กล้าที่จะเจ็บ

4 October, 2007 - 01:04 -- vichak

picture

ผมกลับเมืองไทยมาได้หนึ่งเดือนแล้วครับ หนนี้ถือเป็นการกลับอย่างถาวร คือ ตั้งใจจะกลับมาทำประโยชน์ที่เมืองไทย หยั่งรากและเติบโตบนผืนดินผืนนี้จริงๆ ตั้งแต่กลับมาวันแรกจนถึงวันนี้ ก็ได้ผ่านอุปสรรคทั้งภายนอกและภายในไปนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางและหมิ่นเหม่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้

ในช่วงเวลาที่การเดินทางด้านในโอนเอนแทบจะเอาตัวไม่รอดในหลายต่อหลายครั้ง  การเดินทางด้านนอกก็ยังคงดำเนินกันต่อไปตามครรลอง ผมได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยพบปะกับผู้คนในแวดวงการศึกษามากมาย ทั้งกับคนที่เคยได้อ่านงานเขียนของผม หรือกับกัลยาณมิตรที่รู้จักมักจี่กันเป็นการส่วนตัว ผมก็ยังเป็นผม เป็นคนธรรมดาๆที่มีช่วงขึ้นลงของชีวิต มีเลือดมีเนื้อ หยิกก็เจ็บ เหน็บก็เคือง ที่ผมไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องแปลกตรงไหน แต่มีเสียงนึงที่ผมชักจะได้ยินบ่อยเกินเหตุจนอดไม่ได้ที่จะต้องเอามาบ่นดังๆในบทความชิ้นนี้ ก็คือ “ภาวนามาตั้งเยอะ แล้วทำไมยังทุกข์”

สำหรับผู้อ่านที่สนใจเรื่องการภาวนาเพื่ออยากจะมีชีวิตอย่างก้อนหินนิ่งๆแข็งๆ ไม่ขยับเขยื้อนหรือรู้ร้อนรู้หนาวกับชีวิตและสิ่งรอบตัว ผมก็ขอเชื้อเชิญให้เมินเฉยกับมารศาสนาอย่างผมไปเสีย เพราะไม่รู้จะเสียเวลาอ่านงานบ่นชิ้นนี้ไปทำไมให้จบ เพราะทิฏฐิที่อาจจะดูเป็นมัจฉา เอ๊ย มิจฉา ของผมในเรื่องนี้ก็คือ ผมฝึกฝนตัวเองมาก็เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างตื่นรู้  ไม่ใช่ภาวนาเพื่อให้ครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือ ภาวนาเป็นยาชา...

คนสมัยนี้หนีมาเข้าวัด หันหน้าเข้าหาศาสนา หลงใหลการภาวนา เพราะความกลัวทุกข์ หรือ ความกลัวเจ็บ กันมากเกินไปหรือเปล่า...ก่อนที่จะวิ่งวุ่นหาทางหลุด ทางพ้น เราได้อยู่กับความทุกข์ มองทุกข์ สัมผัสทุกข์ จนรู้จักมันกันดีพอแล้วหรือยัง...เราได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตของเรามากพอแล้วล่ะหรือ

ในมุมมองแบบโลกๆ ของผม ชีวิตมันไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงอะไรขนาดนั้น ไหนๆก็เกิดมาแล้ว เราก็น่าจะลองดูกันสักตั้ง จะเอาแต่แหยๆกัน ชาตินี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกันพอดี แต่ก็นั่นล่ะครับ ที่ผมพูดก็ไม่ได้หมายความว่า การดำเนินชีวิตเป็นเรื่องง่าย ยิ่งเราเลือกที่จะฝึกใจให้เปล่าเปลือยด้วยแล้ว ชีวิตที่ไม่ง่ายก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่เปราะบางมากขึ้นไปอีก แต่ผมว่าก็ไอ้เพราะความเปราะบางนี่แหละ ชีวิตถึงจะเป็นชีวิต ในความเปราะบางเราจะสัมผัสได้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองและผู้อื่น แบบจั๊กจี้หัวใจ ยอมให้ความทุกข์เข้ามาสะกิดได้อย่างไม่มีอะไรขวางกั้น

