มาริยา มหาประลัย
“เฮ้ย! งั้นเรามาแต่งงานกันดีไหม(วะ)” ไม่มีแหวนเพชร ไม่มีเพลงประกอบสุดโรแมนติคคลอตาม ผู้ชายตรงหน้าฉันไม่ได้นั่งคุกเข่าอย่างในหนัง แต่พูดพลางแคะขี้มูกไปด้วยซ้ำ
กะพริบตาอีกทีฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นจูเลีย โรเบิร์ตสในหนังเรื่อง Runaway Bride ที่มีริชาร์ด เกียร์ กำลังคุกเข่าขอแต่งงานนี่หว่า แต่ฉันกำลังอยู่กับในร้านส้มตำสุดฮิปแต่โคตรแพงเพราะต้องเสียค่าดื่ม-แดกไลฟ์สไตล์คนเมืองแกล้มกับข้าวเหนียวไปด้วย
เรากำลังมันปากอยู่กับไก่ย่างและหัวข้อการสนทนาว่าด้วยความสัมพันธ์อันเผ็ดร้อนกว่าส้มตำปูรสแซ่บสะเด็ดสะเด่า หนุ่มสาวอย่างพวกเรายังโสด (ในความหมายว่ายังไม่มีแฟน) และเต็มไปด้วยพลังชีวิต หาได้ตั้งคำถามกับชีวิตไปวันๆ แค่ว่า “เมื่อไรฉันจะมีแฟนเสียที(วะ)”
คำถามของเราในค่ำคืนนั้นก็คือ พออายุยังน้อยแบบนี้จะถือครองโฉนดความโสดก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่พออายุกระเถิบเข้าสู่เลขสามเลขสี่เมื่อไร คงต้องถูกพ่อแม่และ “ผู้หวังดีทั้งหลาย” ตั้งกระทู้ถามสดกลางสภาว่าเมื่อไรจะเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที ถึงตอนนั้นเราจะเอายังไงกันดี
ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะถูกหาว่าไม่มีใครเอาไปทำแม่ทำเมีย อันเป็นการบรรลุขั้นสูงสุดในการเกิดเป็นผู้หญิงที่ดีในสังคมที่มีรากฐานของผู้ชายเป็นใหญ่ ถ้าเป็นผู้ชายก็จะถูกตั้งคำถามกับความเป็นชายว่าเป็นเก้งกวาง (เกย์) หรือเปล่า ฟังแล้วอยากเท้าเอวถามแทนผู้ชายเหล่านั้นว่า “เป็นเกย์แล้วไง” แล้วสะบัดบ๊อบใส่หน้าคนนั้นซะ อ๊ายส์!
คิดแล้วก็ขำ สังคมไทยสอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัวไว้เป็นมั่น แต่พรหมจรรย์ก็ต้องมีอายุการใช้งานของมัน ขืนเก็บไว้นานๆ ไม่มีใครพรากไปเสียทีก็โดนหาว่าไม่มีใครเอาอีก แล้วไอ้เรื่องการเป็นโสดกับเรื่องไม่มีใครเอานี่มันก็เป็นหนังคนละเรื่องกันชัดๆ
แต่แหม...ชีวิตก็ไม่ไร้ทางออกเสียทีเดียวหรอก ในเมื่อผู้ชายและผู้หญิงก็ถูกคาดหวังในเรื่องการแต่งงานกันทั้งคู่ ฉันและเพื่อนๆ ทั้งชายหญิงและอื่นๆ อีกมากมาย เลยตกลงกันว่า งั้นเรามาแต่งงานกันเองเถอะ!
ใช่! เราจะแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์!
ผลประโยชน์อะไรบ้างล่ะที่จะได้หลังจากการแต่งงาน โอ๊ย! เยอะแยะ! ตัดปัญหาการถูกตั้งคำถามเรื่องหน้าตาทางสังคม ฉันไม่ถูกมองเป็นสาวทึนทึกไร้คู่ พ่อแม่หมดห่วงไปได้อีกเปราะหนึ่ง ไหนจะมีคนดูแลเรายามป่วยไข้ มีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันแถมเป็นเพื่อนที่ฉันรักเสียด้วย ที่เก๋กว่านั้นคือ เราลดหย่อนภาษีได้ แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายลง ลดการใช้พลังงานลง นี่ฉันช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ด้วยนะเนี่ย! อ๊ายส์! เริ่ด! ท่าทางคู่ของเราจะอยู่ยั้งยืนยงคงกระพันตราบเท่าที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาฟ้องหย่าเพราะคู่ของตัวไม่ยอมมีเซ็กส์ด้วย!
