ใ น ห้ ว ง คำ นึ ง ข บ ถ โ ร มา น ซ์ : พ ระ คุ ณ แ ม่

 

                  @   “ แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ฯลฯ  ” . . .  เพลงขึ้นต้นนี้  ทุกคนคงจำเนื้อร้องได้   ร้องเมื่อไรตื้นตันใจ   น้ำตาคลอเบ้า ตอนเป็นนักเรียน ในวันแม่  คุณครูให้นักเรียนร้องพร้อมกันในห้อง หรือหน้าเสาธง  ทุกคนร้องไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย  …  ขอสารภาพ ณ ที่นี้ว่า ฉัน เอง ร้องไม่จบ ร้องทีไร น้ำตาคลอเบ้า  ร้องไห้ทุกที    ด้วยความตื้นตันหัวอกหัวใจ   ไม่รู้ว่าทุกท่านเป็นแบบนี้หรือไม่?
 
                   - - -   เป็นที่น่าสังเกตุว่า น่าแปลกใจ  ตอนเราเป็นเด็กๆ    เวลาเกิดเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเรา เช่น ประสพอุบัติเหตุ ในเรื่องอะไรก็ตาม เกิดเลือดตกยางออก หรือ ตก ใจ เราจะต้องร้องไห้ จ้า  และ ร้องเรียกหา “ แม่ ”  ทุกครั้ง  ….   … “ แม่   แม่จ๋า  ช่วยลูกด้วย ”  ( ทำไมเราไม่เรียกหาคำว่า  “ พ่อ” ให้มาช่วย ?   ซึ่ง พระคุณพ่อ ก็มีบุญคุณอันใหญ่หลวง  ให้เรากำเนิดมาเหมือนกัน  แต่เราก็โผล่ออกมาจาครรภ์ ของแม่   ไม่ใช่จาก ครรภ์ ของพ่อ   )  …
 
                    . . .  เริ่มจากชีวิตน้อยๆ  แม่ โอบอ้อมถนอมอุ้มชู เลี้ยงดูเราเรื่อยมา  ( พระคุณพ่ออย่าน้อยใจนะ คับ  ในความเรียงนี้ ผมพูดถึงเรื่อง แม่ ก่อน เท่านั้น  แล้วค่อยพูดถึงพระคุณพ่ออีกทีหลัง   พระคุณพ่อก็มีบุญคุณอันใหญ่หลวงแก่ ลูกๆ   เฉกเช่นกัน )  … พระคุณพ่อแม่(น่านเห็นไหม ผมก็เอ่ยถึงพ่อด้วย )   นั้นไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว เรารู้ รู้ เห็น  เห็น กันอยู่ พ่อแม่นั้นเป็นห่วงใยลูกจนตาย  แม้นเราจะเติบโต มีลูก เมีย  ผัว กันแล้ว พ่อแม่ก็ยังเป็นห่วงเราอยู่ เฝ้าดูแลอยู่ห่างๆ  … ลูกเป็นโจร เป็นนายทุนสามานย์ เป็นเผด็จการทหาร กดขี่ข่มเหง ทำร้ายประชาชน   แม่ก็ยังรักลูก เพียงแต่แม่ก็คงรู้สึกเสียใจที่ลูกๆประพฤติ ปฏิบัติ  ผิดๆ ต่ำช้า    เลวทราม เช่นนั้น  ฯลฯ …
 
                                  มีคราหนึ่ง ยกตัวอย่างรูปธรรม ตัวฉันเองนั่น แหละ ตอนเป็นวัยรุ่น และวัยหนุ่ม  ฉันเป็นคนนดื้อ  ไม่เชื่อฟังพ่อแม่  ชอบเที่ยวเตร่  หนีโรงเรียน  กินเหล้าเมายา (แน๊ะ   อ้ายแสงดาวนี่ เกเรมาตั้งเด็กๆแล้ว  )  ไปเที่ยวกะเพือนๆ ไม่เข้าบ้าน ไปหลายวัน  พ่อแม่ก็เป็นห่วง ตักเตือนสั่งสอน  ฉันก็ไม่ฟัง หาว่าพ่อแม่เป็นคนแก่ขี้บ่น ขี้จ่ม ไม่เข้าใจลูก ฯลฯ 
 