ฟังดูดีนะครับ แต่มีสิ่งนึงที่คงต้องบอกให้ทราบกันล่วงหน้า นั่นก็คือ หากเราเลือกที่จะฝึกฝนอยู่กับชีวิตที่เปราะบาง และหัวใจที่เปล่าเปลือยนั้น เราจะต้อง “กล้าที่จะเจ็บ” ให้ได้เสียก่อน  นอกจากจะไม่กลัวเจ็บแล้ว เรากลับอยากสัมผัสว่าความเจ็บที่แท้มันเป็นเช่นไร ...การภาวนาจึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นยาระงับปวด แต่เป็นหนทางการฝึกฝนเพื่อที่เราจะสามารถตื่นอยู่กับความเจ็บ มองและเรียนรู้กับมันได้อย่างไม่กลัวเจ็บ

ลองดูใหม่นะครับ ....เราลองมาสร้างความสัมพันธ์ เรียนรู้กับความทุกข์ แบบไม่กลัวเจ็บกัน

ข้อแรก ความทุกข์ จะถูกสัมผัสได้ก็ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเปล่าเปลือย ด้วยหัวใจที่เปราะบาง เปิดรับให้โลกเข้ามาสะกิดใจเราอย่างไม่เขินอาย

ข้อสอง ต้นตอแห่งทุกข์ ขมวดเป็นปมขึ้นจากเกราะคุ้มกันทางความคิด และแรงต้าน อันเกิดมาจากความขยาดกลัวในการไม่กล้าเข้าไปเผชิญความเจ็บนั้นอย่างตรงไปตรงมา

ข้อสาม ความดับทุกข์ เข้าถึงได้ด้วยการดำเนินชีวิตตามอย่างนักรบผู้กล้า ผู้ที่เชื่อในความเป็นจริงแห่งจักรวาล ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้คนอย่างหาญกล้า เป็นชีวิตธรรมดาๆที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดแห่งชีวิต ตรงไปตรงมาอย่างไม่ตัดสิน

ข้อสี่ หนทางแห่งการดับทุกข์ ก็คือ กล้าที่จะเจ็บ ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการสร้างความสัมพันธ์และทำความเข้าใจความทุกข์ในทุกแง่มุม เรียนรู้ที่จะสัมผัสโลกที่กว้างใหญ่จากหัวใจที่แตกสลาย ร่วมกับผู้คนรอบข้าง

การภาวนาบนพื้นฐานแห่งความจริงสี่ประการข้างต้นนี้เป็นสิ่งที่มีพลังมากครับ ดูเหมือนการนั่งนิ่งๆไม่ทำอะไร จะไม่ได้มีเป้าหมายของการเป็นก้อนหินไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งรอบตัวอีกต่อไป หัวใจที่บอบบางของเราดูจะเต้นเป็นจังหวะ เลือดสูบฉีดหล่อเลี้ยงพลังแห่งการตื่นรู้ในกาย ลมหายใจเข้าออกซึมซับเข้าไปปลุกสัญชาตญาณทุกอณูรูขุมขน พื้นที่ว่างภายในขยายกว้าง คลี่คลายปมกรรมภายใน สู่ศักยภาพและความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมแห่งการรู้จักตนเอง

บ่นมาได้ที่ ท้ายที่สุดนี้ผมก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ และป้าๆ หลายๆท่าน กับความปรารถนาดีที่มีต่อผม อยากให้ผมคลายจากความเจ็บปวดรวดร้าว ใจหายอักเสบ ก้าวข้ามอุปสรรคนานาประการ สู่ชีวิตนิพพานอันสงบ เยือกเย็น ไร้คลื่นลม ....แต่เอวังด้วยประการฉะนี้ ที่อาจเป็นเพราะด้วยความอหังการ ความดื้อด้าน อวิชชา หรือมิจฉาทิฏฐิที่แน่นหนาในตัวผม ที่ยังไงเสียก็จะขอยืนหยัดอยู่บนเส้นทางแห่งการฝึกตน บนความเชื่อมั่นในหัวใจที่เปลือยเปล่า ที่จะค่อยๆเลื่อน เคลื่อนไหลไปบนคมมีด สัมผัสความเจ็บปวดแห่งชีวิตร่วมกับเพื่อนมนุษย์ไปเรื่อยๆ อย่างไม่ตัดสิน

อย่าเพิ่งปล่อยวางเร็วนัก ขอเจ็บอีกสักพักละกันนะครับ...