อ้อ! เรื่องเซ็กส์น่ะเหรอ อันนี้แล้วแต่คน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนิยามความสัมพันธ์นี้ไว้อย่างไร บางคนอาจมีเซ็กส์กับเพื่อนได้ เพราะถือว่าเป็นคนที่เขาไว้ใจซึ่งกันและกันมากที่สุดก็ว่ากันไป แต่บางคนขืนจะให้ตกร่องปล่องชิ้นกับเพื่อนตัวเองคงไม่ไหว จะขอตัวช่วยหรือเปลี่ยนคำถามก็ตามสะดวก หรือถ้าเพื่อนชายที่ฉันจะเกี่ยวก้อยกันไปแต่งงานด้วยอยากจะเดทกับใครก็ตามใจเธอเถิด
เพราะตัวฉันเองก็จะเดทของฉัน เอิ่ม...ถ้ามีใครให้เดทน่ะนะคะคุณ! ถ้าผู้หญิงอีกคนเกิดงงๆกับความสัมพันธ์ของเราสองคน ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาเองว่า “อู้ย! คุณขา เดทกับสามีดิฉันไปเถอะค่ะ เราแต่งงานกันขำๆ เท่านั้นแหละ เอ่อ...ถ้าคุณมีเพื่อนชายก็แนะนำฉันได้นะคะ เผื่อฉันจะได้ไปลดภาษีกับคนอื่นบ้าง อ๊ายส์!!!”
ความรักน่ะเหรอ? อู้ย! เราก็รักกันไงคะ แต่รักกันแบบเพื่อน ใครบอกกันว่าการแต่งงานต้องรักกันแบบ “คู่รัก” เท่านั้น การแต่งงานแบบโรแมนติค Happily Ever After แบบที่เราถวิลหาน่ะมันเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่สิบปีเองนะคุณ เหตุผลที่คนในยุคเกษตรกรรมแต่งงานกันน่ะเหรอ ก็เพื่อต้องการแรงงานเพิ่มเอาไว้ทำไร่ทำนาน่ะสิคะ อ๊ายส์! ฟังแล้วโคตรโรแมนติคเลย! ย้อนไปไกลกว่านั้น สมัยโบราณ เจ้าเมืองก็ยกลูกสาวตัวเองไปดองกับอีกเมืองหนึ่งเพื่อประโยชน์ทางความมั่นคงของรัฐตัวเอง รักเริกอะไรกันที่ไหนล่ะคะ ต่างอะไรกับที่ฉันบอกว่าอยากแต่งงานเพื่อลดภาษี!
เช่นเดียวกับที่คู่เกย์หลายคู่ที่บอกฉันว่า ทุกวันนี้เขาก็อยู่กินกันอย่างสามีภรรยาอยู่แล้ว แต่ เหตุผลเดียวที่เขาจะแต่งงานกันถ้ามีกฎหมายว่าเกย์สามารถแต่งงานกันได้ในประเทศไทย (ซึ่งอาจจะต้องเกิดเป็นเกย์อีกชาติ ประเทศไทยถึงจะเห็นว่าเกย์เป็น “ประชากร”) ก็คือผลประโยชน์ที่จะคุ้มครองการครองคู่ของเขาเหมือนอย่างที่สามีภรรยา Heterotype ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่ญี่ปุ่น ผู้หญิงและเกย์บางคนก็ยินดีแต่งงานกัน เพราะสังคมญี่ปุ่นคาดหวังต่อชายหญิงในเรื่องการแต่งงานสูงมาก ในเมื่อผู้ชายที่เป็นเกย์ในญี่ปุ่นไม่ได้รับการยอมรับ ส่วนผู้หญิงโสดในญี่ปุ่นก็เป็นที่ครหา การแต่งงานกันของคนทั้งคู่จึงเป็นเรื่องที่สมประโยชน์กันทุกฝ่าย ที่จริงไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่นหรอก คุณจะปฏิเสธเหรอว่าการแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์มันไม่มีเลยในเมืองไทยในปัจจุบัน
