รับไลฟ์สไตล์สักที่ไหมเคอะ

มาริยา มหาประลัย

20080527

1

“ขอโดลเช่ เดอ ลาเช่ ขนาดกลางแก้วหนึ่งค่ะ เพิ่มกาแฟอีกชอตและะ No whip cream ค่ะ อ้อ! ขอแบบไลท์ด้วยนะคะ Low Calories ด้วย ขอบคุณค่ะ”

เฮือก! โล่งอก! ฉันพูดประโยคยาวยืดนี่จบซะที! จะมีใครรู้ไหมนะว่าฉันต้องฝึกพูดคำว่า “โดลเช่ เดอ ลาเช่” มาตั้งกี่ครั้งกว่าจะมาเสนอหน้าสั่งกาแฟชื่อประหลาดอย่างคล่องปากนี่ได้ แต่คริๆ...คงไม่มีใครรู้หรอก เพราะฉันวางมาดดีไม่มีหลุดราวกับเรียนการแสดงจากครูแอ๋วมาเสียขนาดนี้ ใครๆก็ดูแต่เปลือกกันทั้งนั้นแหละเธอ! เอาล่ะ สะบัดบ๊อบไปนั่งรอกาแฟได้แล้วย่ะยัยมาริยา อ๊ายส์! จ่ายเงินก่อนสิยะเธอ!!
 
ฉันใช้ริมฝีปากที่ทาลิปสติค Christian Dior อย่างบรรจง ค่อยๆ ดูดกาแฟ Starbucks ราคาเฉียดสองร้อยบาททุกหยาดหยดในมืออย่างเนิบช้า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่ต้องกำซาบรสชาติกาแฟแถมยังต้องประคองจริตในเวลาเดียวกัน

“ต๊าย! เริ่ด! นี่มันคือการจุมพิตกันระหว่างสองแบรนด์ดังระดับโลกจากปาริเซียงและซีแอตเทิลเชียวนะเนี่ย!” ฉันรำพึงในใจอย่างหมั่นไส้ตัวเอง ชิ!

หลังจากอุดอู้อยู่ในบ้านมาหลายวัน วันนี้ฉันนึกทำเก๋อยากออกมาลัลล้านอกบ้านบ้าง แต่นอกจากบ้านและที่ทำงานแล้ว จะมีอีกสักกี่ที่กันเชียวในกรุงเทพฯ ที่เราจะไปกันได้ไม่รู้จักเบื่อถ้าไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า และการดื่มกาแฟนอกบ้านก็เป็นกิจกรรมที่ฉันดัดจริตเลือกทำให้สมกับเป็น “คนเมือง” ชิ! Cool โคตรเลยกู!!

แต่เฮ้อ! สาบานได้ว่าลิ้นจระเข้อย่างฉันไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างกาแฟได้ สำหรับฉัน กาแฟอร่อยก็คือกาแฟอร่อย...แค่นั่นแหละ แล้วกาแฟ Starbucks ก็อร่อยมากและแพงมากในเวลาเดียวกัน แต่แหม...ฉันรู้สึกเริ่ดๆ เชิดๆ ชะมัดเวลาได้สั่งกาแฟชื่อยาวๆ เรียกยากๆ อย่าง “โดลเช่ เดอ ลาเช่” ฟังดูเก๋ไก๋และแสดงทักษะการพูดขั้นสูงกว่าคำว่า “มอคค่าปั่น” อยู่เห็นๆ เท่สมกับที่วันนี้ฉันดื่มกาแฟแก้วเดียวแพงกว่ากินข้าวสามมื้อรวมกันเสียอีก!

“ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์...” ฉันท่องคาถากล่อมประสาทไว้ โฆษณาทั้งหลายก็กรอกสมองเราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่า เราจะเหนือว่าคนอื่นได้ก็ด้วย “ไลฟ์สไตล์” เวลาออกเสียงตัว “L” ต้องเอาลิ้นแตะเพดานปากด้วยนะคะ ไม่งั้นจะกลายเป็น “ไล้-สะ-ตาย”...อ๊ายส์! เสร่อค่ะ ไร้สไตล์กันพอดี!