ความเห็น

Submitted by rin on

ยินดีต้อนรับกลับเมืองไทย
คงได้สัมผัสโลกรอบกายได้ลึกขึ้น
ชีวิตต่างแดน อาจทำให้เราวางใจอยู่ห่างๆ ได้ง่าย
ส่วนชีวิตบ้านเกิดเมืองนอน
คงได้ฝึกกันหนักว่าจะวางใจให้ถูกที่ถูกทางอย่้างไร ?

ยินดี ยินดีจริงๆ

Submitted by zhzq on

บล็อกกาซีนอันใหม่เนี่ย มันโพสยากจังฮู้ว~

อ่อ :) เป็นเหมือนกันเลยค่ะ
ชอบบทความนี้มาก
ไม่ใช่ก้อนหิน และกล้าที่จะเจ็บปวด (ดูเท่ซะม่ะเมี้ย)

Submitted by INDRA on

welcome home, the shambhala warrior.

may the force be with you.

:-)

Submitted by หมี่เกี๊ยว on

โฮ๊ะ ๆ ๆ หัวเราะแบบถูกใจกับงานเขียน ชอบจริงๆค่ะ กรี๊ดดสามตลบ
เห็นด้วยกับกล้าที่จะเจ็บ เพราะมันทำให้ตื่นและรู้ตลอด
อยู่เพื่อเรียนรู้และสัมผัสความเจ็บปวดและการเรียนรู้ของเพื่อนมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ
เรียนรู้ศักยภาพของตนเอง เป็นสิ่งที่ดี
แต่....
"ขอเจ็บอีกสักพักละกัน" อย่าให้มันเป็นการเสพย์ติดความเจ็บปวดและการเรียนรู้นั้นๆนะคะ
รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพอ และนิ่ง

อ่านวรรคสุดท้ายของคุณแล้ว หนังสือเรื่อง "The Devil and Miss Prym" ของ Paulo Coelho มันแวร๊บบบขึ้นมาในสมองเลย มันมีอะไรบางอย่างอยู่ในน้ำเสียง ( เอ๊ะ..หรือน้ำคำดี อิอิ) ที่อ่านแล้วทำให้หวนนึกถึงเล่มนั้นขึ้นมา

ทุกข์ร่วมเพราะผูกพัน

17 March, 2010 - 00:00 -- vichak

เมื่ออาทิตย์ก่อนเอแบ็คโพลได้รายงานผลสำรวจ ๑๐ อันดับแรกของแนวทางลดความเครียด (ของคนกรุงเทพ) ในสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมือง  “อันดับแรก คือพยายามไม่ยึดติดกับกลุ่มการเมืองใดๆ อันดับสอง ปล่อยวาง ยอมรับสภาพความเป็นจริง อันดับสาม หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง อันดับที่สี่ ลด-งดพูดคุยเรื่องการเมืองกับคนอื่น และอันดับที่ห้า ลด งดติดตามข่าวสารทางการเมืองทางสื่อต่างๆ ส่วนรองๆ ลงไปคือ ติดตามรายการบันเทิงคลายเครียดให้มากขึ้น พูดคุยปรึกษาปัญหาความเครียดกับคนในครอบครัว คนใกล้ชิด หาที่พึ่งทางศาสนา ฝึกสมาธิ และเลือกติดตามข่าวสารเฉพาะสื่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตนเอง” (ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓)

กระบวนทัศน์กับการภาวนา

25 February, 2009 - 00:00 -- vichak

  

