ส้มขอร้อง

กิตติพันธ์ กันจินะ

หลายวันที่ผ่านมาผมและเพื่อนๆ หลายคน ที่ติดตามข่าวเรื่องการชุมนุมของ “พันธมิตร” ต่างใจจดใจจ่ออยู่กับจุดมุ่งหมายท้ายสุดที่จะเดินไปถึง พร้อมๆ กับกระแสข่าวการ “ปฏิวัติ” ทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อมั่นว่าการชุมนุมโดย “สันติ” อย่างมี “สติ” เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่สามารถดำเนินการได้ แต่การสลายการชุมนุมโดยการใช้ “ความรุนแรง” ที่ “ไร้สติ” นั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และปรารถนายิ่งนัก

 

พร้อมๆ กับ การที่ “คณะบุคคล” จะออกมาทำการรัฐประหารนั้น ก็พึงอย่าได้หาเหตุ หาเอา “การชุมนุม” ของ “ประชาชน” มาเป็น “เงื่อนไข” ที่จะให้ความชอบธรรมของตน

ผมคิดถึง “ส้ม” – ส้มคือใคร ผมอยากจะมาบอกเล่าให้ร่วมกันตาม ซึ่งวันหนึ่งผมได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิคส์จาก เครือข่าย “ส้มขอร้อง” (som_love_everyone@hotmail.com)

๐๐๐๐๐๐๐๐

เรื่องนี้เป็นยังไง โปรดอ่าน.....

ทำไมต้อง ส้ม ?

ส้ม เกิดจากทฤษฏีของสี ระหว่าง สีเหลือง(พันธมิตร) และ สีแดง(นปก) รวมกันแล้วเป็นสีส้ม (คนกลาง)

ทัศนะของคุณส้มต่อคุณเหลือง

ส้มมองว่า เหลืองเดินเกมพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยไปเปิดทางให้คุณเขียว(ทหาร)ออกมาวุ่นวายจนบ้านเมืองเกิดปัญหา

ส้มมองว่า การชุมนุมของเหลืองตอนนี้ อาจเป็นการออกบัตรเชิญให้เขียวอีกครั้งและเมื่อเขียวออกมา ประเทศชาติก็จะกลายเป็นสีดำ

สีดำ เป็นปฏิปักษ์ต่อ สิทธิเสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ไม่ว่าจะเป็น เหลือง แดง หรือ ส้ม

ส้มคิดยังไงกับแดง

แดงเป็นคนเลือดร้อนตามสี มักเล่นเข้าทางเกมเหลืองที่จะเชิญเขียวออกมายืนเล่นท้องถนน

ส้มเชื่อว่า แนวทางของเหลืองและแดง ไม่สามารถพาสังคมออกจากความขัดแย้งได้ แต่กลับจะขัดแย้งกันลึกซึ้งขึ้นจนยากจะเยียวยา

ข้อเสนอ “ส้มขอร้อง”

เราในฐานะคนที่อยู่ระหว่างเหลืองและแดง จึงมีข้อเสนอเชิงขอร้องดังต่อไปนี้

  • สีเหลือง มีสิทธิโดยชอบในการตรวจสอบรัฐบาล แต่ขอให้เหลืองคำนึงถึงบทเรียนครั้งก่อน อย่าได้พลั้งปากหรือแอบส่งซิกให้เขียวออกมาทำบ้านเมืองมืดมิดเป็นสีดำอีก

  • สีแดง จะต้องหยุดการเผชิญหน้ากับเหลือง และกลับสู่ฐานที่มั่นด้วยความอดทน และพัฒนาการแสดงออกโดยต้องไม่มีพฤติกรรมนิยมใช้ความรุนแรง

  • สีเขียว เลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยเด็ดขาด และ ห้ามออกมารัฐประหาร หรือ ขู่ว่าจะทำ

ส้มเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ส้มไม่เคารพสิทธิในการแตกแยก
ส้มเชื่อสนิทใจว่า สังคมไทยตอนนี้ ไม่ได้มีเพียง เหลือง แดง หรือ เขียว
และหากเมื่อใดที่พวกเขา(เหลือง แดง เขียวได้พบว่า คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธี เคารพเสรีภาพบนความแตกต่าง และ พวกเขา(เหลือง แดง เขียว)เป็นเพียงคนกลุ่มน้อยในสังคม
เหลือง แดง และ เขียวจะได้สติ และเคารพพวกเราบ้าง

(ปล.ส้มไม่ใช่บุคคล แต่เป็นจิตสำนึกของคนไทยที่อยากเห็นความขัดแย้งยุติลง )

รักทั้งเหลืองและแดง
เครือข่าย “ส้มขอร้อง”

