มาแต่งงานกันเถอะ(ว่ะ)

มาริยา มหาประลัย

20080418 wedding

“เฮ้ย! งั้นเรามาแต่งงานกันดีไหม(วะ)” ไม่มีแหวนเพชร ไม่มีเพลงประกอบสุดโรแมนติคคลอตาม ผู้ชายตรงหน้าฉันไม่ได้นั่งคุกเข่าอย่างในหนัง แต่พูดพลางแคะขี้มูกไปด้วยซ้ำ

กะพริบตาอีกทีฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นจูเลีย โรเบิร์ตสในหนังเรื่อง Runaway Bride ที่มีริชาร์ด เกียร์ กำลังคุกเข่าขอแต่งงานนี่หว่า แต่ฉันกำลังอยู่กับในร้านส้มตำสุดฮิปแต่โคตรแพงเพราะต้องเสียค่าดื่ม-แดกไลฟ์สไตล์คนเมืองแกล้มกับข้าวเหนียวไปด้วย

เรากำลังมันปากอยู่กับไก่ย่างและหัวข้อการสนทนาว่าด้วยความสัมพันธ์อันเผ็ดร้อนกว่าส้มตำปูรสแซ่บสะเด็ดสะเด่า หนุ่มสาวอย่างพวกเรายังโสด (ในความหมายว่ายังไม่มีแฟน) และเต็มไปด้วยพลังชีวิต หาได้ตั้งคำถามกับชีวิตไปวันๆ แค่ว่า “เมื่อไรฉันจะมีแฟนเสียที(วะ)”  

คำถามของเราในค่ำคืนนั้นก็คือ พออายุยังน้อยแบบนี้จะถือครองโฉนดความโสดก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่พออายุกระเถิบเข้าสู่เลขสามเลขสี่เมื่อไร คงต้องถูกพ่อแม่และ “ผู้หวังดีทั้งหลาย” ตั้งกระทู้ถามสดกลางสภาว่าเมื่อไรจะเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที ถึงตอนนั้นเราจะเอายังไงกันดี

ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะถูกหาว่าไม่มีใครเอาไปทำแม่ทำเมีย อันเป็นการบรรลุขั้นสูงสุดในการเกิดเป็นผู้หญิงที่ดีในสังคมที่มีรากฐานของผู้ชายเป็นใหญ่ ถ้าเป็นผู้ชายก็จะถูกตั้งคำถามกับความเป็นชายว่าเป็นเก้งกวาง (เกย์) หรือเปล่า ฟังแล้วอยากเท้าเอวถามแทนผู้ชายเหล่านั้นว่า “เป็นเกย์แล้วไง” แล้วสะบัดบ๊อบใส่หน้าคนนั้นซะ อ๊ายส์!   

คิดแล้วก็ขำ สังคมไทยสอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัวไว้เป็นมั่น แต่พรหมจรรย์ก็ต้องมีอายุการใช้งานของมัน ขืนเก็บไว้นานๆ ไม่มีใครพรากไปเสียทีก็โดนหาว่าไม่มีใครเอาอีก แล้วไอ้เรื่องการเป็นโสดกับเรื่องไม่มีใครเอานี่มันก็เป็นหนังคนละเรื่องกันชัดๆ

แต่แหม...ชีวิตก็ไม่ไร้ทางออกเสียทีเดียวหรอก ในเมื่อผู้ชายและผู้หญิงก็ถูกคาดหวังในเรื่องการแต่งงานกันทั้งคู่ ฉันและเพื่อนๆ ทั้งชายหญิงและอื่นๆ อีกมากมาย เลยตกลงกันว่า งั้นเรามาแต่งงานกันเองเถอะ!

ใช่! เราจะแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์!

ผลประโยชน์อะไรบ้างล่ะที่จะได้หลังจากการแต่งงาน โอ๊ย! เยอะแยะ! ตัดปัญหาการถูกตั้งคำถามเรื่องหน้าตาทางสังคม ฉันไม่ถูกมองเป็นสาวทึนทึกไร้คู่ พ่อแม่หมดห่วงไปได้อีกเปราะหนึ่ง ไหนจะมีคนดูแลเรายามป่วยไข้ มีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันแถมเป็นเพื่อนที่ฉันรักเสียด้วย ที่เก๋กว่านั้นคือ เราลดหย่อนภาษีได้ แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายลง ลดการใช้พลังงานลง นี่ฉันช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ด้วยนะเนี่ย! อ๊ายส์! เริ่ด! ท่าทางคู่ของเราจะอยู่ยั้งยืนยงคงกระพันตราบเท่าที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาฟ้องหย่าเพราะคู่ของตัวไม่ยอมมีเซ็กส์ด้วย!
    
