บัวสีเทา: ฝันของผม

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมจะได้รู้จักชีวิตในอีกมุมหนึ่งของคนที่ถูกเรียกว่า “แก๊ง” ได้มากกว่าที่คิดไว้

แม้ว่าในช่วงแรกๆ ความสัมพันธ์ของผมกับเขาจะเป็นแบบ ถามเพื่อเอาข้อมูลไปทำโครงการ แต่สิ่งที่ผมได้มากกว่าการเก็บข้อมูล นั้นคือความผูกพันธ์ มิตรไมตรี และการช่วยเหลือกันและกันของเพื่อนๆ พี่ๆ

ผมได้เรียนรู้ว่า ความจริงใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเรา เมื่อก่อนมีเขาและมีผม แต่ตอนนี้คำว่า “เรา” มันทำให้ไม่มีเขา ไม่มีผม หลายสิ่งที่ผมได้ทำ หรือเพื่อนๆ ได้ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่วัยอย่างพวกเราต้องเผชิญ อาจต่างกันมากน้อยคละเคล้ากันไป

ตั้งแต่จบมัธยมปลายมาหลายปี ผมก็เริ่มมองเห็นสิ่งที่จำเป็นต่อตนเองแล้วว่า สุดท้ายแล้วคนเราพบกันเราก็ต้องพรากจากกัน เราต้องมีวิถีทางของเราแต่ละคนที่แตกต่างกันไป พี่บัวบอกกับผมว่า “มึงอย่าทิ้งการเรียนเหมือนพี่” คำพูดของพี่บัว มันฝังใจของผมมากกว่าคำพูดของผู้ใหญ่หลายๆ คนที่หวังในตัวผมเสียอีก

ผู้ใหญ่หลายคนมักอยากให้ผมเรียนให้จบ เพื่อเป็นหน้าเป็นตากับวงค์ตระกูล แต่พี่บัวและเพื่อนๆ อยากให้เรียนจบเพราะไม่อยากให้ผมเป็นเหมือนพวกเขา ไม่อยากให้ถูกสังคมดูถูก เหยียดยาม ไม่อยากให้ใครมองว่าไม่มีการศึกษา ไม่อยากให้มองว่าเป็นเด็กเลว

“การเรียนมันทำให้เป็นคนดีได้เหรอพี่” ผมเถียงพี่บัวด้วยคำพูดนี้หลายครั้งมาก

แต่พี่บัวก็บอกว่าแล้วแต่ผม จะเลือกยังไงก็ตามใจ แต่ตามใจตัวเองมากไป ก็ต้องตามใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่ญาติพี่น้องเขาต้องการด้วย เพราะนั่นคือการตอบแทนเขาจากเรา

“ถ้าแกไม่ได้ตอบแทนพวกท่านด้วยวิธีอื่นๆ การเรียนให้จบก็เป็นการตอบแทนที่แกน่าจะเลือกดูนะ” พี่บัวย้ำนักย้ำหนา

แม้ว่าผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความฝัน เพราะเชื่อว่าความฝันมันเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม เป็นการตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ แต่พี่บัวก็บอกตลอดว่าความฝันมันหล่อเลี้ยงวิญญาณของเรา

ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า ทางที่จะเลือกคือการร่ำลาจากพี่ๆ แล้วหาที่เรียนให้เป็นกิจจะลักษณะ และก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีมากที่มีประกาศสมัครทุนเรียนฟรี ไปต่างประเทศ ผมจึงรีบคว้าโอกาสนั้นไว้

ทั้งนี้ คนที่จะสมัครรับทุนต้องรายงานตัวและยื่นเอกสารต่างๆ ที่กรุงเทพฯหลายเดือน ผมจึงตัดสินใจเก็บเงินก้อนที่พอมีเหลืออยู่ไม่กี่พันบาทเป็นทุนดำเนินเรื่องเรียนต่อ

“พ่อแม่คงจะดีใจนะ ที่แกตัดสินใจแบบนี้” พี่บัวให้กำลังใจแล้วหยิบธนบัตรใบละพันบาทให้ผมสามใบ แล้วบอกให้เก็บเอาไว้ใช้

ผมปฏิเสธในความหวังดีของพี่บัวไม่ได้ จึงรับเงินด้วยความระลึกถึงน้ำใจของพี่ที่มีให้

เลี้ยงส่ง

คืนวันศุกร์สุดสัปดาห์นี้ พี่บัว พี่เหน่ง และเพื่อนๆ อีกหลายคนพากันมาฉลองที่ร้านประจำของพวกเรา

คืนนี้ผมดื่มเหล้าไปหลายแก้ว, พี่ๆ ทุกคนเมากันถ้วนหน้า - เสียงเพลงบรรเลงในโสตสัมผัส การจากลาของผมและพี่ๆ กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า

“จากวันนี้ จะมีเรา เราและนาย จดจำไว้ ตลอดไปไม่ทิ้งกัน หากมีเราจะมีนายร่วมทางไม่มีไหวหวั่น คือเพื่อนกัน เพื่อนตายตลอดไป” เพลงเราและนาย ถูกร้องเสียงดังสนั่นไปทั่วร้าน

น้ำตาผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

โปรดตามติดอ่านตอนจบในตอนต่อไป....

ความเห็น

Submitted by สมหวัง on

เข้ามาอ่านทีไร นึกถึงภาพวัยรุ่นในอนาคตทุกที
ว่าต่อไปเขาจะเดินไปยังไงกันหนอ...

Submitted by เต้า on

อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วววววว
ช่วยกันติดตามตอนสุดท้ายด้วยนะคร้าบบบบ ^_^

เพศวิถีมีชีวิต : การเปลี่ยนแปลงจากภายใน อะไรที่ท้าทายเรา?

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

เพศวิถีมีชีวิต : เพศวิถีของวัยรุ่นในวันที่โลกหมุนเปลี่ยน

โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา

เพศวิถีมีชีวิต: เคารพในความหลากหลาย รักเลือกได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

เพศวิถีมีชีวิต: ชีวิตทางเพศ เริ่มคุยจากตัวเอง

สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ

เพศวิถีมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงจากภายใน

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน

ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์