๐๐๐๐๐๐๐๐

ผมอ่านจดหมายฉบับนี้ แล้ว “พยักหน้า” เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น และ นึกถึงการตั้งวงคุยของเยาวชนกลุ่มใหญ่ๆ วงหนึ่งที่เราใช้ชื่อว่า “เยาวชนสนทนา หน้าตาสังคมไทยใน 20 ปี ข้างหน้า” คือ วงคุยนี้เกิดขึ้นเพราะเราอยากมองภาพสังคมในอนาคตต่อไป ไม่ใช่มองแคบๆ ไร้วิสัยทัศน์ และมองให้ภาพสังคมในอนาคตไปไกลกว่าปัจจุบันที่เราอยู่ในวงจรการเมืองที่ไม่ค่อยก้าวหน้าไปไหน

เราอยากเห็น “การเมืองสีขาว” เป็นสังคมที่มองประชาชนเป็นพลเมือง ที่มีสิทธิ เสรีภาพ ทุกคนเป็นเจ้าของสังคม ทุกคนมีส่วนร่วมในการดูแล ปกครอง สังคมและสร้างค่านิยม “ทุกคนเข้าถึงการเมืองได้” ให้ การเมืองสีขาว คือ ทุกคนมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ ลงมือทำ ในเรื่องของการเมือง ซึ่งจะมีการจัดกระบวนการให้ประชาชนเป็นพลเมือง

เราอยากเห็น “รัฐสวัสดิการ” ให้ประเทศมีสวัสดิการเพียงพอ ทุกคนต้องได้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม มีระบบการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรม คนรวยเสียมาก คนยากจนเสียน้อย ตามอัตภาพ เป็นการเมืองที่โปร่งใส ตรวจสอบได้

เราอยากเห็น “สภาพลเมือง” เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจอธิปไตยทั้งสามสถาบันหลักๆ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ คือพลเมืองต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและคานอำนาจเหล่านี้ด้วย ทั้งนี้ “สภาพลเมือง” ถือเป็น อำนาจอธิปไตย อันที่ 4 ที่จะช่วยทำให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง

นี่เป็นเพียง “ภาพอนาคต” เบื้องต้นที่พวกเราเยาวชนหลายคนอยากเห็นในอนาคต แต่ทว่าตอนนี้ ผมเห็นว่าทุกฝ่ายเหมือนเป็น “นักเดินทาง” ที่ได้แต่เดินทางไป แต่ไม่ได้ “หยุดขยับ เพื่อปรับตัว” หรือ ไม่ได้ถอยออกมามองตัวเองในฐานะ “ผู้ดู”

หากการมีสติคือการมองทุกสิ่งตามความเป็นจริง และเข้าใจในอนัตตาทางการเมือง ไม่ว่าจุดหมายปลายทางของการเดินทางจะออกมาอย่างไร ก็ขออย่าทำร้ายประชาธิปไตยไทยให้ย่ำแยกว่านี้เลย

สติ” เป็นเรื่องไม่ยากที่จะให้เกิด แต่ก็ไม่ง่ายที่คนจะ “รู้ทัน”

เพราะบ่อยครั้งที่กว่าเราจะ “รู้ทัน” ก็สายไปเสียแล้ว.......

ความเห็น

Submitted by เด็กเด็ก on

ไม่แน่ใจสำหรับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาว่าจะถูกชักลากให้เข้าสู่วังวนของนักวิชาการที่ต้องการเด่นดัง นักศึกษาในอดีตไม่เคยจะถูกจูงจมูก เป็นตัวของตัวเอง เคลื่อนไหวต่อสู้เอง สมัยนี้ไม่มีให้เห็น เดินตามทางอาจารย์ที่ขีดเส้นให้ ออกมาเป็นพัก ๆ เด็ดยอดจากกลุ่มอื่น ๆ ที่เขาเคลื่อนอยู่ก่อนแล้ว ไม่อยากให้เลือกสีไหน เหมือนกับเป็นการชี้นำว่าคุณต้องเลือกนะ ทุกสีคือประชาชนคนไทยทั้งนั้น แล้วใยต้องมาขอร้องให้เลือกนั่นเลือกนี่ จิตสำนึกในใจของทุกคนน่าจะรู้เองว่าต้องการแบบไหน อย่าแบ่งสี แบ่งพรรค แบ่งพวกเลย เราคือคนไทยด้วยกัน

Submitted by เด็กหญิงกอริงู เรนะ on

สีดำสุดยอดเฟ้ย ! บากะเอโร่ !!