อ้อ! เรื่องเซ็กส์น่ะเหรอ อันนี้แล้วแต่คน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนิยามความสัมพันธ์นี้ไว้อย่างไร บางคนอาจมีเซ็กส์กับเพื่อนได้ เพราะถือว่าเป็นคนที่เขาไว้ใจซึ่งกันและกันมากที่สุดก็ว่ากันไป แต่บางคนขืนจะให้ตกร่องปล่องชิ้นกับเพื่อนตัวเองคงไม่ไหว จะขอตัวช่วยหรือเปลี่ยนคำถามก็ตามสะดวก หรือถ้าเพื่อนชายที่ฉันจะเกี่ยวก้อยกันไปแต่งงานด้วยอยากจะเดทกับใครก็ตามใจเธอเถิด

เพราะตัวฉันเองก็จะเดทของฉัน เอิ่ม...ถ้ามีใครให้เดทน่ะนะคะคุณ! ถ้าผู้หญิงอีกคนเกิดงงๆกับความสัมพันธ์ของเราสองคน ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาเองว่า “อู้ย! คุณขา เดทกับสามีดิฉันไปเถอะค่ะ เราแต่งงานกันขำๆ เท่านั้นแหละ เอ่อ...ถ้าคุณมีเพื่อนชายก็แนะนำฉันได้นะคะ เผื่อฉันจะได้ไปลดภาษีกับคนอื่นบ้าง อ๊ายส์!!!”   
    
ความรักน่ะเหรอ? อู้ย! เราก็รักกันไงคะ แต่รักกันแบบเพื่อน ใครบอกกันว่าการแต่งงานต้องรักกันแบบ “คู่รัก” เท่านั้น การแต่งงานแบบโรแมนติค Happily Ever After แบบที่เราถวิลหาน่ะมันเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่สิบปีเองนะคุณ เหตุผลที่คนในยุคเกษตรกรรมแต่งงานกันน่ะเหรอ ก็เพื่อต้องการแรงงานเพิ่มเอาไว้ทำไร่ทำนาน่ะสิคะ อ๊ายส์! ฟังแล้วโคตรโรแมนติคเลย! ย้อนไปไกลกว่านั้น สมัยโบราณ เจ้าเมืองก็ยกลูกสาวตัวเองไปดองกับอีกเมืองหนึ่งเพื่อประโยชน์ทางความมั่นคงของรัฐตัวเอง รักเริกอะไรกันที่ไหนล่ะคะ ต่างอะไรกับที่ฉันบอกว่าอยากแต่งงานเพื่อลดภาษี!
    
เช่นเดียวกับที่คู่เกย์หลายคู่ที่บอกฉันว่า ทุกวันนี้เขาก็อยู่กินกันอย่างสามีภรรยาอยู่แล้ว แต่ เหตุผลเดียวที่เขาจะแต่งงานกันถ้ามีกฎหมายว่าเกย์สามารถแต่งงานกันได้ในประเทศไทย (ซึ่งอาจจะต้องเกิดเป็นเกย์อีกชาติ ประเทศไทยถึงจะเห็นว่าเกย์เป็น “ประชากร”) ก็คือผลประโยชน์ที่จะคุ้มครองการครองคู่ของเขาเหมือนอย่างที่สามีภรรยา Heterotype ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่ญี่ปุ่น ผู้หญิงและเกย์บางคนก็ยินดีแต่งงานกัน เพราะสังคมญี่ปุ่นคาดหวังต่อชายหญิงในเรื่องการแต่งงานสูงมาก ในเมื่อผู้ชายที่เป็นเกย์ในญี่ปุ่นไม่ได้รับการยอมรับ ส่วนผู้หญิงโสดในญี่ปุ่นก็เป็นที่ครหา การแต่งงานกันของคนทั้งคู่จึงเป็นเรื่องที่สมประโยชน์กันทุกฝ่าย ที่จริงไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่นหรอก คุณจะปฏิเสธเหรอว่าการแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์มันไม่มีเลยในเมืองไทยในปัจจุบัน

