ต้านรัฐประหารฉบับไซเบอร์

ภาวะความขัดแย้งทางการเมืองไทยขณะนี้ ได้ก่อให้เกิดความกังวล 2 ประการคือ รัฐจะใช้ความรุนแรงกับผู้เคลื่อนไหวในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอีกประการคือ การรัฐประหารซึ่งสื่อกระแสหลักยังคงต้องเกาะติด น้ำเสียง' และ ท่าที' ของนายทหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อย้อนดูสถิติการรัฐประหารของไทยจะพบว่า ความถี่ในการรัฐประหารของไทยคือ ประมาณ 7 ปีต่อการรัฐประหาร 1 ครั้ง

การรัฐประหารที่เว้นช่วงสั้นที่สุดคือการรัฐประหารครั้งที่ 7 วันที่ 6 ตุลาคม 2519 - 20 ตุลาคม 2520 ( 1 ปีกับอีก 15 วัน)

ช่วงที่เว้นระยะนานที่สุดคือ 23 ก.พ. 2534 - 19 กันยายน 2549 เว้นช่วงนาน 15 ปี 6 เดือน กับอีก 28 วัน

ตารางการรัฐประหารที่สำเร็จในประเทศไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 - ปัจจุบัน

วัน เดือน ปี

ผู้นำการรัฐประหาร

ผู้ถูกทำรัฐประหาร

1 เมษายน 2476

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา

รัฐประหารตัวเองโดยงดใช้รัฐธรรมนูญ

20 มิถุนายน 2476

พระยาพหลพลพยุหเสนา

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา

8 พฤศจิกายน 2490

จอมพลผิน ชุณหวัณ

พลเรือเอก ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

29 พฤศจิกายน 2494

จอมพล ป. พิบูลสงคราม

รัฐประหารตัวเอง

16 กันยายน 2500

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

จอมพลป. พิบูลสงคราม

20 ตุลาคม 2501

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

จอมพลถนอม กิตติขจร

17 พฤศจิกายน 2514

จอมพลถนอม กิตติขจร

รัฐประหารตัวเอง

6 ตุลาคม 2519

พลเรือเอก สงัด ชลออยู่

ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช

20 ตุลาคม 2520

พลเรือเอกสงัด ชลออยู่

นายธานินทร์ กรัยวิเชียร

23 กุมภาพันธ์ 2534

พลเอกสุนทร คงสมพงษ์

พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ

19 กันยายน 2549

พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

หมายเหตุ: แก้ไข 7 มิ.ย. 51 -- 17.34น. ตามการท้วงติงของธนาพล อิ๋วสกุล

บางที การเว้นช่วงครั้งหลังสุดที่ยาวนานกระทั่งทำให้สังคมไทยตายใจว่า ทหารกลับเข้ากรมกรองไปทำหน้าที่ ทหารอาชีพ แล้วนั้น อาจจะเป็นเพียงข้อยกเว้น

อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารที่ผ่านก็ยังได้รับการยอมรับกันว่าเป็นไปโดยสงบไม่มีการเสียเลือดเนื้อ และซ้ำคณะทหารที่ขึ้นมาคุ้มครองประเทศก็ยังมีสายใยและความร่วมมืออันดีกับผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวภาคประชานเป็นอย่างดี นับเป็นสิ่งที่ต่างออกไปจากการรัฐประหารที่เคยมีมาครั้งใดๆ ในประเทศนี้

แน่นอนว่าปัจจัยส่วนหนึ่งคือ ทหารเรียนรู้มากขึ้นที่จะอยู่ร่วมกับประชาสังคมไทย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนที่เข้มแข็งและไม่เปิดโอกาสให้คณะรัฐประหารได้ควบคุมความรับรู้ทุกอย่างในสังคมนี้ก็คือโลกไซเบอร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ใหม่ที่อำนาจรัฐและคณะรัฐประหารใดๆ ไม่เคยเผชิญมาก่อน

การควบคุมความรับรู้หรือการแสดงออกของประชาชนภายหลังการรัฐประหารนั้น เป็นสูตรสำเร็จที่จะต้องทำทันทีเมื่อมีการยึดอำนาจ ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นตัวกำหนดความรับรู้และท่าทีของประชาชน ดังจะเห็นได้ว่า ในการรัฐประหารใดๆ ก็ตาม ผู้ทำรัฐประหารต้องเข้ายึดพื้นที่ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ซึ่งสมัยก่อนได้แก่ สถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุ ทั้งการควบคุมการแสดงออกของประชาชนก็อาจทำได้โดยการออกกประกาศและใช้กองกำลัง แต่ สำหรับโลกไซเบอร์แล้ว นั่นอีกเรื่องที่ต่างออกไป มันหมายถึงความรู้ด้านเทคโนโลยีที่ต้องไล่กวดกันเหมือนแมวไล่จับหนู

ภายหลังการรัฐประหารเมื่อ 24 ก.พ. 2534 และหลังเกิดเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทองได้จับพิมพ์หนังสือ ต้านรัฐประหาร' ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของภาคประชาชนในการต่อสู้กับการต้านรัฐประหารโดยผู้เขียนคือนักสันติวิธีนาม จีน ชาร์ป

แน่นอนว่าหนังสือเล่มนั้นพูดถึงเรื่องการปฏิบัติในโลกจริงซึ่งอาจจะเชยไปสักหน่อยสำหรับมนุษย์ยุคไซเบอร์ แต่หากใครสนใจก็ยังหาซื้ออ่านได้ นั่นเป็นแนวทางการต้านรัฐประหารโดยประชาชนซึ่งขณะนี้ คงจะต้องเพิ่มเติมวิธีการสำหรับประชากรไซเบอร์เข้าไปด้วย

ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยทันที มีเว็บไซต์อย่างน้อย 2 แห่งกำเนิดขึ้นในโลกไซเบอร์นั่นก็คือ http://www.19sep.org/ และ http://www.dcode.net/ ทั้งสองเว็บเป็นต่อต้านการรัฐประหารแต่เห็นต่างในรายละเอียด โดยเว็บไซต์หลังนั้นเป็นกลุ่มนักเล่นเน็ต ที่ชื่นชมในนโยบายของพรรคไทยรักไทยและทักษิณ ชินวัตร แต่เว็บแรกนั้นไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 เว็บไซต์ได้พัฒนามาสู่การจัดตั้งมวลชนผ่านโลกไซเบอร์และได้เคลื่อนตัวจากพื้นที่ในโลกไซเบอร์สู่สนามหลวง ในชื่อของ กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และกลุ่มประชาชนต้านรัฐประหารในที่สุด

ผลพวงอันเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน ต่อความตื่นตัวของประชาชนที่เข้าถึงเว็บไซต์ ยังได้ก่อให้เกิดเว็บไซต์และบล็อกเกอร์อีกจำนวนมากในการติดต่อสื่อสารกัน ทั้งในฐานะผู้รับและส่งสาร กระทั่งทำให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ใหม่ในการแย่งชิงความรับรู้ แต่ก็ยังคงเป็นสิ่งยากสำหรับภาครัฐ แม้จะมีกฎหมายอา๙ญากรรมว่าด้วยการกระทำความผิดด้วยคอมพิวเตอร์ออกมาก็ตาม เพราะ....ย้ำ...นี่คือเรื่องของเทคโนโลยีที่รัฐต้องคอยวิ่งไล่จับให้ทัน

ผมคิดว่าอินเทอร์เน็ตมันจะทำให้ความคิดของคนมันวิ่งไปมาหากันได้เร็วขึ้น ทำให้เกิดการสทนาแลกเปลี่ยนได้อย่างกว้างขว้างขึ้น มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น และเหล่านี้อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมก็เป็นได้. ซึ่งรัฐอาจจะกลัวตรงนี้ ก็เลยต้องการเข้ามาควบคุมจัดระเบียบ. พวกเราพลเมืองและพลเมืองอินเทอร์เน็ตทุกคน ก็ต้องพยายามรักษาพื้นที่ของเราตรงนี้ไว้ให้ปลอดจากการแทรกแซงโดยอำนาจรัฐและอำนาจอื่น ๆ. ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ พื้นที่สื่อพวกนั้นเราพลเมืองธรรมดาเข้าถึงได้ยากมาก. พวกเราพลเมืองจึงต้องรักษาพื้นที่ที่เรามีอยู่ไม่มากนักในอินเทอร์เน็ตเอาไว้. ไม่ใช่เพื่อตัวอินเทอร์เน็ตหรือตัวผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเอง แต่เพื่อสังคมทั้งหมด' อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล นักวิชาการด้านคอมพิวเตอร์จากสถาบันเทคโนโลยี SIIT มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เขียนไว้ให้สัมภาษณ์วาวสร ปฏิรูปสื่อ' เมื่อปลายปีที่แล้ว

เขาตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่รัฐพยายามทำกับพื้นที่อินเตอร์เน็ตปัจจุบันนี้คือ

1) สั่งปิดเว็บไซต์ โดยติดต่อไปที่เว็บโฮสติ้ง (ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตสำหรับสร้างเว็บไซต์) ขอหรือสั่งให้ปิดเว็บไซต์นั้นลง หรือหาทางเจาะระบบเข้าไปทำลายเว็บไซต์ลง ผลก็คือเว็บไซต์นั้นก็จะหายไปจากอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ไม่ว่าจากประเทศไหนก็จะเข้าไม่ได้อีกแล้ว.

2) ปิดกั้นเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่าการบล็อค (block) ซึ่งก็ทำกันได้หลายระดับ ทั้งที่ระดับเกตเวย์ (gateway - เป็นประตูเชื่อมเครือข่ายภายในประเทศออกสู่อินเทอร์เน็ต) ที่ระดับไอเอสพี หรือที่ระดับองค์กรอย่างสถานศึกษาหรือบริษัทบางแห่งก็พบว่ามี. ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตของผู้ให้บริการหรือองค์กรนั้น ๆ ไม่สามารถเข้าเว็บไซต์ที่ถูกบล็อคได้. หรือถ้าเป็นการบล็อคที่เกตเวย์ระดับประเทศ ก็จะมีผลทำให้ผู้ใช้ในประเทศทั้งประเทศไม่สามารถเข้าเว็บไซต์เหล่านั้นได้ - อย่างไรก็ตามผู้ใช้อื่น ๆ ก็จะยังเข้าได้อยู่. วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วงที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐของไทยใช้กันมาก เพราะสะดวกไม่ต้องขอความร่วมมือจากใคร ทำได้เองเลย หรือว่าสามารถกดดันผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้ทำได้ไม่ยาก, ซึ่งก็อาจจะเกี่ยวกับเรื่องใบอนุญาตประกอบธุรกิจผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตด้วย.

3) ระดมโจมตีก่อกวนเว็บไซต์

3.1 ให้ทำงานช้าลงมาก ๆ จนใช้งานไม่ได้ หรือที่เรียกว่า DoS (Denial of Service). หรือ

3.2 คัดกรองเนื้อหา วิธีนี้จะเนียนกว่า คือยังเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ตามปกติอยู่ แต่เนื้อหาบางส่วนในเว็บไซต์จะหายไป ซึ่งแบบนี้จะทำให้สังเกตได้ยากกว่าวิธีแรก.

ตัวอย่างเช่นในประเทศจีนที่เสิร์ชเอนจิ้นหลายเจ้า ยอมกรองเว็บไซต์บางอย่างออกจากผลลัพธ์การค้นหา. คือถ้าเรารู้ที่อยู่ของเว็บไซต์นั้น ก็ยังอาจจะพิมพ์เข้าไปได้เอง แต่มันจะไม่ปรากฎอยู่ในรายการผลลัพธ์ของเสิร์ชเอนจิ้นเลยถ้าค้นหาจากประเทศจีน. ซึ่งถ้าพิจารณาว่าปริมาณการจราจรส่วนใหญ่ของเว็บนั้น วิ่งผ่านเสิร์ชเอนจิ้น, วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ได้ผลดีมาก อีกทั้งสังเกตได้ยากกว่าการทำให้เข้าเว็บไซต์ไม่ได้

หรือกรณีประเทศไทย ที่ขอความร่วมมือจากกูเกิ้ลให้บล็อคคลิปบางคลิปใน YouTube ไม่ให้ผู้ใช้จากประเทศไทยเห็น ก็เข้าข่ายนี้

3.3 บิดเบือนเนื้อหา ปล่อยข่าว หรือก่อกวนสร้างความปั่นป่วนในกระดานสนทนาออนไลน์ เว็บไซต์บางแห่งถูกก่อกวนด้วยโปรแกรมหรือคนที่ถูกจ้างมาโพสต์ข้อความไร้สาระซ้ำ ๆ กัน หรือโพสต์ข้อความบิดเบือนเบี่ยงประเด็นต่าง ๆ หรือล่อให้เกิดการทะเลาะกัน ที่เรียกว่า "ล่อเป้า" ทำให้คุณภาพของข้อมูลข่าวสารโดยรวมในอินเทอร์เน็ตลดลง

4 วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือการสร้างความเชื่อ หรือความกลัว เพื่อทำให้เกิด "การเซ็นเซอร์ตัวเอง". ทำหผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ไม่อยาก/ไม่กล้าโพสต์ไม่อยาก/ไม่กล้าเปิดดู ไม่อยาก/ไม่กล้าพูดถึง. ผมคิดว่าอันนี้น่ากลัวที่สุด และมีผลกว้างขวางมากกว่าแค่ในอินเทอร์เน็ต แต่รวมถึงทั้งสังคมเลย