                               “  เออ ถ้ามึงมีลูกก่อน  แล้วมึงจะรู้สึก  ว่าพ่อแม่เป็นห่วงมึงอย่างไร? “ …   เอาละซีพี่น้อง  พอฉันเอาเมีย ( อย่าคิดเป็นอย่างอื่นเน้อ ท่านที่เคารพรัก   คำว่า “เอาเมีย” มิได้หมายฟามถึง “ เอากัน ”  ต่อหน้าต่อตา …” เอาเมีย “หมายถึง “แต่งงาน ” เจ้า เป็นคำของคนล้านนาอิสระ จ้า ) มีลูกสาวแล้ว   ฉันก็รักและเป็นห่วงลูกมาก พร่ำสอนลูก ลูกก็ดื้อ ไม่ฟังคำ นี่แหละ บาปขบหัวตัวเองที่เมื่อก่อนไม่เชื่อฟังคำเตือน คำสอนของพ่อแม่ มาเจอกะตัวเอง แล้ว “รู้สึก” จริงๆ ดังที่แม่ว่าเอาไว้… “ พ่อ น้องใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อย่ามายุ่งกะน้อง ”    ฟังเข้าซีอีเด็กดื้อ ลูกกู …  สมน้ำหน้าแล้วที่เราเคยดื้อกะพ่อแม่  มาจนบัดนี้ ฉันก็ยังรักและห่วงใยลูกอยู่ ดี แม้จะมีครอบคร้วไปแล้ว มีหลานแล้ว ฉันกลายเป็นพ่ออุ๊ยไปแล้ว  …  คือพ่อแม่ ห่วงลูกจนตายนั่นแหละ จ้า พระเดชพระคุณท่าน…
 
                                   และที่ฉันซาบซึ้งถึงพระคุณแม่ ก็คือ ตอนหนึ่ง ฉันไปถอนฟันที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนั้นฉันกำลังเรียนจบสถานศึกษานี้หมาดๆ ยังไม่ได้เอาเมีย … เป็นหนุ่มฟ้อ หล่อไม่เฟี้ยวอยู่  แหะ  แหะ …
 
 
                            “กัด  กัด  กัดไว้นะ   ” คุณหมอที่ถอนฟันกรามฉันเสร็จ  บอกกับฉัน  พร้อมกับเอาผ้าก๊อสซ์  อุดไว้ที่ร่องฟันกรามที่ถูกถอน …ให้ตายเถิด ฉัน โคตรโง่ ชะมัดญาติ ไม่รู้   ว่า คำว่า  “ กัด “ นั้นคืออะไร  คุณหมอก็ไม่อธิบายให้ ฉัน ทราบ   ฉันก้ไม่เคยถอนฟันมาก่อน ในชีวิต    …ฉันก็กัดไว้  จนถึงบ้าน  แล้วฉันก็ล้มตัวลงนอน ที่พระคุณแม่ปูที่นอนบนลานบ้านให้    แล้วฉัน ก็ รำคาญ ที่ต้อกัดผ้ากอสซ์ ไว้ ฉันจึงดึงมันออก  …  ทีนี้ละซีพี่น้องเอ๋ย เลือดก็ไหลออกมาจากร่องฟันไม่หยุด   ฉันเพลีย เพราะร่างกายเสียเลือดมาก รีบกลับไปหาหมอ หมอจึงจัดการเอาผ้ากอสซ์  อุดให้ใหม่ พร้อมทั้งอธิบายให้ฟังถึงเรื่องการที่ต้องกัดเอาไว้ ตลอดเวลาเพื่อ stop  blood   หยุดเลือด!  … พี่น้องเอ๋ยในระหว่างนั้น พระคุณแม่ดูแลเอาใจใส่ลูกชายคนดื้อคนนี้ตลอดเวลา ฉันจึงซาบซึ้งตรึงใจ นอนน้ำตาซึม บอกกับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่เถียงแม่ให้แม่เจ็บช้ำน้ำใจ เสียใจ ต่อไป   อีกแล้ว!...
 