2

ระหว่างที่เดินแรดลัลล้าไปมาอยู่ในห้างหรูนั้น พลันฉันก็สังเกตเห็นว่า ผู้คนรอบตัวของฉันล้วนดูดีมีระดับราวกับหลุดมาจากโฆษณาในนิตยสารชั้นนำ เสียงรองเท้าส้นเข็มคู่แล้วคู่เล่ากระทบพื้นหินอ่อนสีขาวเป็นเงา โอ้ว! นั่น Jimmy Choo! นั่น Gucci! นั่น Manolo Blahnik! และนั่นอิมพอร์ตจากประตูน้ำ! ท่วงท่าของแต่ละนางนายดูมาดมั่นราวกับกำลังเดินบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ที่มิลาน ต่างกันตรงที่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่นางแบบต้องทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลา อันนี้ไม่รู้ทำไม แต่ละคนถือเดินเข้าร้านนี้ออกร้านนั้นหอบถุงชอปปิ้งพะรุงพะรังแต่มาดยังสวยอยู่ตลอดเวลา เครดิตการ์ดใบแล้วใบเล่ารูดปรื๊ดรูดปรื๊ดสลับกันไม่เว้นสักนาที

ถ้าความคิดมีเสียงได้ ฉันอาจได้ยินเสียงลิ้นแตะเพดานปากออกเสียงตัว “L” เป็นระวิง ในคาถากล่อมประสาท “ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์...” อยู่ก็ได้!     

“ชิ! ใครว่าคนไทยจนวะ!” ฉันแอบสบถอยู่ในใจ

ถ้าทุนนิยมนับถือเงินเป็นพระเจ้า และการบริโภคคือวิถีปฏิบัติเพื่อให้ลัทธินี้อยู่ยั้งยืนยงคงกระพัน กรุงเทพฯ ของฉันก็นับเป็นเมืองที่มีเทวสถานในนามว่า “ห้างสรรพสินค้า” อยู่อย่างมากมาย (เอาแค่ว่าลงรถไฟฟ้าที่สยาม คุณก็ไปได้ไม่รู้ตั้งกี่ห้าง) และแน่นอนว่ามีผู้เข้าลัทธิที่ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดอยู่ล้นหลาม

เมื่อเช้าน้ำมันเพิ่งขึ้นพรวดรวดเดียว 80 สตางค์ และมีทีท่าว่าจะพุ่งปรี๊ดไม่มีหยุด บางประเทศกำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนอาหาร ราคาข้าวแพงเป็นประวัติการณ์ มีแนวโน้มว่าหากรัฐบาลพม่าไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุนาร์กริส จะมีชาวพม่าล้มตายเกือบครึ่งล้าน! ไหนจะแผ่นดินไหวที่จีนอีกเล่า มีคนตายและสูญหายตั้งเท่าไร คนที่นั่นจะใช้ชีวิตกันอย่างไร และหากใครได้รับรู้ถึงอันตรายจากภาวะโลกร้อนคงรู้ว่า อีก 10 ปีข้างหน้าเราอาจจะไม่มีอะไรเหลือแม้แต่ชีวิตของเราเอง!

ราวกับอยู่กันคนละโลก โลกที่ฉันเห็นในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าช่างโหดร้าย ดู “เป็นจริง” เหลือเกิน ในขณะที่โลกในห้างหรูแห่งนี้ดูงดงามเฉิดฉายและรุ่มรวยความสุข โลกทั้งสองดูต่างกันมากราวกับว่าหากเปิดประตูห้างออกไปคงมีแต่เสียงร่ำไห้โหยหาลมหายใจของผู้คนที่เดือดร้อน เสียงสบถด่าของผู้คนที่แตกแยก แต่แวบเข้ามาในเขตห้างเมื่อไรจะได้ยินแต่เสียงรองเท้าส้นเข็ม เพลง Chill Out จากอัลบั้ม Pink Martini เสียงหัวเราะฮิฮะคิกคักของผู้คนที่ดูงดงามแต่ดูเหมือนกันไปหมดจนขาดอัตลักษณ์ และแน่นอน...เสียงเอาลิ้นแตะเพดานปาก “ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์...”