การสร้างความกลัวนี่ รวมถึงการใส่มาตราบางมาตราลงมาใน พ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นี่ด้วย ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวเนื้อหาในคอมพิวเตอร์ในอินเทอร์เน็ต. มาตรา 14, 15, 16. ซึ่งกว้างมาก แล้วแต่เจ้าหน้าที่รัฐจะตีความ

อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์ในปี 2550 นอกเหนือจากลุ่มต้านรัฐประหารและรัฐบาลที่ไม่ได้มาตามิถีทางประชาธิปไตย จะสร้างข่ายใยเติบโตขึ้นในพื้นที่อินเตอร์เน็ตของไทยแล้ว กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เรื่องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ตก็ทำงานไปพร้อมๆ กันด้วย กลุ่มเล็กๆ ที่ชื่อว่า FACT ได้ทำหน้าที่นี้อย่างแข็งขันในช่วงกว่าขวบปีที่ผ่านมา ทั้งในแง่การพยายามเผยแพร่เรื่องราวการถูกปิดกั้นข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ต และรวมถึงการแจกจ่ายแปรแกรม มุด' เพื่อให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ถูก บล็อก'

ในเรื่องร้ายมีเรื่องให้เรียนรู้ และก็คงต้องจับตากันต่อไปว่า พัฒนาการของประชากรในโลกไซเบอร์ของไทยจะถูกเร่งให้เติบโตขึ้นอีกหรือไม่.... แต่หากพื้นที่ในโลกไซเบอร์ของไทยได้เติบโตไปแบบไม่ต้องมีตัวเร่ง และแรงเสียดทานแบบเอาประเทศเป็นตัวประกัน...นั่น น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ความเห็น

Submitted by kul charmvim on

เพียงแต่รู้รับผิดชอบชั่วดีอย่าเห็นแก่ตัวและพวกพ้องมากเกินอย่าให้ต่างชาติมาฮุบแผ่นดิน ผู้นำมีคุูณธรรม มีปิยวาจา ไม่มุสา ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

ขอบคุณหัวไม้ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับรัฐประหารและโลกสื่อสารทางไซเบอร์ เป็นความรู้ที่ให้ประโยชน์อย่างยิ่งคร้บ นี่ต้องปริ๊นเก็บไว้เลยนะ ขอบคุณมากๆ

ทวิตเตอร์ของประชาไท ลองแอดกันได้
http://twitter.com/prachatai

สำหรับใครใช้ทวิตเตอร์ผ่านมือถืออยู่ ถ้าแอดอันนี้เข้าไป ก็สามารถจะรับหัวข้อข่าวผ่านทางเอสเอ็มเอสได้ครับ ลองเล่นดู กำลังทดสอบกันอยู่

Submitted by โสภณ on

2 ครั้งแรก สงสัยว่า ปีพุทธศักราช จะผิดไปไหมครับ

Submitted by bact' on

อืม 1 เมษายน 2475 มันยังไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองเลยง่ะ

Submitted by 2 on

กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะมีขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 7 มิถุนายน เพื่อรวมตัวกดดันให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยุติการชุมนุมที่กรุงเทพฯ นั้น มีกลุ่มขั้วอำนาจเก่าพรรคไทยรักไทยจ่ายเงินผ่านหัวคะแนนและประธานชุมนุมเพื่อจ่ายต่อให้แก่ชาวบ้านหัวละ 500 บาท โดยอ้างว่าเป็นเงินค่าเดินทาง แต่หัวคะแนนบางพื้นที่หักเงินบางส่วนและจ่ายให้ชาวบ้านเพียงหัวละ 200-300 บาทเท่านั้น ทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวไม่พอใจ

ที่มา: http://www.komchadluek.net
aaaaa

วัฒนธรรมสามานย์ ขายเสียง ขายตัว ขายพรรค แล้วก็ขายชาติ

Submitted by วีระ on

* ทหารกล้ารู้หน้าที่มีวินัย
ไม่ฝันใฝ่ปฏิวัติรัฐประหาร
รู้..ว่านั่นมันหนทางอันธพาล
ใช้ต่อต้านรัฐบาลของปวงชน

*ทหารรู้หน้าที่และมีเกียรติ
ไม่หยามเหยียดปวงชนทุกแห่งหน
รู้ความชั่วความดีมีมงคล
รู้เหตุผลดีชั่วไม่มัวเมา

*ทหารคือม้าศึกคึกองอาจ
หากหลงพลาดรัฐประหารเป็นงานเศร้า
เสียศักดิ์ศรีมีแต่สิ้นถูกหมิ่นเร้า
อย่าหลงเอารัฐประหารผลาญบ้านเมือง

Submitted by เรยอง on

ยุคอันธพาลเพื่อเผด็จการและพรรคมารปชป.ที่ไม่ยอมรับมติประชาชนเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่ผู้อื่น
สุทธิ อัชณาศัยระยองไอ้พวกบ้าเผด็จการเครื่อข่ายประชาธิปัตย์

Submitted by ว ณ ปากนัง on

*งามผู้กล้าแห่งฟ้า มัฆวาน
งามม๊อบต้านรัฐบาลเป็นใหญ่
งามธงทิวปลิวไสวเรืองบรรลัย
งามด้วยใจอคติ ริล้างชน

*เสนาะเสียงก่นด่ามหาโหด
พิษพิโรธกึกก้องท้องถนน
มหกรรมเก่งกล้าท้าผู้คน
ออกมาชนออกมาสร้างหนทางร้าย

*โอม..อ่านมนต์ดลให้ได้ปฏิวัติ
มุ่งขจัดศัตรูตนบนเป้าหมาย
เพื่อเถลิงอำนาจมิคลาดคลาย
ความเสียหายเลวร้ายไม่นำพา

*ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการต่อต้าน
พวกหมู่พาลทำเป็นมิตรคิดไร้ค่า
รัฐประหารผลาญชาติอย่าวาดพา
เหล่าผู้กล้ามัฆวานกลับบ้านไป

Submitted by chote on

กาขาวเหินหาวฮึก ลมบน
โหวกเพรียกเรียกผู้คน ก่นให้
เหวกหาหาวห่มฝน ปนเมือก สกุณา
บินว่อนป่วนชวนให้ ไส้เศิกสิ้น สกุลกา