โดยแก่นสาระของการฝึกสมาธิภาวนานั้นไม่มีอะไรมากมาย ขอเพียงผู้ฝึกมีความซื่อตรงและมั่นคงกับประสบการณ์การฝึกของตัวเอง อย่างที่เรียกว่า เรียลลิสติค (realistic) คือ ภาวนาเพื่อการขัดเกลาจิตใจตนเองจริงๆ ไม่ได้มาภาวนาเพื่อได้นั่นได้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากความทะเยอทะยานยังติดเนื้อติดตัวเรามา การภาวนาก็จะเป็นไปในทิศทางของความทะเยอทะยานนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า
"ภาวนา" เป็นคำกลางๆ ที่บ่งบอกถึงการเรียนรู้ใจตน ซึ่งในทางปฏิบัติก็จะแตกต่างกันไปตามอารมณ์ของผู้ฝึก  บ้างก็อาจจะมาด้วยอารมณ์หวังผล อารมณ์บรรลุเป้าหมาย อารมณ์อยากได้ความสงบ อยากมีความสุข  ยากที่จะหาผู้ที่มาภาวนาเพื่อภาวนา เรียนเพื่อเรียน เปิดใจรับฟังประสบการณ์อย่างปราศจากสัมภาระ อคติ ความคิด ความคาดหวังได้อย่างแท้จริง

คิดแบบ ส.ศิวรักษ์

16 February, 2009 - 00:00 -- vichak

เวลาผมไม่สบายใจ ผมมักจะแวะไปเจอเพื่อนสนิท กินข้าว กินเหล้า นั่งคุยกันไปเรื่อย แบบไม่มีจุดหมาย เพียงปล่อยให้ความไว้วางใจที่เพื่อนแท้มีให้แก่กัน ก็พอจะช่วยเยียวยาความคับข้องภายในให้คลี่คลายไปได้ แต่ผมยอมรับว่าในบางครั้ง เวลาที่ผมเจอเรื่องหนักๆ ผมมักจะมองหาเพื่อนที่มีความอาวุโสมากกว่าผม ใครสักคนที่ผมสามารถเคารพเขาได้อย่างสุดจิตสุดใจ เป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมรับฟังเด็กหัวแข็งอย่างผมที่ไม่ค่อยจะรู้จักความหมายของคำว่ากาลเทศะ สัมมาคารวะ หรือทักษะการประจบประแจงใดๆ ก็เรามีเพียงใจเปล่าๆที่อยากที่จะเข้าไปหา รับฟัง แลกเปลี่ยน ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ไม่ดัดจริตซับซ้อน ผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน ผู้สำแดงชีวิตผ่านการดำรงตนที่หนักแน่น อ่อนโยน และเต็มเปี่ยม เป็นพลังแห่งการประคับประคองและโอบอุ้มโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยคำพูดหรือการวางท่าที

รสธรรมในค่ำคืนโลกๆ

2 February, 2009 - 00:00 -- vichak

  

เขาเชื่อว่าโลกแบ่งเป็นสองขั้ว คือ โลกทางธรรมและโลกทางโลก (aka. โลกๆ) เขาเคยคิดว่าเขามั่นใจและเข้าใจ จนวันนี้ที่เขาได้ตระหนักแล้วว่า มันก็ยังเป็นเพียงแค่ "คิด" ว่าเข้าใจ หลายปีที่เขาพยายามขดตัวอยู่ในโลกทางธรรมที่เขาสร้างขึ้นจากอุดมคติของความเป็นคนสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกถึงรสประหลาดของชีวิตที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นของความหมกมุ่น ไอเดือดของความรุ่มร้อน และผลึกอันเย็นเยือกของความด้านชา

วันนี้...เขานั่งครุ่นคิด ทบทวน กับเส้นทางอันแสนประเสริฐที่เขาเลือกเดิน

ไอคุกรุ่นเดือดดันฝากาให้กระเด็นออก เสียงหวีดร้องก้องดังอยู่ในความเงียบงัน

เขารู้สึกหนัก

ภาพของความเป็นคนดีสมบูรณ์แบบที่เขาแบกไว้เต็มสองบ่ามาตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปี

ความเงียบและความนิ่งเข้าปกคลุมอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะเก่งในการสร้างบรรยากาศเช่นนี้เสียจริง ทั้งที่เขารู้ดีว่า มันก็แค่กลไกของการกลบเกลื่อน

แววตาที่สงบนิ่ง ไร้อารมณ์ ไร้ชีวิตชีวา ทอดไปยังขอบฟ้าที่ถูกบดบังโดยตึกสูง

ฝนตกพรำๆ กับท่วงทำนองของการย่ำเดินไปบนขอบถนนสายหนึ่ง เขามาถึงแล้ว...