อ๊ายส์!!! นี่เราอยู่บนโลกใบเดียวกันแน่ชิมิเคอะ!

3

มีคำกล่าวว่า “เวลาเรารู้สึกแย่ให้มองลงไปที่คนที่แย่กว่าเราแล้วจะสบายใจ” ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่า ต่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายแค่ไหน เราก็ยังมีคำปลอบประโลมให้ตัวเองอยู่เสมอว่า ยังมีคนที่แย่กว่าฉันอีก ว่าแล้วก็เชิดหน้าสะบัดบ๊อบกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิม น้ำมันแพงเรอะ เอาวะ! ดีกว่าคนพม่าโดนพายุถล่ม, ต๊าย! น้ำหนักขึ้น เอาวะ! ดีกว่าเด็กซูดานที่ไม่มีอะไรกิน แต่เห็นทีฉันไปหาอะไรที่ Low-Carb ทานหน่อยดีกว่า ฯลฯ เรารู้ว่าเมื่อเรารู้สึกแย่เราจะ “มองลง” ไปหาใครได้บ้าง แต่แล้วคนที่อยู่ ณ ฐานล่างสุดของพีระมิดเล่าจะมองไปที่ไหนได้อีก!

ปัญหาของคนอื่นดูใหญ่และยากกว่าเราเสมอ และการมองปัญหาว่า นี่ปัญหาของฉัน นั่นปัญหาของเธอ ก็ทำให้เรามองไม่ออกว่าโลกของเราเชื่อมโยงถึงกันอย่างไร เรานึกไม่ออกว่ามีพายุที่พม่าแล้วจะมีผลกระทบต่อเราที่กำลังเดินอยู่ในห้างสบายใจเฉิบอย่างไร และต่อให้เรานึกออกว่าภาวะโลกร้อนอันตรายแค่ไหน แต่เราก็จินตนาการไม่ออกว่าจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแอร์ ฯลฯ

ปฏิกิริยาของผู้คนก็คงเหมือนอย่างประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง Hotel Rwanda ที่ว่า “พวกเขาก็จะดูภาพพวกนี้ในทีวีแล้วพูดว่า ‘พระเจ้า! นั่นมันโหดร้ายเหลือเกิน’ แล้วก้มลงกินอาหารค่ำต่อไป...”

4

โดลเช่ เดอ ลาเช่ ของฉันหมดไปตั้งนานโขแล้ว ฉันนึกอยากกลับบ้านไปกินอะไรที่มันอิ่มท้องมากกว่าเสียที แต่ให้ตายสิ! ฝนดันมาตกเสียนี่ เสียงบ่นพึมพำของคนแปลกหน้าใกล้ๆ ตัวทำให้ฉันรู้ว่าฝนตกหนักมาเป็นชั่วโมงๆ แล้ว

ตราบเท่าที่เราใช้ไลฟ์สไตล์อยู่ใต้ร่มเงาอันแสนสบายของโลกในห้างนี้ เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าโลกข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ฝนจะตก แดดจะออก มีอะไรเกิดขึ้นข้างนอกบ้าง เวลาไม่เคยสำคัญสำหรับโลกในห้างนี้ ฉันไม่เคยเห็นห้างไหนมีนาฬิกาไว้ประจานเวลา ไม่แปลกหรอกที่บางครั้งเราจะเผลอปรนเปรอไลฟ์สไตล์ของเราในห้างจนหมดวันอย่างไม่ทันรู้ตัว แหม...ปล่อยให้คนเดินนานๆเข้าเดี๋ยวก็เสียตังค์เพิ่มเองแหละน่า!  

“อย่าออกไปเลย เดี๋ยวเปียก อยู่ในห้างนี้แหละ สบายกว่ากันเยอะ เดี๋ยวไปหาเค้กกินแก้เซ็งกันดีกว่านะเธอ” ว่าแล้วกลุ่มเพื่อนสาวก็เดินหัวเราะฮิฮะสะบัดบ๊อบจากไป

ใช่... “อย่าออกไปเลย อยู่ในห้างสบายกว่าเยอะ” ชิมิเคอะคุณ!!!