Submitted by กวีนอกรัตนโกสินทร์ on

-อยู่ดีดีมีกระสือ
เพียงห้ามือมากำหมัด
ยุยงหลงผิดชัด
ป่วนเพื่อใคร..ป่วนเพื่อใคร

-หลอกคนมาตากฝน
ปิดทางคนสัญจรได้
อยู่ดีดีมีมารร้าย
มาเกลื่อนขวางกั้นกลางถนน

*เหล่าพาลทำเป็นมิตร
เฝ้าเบือนบิดด้วยเล่ห์กล
ป่วนชาติประชาชน
ใช้สื่อนำทำลายชี้

-ใครเล่าเอาสื่อฟาด
ทำบาตรใหญ่เข้าย่ำยี
บทบาทอำนาจผี
เข้าเกาะกินถึงวิญญาณ

-เห็นดีและเห็นงาม
กับความทรามรัฐประหาร
โจรจริงเป็นสิ่งผลาญ
ทั้งผู้คนและแผ่นดิน

-ดับเหตุที่ต้นเหตุ
ไล่พวกเปรตไปหมดสิ้น
ไล่คนป่วนแผ่นดิน
ไล่ออกไป....ไล่ออกไป

Submitted by คนเมือง on

พร่ำหา ประชาชน
กู่ก่นก้อง ฟ้องกล่าวหา
นี่หรือ คือปัญญา-
-ชนผู้กล้า แห่งเมืองไทย

พันธมิตร วิปริตนัก
ปากว่ารัก ประชาธิปไตย
แท้จริง จัณฑาลใจ
มุ่งร้องร่า หาเผด็จการ

หยุดเถอะ เลอะมากแล้ว
หยุดเจื้อยแจ้ว แว่วคำหวาน
อยุดเถอะ พันธมาร
หยุดล้างผลาญ ประชาธิปไตย

Submitted by kosa on

การสู้รบที่รุนแรง ในลาวนั้นมีนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่นำมาบันทึกไว้ในนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น คือ ยุทธภูมิที่ ภูผาที เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สู้รบกันอย่างรุนแรงชนิดประจัญบานด้วยดาบปลายปืนระหว่างกองกำลัง ปทล./วม. กับกำลังทหารแม้วของนายพลวังเปา ที่ทำหน้าที่รักษาฐานที่ตั้งสถานีเรดาร์ ก่อนจะกล่าวถึงยุทธภูมิภูผาที ข้าพเจ้าใครขอกล่าวถึงโครงการ ๓๓๓ ในลาว พอเป็นสังเขป ดังนี้

โครงการ ๓๓๓ นั้นเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างไทย กับ สหรัฐอเมริกา จุดมุ่งหมายเพื่อทำตามนโยบายการป้องกันไกลบ้าน หรือ Forward Strategy ในการสนับสนุนลาวต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์ ที่มีเวียดนามเหนือ ผสมลาวคอมมิวนิสต์ หรือที่เรียกว่า ปทล./วม. โดยมีจีนและสหภาพโซเวียตรัสเซีย อยู่เบื้องหลังให้การช่วยเหลือด้านอาวุธ ยุทโธปกรณ์และที่ปรึกษาทางทหาร

ส่วนทางด้านนโยบายนั้นข้าพเจ้ามีส่วนในการกำหนดและควบคุมปฏิบัติการนั้น จุดมุ่งหมายเพื่อให้ลาวไม่ตกไปเป็นคอมมิวนิสต์ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐบาลลาวทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร โครงการในระยะเริ่มต้นจึงจัดส่งเฉพาะอาสาสมัครที่มีหน้าที่ในการหาข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์
และชุดที่ปรึกษาทางทหาร ชุดเฝ้าตรวจชายแดนไปประจำหน่วยต่างๆในสนาม ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้มีโครงการให้การฝึกศึกษา ด้วยการเปิดสอนหลักสูตรฝ่ายอำนวยการเร่งรัด และให้นำกำลังรบหลักของลาวทั้งที่เป็นทหารแม้วของนายพลวังเปาและทหารหลักของกองทัพแห่งชาติลาวเข้ามารับการฝึกเพิ่มเติม ภายใต้ชื่อ “ โครงการเอกราช” ที่ศูนย์การทหารราบปราณบุรีและ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรี ส่วนกำลังรบพิเศษของลาว และหน่วยสื่อสาร ส่งมาฝึกที่ค่ายสฤษดิ์เสนาพิษณุโลก โดยมี ตชด. เป็นครูฝึกร่วมกับกำลังรบพิเศษของฝ่ายไทย ซึ่งก็ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจเมื่อส่งกำลังที่สำเร็จการฝึกกลับไปปฏิบัติการในลาว

ต่อมาสถานการณ์ในลาวได้เลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะความอ่อนแอทางการเมืองภายใน ประกอบกับการดำเนินงานทางการเมืองของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในรัฐบาลผสมของลาวได้แทรกซึมบ่อนทำลาย โดยฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ใช้ยุทธศาสตร์แนวร่วม เพื่อหาแนวร่วมทางการเมืองและผู้นำทางทหารให้เห็นใจและเอาใจเข้าข้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ พร้อมกับชี้แนะว่าหากฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะตนก็จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ต่อมาในราวปี ๒๕๐๙ – ๒๕๑๐ ข้าพเจ้าได้มอบการควบคุมอำนวยการ บก. ๓๓๓ ให้ผู้อื่นดำเนินการแทน เพราะต้องไปจัดตั้ง กองอำนวยการป้องกันปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ หรือ กอ.ปค. ของฝ่ายไทยเรา ด้วยการนำแนวคิดริเริ่มปลูกฝังนโยบายใช้การเมืองนำการทหารในการปราบคอมมิวนิสต์ รวมทั้งแนวคิดการจัดตั้งหน่วย พลเรือน ตำรวจ ทหาร หรือ พตท. ขึ้นในพื้นที่ต่างๆของประเทศทุกกองทัพภาค

ในขณะนั้น จึงไม่ได้ติดตามการดำเนินงานของ ศูนย์ปฏิบัติการ ๓๐๙ ที่ควบคุม บก. ๓๓๓ และโครงการ ๓๓๓ ในลาว ระหว่างนั้นทราบว่าทางลาวได้ขอกำลังรบจากไทยให้ไปสนับสนุนการรบในลาวโดยตรง เรียกว่าเข้าสู่ยุคที่ไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสู้รบในลาวโดยตรง กำลังทหารราบ กำลังทหารปืนใหญ่รวมทั้งอาสาสมัครในชื่อทหารพราน จึงถูกส่งเข้าไปสู้รบในลาวมากขึ้น โดยทางสหรัฐอเมริกา ได้จัดตั้งหน่วยบินเฮลิคอปเตอร์ เรียกว่า ทีมม้าขาว หรือ White Horse Team ขึ้น ใช้นักบินอาสาสมัครจากไทย เป็นเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธปืนกลอากาศและจรวดอากาศสู่พื้น เพื่อสนับสนุนการโจมตีทางอากาศต่อที่หมายภาคพื้นดินของข้าศึกและสนับสนุนการปฏิบัติการของทหารราบอย่างใกล้ชิด มีที่ตั้งของทีมอยู่ที่หน่วย ตชด. อุดรธานี ใ

นขณะที่การสู้รบในเขมรและในเวียดนามใต้ ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลายยุทธภูมิทั้ง ๓ ประเทศการรบถึงขั้นแตกหัก บางแห่งถึงขั้นประจัญบานด้วยดาบปลายปืน