                       
                                   วันแม่. . .  แด่  แ ม่ ข้า
 
 
                            @   นะ โม  ลูก กราบไหว้
                                   แ ม่  ท ว ย ไ ท    ทุกแห่งหน
                                  แ ม่   ข้า นั้นคือ  ค น
                                 มี หลากล้น งามเรืองไร
 
                                       แ ม่  ผู้ ให้กำเนิด
                                กายก่อเกิด จิตแจ่มใส
                                แ ม่  ให้กำลังใจ
                               ห่วง ลูก ลูก  เอื้ออาทร
 
                                        แ ม่   ข้า มีมากมาย
                                ทั้ง  กายใจ เกลื่อนสลอน
                                ทั่วด้าว แผ่นดินดอน
                                 ขอมอบพร สู่ดวงจินต์
 
                                        แ  ม่     ข้า  คือ  ชา ว นา
                               มือ หว่านกล้า ให้เรากิน
                               ชาวฟ้า หรือ ชาวดิน
                                แ ม่   เลี้ยงโลก เสมอมา
 
                                      แ ม่ ข้า คือ …  ค น งา น
                                งามแกร่งกร้าน ทุกลีลา
                                  ปั้นโลก ให้โสภา
                                   แรงงามหนอ  แ ม่  ทานทน
 
                                           คนโซหิว   คือ  แ ม่  ข้า
                                  หยาดน้ำตา หลั่งเปรอปรน
                                  แ ม่  ข้า ตามท้องถนน
                                  เทียว ขอทาน อยู่ โทง โทง
 
                                            แ ม่  ข้าคือ … โ ส เ ภ ณี
                                   ถูก กดขี่ ถูก กลโกง
                                   ถูกย่ำ เหยียดค่าลง
                                   ดุจ ดั่ง ทาส บ่ เป็น ไท
 
                                            แ ม่  ข้า คือ เพศ แ ม่
                                    ทั้งผู้แก่ อีกเยาว์วัย
                                    หลากล้น ระคนไป
                                     มากน้ำใจ  แ ม่  หลั่งริน
 
                                            … คือ   แ ม่    แห่ง   โ ล ก ห ล้า
                                     ตีน แ ม่ ข้า นั้นติดดิน
                                     ใช่ เหิรฟ้า โบกโบยบิน
                                      จาก แดนใด ในโลกา
 
                                               วัน  แ ม่  แห่ง  เพศ  แ ม่
                                     หลอมดวงแด แด่ วิญญาณ์
                                      แกร่งกล้า แท้เจียวหนา
                                      แ ม่   แบกโลก  นิรันดร
 
                                             - - -   นะ โม    ลู ก  กราบไหว้
 
                                         แ ม่  ยิ่ ง ใ ห ญ่  ยิ่ง  สิขร
                                      แด่  แ ม่  ด้วยคำพร
                                       จาก ด ว ง ใ จ  ลู ก  “ เ ก ลื่ อ น ดิ  น  @
 
(  กวี กลอนกานท์  นี้  แต่งนานแล้ว ชื่อบทกวีว่า “ วัน แ ม่  แด่  แ ม่ ข้า ”  ประพันธ์ในลีลา  กาพย์ยานี ๑๑…     พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๒๙  โดย สำนักพิมพ์ “ผลึก”  กรุงเทพฯ  )
             - - -    ส ต รี   คือ    เพศ  แ ม่   ของเรา  ไม่ว่าจักอยู่ในชนชั้น ชั้นชนไหน  เรา  พึงต้อง   เคารพ เพศแม่ของเรา   เพศชายสมมุติบางคน (บางคน นะ )  ก็ดูถูกหยามหมิ่นเพศแม่ของตัวเอง หาว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ  ที่แท้เพศแม่ ก็เป็น ประเภท  “ เปลก็ไกว  ดาบก็แกว่ง”   …  ใน วั น แ ม่   สมมุติ นี้ เราขอก้มค้อมคารวะเพศ  แ ม่  ของเรา  ขอให้ทุกๆท่านมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์  คิดปรารถนาสิ่งใดในสิ่งที่ดีงาม ก็ขอให้สมปรารถนา เทอญ
 
                   ( หมายเหตุ :   เดี๋ยวนี้ พระคุณ แ ม่ ของ ฉัน ท่านได้กลับคืนสู่อ้อมอกอันอบอุ่นของ   แ ม่ ธ  ร ร ม ชา ติ  ไปแล้ว   และก้อขอบอก ขอบอก แ ม่ ที่ให้กำเนิด ฉัน  มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นบ่เกี่ยว เจ้า !) @