ตั้งแต่เด็ก เราถูกสังคมโปรแกรมใส่กบาลว่าสมการ พ่อ + แม่ + ลูก = ครอบครัว ย่อยลงไปกว่านั้น พ่อ = ผู้ชาย แม่ = ผู้หญิง พ่อกับแม่แต่งงานกันด้วยความรัก ฟูมฟักลูกด้วยความรัก (ละไว้ว่าด้วยความคาดหวังอีกข้อหนึ่งก็ได้) จินตนาการเกี่ยวกับครอบครัวของเราจึงถูกตีกรอบไว้แคบมากแถมยังมีอคติทางเพศเคลือบไว้ในความรักแบบครอบครัว เช่น พ่อที่เป็นเกย์จะเป็นพ่อที่ดีได้ไหม (เช่น ที่คนชอบพูดว่า “สงสารลูกเขานะ” เมื่อรู้ว่าดาราชายบางคนอาจเป็นเกย์) แล้วเป็นไปได้ไหมถ้าแม่เป็นเลสเบี้ยน ถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่ก็มีปัญญาและมีหัวใจที่เลี้ยงเรามาได้ เราจะยอมรับได้ไหม และเราจะเรียกความสัมพันธ์ของเพื่อนสองคนที่อยู่ด้วยกัน มีเซ็กส์กัน แต่ไม่ได้รักกับแบบ “คู่รัก” ว่าครอบครัวได้ไหม
แล้วเราเปิดใจไว้กว้างสำหรับ “ครอบครัว” แบบอื่นๆ ที่เป็นอยู่และกำลังจะเป็นไปไว้มากน้อยเพียงใด
เราได้เห็นว่าคนรุ่นใหม่บางกลุ่มกำลังตั้งคำถามและพยายามสร้างนิยามใหม่ของการแต่งงานและการมีครอบครัวที่มากไปกว่าสมการ การแต่งงาน = ผู้ชาย 1 คน + ผู้หญิง 1 คน + ความรักแบบคู่รัก อย่างที่สังคมเคยยัดใส่สมองมา ไปเป็นสมการการใช้ชีวิตรูปแบบอื่นที่อาจจะเข้ากับชีวิตของเขาได้ดีกว่า สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ วิธีตอบโต้กับปฏิกิริยาของสังคมของพวกเขา ในเมื่อสังคมอยากคาดหวังและควบคุมกรอบการแต่งงานดีนัก ก็โอเค! อยากให้แต่งงานเหรอ ได้! ไม่ปฏิเสธ! ถ้าผลประโยชน์มัน “ถึง” และ “พร้อม” ก็พยักหน้ายอมรับมัน แต่ไม่ได้แปลว่าเขา “ก้มหัว” ให้กับมันเสียหน่อย คุณเห็นไหมว่า “ขบถ” กำลังแอบหัวเราะเยาะหึๆ ใส่สังคมอยู่น่ะ
เพราะหน้าฉากมันคือการยิ้มรับการแต่งงานตามจารีตปฏิบัติ แต่หลังฉากคือการตบหน้าและถ่มถุยใส่การแต่งงานดีๆนี่เอง
มันก็เหมาะกันดีกับสังคมมือถือสากปากถือศีลแบบนี้มิใช่หรือ
ความเห็น
คุณมาริย
คุณมาริยา (หรือมาริสา) เพิ่งมาเขียนหรือคะ
เปรี้ยวใจดีกิงๆ
จะรออ่านอีกค่ะ
เราอยู่ก
เราอยู่กับความจริงที่แท้จริง และความจริงที่เสกสรรค์ปั้นแต่งห่อหุ้มความจริงที่แท้จริง บางสิ่งบางอย่างต้องรื้อออกมาให้เห็น อะไรคือจริงแท้ อะไรคือจริงไม่แท้ เพื่อที่เราจะเผชิญกับชีวิตได้อย่างเชื่อมั่น บางครั้งความจริงลวงก็ให้ผลดีแก่ฃีวิตมากมากกว่าความจริงแท้
เรื่องแต
เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ต้องพ้นไปจากการคลุมถุงชนแบบโบราณ ๆ คร่ำครึ
แล้วต้องดูกฏหมายด้วย ว่ามันทำให้ ช. หรือ ญ. เสียเปรียบป่าว เมื่อก่อนฉันก็บ้า ๆ การขบถแบบปัจเจก ๆ แต่มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้กับผู้หญิงที่อยากแต่งงาน (หรือแต่งไปแล้ว) แต่ไม่อยากเสียเปรียบน่ะ
ซี๊ดส์....