เหตุการณ์สู้รบได้เริ่มคับขัน สหรัฐอเมริกาจึงทุ่มเทกำลังทั้งทางบก ทางอากาศเข้าไปปฏิบัติการในเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือหนักขึ้น เพื่อสกัดการรุกของเวียดนามเหนือที่มุ่งลงใต้เข้าสู่เขมรและเวียดนามใต้ กำลังที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา มีเหนือกว่าฝ่ายเวียดนามคือกำลังทางอากาศ ด้วยการโจมตีกรุงฮานอย และพื้นที่เขตหลังของเวียดนามเหนือ กำลังทางอากาศของสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ใช้ฐานบินที่อุดรธานี นครพนม โคราช อุบลราชธานี ตาคลี โดยใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด ชนิดความเร็วเหนือเสียงในขณะนั้น แบบ F-4 Fanthom หรือปีศาจเวหา เป็นป้อมบินหลักในการทิ้งระเบิด ส่วนป้อมบินยักษ์ B-52 ใช้ฐานบินอู่ตะเภา ที่สัต*****บ

แต่กำลังทางอากาศของสหรัฐอเมริกานั้นการที่จะเข้าไปปฏิบัติการได้อย่างตรงเป้าหมายจะต้องอาศัยการควบคุมและการชี้เป้าด้วยเรดาร์ เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการทำลายเป้าหมาย จากการพิจารณาภูมิประเทศในลาวแล้วเห็นว่ายอดเขาในลาวที่มีความสูงกว่า ๕,๕๐๐ ฟุต และอยู่ระหว่างเส้นทางบินไทย - เวียดนามและไม่ห่างจากชายแดนเวียดนามมากนัก คือยอดเขากั้นชายแดนลาว / เวียดนาม ชื่อท้องถิ่นเรียกว่า “ ภูผาที ” รหัสที่ตั้งเรียกว่า Site 85 อยู่ทางทิศตะวันตกของซำเหนือ ประมาณ ๔๐ กม. ลักษณะยอดเขาภูผาที ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน ยากที่จะขึ้นสู่ยอดเขาได้โดยง่าย อีกด้านหนึ่งเป็นทางลาดชัน สหรัฐอเมริกาจึงเลือกเอายอดเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์ที่ทันสมัยที่สุด เรียกชื่อว่า Sophisticated Radar
โดยมีเจ้าหน้าที่เทคนิคของอเมริกัน จำนวน ๒๐ คน ควบคุมตลอดเวลา การเดินทางเข้าออกที่ตั้งใช้ทางเฮลิคอปเตอร์ เท่านั้น บนยอดเขาภูผาที ที่มีความสูงกว่า ๕,๐๐๐ ฟุตนั้น มีสภาพอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี บางวันมีหมอกลงหนามาก อยู่ห่างกันเพียง ๕ เมตรก็ไม่สามารถมองเห็นกันแล้ว

เนื่องจากที่ตั้งสถานีเรดาร์ที่ภูผาทีนั้นเป็นหัวใจของการปฏิบัติการทางอากาศในเวียดนามและลาว จำเป็นจะต้องมีกำลังทหารคุ้มกันที่เข้มแข็งเพียงพอ

ดังนั้นกำลังทหารไทยจึงได้รับการร้องขอจากฝ่ายอเมริกัน ให้ไปประจำคุ้มกันที่ตั้งร่วมกับทหารลาวหน่วยรบพิเศษ (แม้ว ) ของนายพลวังเปา โดยกำหนดชื่อเรียกเป็นรหัสว่า ทีม Z-16 หัวหน้าทีมต้องคัดเลือกเป็นพิเศษ ประกอบกับข่าวสารที่ได้รับทราบว่าฝ่ายลาวคอมมิวนิสต์จะทุ่มกำลังเข้าโจมตีและได้เตรียมขุดหลุมฝังศพไว้แล้ว จากการบอกเล่าของ ร้อยเอกจำลอง ศรีเมือง ผู้นำในการสู้รบ

ต่อมา ท่านมียศเป็นพลตรี ออกจากราชการแล้วท่านเข้าสู่วงการเมือง ด้วยการเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าพรรคพลัง เป็นรองนายกรัฐมนตรี นักสังคมสงเคราะห์ นักปฏิบัติธรรม ผู้นำในด้านมังสวิรัติ และเป็นเจ้าของคำขวัญ “ น้ำดีไล่น้ำเน่า ”

ร้อยเอกจำลอง ศรีเมือง ( ยศในขณะนั้น ) เป็นอาสาสมัครผู้หนึ่งในการไปปฏิบัติการในลาวตามโครงการ ๓๓๓ ควบคุมโดย บก. ๓๓๓ ที่อุดรธานี ( ตำแหน่งปกติ เป็นผู้บังคับกองร้อยสื่อสาร ตั้งอยู่ที่ ร.ร. เตรียมทหารเดิม ลุมพินี

ความจริงท่านเล่าว่า ทาง บก. ๓๓๓ ขอตัวคนชื่อจำลอง มา ซึ่งเป็นคนละจำลอง แต่ จนท.พิมพ์ชื่อเป็น จำลอง ศรีเมือง ท่านก็เลยยอมรับเป็นอาสาสมัคร มีชื่อรหัสว่า “ โยธิน ” รหัส ๓๖๔ “ หัวหน้าเทพ ” บก. ๓๓๓ ที่อุดรธานี

เห็นว่า โยธิน ซึ่งเป็นเหล่าสื่อสาร มีลักษณะเป็นผู้นำสูง จึงได้ตกลงใจคัดเลือกเอาไปทำงานในภารกิจนี้ โดยโยธินบอกว่า “ หากไม่ถึงคราวตายก็ไม่ตาย โยธินได้มีโอกาสเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๘ ว่า ก่อนนั้นเข้าเคยไปปฏิบัติการในลาวเมื่อปลายปี ๒๕๐๙ เคยไปประจำทีมหาข่าวต่างๆที่ปากเซ สุวรรณเขต หลวงพระบางและเคยไปกับทีม SR-5 กองร้อยทหารปืนใหญ่ของไทย (ป. ๑๕๕) ที่เมืองสุย จึงมีประสบการณ์พอสมควร

เมื่อได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ถึงความสำคัญของทีม Z-16 ซึ่งข้าศึกทราบถึงความสำคัญของที่ตั้งสถานีเรดาร์แห่งนี้และมีแผนที่จะทุ่มกำลังเข้าโจมตี ให้ได้ตามข่าวที่ทราบมา แต่ผู้บรรยายสรุปก็ไม่เชื่อว่าฝ่ายข้าศึกจะขึ้นตีภูผาทีได้ เพราะเป็นผู้เขาสูงชันมาก ฝ่ายเราอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ หากข้าศึกเข้าโจมตีจะสูญเสียอย่างหนัก