 

ความเห็น

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

อ้ายน้ำลัด และท่านผู้อ่านทุกๆท่าน ต้องขอโทษเป็นอย่างสู่ที่ความเรียงนี้เขียนนานแล้วแต่ไม่จบ ก็เลยขอโทษบก. blog และอ้ายแสงดาวส่งอันใหม่ ไปให้ บก. เอาอันใหม่มาลงแทน ลบอันเก่าออก เอาอันใหม่แทน รอคอยอ่านคับผม ขอโทษ บก และผู้อ่านทุกๆท่านด้วย

Submitted by สมภาร พรมทา on

ผมก็รู้สึกเหมือนท่านน้ำลัด ตอนแรกคิดจะหารูปส่งมาเหมือนกัน แต่เห็นข้างบนมี ๒ รูป เลยขอแบ่งรูปข้างล่างอันหนึ่งเด้อครับ ฝากมาคารวะท่านพี่แสงดาว นี่ขนาดเขียนไม่จบนะ

Submitted by น้ำลัด on

อันที่จริงสังคมไทยเราแต่เดิม
ให้ความสำคัญกับ "แม่" สูงมาก
ดินเรานับถือแม่พระธรณี
น้ำเราก็มีการนับถือแม่พระคงคา
ลมเราก็ว่ามีแม่พระพาย
ไฟเราก็บอกว่ามีแม่พระเพลิง
สรุปว่าเรามีแม่พระสำหรับธาตุทั้งสี่
เวลาเราจะกินก็มีแม่พระโพสพ
เวลาจะด่ากันก็ยังมีแม่มาเกี่ยวข้องอีก..."เ.็.ดแม่"
(คนเหนือด่ากันไม่เห็นเอาแม่มาเกี่ยว...แต่เห็นมีเกี่ยวกับทางพ่อ..."ป้อคิงหยัง")

คนไทยมีความผูกพันกับน้ำมาแต่ไหนแต่ไรก็จริง
แต่ผูกพันกับน้ำเพศแม่เพศเดียวเท่านั้น ไม่เคยเกี่ยวข้องกับน้ำเพศพ่อ
จะว่าน้ำในเมืองไทยทั้งหมดเป็นลูกกำพร้าก็ว่าได้ กำพร้าพ่อนะครับ
ก็ดูสิ...ไปไหนต่อไหนเจอแต่ "แม่น้ำ" ไม่เคยเจอ "พ่อน้ำ" เลย...ใครเจอแล้วช่วยบอกที

พอจะกินเหล้าก็ยังเจอแม่อีก...แม่โขง
แต่สาบานได้น้ำเมาชนิดนี้ไม่ใช่ลูกกำพร้าแน่ๆ
เพราะมีทั้ง "แม่โขง" และ "พ่อโขง"

ถ้าจะคารวะอ้ายแสงดาวต้องนี่เลย..."พ่อโขง"
พ่อโขง

ใครๆก็บอกข้าวของมันแพง...ดูนี่สิ...ไม่แพงอย่างที่คิด
มิรินด้า

ส่วนข้างล่างนี้ยังไม่เหมาะกับอ้ายแสงดาวเน่อ...คิดว่าอ้ายแสงดาวอายุยังไม่ถึง 70 ปี
แต่เครื่องดื่มชนิดนี้เขาระบุไว้สำหรับคนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปนะครับ
Seven-up