ตั้งแต่เด็ก เราถูกสังคมโปรแกรมใส่กบาลว่าสมการ พ่อ + แม่ + ลูก = ครอบครัว ย่อยลงไปกว่านั้น พ่อ = ผู้ชาย แม่ = ผู้หญิง พ่อกับแม่แต่งงานกันด้วยความรัก ฟูมฟักลูกด้วยความรัก (ละไว้ว่าด้วยความคาดหวังอีกข้อหนึ่งก็ได้) จินตนาการเกี่ยวกับครอบครัวของเราจึงถูกตีกรอบไว้แคบมากแถมยังมีอคติทางเพศเคลือบไว้ในความรักแบบครอบครัว เช่น พ่อที่เป็นเกย์จะเป็นพ่อที่ดีได้ไหม (เช่น ที่คนชอบพูดว่า “สงสารลูกเขานะ” เมื่อรู้ว่าดาราชายบางคนอาจเป็นเกย์) แล้วเป็นไปได้ไหมถ้าแม่เป็นเลสเบี้ยน ถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่ก็มีปัญญาและมีหัวใจที่เลี้ยงเรามาได้ เราจะยอมรับได้ไหม และเราจะเรียกความสัมพันธ์ของเพื่อนสองคนที่อยู่ด้วยกัน มีเซ็กส์กัน แต่ไม่ได้รักกับแบบ “คู่รัก” ว่าครอบครัวได้ไหม

แล้วเราเปิดใจไว้กว้างสำหรับ “ครอบครัว” แบบอื่นๆ ที่เป็นอยู่และกำลังจะเป็นไปไว้มากน้อยเพียงใด

เราได้เห็นว่าคนรุ่นใหม่บางกลุ่มกำลังตั้งคำถามและพยายามสร้างนิยามใหม่ของการแต่งงานและการมีครอบครัวที่มากไปกว่าสมการ การแต่งงาน = ผู้ชาย 1 คน + ผู้หญิง 1 คน + ความรักแบบคู่รัก อย่างที่สังคมเคยยัดใส่สมองมา ไปเป็นสมการการใช้ชีวิตรูปแบบอื่นที่อาจจะเข้ากับชีวิตของเขาได้ดีกว่า สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ วิธีตอบโต้กับปฏิกิริยาของสังคมของพวกเขา ในเมื่อสังคมอยากคาดหวังและควบคุมกรอบการแต่งงานดีนัก ก็โอเค! อยากให้แต่งงานเหรอ ได้! ไม่ปฏิเสธ! ถ้าผลประโยชน์มัน “ถึง” และ “พร้อม” ก็พยักหน้ายอมรับมัน แต่ไม่ได้แปลว่าเขา “ก้มหัว” ให้กับมันเสียหน่อย คุณเห็นไหมว่า “ขบถ” กำลังแอบหัวเราะเยาะหึๆ ใส่สังคมอยู่น่ะ  

เพราะหน้าฉากมันคือการยิ้มรับการแต่งงานตามจารีตปฏิบัติ แต่หลังฉากคือการตบหน้าและถ่มถุยใส่การแต่งงานดีๆนี่เอง

มันก็เหมาะกันดีกับสังคมมือถือสากปากถือศีลแบบนี้มิใช่หรือ

ความเห็น

Submitted by มน. on

คุณมาริยา (หรือมาริสา) เพิ่งมาเขียนหรือคะ
เปรี้ยวใจดีกิงๆ

จะรออ่านอีกค่ะ

Submitted by why on

เราอยู่กับความจริงที่แท้จริง และความจริงที่เสกสรรค์ปั้นแต่งห่อหุ้มความจริงที่แท้จริง บางสิ่งบางอย่างต้องรื้อออกมาให้เห็น อะไรคือจริงแท้ อะไรคือจริงไม่แท้ เพื่อที่เราจะเผชิญกับชีวิตได้อย่างเชื่อมั่น บางครั้งความจริงลวงก็ให้ผลดีแก่ฃีวิตมากมากกว่าความจริงแท้

Submitted by ท่านโอยาชิโร่ on

เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ต้องพ้นไปจากการคลุมถุงชนแบบโบราณ ๆ คร่ำครึ
แล้วต้องดูกฏหมายด้วย ว่ามันทำให้ ช. หรือ ญ. เสียเปรียบป่าว เมื่อก่อนฉันก็บ้า ๆ การขบถแบบปัจเจก ๆ แต่มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้กับผู้หญิงที่อยากแต่งงาน (หรือแต่งไปแล้ว) แต่ไม่อยากเสียเปรียบน่ะ

Submitted by ปุ้ย on

ซี๊ดส์....

โดนเลย...

Submitted by vagabond on

แต่งงานกับผมเถอะครับ Please!!