ซี๊ดส์....
โดนเลย...
แต่งงานก
แต่งงานกับผมเถอะครับ Please!!
ขออนุญาต
ขออนุญาตแทรกแซงนะคะ แหม...เขียนมาตั้งนานเพิ่งจะมีโอกาสมากราบขอบพระคุณทุกท่าน ณ ที่นี้ ได้แต่ด้อมๆมองๆว่าเขาจะด่าเราไหมหนอ ขอบคุณมากนะคะทุกท่าน
ถึงคุณ Vagabond...ขอแต่งงานเลยเหรอคะ อ๊ายส์!! ดิฉํนไม่ขออะไรมาก ขอแค่ข้าวคลุกตับบดทุกมื้อ พาดิฉันไปงับจานร่อนบ้าง อ๊ายส์! ไม่ใช่!! ว่าแต่นี่เราจะแต่งงานกันเพื่อลดภาษีอย่างที่ดิฉันเขียนหรือยังไงดีคะ ตกลงกันให้รู้ความ ดิฉันจะได้ไม่ไปตกปากรับคำชายอื่น
ถึงคุณปุ้ย...ขอบคุณค่ะที่โดน หวังว่าคราวต่อๆไปจะโดนอีกนะคะ
ถึงคุณท่านยาอิชิโร่ คุณ Why...ขอบคุณค่ะที่แลกเปลี่ยนกัน รักดิฉันน้อยๆแต่รักนานๆนะคะ แต่ถ้าจะขอดิฉันแต่งงาน ไปตกลงกับคุณ Vagabond เองนะคะ อ๊ายส์!
ถึงคุณมน....ประเดิมเป็นคนแรก ดิฉันเห็นแล้วน้ำตาไหลกระซิกๆตามประสาหญิงมากจริต หวังว่าจะไม่รอดิฉันจนรากงอกกันไปก่อนนะคะ ดิฉันจะพยายามส่งต้นฉบับบ่อยๆ
หลงรักเก
หลงรักเกย์ หรือ เก้ง ก็ไม่รู้ ยอมนะ ถ้าเราจะช่วยให้เค้าไม่ต้องถูกพ่อแม่ว่ากล่าวได้ ยินดีแต่งงานแต่ในนาม อยู่กันแบบเพื่อน เพราะเราก็เข็ดกะผู้ชายที่รักตัวเองมากกว่าเราเสียแล้ว ถ้าเค้ามีแฟนเป็นชายหรือมีความสุขกับใครอยู่ เราก็ไม่ได้รังเกียจ ขอเพียงเค้าให้เกียรติเรา ไม่ปิดบังว่าคบใครอยู่ ไม่ทำให้สังคมรับรู้ นอกจากเค้าอยากเปิดเผยตัวตน เราก็จะดีใจด้วย ถ้าเค้าทำได้คงไม่ต้องแต่งงานกับเรา เห็นด้วยกับเรื่องการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็ต้องดูคนด้วยเหมือนกัน มันไม่ได้ดีเหมือนกันหมด นี่ถ้าไม่ได้รู้จักกันมานานพอสมควร ไม่ได้ปลื้มนิสัยเค้าเป็นทุนเดิม เราก็ไม่ยอมหรอก มีแฟนเป็นเกย์ สู้ครองความโสดไปจนตายดีกว่า แต่นี่เรารัก ในสิ่งที่เค้าเป็น ยอมรับได้ ถ้าเค้าจะเป็นเก้ง เป็นเกย์ หรืออะไรก็ตาม ขอเพียงให้รักษาความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป แค่นั้นก็เกินพอ หากเราหรือเค้าต้องมีอันเป็นไป ก็จะไม่ตายอย่างโดดเดี่ยว เค้าจะมีฉัน และเพื่อน ๆ แฟน ๆ ของเค้า ฉันขอเพียงแค่มีเค้าแค่นั้นก็พอ ครอบครัวที่อบอุ่นพ่อแม่ลูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอลูกคนอื่น มาเลี้ยงก็ได้ เพราะอายุมากแล้ว มีเองก็เสี่ยง ทุกอย่างมีคำตอบ มีทางแก้ไขได้