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

ขอบคุณคับ "อ้ายน้ำลัด " และอ้าย ปี้หนาน " อดีตท่านมหาสมภาร พรมทา"... อ้ายอยากกินทั้ง "พ่อโขง" และ "แม่โขง" คับอ้ายน้ำลัด ยั่วน้ำลายกันขนาด ตอนเป็นวัยรุ่น อ้าย กินแม่โขง สมัยก่อนแม่โขง กลมกล่อม รสชาติ อร่อย แต่เดี๋ยวนี้ ทำไมไม่ค่อยอร่อย ผู้เชี่ยวชาญอย่างอ้ายน้ำลัดช่วยวิเคราะห์ ให้ หน่อย ว่า เดี๋ยวนี้ ทำไมไม่ค่อยลำเจ้า อ้ายก็มากินดื่มน้ำมังสะวิรัติ คือเหล้าต้มที่บริสุทธิ์ แก่งเสือเต้นเป็นส่วนใหญ่ .... อ้ายยังจำได้เลย โฆษณา เหล้าแม่โขง คิดว่าอ้ายน้ำลัด และปี้หนาน สมภารฯ คงเคยเห็นอารมณ์ขันของคนวาดการ์ตูน โฆษณา เหล้าแม่โขงที่มีคนแก่หัวล้านนั่งวาดผู้ หญิง ที่มีผู้ชายกอดที่ชายหาด แต่อี่ลุงหัวล้านคนวาด วาดตัวแกกอดหญิงสาวซะงั้นไป ขำดี อ้ายน้ำลัด มีภาพ ที่อ้ายว่านั้น เอามาลงให้ท่านผู้เข้ามาอ่านดูหน่อย เด่ ยินดี ขอบคุณ คับ

Submitted by น้ำลัด on

เหล้าแม่โขง

อันที่จริงผมไม่กินเหล้ามานานมากแล้วละครับ อาจจะจิบเบียร์บ้างก็นานๆครั้ง
คงจะยากที่จะวิเคราะห์เรื่องเหล้าให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ถ้าแค่ให้เดาส่งเดชน่าจะพอไหว

เหล้าแม่โขงนั้นนักสุราศาสตร์เขาจัดให้มันเป็นประเภท "รัม" นะครับ
มันไม่ใช่ "วิสกี้" อย่างที่หลายๆท่านเข้าใจกัน ผมเองก็เคยเข้าใจว่ามันเป็นวิสกี้
เขาว่ากันว่า วิสกี้นั้นมันผลิตจาก มอลท์เช่นเดียวกันกับเบียร์
แต่ "รัม" นั้นมันผลิตจาก "ข้าว" ดังนั้นเหล้าไทย พวกแม่โขง หงษ์ทอง แสงโสม จึงเป็น "รัม"
เพียงแต่มันถูกตกแต่งหน้าตาสีสัน ให้ดูคล้ายกับวิสกี้เท่านั้น
กลุ่มคนที่ทำขนมที่ต้องใช้เหล้ารัมส่วนหนึ่งเขาจึงใช้เหล้าแม่โขง แสงโสม แทนเหล้ารัมกันนะครับ

แม่โขงในเมืองไทยนั้นมันถูกคนในสังคมจัดให้มันเป็นเหล้าสีระดับล่าง
และก็เสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆเพราะภาพลักษณ์ของตัวเอง
มีปัญหาขายไม่ออกจนเหมือนเคยได้ยินว่าเลิกผลิตไปพักหนึ่ง
ผมเองก็ไม่ชอบรสชาติและกลิ่นของแม่โขง
แต่ได้ยินว่าฝรั่งต่างชาตินั้นกลับชื่นชอบ
โดยเฉพาะญาติลูกพี่ลูกน้องกันอย่าง "แสงโสม"
มีคนรู้จักไปศึกษาต่อที่สวีเดน กลับมาเล่าให้ฟังว่า
ฝรั่งสวีเดนนั้นชื่นชอบ "แสงโสม" ยิ่งกว่า "เรด" หรือแม้กระทั่ง "แบล็ค" ด้วยซ้ำ
เพราะแสงโสมมีอาการ "บาดคอ"น้อยกว่า
...เขาว่ามายังงั้นนะครับ...ผมไม่รับรองความถูกต้องนะครับ

แม่โขงที่ย่ำแย่ก็คงเป็นเพราะไม่มีการปรับอิมเมจให้เข้ากับยุคสมัย
ไม่สามารถเจาะตลาดของคนรุ่นใหม่ได้ เหล้านำเข้าจึงแย่งเอาส่วนแบ่งตลาดไปหมด
จนเมืองไทยต้องขาดดุลย์การค้าในเรื่องเหล้าปีๆมหาศาล