ความเห็น

Submitted by Samantha on

แหม..หล่อน!! อยู่ในห้างก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วสิ ใครจะสู้เพื่อชาติ เพื่อเงิน ก็ช่าง(หัว)มัน
น้ำมันจะขึ้นแพงขนาดไหนจะสนไปทำไม ..ว่าแต่ว่าฉันเดินมาเกือบทุกห้างแล้ว ไม่เห็นจะมีก้อนสมองดีๆ ขายเลยนะหล่อน.. ไอ้พวกเจ้าของห้างก็คงไม่รู้ว่าสมองดีๆ เป็นยังไง

ก้อ..บางทีฉันก็อยากได้สมองดีๆ ที่คิดและเห็นแก่สังคมบ้างน่ะ

Submitted by มน. on

อ่านแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองมี"ไร้สไตล์"จริงๆ ค่ะ 555

ประชดได้สนุกดีค่ะ

Submitted by หมี่เกี๊ยว on

อ่านมันส์สะจายวัยชิวล์เป็นอย่างยิ่ง อิ อิ

อ่านแล้วทำให้นึกถึงโฆษณากาแฟจากนอร์เวย์ (ถ้าจำไม่ผิดนะ)อยู่ชิ้นหนึ่งที่มีหนุ่มคนหนึ่งแค่อยากกินกาแฟธรรมดาๆสักหนึ่งแก้ว แล้วเขาก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟที่มีรายชื่อกาแฟเรียงรายลดหลั่นกันยังกะกำแพงเมืองจีน แล้วแต่ละชื้อแปลกๆทั้งนั้น คนทั่วไปที่กำลังสั่งกาแฟก็สั่งแต่ไอ่ที่แปลกๆออกเสียงยากๆนั่นแหละ แต่พอถึงตาหนุ่มนี่สั่งกาแฟมั่ง เขาสั่งกาแฟใส่นมสดธรรมด้า ธรรมดาเท่านั้น คนทั้งร้านรวมทั้งพนักงานก็หันมามองเขาพรึบราวกับเป็นตัวประหลาด แล้วการชงกาแฟธรรมดาๆเพียงแก้วเดียวก็เป็นเรื่องลำบากเหลือเกินสำหรับร้านนั้น เพราะกาแฟมันกลายเป็นฟอร์มูล่าไปหมดแล้ว

เอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ

Submitted by มาริยา มหาประลัย on

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนกันนะคะ

ถึงคุณ Samantha...Samantha Jones รึเปล่าคะเนี่ย ฮ่าๆ :P

ถึงคุณมน....ดิฉันยกให้คุณเป็นขาประจำของดิฉัน โดยไม่ต้องใส่เสื้อกั๊ก ขอบคุณมากค่ะคุณมน.

ถึงคุณหมี่เกี๊ยว...ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ค่ะ เดี๋ยวนี้โดลเช่ เดอ ลาเช่ไม่มีแล้ว หมดฤดูแล้ว ดิฉันก็รออยู่ค่ะว่าจะมีอะไรออกมาใหม่ จะได้ไปซ้อมปากก่อนค่ะ เริ่ดๆ!!

ถึงคุณ Few... ขอบคุณมากนะคะ แล้วมาโดนอีกนะคะ

ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ

มาริยา มหาประลัย

เพศวิถีมีชีวิต : การเปลี่ยนแปลงจากภายใน อะไรที่ท้าทายเรา?

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

เพศวิถีมีชีวิต : เพศวิถีของวัยรุ่นในวันที่โลกหมุนเปลี่ยน

โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา

เพศวิถีมีชีวิต: เคารพในความหลากหลาย รักเลือกได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

เพศวิถีมีชีวิต: ชีวิตทางเพศ เริ่มคุยจากตัวเอง

สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ

เพศวิถีมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงจากภายใน

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน

ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์