Submitted by มาริยา มหาประลัย on

ขออนุญาตแทรกแซงนะคะ แหม...เขียนมาตั้งนานเพิ่งจะมีโอกาสมากราบขอบพระคุณทุกท่าน ณ ที่นี้ ได้แต่ด้อมๆมองๆว่าเขาจะด่าเราไหมหนอ ขอบคุณมากนะคะทุกท่าน

ถึงคุณ Vagabond...ขอแต่งงานเลยเหรอคะ อ๊ายส์!! ดิฉํนไม่ขออะไรมาก ขอแค่ข้าวคลุกตับบดทุกมื้อ พาดิฉันไปงับจานร่อนบ้าง อ๊ายส์! ไม่ใช่!! ว่าแต่นี่เราจะแต่งงานกันเพื่อลดภาษีอย่างที่ดิฉันเขียนหรือยังไงดีคะ ตกลงกันให้รู้ความ ดิฉันจะได้ไม่ไปตกปากรับคำชายอื่น

ถึงคุณปุ้ย...ขอบคุณค่ะที่โดน หวังว่าคราวต่อๆไปจะโดนอีกนะคะ

ถึงคุณท่านยาอิชิโร่ คุณ Why...ขอบคุณค่ะที่แลกเปลี่ยนกัน รักดิฉันน้อยๆแต่รักนานๆนะคะ แต่ถ้าจะขอดิฉันแต่งงาน ไปตกลงกับคุณ Vagabond เองนะคะ อ๊ายส์!

ถึงคุณมน....ประเดิมเป็นคนแรก ดิฉันเห็นแล้วน้ำตาไหลกระซิกๆตามประสาหญิงมากจริต หวังว่าจะไม่รอดิฉันจนรากงอกกันไปก่อนนะคะ ดิฉันจะพยายามส่งต้นฉบับบ่อยๆ

Submitted by ยอม on

หลงรักเกย์ หรือ เก้ง ก็ไม่รู้ ยอมนะ ถ้าเราจะช่วยให้เค้าไม่ต้องถูกพ่อแม่ว่ากล่าวได้ ยินดีแต่งงานแต่ในนาม อยู่กันแบบเพื่อน เพราะเราก็เข็ดกะผู้ชายที่รักตัวเองมากกว่าเราเสียแล้ว ถ้าเค้ามีแฟนเป็นชายหรือมีความสุขกับใครอยู่ เราก็ไม่ได้รังเกียจ ขอเพียงเค้าให้เกียรติเรา ไม่ปิดบังว่าคบใครอยู่ ไม่ทำให้สังคมรับรู้ นอกจากเค้าอยากเปิดเผยตัวตน เราก็จะดีใจด้วย ถ้าเค้าทำได้คงไม่ต้องแต่งงานกับเรา เห็นด้วยกับเรื่องการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็ต้องดูคนด้วยเหมือนกัน มันไม่ได้ดีเหมือนกันหมด นี่ถ้าไม่ได้รู้จักกันมานานพอสมควร ไม่ได้ปลื้มนิสัยเค้าเป็นทุนเดิม เราก็ไม่ยอมหรอก มีแฟนเป็นเกย์ สู้ครองความโสดไปจนตายดีกว่า แต่นี่เรารัก ในสิ่งที่เค้าเป็น ยอมรับได้ ถ้าเค้าจะเป็นเก้ง เป็นเกย์ หรืออะไรก็ตาม ขอเพียงให้รักษาความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป แค่นั้นก็เกินพอ หากเราหรือเค้าต้องมีอันเป็นไป ก็จะไม่ตายอย่างโดดเดี่ยว เค้าจะมีฉัน และเพื่อน ๆ แฟน ๆ ของเค้า ฉันขอเพียงแค่มีเค้าแค่นั้นก็พอ ครอบครัวที่อบอุ่นพ่อแม่ลูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอลูกคนอื่น มาเลี้ยงก็ได้ เพราะอายุมากแล้ว มีเองก็เสี่ยง ทุกอย่างมีคำตอบ มีทางแก้ไขได้

เพศวิถีมีชีวิต : การเปลี่ยนแปลงจากภายใน อะไรที่ท้าทายเรา?

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

เพศวิถีมีชีวิต : เพศวิถีของวัยรุ่นในวันที่โลกหมุนเปลี่ยน

โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา

เพศวิถีมีชีวิต: เคารพในความหลากหลาย รักเลือกได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

เพศวิถีมีชีวิต: ชีวิตทางเพศ เริ่มคุยจากตัวเอง

สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ

เพศวิถีมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงจากภายใน

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน

ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์