เหล้าแม่โขงในอดีตมัวแต่รักษาตลาดต่างจังหวัดเท่านั้น กลายเป็นเหล้าลูกทุ่งไปโดบปริยาย
ในยุคหนึ่งที่อะไรๆเกี่ยวกับลูกทุ่งมันเสื่อมความนิยมลง ไม่ว่าจะเพลงลูกทุ่ง และหนังไทย
ในยุคนั้นเหล้าแม่โขงก็จะย่ำแย่ลงไปตามเทรนด์ของสังคมในขณะนั้น

รสชาติของแม่โขงนั้นมันไม่ค่อยละมุนละไม เป็นการยากต่อการทำความคุ้นเคย
ตอนที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ผมเคยไปอาศัยอยู่กับครอบครัวหนึ่ง
ซึ่งเข้านั่งกินเหล้าแม่โขงทุกเย็น ไอ้ผมก็กล้ำกลืนจิบกินกับเขาไปวันละนิดวันละหน่อย
จนวันหนึ่งกลับรู้สึกว่าเหล้าแม่โขงมันหวาน มันไม่ได้ขมไม่ได้เฝื่อนเหมือนตอนเริ่มกินมันใหม่ๆ
แต่พอผมเริ่มเปลี่ยนงานและแยกตัวออกจากครอบครัวนั้นผมก็ไม่ได้ดื่มเหล้าแม่โขงอีก

ต่อมาเมื่อเหล้าแม่โขงขายไม่ดี อาจจะมีผลกระทบกับความพิถีพิถันในการปรุงหรือเปล่า
ทำให้รสชาติแย่ลงกว่าเดิมหรือเปล่า ผมก็คงไม่สามารถจะยืนยันได้เช่นกัน
แต่ลูกค้าของเหล้าแม่โขงเองน่าจะรู้สึกกันได้นะครับ

เนื่องจากเหล้าแม่โขงและเหล้าไทยอื่นๆที่วางขายกันนั้นได้มาจากการหมักข้าวแล้วมีการปรุงแต่ง
ยังไงหากผู้ดื่มต้องการเหล้าที่มีความเป็นธรรมชาติ ก็คงสู้เหล้าภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ได้หรอก
เพียงแต่ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง ไม่เปิดโอกาสให้ภูมิปัญญาชาวบ้านผงาดขึ้นมาเท่านั้น
มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์มหาศาล หากใครเสือก...ย่อมมีอันเป็นไปในทางการเมืองอย่างแน่นอน

เรารู้เราเห็น มันเป็นไปแล้ว และมันจะเป็นต่อไป และอีกต่อๆไป

Submitted by น้ำลัด on

ขอโทษครับ มีเข้าใจผิด
Rum "รัม" มันผลิตจากอ้อยหรือน้ำตาลครับ ไม่ใช่ผลิตจากข้าว

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

โอ้ ขอบคุณคับอ้ายน้ำลัดอ้ายได้ความรู้มากทีเดียว อ้ายเองก็ไม่รูอะไรมากดอกคับเกี่ยวกับเรื่องเหล้า รูเก่ง เพยงอย่างเดียวคือรู้วิธียกแก้วเหล้าใส่ปาก คร๊าบ ห้า ห้า

Submitted by น้ำลัด on

การส่งออกเหล้าจะช่วยเรื่องเศรษฐกิจให้ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ
เรามีน้ำตาลเยอะเราก็เอามาผลิตเอทธานอลทั้งเป็นเชื้อเพลิงให้รถยนต์
และเป็นเชื้อเพลิงให้คนด้วย เพราะเอทธานอล ก็คือเอทธิลแอลกอฮอล์
มันก็คือแอลกอฮอล์ชนิดเดียวกันกับเหล้าที่เรากินนั่นแหละ
คนก็ดื่มมันเข้าไป รถก็ดื่มมันเข้าไป ทั้งคนทั้งรถต่างคนต่างเมา

ข้าวค้างสต็อกเยอะก็หาวิธีเอามาแปรรูปกันสิเนาะ
มัวแต่จะขายข้าวเปลือกข้าวสารทั้งปีทั้งชาติ...บัดซบสิ้นดี
วิทยาศาสตร์การอาหาร...อุตสาหกรรมการเกษตร
ปีๆมีคนเรียนจบกันมามากมาย ไม่รู้ไปทำ(ห่า)อะไรกันหมด
แค่แปรรูปข้าวให้มันมีมูลค่าสูงขึ้น เสือกไม่มีใครคิดใครทำมัน