เด็กสาวผิวขาวสวยยืนรอรับตั้งแต่หน้าประตู ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความลังเลสับสน จังหวะหัวใจที่เต้นไม่เป็นระสาย ขาของเขาสั่นอายปราศจากแรงก้าว  

 "ที่อโคจร" ความคิดแรกเข้ามาเยือนในหัว สมกับความเก่งกาจใน "วิชาธรรมะ" ที่เขาทำเป็นอาชีพ เขาเตรียมจะเอาหลักธรรมมาสร้างภาพอารยธรรมของความสงบนิ่งอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมา การกดทับและความพยายามตัดไฟปรารถนาไม่ได้ช่วยให้เขาได้เข้าใจความเป็นอนิจจังของพลังอันเร่าร้อนที่ลุกโหมในใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ครั้งนี้เขาได้บอกตัวเองแล้วว่า "เขาจะไม่หนี"

ในที่สุดสองเท้าก็พาเขาก้าวผ่านบานประตูกระจกใส แววตาของเขาเป็นประกายในแว้บแรกที่เห็นร่างสะโอดสะองของเด็กสาววัยยี่สิบเศษ ยืนเรียงต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม   

"สำรวม" สัญชาตญาณความคิดทางธรรมอัตโนมัติได้สั่งการให้เขาละสายตาและก้มหน้าดุ่มเดินผ่านผู้คนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีเขาก็มาหยุดอยู่ที่มุมสงบบริเวณบาร์เหล้า หญิงสาวในชุดซีทรูกับเนินปทุมถันที่ดึงดูดส่งยิ้มให้เขา "สั่งเหล้าอะไรดีคะพี่"

"ผมไม่ดื่มสุรา" ธรรมวาจาอัตโนมัติเปล่งออกไป ความคิดเสียดายที่เขาน่าจะสั่งเหล้าสักแก้วมาย้อมใจก็ผุดพรายขึ้น เขาจึงงัดกลวิธีการตัดความคิดออกมา แล้วพาตัวเองกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง เขาก้มหน้า ควานหาที่หลบภัยจากโลกอกุศล ตัวของเขาเกร็ง ขาของเขาแข็ง

"ผู้หญิงไม่ดีพวกนี้..." เขาหยุดตัวเองไว้เพียงต้นประโยค เพราะรู้สึกละอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ 

เพียงเพื่อหาภาพลักษณ์ดูดีเป็นที่ซ่อน เขาจำเป็นต้องหยิบมีดสั้นแห่งการตัดสินออกมาเชือดเฉือนคุณค่าความเป็นคนของคนอื่นอย่างไม่มีชิ้นดี...อีกแล้วสินะ

เขาถอนหายใจ พลางจิบสุราเจือโซดา เริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับความไม่สมบูรณ์แบบของตนเองมากขึ้น

......

กลิ่นน้ำหอมที่เย้ายวน การยักย้ายส่ายไหวที่ดึงดูด เสียงดนตรีที่ปลุกไฟปรารถนาให้โชติช่วง และสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้ในค่ำคืนพิเศษคืนนี้  สิ่งที่กระแทกใจ สะท้านทุกความเคลื่อนไหวทางความคิด มันคือ พื้นที่อันกว้างใหญ่ไร้การตัดสิน พื้นที่ที่รองรับให้ทุกสิ่งสามารถแสดงสีสันที่มันเป็นได้อย่างไม่ขวยเขิน

ประตูกระจกใสเปิดสู่โลกการรับรู้ภายในที่เต็มเปี่ยม รสสุราช่างหอมหวาน ส่งผ่านความนุ่มละมุนแห่งความรัก หญิงสาวกับรอยยิ้มแห่งความเบิกบานร่ายรำบนฟลอร์แห่งความไว้วางใจชีวิต ชีวิตที่รุ่มรวยไปด้วยเรื่องราวและสายสัมพันธ์อันหมิ่นเหม่

อิสรภาพจากคุกคุมขังแห่งการตัดสิน

เขารู้สึกราวกับว่า เส้นทางแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของเขาได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

โลกทางธรรมผ่อนคลายขยายกว้าง

เปิดมณฑลแห่งการรับรู้อย่างไม่มีเงื่อนไข ที่หลอมรวมเรื่องโลกๆเอาไว้ ด้วยใจที่อ่อนโยนเป็นมิตร   

* * * * * * * * *