ในวันรุ่งขึ้น โยธิน จึงออกเดินทางไปคนเดียวทันทีโดยขึ้นเครื่องบินไปลงที่โรงเรียนเสนาธิการที่โล่งแจ้ง นอนค้างหนึ่งคืนแล้วเดินทางต่อด้วยเฮลิคอปเตอร์ ตามแผนจะต้องลงจอดที่ยอดเขาภูผาที แต่วันนั้นอากาศปิดจึงลงจอดที่บริเวณเชิงเขาแล้วเดินเท้าขึ้นไป จึงทำให้ทราบว่าหากข้าศึกจะเดินเท้าขึ้นเขาไปโจมตี คงไม่ยากนัก ระหว่างทางได้พบ ร.อ.เกียตู้ ผบ.หน่วยลาดตระเวนรอบเขาด้านล่าง ซึ่งโยธินเคยสอนที่โรงเรียนเสนาธิการ เกียตู้ ได้ให้การต้อนรับอย่างดีเพราะเป็นอาจารย์

เมื่อไปถึงที่ตั้งแล้ว โยธินได้เริ่มสำรวจภูมิประเทศและศึกษาแผนการป้องกัน ที่ตั้งที่วางไว้พบว่ามีการวางกำลังไว้ดีพอสมควร คือ ส่วน บก. ทีม Z-16 วางกำลังไว้บริเวณกลางยอดเขา มีกำลังทหารไทย ๑ กองร้อย ๔๐ นาย ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษ
แบ่งออกเป็น ๔ ชุด แต่ละชุดวางกำลังตามขอบแนวของหน้าผา มีอาวุธประจำชุดคือปืนกลหนัก จรวดยิงสนับสนุน และ ค. ๘๑ ส่วน ค. ๘๑ นั้น ได้ฝังดินไว้นอกแนววางกำลัง โดยได้ขึงลวดสะดุดไว้รอบที่ตั้งหากข้าศึกเข้ามาสะดุดสัญญาณกริ่งจะดังขึ้น

ส่วน จนท.เทคนิค ของ อเมริกัน จำนวน ๑๖ นายและนายทหารติดต่อ ๒ นาย จะอยู่ในบังเกอร์ที่สร้างไว้อย่างแข็งแรงสามารถป้องกันกระสุนปืนใหญ่และ ลูกระเบิดทิ้งจากเครื่องบิน ก็ไม่สามารถทะลุทะลวงได้ ส่วนกำลังทหารแม้วอีกหนึ่งกองร้อย มีพันตรีซัวย่า เป็น ผบ.หน่วย พันตรีซัวย่า จบจากโรงเรียนนายทหารแซงซี ฝรั่งเศส วางกำลังป้องกันด้านหน้าผาที่คาดว่าข้าศึกจะไม่เข้าตีทางด้านนี้

ส่วนด้านล่างของภูผาที มี ร.อ.เกียตู้ เป็น ผบ.ร้อยควบคุมทำหน้าที่ลาดตระเวน มีรหัสเรียกว่า พิกแฟต Pigfat สำหรับ ร.อ.เกียตู้ นั้น ได้รับการคัดเลือกเป็นพิเศษจากนายพลวังเปา เพราะภูผาทีแห่งนี้ก่อนที่จะใช้เป็นที่ตั้งของสถานีเรดาร์ Sophisticated Radar นั้น ฝ่ายข้าศึกได้เคยเข้าตีและยึดครองไว้ได้ ต่อมา ร.อ.เกียตู้ ได้สร้างวีรกรรมโดยการนำกำลังเข้าตียึดกลับคืนมา จึงทำให้นายพลวังเปาเชื่อในฝีมือ

( ลักษณะของภูผาทีนั้นเป็นหมู่บ้านแม้ว มีชาวบ้านอาศัยอยู่บริเวณโดยรอบตามเชิงเขา และมีอาชีพในการปลูกฝิ่นขายและเอาไว้เสพ การระวังป้องกันที่ตั้งหากจะใช้ลวดหนามล้อมรอบยอดเขาทั้งหมด โดยเฉพาะบริเวณที่ตั้งสถานีเรดาร์ ก็ทำไม่ได้เพราะถูกขอร้องจากครอบครัวของทหารแม้วว่า เนื่องจากพวกเขาได้ปลูกฝิ่นไว้บนรอบๆยอดเขาเพื่อใช้หารายได้เลี้ยงครอบครัวหากล้อมด้วยลวดหนามก็ไม่สามารถจะขึ้นไปได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้วิธีการขึงลวดสะดุดไว้แทน )
เมื่อมีการซักซ้อมและวางกำลังเรียบร้อยแล้ว โยธิน เล่าให้ผมฟังว่าได้ตระเวนเยี่ยมให้กำลังใจชุดปฏิบัติการต่างๆที่วางกำลังรับผิดชอบแต่ละด้านของยอดภูผาที

โดยเน้นว่าเวลาปะทะกับข้าศึกขอให้สู้จนขาดใจ คนเราถ้าถึงคราวตายเราก็ต้องตาย จะตายทั้งทีขอให้เป็นผีที่มีศักดิ์ศรี อย่าหนีทำตัวเป็นผีขี้ขลาด ผมซ้อมเตรียมรับศึกเต็มที่ ซ้อมเหมือนรบจริงๆ นับแต่เริ่มปะทะใครจะต้องทำอะไร ที่ไหน

เช่น ผู้ทำหน้าที่เป็นคนยิงเครื่องยิงลูกระเบิดหรือเป็นคนยิงปืนครกที่ชาวบ้านเรียกกันออกจากบังเกอร์รีบวิ่งไปที่หลุมงัดเอาเครื่องยิงออกมาตั้งยิงจับเวลาไว้อย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่เริ่มออกคำสั่งยิง จนถึงกระสุนนักแรกออกจากลำกล้องปืน จะใช้เวลาเท่าใด นายทหารติดต่อชาวอเมริกันที่ประจำการกับกองกำลังทหารไทยพอใจในการซ้อมมาก มั่นใจในความสามารถของทหารไทย

และถ้าฝ่ายไทยมีความจำเป็น ภายใน ๕ นาที เครื่องบินรบของอเมริกันก็พร้อมที่จะมาช่วยทิ้งระเบิดทำลายข้าศึก ทันที สถานการณ์ในขณะนั้นคับขันมากขนาดไปเข้าส้วมต้องถือปืนไปด้วย เพราะไม่ทราบว่าจะพบข้าศึกเมื่อใด