Submitted by บังวิน on

สนธิ จำลอง ได้อ่านจดหมายของอีน้องส้ม คงจะต้องระเบิดอารมณ์ออกมาว่า อีส้มกูขอร้องเถอะว่ะ มึงอย่าได้มาสอดมาเสือก เรื่องของกูโว้ย ครับพยายามเข้าไปอีน้องส้ม สักวันหนึ่งสนธิ จำลอง สุริยะใส พิภพ สมศักดิ์ สมเกีรยติ์ และพวกเหล่าอัณฑะมิตรคงได้ดวงตาเห็นธรรมเข้าสักวัน

Submitted by นกเอี้ยงนครเจดีย์ on

อยากเห็นรัฐสวัสดิการจริง ๆ ไม่รู้ว่าอีกกี่สิบชาติจะได้เห็น อาทิตย์ก่อนคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง(คนดอย)เดินผ่านบ้านจะไปโรงพยาบาล ได้ความว่าเดินมากว่า 10 กิโลเมตรแล้ว ผมต้องเอามอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ไปส่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน(น้ำมันรถก็จะหมดเพราะไม่มีเงินเติม)...นี่ก็ใกล้จะเข้าป่าเหมือนกัน....เพราะไม่แน่ใจว่าจะอยู่ในสังคมแบบนี้ได้...กฎหมายที่มีก็เข้าข้างนายทุนอย่างเห็นได้ชัด...ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอิสลามเขาไม่คิดดอกเบี้ย....แล้วของเราคิดไม่รู้จักเลิก..ดอกทบต้น...ต้นทบดอก...ยังไม่พอยึดทรัพย์อีก...ยึดแล้วฟ้องล้มละลายอีก...ถามว่าเราปัญญาอ่อนกันหรือเปล่า ที่ไปกู้เงินมาแล้วต้องเสียทั้งทรัพย์สิน(ของเรา)..เสียดอกเบี้ย...ถูกยึดทรัพย์(ของเรา)...ถูกฟ้องล้มละลาย....บางครั้งทำให้ไม่แน่ใจว่ากฎหมายทำถูกแล้วหรือ...เราถูกเอารัดเอาเปรียบจากสถาบันการเงินทั้งเล็กและใหญ่(แถมต้องไปกราบไหว้มันอีก) ก็เพิ่งจะไปถึงบางอ้อเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องมีสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์

Submitted by สีรุ้ง on

แล้วสีส้มจะอยู่ในความสงบไม่ทำอะไรเลยเหรอ...??? แล้วรอให้คนไม่ดีโกงบ้านกินเมืองต่อไปเหรอคะ กินจนประเทศของเราจะเหลือแต่กระดูกอยู๋แล้วนะคะ ทุกวันนี้บ้านเมืองเหมือนไม่มีกฏหมายแล้ว เพราะสีกากี(บางคนเป็นเครื่องมือของคนไม่ดี)เห็นประชาชนเหมือนไม่ใช่คน ผู้นำของประเทศก็เปลี่ยนหน้าไปเรื่อย แต่นิสัยไม่ได้ต่างกันเลย โดยเฉพาะผู้นำคนปัจจุบันทั้งด้านและทน ถ้าเป็นผู้นำประเทศที่เขาพัฒนาแล้วคงจะลาออกไปเป็นสิบ ๆ รอบแล้วกระมัง ไม่เห็นทำอะไรเลย วันๆเอาแต่หลบไม่กล้าตอบคำถาม กลัวถูกถามเรื่องคลิปตู้เย็น อยากมองโลกในแง่ดีเหมือนสีส้มจัง ซึ่งได้แต่นั่งคิดแต่ว่า "เมื่อไรสีเหลือง กับสีแดงจะปองดองกันซะที อยากให้โลกมีแต่สันติสุข " แล้วก็นอนหลับ เพื่อเมื่อตื่นขึ้นมาจะเห็นว่าโลกนี้มีแต่ความสงบสุข ในความเป็นจริงชีวิตมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างนั้นนะสีส้ม เพราะสีแดง(ซึ่งถูกซื้อได้ด้วยเงิน) กำลังตกเป็นเครื่องมือของคนบางคน ถ้าทุกๆสีอยากให้ประเทศสงบสุขก็ต้องเอาคนผิดมารับโทษ เพราะคนหน้าเหลี่ยมคนเดียวที่จะสามารถปลดล็อกทางการเมืองได้

ปัญหาเชาว์- อะไรเอ่ย มีสองพันล้าน พอเงินบาทลอยตัวมีเงินหมื่นล้าน เพื่อเอามาใช้ซื้อเส

เพศวิถีมีชีวิต : การเปลี่ยนแปลงจากภายใน อะไรที่ท้าทายเรา?

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

เพศวิถีมีชีวิต : เพศวิถีของวัยรุ่นในวันที่โลกหมุนเปลี่ยน

โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา

เพศวิถีมีชีวิต: เคารพในความหลากหลาย รักเลือกได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

เพศวิถีมีชีวิต: ชีวิตทางเพศ เริ่มคุยจากตัวเอง

สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ

เพศวิถีมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงจากภายใน

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน

ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์