสาทจากที่ไหนมาซักแห่ง ...พูดเช่นนี้ ลูกหลานรักว๊ากเก้อร์ กรุณาอย่าโกรธอุ๊ยนะ ถ้าโกรธโกธาก็แล้วไปไม่ว่ากระ คือเหมือนบทเพลงของThe Beatles สี่เต่าทอง ที่ขับร้องโดยปู่ John Lennon ชื่อเพลงว่า Let It Be...แปลเป็นคำเมืองภาษาล้านนาอิสระก้อแปลว่า ..."จ้างมันเตอะ" ถ้าเป็นคำไทยภาษาภาคกลางประเภทจิ๊กโก่ไม่ตีหัวใครเข้าบ้าน ก้อแปลว่า "ช่างมะแร่งงง มัน! เจ้า เอ๊าสนทนาธรรมกะลูกหลานรหัสก็ เอ วัง ด้วย ประ กา ระ ฉะ นี้ ขอบคุณ ยินดี คร๊าบ

Submitted by เสือ on

ลองตั้งเป็นชมรมมั๊ย หารายชื่อสัก 50 คน แล้วไปขอตั้งชมรมดู น่าจะมีพลังมากขึ้น

.ว้ากน้อง. อีกปีละ

คนเราควรเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้อื่น  และสิ่งที่คนไทยขาดโคตรๆก็คือ  การเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้อื่น

 

ป.ตรีไม่มีความหมาย มันเป็นของโหลๆไปแล้ว

 

คงเป็นอีกวันที่ทำผลงานให้กับองคฺ์กรไม่ได้เลย     ชีวิตของเด็กปริญญาตรีจบใหม่ต่างต้องเผชิญกับอุปสรรคนาๆประการ  ทีแรก ฉันก็นึกว่าฉันเป็นคนเดียวที่เป็นเด็กปริญญาตรีที่จบมาก็ลำบาก  เพราะชีวิตในมหาลัยมัวแต่สะดวกสบาย  

ประสบการณ์สาวโรงงาน (ตอนแรกค่ะ)

 

วันทำงานโรงงานวันแรก

นั่งอบรมไปค่อนวัน ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎี เขาคงปรับความรู้ผู้ใช้แรงงานอย่างพวกเราให้เป็นผู้ใช้แรงงานที่มีความรู้ เพราะมาตรฐานมันเป็นเครือข่ายที่มีหลายประเทศทั่วโลก พวกดิวิชั่นใหญ่ๆมีแต่ชาวต่างประเทศ