หลังจากมีการซ้อมใหญ่ผ่านไปผมเกิดลางสังหรณ์ ซึ่งในชีวิตไม่เคยเป็นมาก่อน ผมสังหรณ์ว่าอีกสองวันจะต้องปะทะกับข้าศึกอย่างหนัก จึงออกคำสั่งให้ทุกคนออมกำลังไว้ ใครไม่ติดการเข้าเวรก็ให้พักผ่อนให้เต็มที่ ตุนแรงไว้สู้ข้าศึก ค่ำลงผมปิดวิทยุหมด นอนโดยไม่รับฟังข่าวใดๆทั้งสิ้น มั่นใจอย่างบอกไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างที่สังหรณ์แน่ๆ ในช่วงนั้นเกิดเรื่องแปลกๆ ผู้ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้ข้าศึกมีอันต้องไปโน่นไปนี่หมด

ประจวบเหมาะกันพอดีราวกับนัดกันไว้ เช่น ครูปืนใหญ่ที่เดินทางมาจากเมืองสุย ที่ไปสอนวิธียิงปืนใหญ่ให้ทหารลาวครบกำหนดต้องกลับไปเมืองสุย ทั้งชุด

ผมนึกในใจว่าถ้านายทหารและนายสิบรวม ๕ นายนี้ได้อยู่กับเราอีกสักสัปดาห์ก็จะดี เพราะยิงปืนใหญ่เก่งมาก แต่ผมก็ไม่อยากขัด รอง ผบ.ชุดยศร้อยโท ขอลาไปทำพิธีหมั้นที่กรุงเทพ ฯ

ส่วน ลิโป้ ตชด. ผู้ชำนาญการรบนอกแบบขอลาไปกรุงเทพ ฯ เพราะยายป่วย เย็นวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๑๑ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ข้าศึกยิงปืนใหญ่นัดแรกไปตกบนภูผาที ผมกะจะนับเพื่อรายงาน บก. ๓๓๓ แต่นับไม่ทันเพราะข้าศึกระดมยิงอย่างหนัก

การตอบโต้ด้วย ป. ๑๐๕ ของทหารลาวไม่ได้ผล ผมตั้งข้อสังเกตในใจว่า สหรัฐอเมริกาได้คำนึงถึงด้านการเมืองในการวางแผนใช้กำลัง ด้วย เช่นถ้าใช้ทหารราบไทยก็ต้องใช้ปืนใหญ่ลาว ถ้าใช้ทหารราบลาวก็ใช้ปืนใหญ่ไทย ที่ไหนก็ที่นั่นรบกันได้ไม่นานทหารลาวหนีเอาดื้อๆ

เวลาที่ข้าศึกระดมยิงผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง ชุดรบทั้ง ๔ ชุดรายงานเข้า บก. Z-16 ว่า ลาวยังอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ ผมสั่งเปิดตู้เย็นเอาอาหารออกมาเลี้ยงกันอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าเวลา ๑๙.๐๐ น. ทหารลาวหนีหมด
ดังนั้นในวันที่ปะทะกับข้าศึก มีผมเป็นนายทหารสัญญาบัตรคนเดียว

แต่มีนายทหารหมออยู่คนหนึ่ง ชื่อ คัมส์ ( ชื่อรหัส ) แต่ท่านก็ช่วยในการรบไม่ได้ ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าการแต่งตั้งตำแหน่ง รอง ผบ.หน่วย ในขณะทำการรบต้องถือความสามารถเป็นสำคัญกว่ายศ แม้ใน บก. Z-16 มี จ่าสิบเอกหลายคนแต่ผมแต่งตั้งให้ จ่าสิบโท ฐิตะ ธรรมขุน เป็นรอง ผบ. (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว )

ตอนที่หน่วยจู่โจมของข้าศึกขึ้นไปที่ภูผาทีผมขอเครื่องบินไปทิ้งร่มพลุส่องแสงเห็นข้าศึกประมาณ ๕๐ คน กำลังเคลื่อนที่มาที่ บก. Z-16 ที่ผมอยู่ (รวมทั้งผมด้วย ๗ คนเท่านั้น) ผมกลัวสุดขีด

เมื่อตั้งสติได้ก็พยายามดัดเสียงให้เป็นปกติ สั่งการชุดปฏิบัติการทั้ง ๔ ชุด ทางวิทยุ ผมใช้ยุทธวิธียิงในที่มั่น ให้ทุกชุดยิง ค. เข้าหา บก. Z-16 ในระยะพอเหมาะไล่ข้าศึกให้กระจายออกไปเป็นวงรอบ อาศัยที่ซ้อมมาอย่างหนัก ตารางยิงกระสุนสมบูรณ์ข้าศึกตกใจ ไม่คิดว่าเราจะใช้วิธีนี้ตอบโต้
ในเวลานั้นกำลังรบเปรียบเทียบเราตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เพราะข้าศึกสามารถเข้าถึงส่วนของ บก. Z-16 ได้ในระยะใกล้ประชิดมาก การสู้รบดำเนินไปจนกระทั่งสว่าง

เป็นวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๑๑ เวลาประมาณ ๐๘.๐๐ น. เราสามารถกวาดข้าศึกบนภูผาทีออกไปได้หมด พบรอยเลือดข้าศึกเป็นหย่อมๆ เขาไม่ทิ้งผู้บาดเจ็บล้มตายไว้ในสนามรบเลย วินัยเคร่งครัดที่สุด

แม้พวกเราจะอิดโรยมาตลอดคืนแต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิตเลย ถ้าส่งอาวุธกระสุนและเสบียงไปให้อีกก็สามารถสู้กันได้อีก ผู้ใหญ่ฝ่ายไทยและอเมริกัน ตกลงใจให้ถอนกำลังกลับอุดรธานี

เราสูญเสียช่างเทคนิคชั้นดีของอเมริกันไปประมาณ ๒๐ คน เพราะข้าศึกปีนเขาขึ้นมาด้านที่ลาวรับผิดชอบ ใกล้ๆกับที่ตั้งของเรดาร์ โดยเอาระเบิดมือเข้าไปขว้างตามจุดต่างๆ ช่างเทคนิคบางคนที่รอดชีวิตมาได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อเกิดเรื่องจะออกจากห้องเรดาร์ เอาเชือกเส้นใหญ่ผูกกับต้นไม้ แล้วโหนตัวลงไปหลบในชะง่อนผาที่เตรียมไว้แล้ว

คืนนั้นก็ทำอย่างตอนซ้อมแต่พอลงไปแล้วลืมปลดเชือกออก ข้าศึกจึงไต่เชือกลงไปเอาระเบิดหย่อนใส่ แม้วเสียกำลังไปประมาณ ๒๐๐ คน เพราะอยู่ไม่เป็นที่ ไม่อยู่ในบังเกอร์เฮโลไปทางโน้นทีทางนี้ที ทหารแม้วส่วนมากเป็นเด็กอายุ ๑๔ – ๑๕ ปี ขวัญกำลังใจไม่มั่นคง