ไม่งั้นก็เอามาผลิตเหล้าขายก็ได้ ยังไงๆก็ขายได้แพงกว่าข้าว
ในเมื่อประเทศเรามีการบริโภคเหล้าเป็นอันดับต้นๆของโลก
เราก็ควรจะส่งออกเหล้าเป็นอันดับต้นๆของโลกด้วย
ไม่ใช่ปล่อยให้เหล้านอกมาขย่มตลาดเมืองไทยอย่างที่เป็นอยู่

ให้มหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรการผลิตสุราเป็นเรื่องเป็นราวไปเลยดีไหม

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

ดีคับ เปิดเลย จะแต่งตั้งให้น้ำลัดเป็นอธิการบดี ha ha

Submitted by น้ำลัด on

ผมเป็นไม่ได้หรอก...ผมเป็นคนดีนะ
ส่วนอธิการนะ...บ่ดี

เอางี้ดีกว่า...ผมจะเสนอให้อ้ายแสงดาวเป็นนักชิมเหล้า
เพื่อพิสูจน์รสชาติการปรุงเหล้าว่าได้มาตรฐานไหม

สมัยผมเรียน ก็เห็นเพื่อนๆเขาปลูกข้าวโพดกันเอง
แล้วก็นำมาผลิตเหล้าดื่มกันเอง...เด็ดสะระตี่...เอาไว้รับน้องด้วย
เวลารับน้องก็มีกันทั้งโซตัส โซดา โซเมา โซซัดโซเซ...โอ้...โซกู๊ด

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

เป็นข้อเสนอของ " God Father... Nam Lad " ที่อ้ายคงปฏิเสธ บ่ ได้ ha ha

Submitted by โสมคาน on

เริ่มจั่วหัว สุขสันติ์ ในวันแม่
บอกรักแท้ แน่จริง เหนือสิ่งไหน
สันดานดิบ โผล่มา จาระนัย
เหล้าขวดใหญ่ ยิ่งกว่าเดิม เติมมาพลัน

มีวันแม่ วันพ่อ มีวันเด็ก
เห็นจัดกัน ใหญ่เล็ก จนลือลั่น
อยากมีอีก เพิ่มมา แล้วเมากัน
"วันเมีย"ฉัน สุขปนเศร้า เคล้าน้ำตา

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

มี " วันเมีย " ก็ต้อง มี "วันผัว"

ได้เนียนัว ครบถ้วน แสนสดใส

ยกจอก ขึ้นจิบ สบายใจ

ยิ่งขวดใหญ๋ แดกได้ไปอีกนาน

ทั้ง " วันผัว" ... "วันเมีย" นี้ดีแท้

ใช่ มีแต่ "เมียเรา" ... "ผัวเรา"... เพียง ท่าวน้าน

มี " ผัวเขา" ... "เมียเขา" ทั่วจักรวาล

สุขสราญย์ ฉลองวัน " เมีย - ผัว" สำราญอุรา

คนไร้เมีย ไร้ผัว ก็ไม่เป็นไร้

ร่วมเฉลิมฉลองกันได้ให้สุขา

เอ๊า " วันเมีย - ผัว " ม่วนเจียวนา

เร็ว รวมพลังแกร่งกล้า เจิดจ้า ให้มีวัน "ผัว - เมีย "

... ก่อม๊อบได้ ชาวประชา ช่วยเชียร์ สำเร็จ ได้ด้วย พลังมหาประชาชนผู้รัก "ผัว - เมีย " .... เอ๊า โห่ ฮี้ โห่ ฮี้ โห่ ... ฮิ้วววววววววว

ในห้วงคำนึงขบถโรม๊านซ์ ::: เสียงประชาชน

 

{ (  กลอนลูกทุ่งกรุงไท    )  }
@ “ประชาธิปไตย “  ก็คือ  “ ประชาธิปไตย “
“ ประชาชน “ เรา  ต้องเป็นใหญ่ ในชีวิต
“เผด็จการ” ที่เป็น “ธรรม” หรือ  หรือ พึงอย่าคิด
ขำ… ขรรรม … ล้วนดัดจริต อำมหิต มิผ่องอำไพ