แม้ข้าศึกจะถอนกำลังส่วนใหญ่ออกไปแล้วแต่ก็ซ่อนตัวอยู่ตามรอบๆหน้าผา การถอนกำลังต้องทำอย่างรอบคอบ อเมริกันส่งเครื่องบินสกายเรดาร์มาบินวนรอบๆภูผาที ยิงกดหัวข้าศึกไว้ก่อน แล้ว จอลลี่กรีน เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยขนาดใหญ่จึงร่อนลงรับบนยอดภูผาที

ผมต้องขึ้นไปกับนักบินเพื่อชี้ที่ตั้งของหน่วยทหารไทยให้เฮลิคอปเตอร์ลงรับ มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่บินวนในระดับสูงน้ำมันใกล้จะหมด เห็นเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศบินเฉียดเข้ามาเติมน้ำมันให้ เคยได้ยินว่ามีการเติมน้ำมันกลางอากาศแต่ไม่เคยเห็น

การถอนกำลังเป็นไปอย่างทุลักทุเลใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเสร็จ ผู้ใหญ่ฝ่ายไทย และอเมริกัน และแม้ว งงไปตามๆกันว่าข้าศึกจำนวนมากขึ้นไปบนภูผาทีได้อย่างไร เพราะบริเวณที่ข้าศึกเข้าตีนั้นเป็นหน้าผาสูงชัน

ทุกฝ่ายเคยคาดแต่เพียงว่าข้าศึกจะเข้าตีในเส้นทางที่ขึ้นง่าย ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของทหารไทย ผมเองเวลาซ้อมจริงก็ตั้งสมมติฐานเช่นนั้น ร.อ.เกียตู้ มีกำลังพลไม่น้อยลาดตระเวนอยู่ข้างล่าง โดยรอบของผาที ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ทั้งอาวุธ อาหารการกิน

ร.อ.เกียตู้ เคยสร้างวีรกรรมไว้สมัยคอมมิวนิสต์ครอบครองภูผาที ตั้งแต่สมัยยังไม่มีเรดาร์พาสมัครพรรคพวกปีนเขาเข้าตีข้าศึก ยึดภูผาทีกลับคืนมาได้ แล้วเหตุไฉนจึงให้ข้าศึกปีนขึ้นมาได้ง่ายๆ

นอกจากจะเป็นใจให้กับข้าศึก ตามที่นายพลวังเปา สงสัย สองวันต่อมา นายพลวังเปาได้พา ร.อ.เกียตู้ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ไปตรวจพื้นที่การรบ เมื่อกลับลงมา

ร.อ.เกียตู้ ตายเสียแล้ว นายพลวังเปา แจ้งว่าระหว่างบินอยู่กลางอากาศข้าศึกยิงจากพื้นดินกระสุนปืนถูก ร.อ.เกียตู้ ตายคนเดียว คนอื่นปลอดภัย

เกียตู้รอดจากตายในที่ต่ำไปตายในที่สูง ส่วนทางฝ่ายทหารไทยนั้น แม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายสิบปีแล้วก็ตามผมจำได้ดีว่า พลโทธนดิษฐ์ สุทธิเทศ รอง หน.บก. ๓๓๓ ไปรับผมที่สนามบินอุดรธานี แล้วพูดกับผมว่า “ โยธิน ถ้าการรบครั้งนี้เปิดเผยได้ ผมขอเหรียญกล้าหาญชั้น ๑ ให้คุณแล้ว

เราได้ทำหน้าที่สำเร็จอย่างสมบูรณ์ สู้กับข้าศึก ขับไล่ข้าศึกออกจากพื้นที่ โดยที่เราไม่มีใครสูญเสียเลย ผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯ ประมาณการณ์ว่าเราสลายทั้งชุด ไม่เหลือเลยสักคน ”

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์รบนองเลือดที่ยุทธภูมิภูผาที ที่โยธิน ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง

สิ่งที่ให้บทเรียนอันล้ำค่าก็คือ ประสบการณ์การรบของทหารไทยที่ยืนยันถึงคุณค่าการฝึก การวางแผน การฝึกซ้อม การมีวินัย และการนำหน่วยที่ดีของ ผบ.หน่วย คือ ร้อยเอกจำลอง ศรีเมือง (โยธิน) ที่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จและกำลังลพทหารไทยปลอดภัย สมควรได้รับการยกย่อง
คนไทย

Submitted by on

ทหารแก่เคยรบแพ้มาแต่ก่อน
ป่วนเมืองร้อนวุ่นวายหมายล้างผลาญ
ก่อมุ่งหมายให้ล้มล้างรัฐบาล
รัฐประหารคือเครื่องมือถือชี้นำ

ยุทธวิธีดาวกระจุยดาวกระจาย
ก่อวุ่นวายหมายเป็นข่าวเฝ้ากรายกล้ำ
ปวงชนดูรู้ท่าขาประจำ
อย่าคิดล้ำประชาธิปไตย

2 คำถามเรื่องหลักการในข่าว “แดง” จับ “แดง”

กรณี “แดงจับแดง” ที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด หรือเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวและจบกัน แต่นี่คือเป็นปัญหาท่าที และหลักการของแกนนำซึ่งไปช้ากว่ามวลชนอย่างสม่ำเสมอ

M79 และผองเพื่อน: สิ่งเบี่ยงเบนข่าวสารราคาย่อมเยา

วิธีกลบข่าวแบบบ้านๆ ไทยๆ ไม่ต้องลงทุนมากก็กลบมันด้วยน้อง M79 ลูกกระสุนสนนราคาละไม่กี่ร้อย แต่ก็ได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งกลบข่าวคนเป็นหมื่นเป็นแสนที่ออกมาไล่รัฐบาลในขณะนี้

โอกาสเดียว 'ยึด' และ 'ยึดหมด' : ข่าวคดียึดทรัพย์ในสายตานักข่าวเทศ

สื่อต่างประเทศให้ความสนใจกับข่าวการเมืองในไทยกันหนาแน่นตลอดสัปดาห์นี้ ยิ่งใกล้วันศุกร์ วันที่สื่อทั้งหลายเรียกมันว่า judgement day มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งลงข่าวและบทวิเคราะห์กันคึกคักมากขึ้นเท่านั้น ประเด็นของการรายงานของสื่อนอกเน้นหนักไปที่สองเรื่องใหญ่คือ แนวทางของคำพิพากษาที่จะออกมา กับผลสะเทือนทางการเมืองจากการตัดสินหนนี้ ทั้งต่อการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างสองขั้วคือเหลืองกับแดง และผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย

(ที่มาของภาพ: มังกรดำ) ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อาคารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2551 หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ถือเป็นการกลับเมืองไทยครั้งแรกนับตั้งแต่เขาออกจากประเทศไปประชุมที่องค์การสหประชาชาติและเกิดการรัฐประหารโค่นอำนาจเขาเมื่อ 19 กันยายน 2549 ต่อมาวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 เขาเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งโดยไม่กลับมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่ดินรัชดา ล่าสุดในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทอีกคดี นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สื่อทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจต่อเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย