Skip to main content
จังหวะที่ผมลุกขึ้นและตามเจ้าของบ้านเพื่อไปกินข้าว สายตาผมแวบไปมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเหมือนคุ้นเคยกันมานาน ทั้งที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาก็จ้องหน้าผมเหมือนรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี

 

"โพโดะ (หลาน) คืนนี้มีการขับธาไหม?" เขาถามผมเหมือนรู้ว่าใจผมต้องการอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนแสดงอาการไม่มั่นใจในบางอย่างออกมา

"โอ้โห ต้องมีซิ" ผมตอบโดยไม่ต้องเดาว่าเขาคือโมะโชะคนหนึ่งแน่นอน


ระหว่างที่นั่งทานข้าวที่ห้องโถง ผมแอบได้ยินบทสนทนาของคนที่อยู่ในบ้านโดยบังเอิญหรือโดยความตั้งใจก็มิทราบ

 

"ก็บอกกันแล้ว! ว่าไม่ให้ใครร้องบทธา หรือธาปลือใดๆทั้งนั้น" เสียงของผู้ชายในบ้าน

"ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ เค้าเกือบจะร้องแล้ว ถ้าเกิดพี่สาวไม่เป็นลมเสียก่อนมันก็จะร้องจริงๆ" เสียงผู้หญิงสนทนาตอบ

"เมื่อกี้ มันจะร้องอีกครั้งพี่สาวก็เป็นลมอีก ฉันจึงต่อว่าเขาไปสองสามดอก แล้วมันก็หยุด" เสียงผู้หญิงอีกคน

 

ผมพยายามนั่งทานข้าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกในใจผมสับสนอย่างแรง ความตั้งใจ ความคาดหวังระหว่างที่เดินทางมาถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง มีการจุดธูปไหว้ศพได้? แต่ร้องธาปลือไม่ได้? มันอะไรกันแน่? แต่สิ่งที่ผมรู้อย่างหนึ่งคือ สำหรับงานศพครั้งนี้ ธา ปลือยังเป็นเพลงต้องห้ามอย่างเคร่งครัด ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่งานของขุนพลเพลงธาแท้ๆ แต่ไม่มีการร้องเพลงธา โดยเฉพาะ ธา ปลือ ซึ่งเป็นธาสำหรับคนตาย

 

รู้สึกรสชาติของอาหารเย็นมื้อนี้มันเปลี่ยนไปจากตอนเริ่มทานแรกกับตอนที่ได้ยินบทสนทนาภายในบ้าน อย่างไรก็ตาม หากทำแล้วเกิดความขัดแย้งก็ควรชะลอไว้ก่อน ค่อยๆสร้างความเข้าใจกันใหม่ สร้างพื้นที่กันใหม่

 

บ้านหลังที่ติดร้านขายของชำเป็นบ้านลูกสาวคนสุดท้องของพือพอเหล่ป่าที่กำลังได้เกือบครึ่งทางแล้ว มีการเขียนข้อความ "ดนตรีถึงพ่อ....พ้อเหล่ป่า" ตรงหน้าระเบียงทางเข้าบ้าน ความมืดคลุมยอดดอยจนทั่ว แต่ความเงียบไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านได้ ประมาณสองทุ่มครึ่ง ปรากฏร่างอาจารย์ลีซะและภรรยารวมทั้งพี่นนท์ อยู่ใต้ข้อความที่ระเบียงทางเข้าบ้านของลูกสาวคนสุดท้องของพือพอเหล่ป่า ดนตรีถึงพ่อ..พ้อเหล่ป่า จึงเริ่มขึ้น

 

เริ่มต้นด้วยเพลง "พ้อเหล่ป่า ผู้เฒ่าแห่งแม่แฮ เขียนชีวิตเขียนแผ่นดินด้วยเลือดเนื้อ พ้อเหล่ป่า ผู้เฒ่าแห่งแม่แฮ เขียนชีวิตเขียนแผ่นดินด้วยวิญญาณ" ต่อด้วยเพลงเราคือคนปกาเกอะญอ

 

"เพลงเราคือคนปกาเกอะญอ ผมได้แนวคิดมาจากหนังสือ "ปกาเกอะญอ ข้าคือคน" ของพ้อเหล่ป่า พ้อเหล่ป่าเป็นปกาเกอะญอในประเทศไทยรุ่นบุกเบิกที่เดินทางบอกเล่าเรื่องราวปกาเกอะญอ การเดินทางเข้าเมืองในยุคแรกๆนั้น บางครั้งเดินหลงทางในเมือง บางครั้งเดินชนกระจกในตึกใหญ่ แต่ก็ยังคงบอกเล่าตำนานด้วยชีวิต" อาจารย์ลีซะกล่าวหลังจากจบเพลง

 

"ผมเป็นคนจากดินแดนอื่น ครั้งแรกที่ผมมาเจอพ้อเหล่ป่า ผมได้ขอเป็นญาติ เพราะผมเห็นตัวหนังสือเดินได้จากแม่แฮคีและออกเดนทางไปทั่วประเทศ เด็กรุ่นใหม่ได้รับรู้ว่าพาตี่ทำอะไรบ้าง คนข้างนอกได้รู้จัก นักเขียน นักคิด นักอ่าน นักศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท จนถึงดอกเตอร์ ได้รู้จักปัญญาคนคนปกาเกอะญอ" พี่นนท์กล่าวหลังจากร้องเพลง "สัตว์ป่า" จบ

 

บรรยากาศ หน้าระเบียงซึ่งเป็นถนนภายในหมู่บ้านถูกปิดชั่วคราว โดยแปลงเป็นที่นั่งสำหรับชมดนตรีถึงพ่อ..พ้อเหล่ป่า เด็กรุ่นใหม่นั่งนิ่งฟังเพลง ผู้เฒ่า ผู้แก่ พ่อบ้านแม่บ้านน้องจ้องไปบนเวทีเหมือนดูสิ่งมหัศจรรย์บางอย่าง ในขณะที่อาจารย์ลีซะและพี่นนท์ยังคงบรรเลงบทเพลงต่อ


บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าวันที่ 10 กันยาฯ ทีมทั้งหมดเริ่มซ้อมเพื่อทบทวนกระบวนท่าฟ้อน ท่ารำ ท่วงท่าทำนอง จังหวะจะโคน ก่อนตระเวนออกศึก การซ้อมเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มหิมพานต์ 2nd World ของพี่ทอด์ด ทองดี ต่อด้วยเพลงของ ซอ สมาชิกวง the sis ตามด้วยเพลงของลานนา คัมมินส์ รวมทั้งเพลงของมือระนาดและมือโปงลาง หมอแคน จนมาปิดท้ายที่เพลงของผม
ชิ สุวิชาน
บรรยากาศจากเทือกเขาสแครนตัน   หลังจากที่นักดนตรี นักร้อง นักรำมาถึงกันครบองค์ทั้งหมดแล้ว จึงเริ่มมีการแกะกล่องสัมภาระที่ขนเครื่องดนตรีและเครื่องไม้เครื่องมือประกอบการแสดงที่มาจากเมืองไทย ผมเริ่มแกะพลาสติกกันกระแทกที่ห่อเตหน่ากูไว้ เตหน่ากูได้โผล่ออกมารับแสงรับลมอีกครั้ง
ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าตื่นมา อากาศเย็นค่อนไปถึงหนาว ในขณะที่คณะที่มาด้วยกันยังนอนหลบกันอย่างเมามันจากอาการเพลียเพราะการเดินทาง ผมเดินลงไปในห้องครัวเผื่อเจออะไรที่ทานได้บ้าง หน้าห้องครัวเจ้าของบ้านได้ติดรูปคนในครอบครัว รูปลูกชายสองคน ที่ผมแปลกใจคือมีรูปหนึ่งที่ไม่ใช่รูปของผู้ชาย เป็นรูปคล้ายนางฟ้ามีข้อความเขียนว่า “Bless this home”  ทำให้นึกถึงบ้านคนไทยที่มีการเขียนหน้าบ้านต่างๆหลายอย่างเช่น “มั่งมีศรีสุข” บ้าง “บ้านนี้อยู่แล้วรวย” บ้าง
ชิ สุวิชาน
การรอคอยที่ไทเปสิ้นสุดลง เมื่อประตูสู่นิวยอร์กได้เปิดออกให้ผู้โดยสารเดินเข้าไปในเครื่องบิน ระยะทางกว่าสิบสี่ชั่วโมง ผมอยู่กับเพลง World Music ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้เลือกจากสายการบิน บางเพลงมีเสียงระนาด ขลุ่ย และมีจังหวะหมอลำปะปนด้วยได้กลิ่นไอดนตรีไทยเป็นอย่างสูง ผมจึงยกหูฟังให้พี่สานุ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์จากกรุงเทพฟัง เขาฟันธงเลยว่าเสียงทั้งหมดเป็นการ Samp มาทั้งนั้น ไม่ใช่เสียงจริงดั้งเดิมที่คนเล่นมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าความน่าเบื่อของการอยู่บนเครื่องเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี  
ชิ สุวิชาน
ก่อนเดินทางมีการแถลงข่าวที่กรุงเทพ มีผู้สนับสนุนทั้งกระทรวงการต่างประเทศและบริษัทบุญรอดฯมาร่วม หลังงานแถลงข่าวมีการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนที่มาในงาน
ชิ สุวิชาน
ความจริงแล้วผมมีกำหนดการนัดสัมภาษณ์ขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปประเทศอเมริกาในวันที่ 2 กันยายน 2552 ขณะที่กำหนดการในการเดินทางไปประเทศดังกล่าวคือเช้าวันที่ 3 กันยายน 2552 หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แผนกำหนดการเดินทางอาจมีปัญหาได้ ฉะนั้นทางบริษัท ลาเวลล์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ประสานและเป็นผู้อำนวยการการเดินทางในครั้งนี้ ได้ขอทำเรื่องเร่งรัดการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้นก่อนการสัมภาษณ์เดิม
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย คำรบที่สาม เป็นไปอย่างเรียบง่ายเล็กๆ กะทัดรัด ตามประเด็นหัวข้อที่นำเอาเรื่องของ "การจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงในรูปแบบโฉนดชุมชน" ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสชนเผ่าทางภาคเหนือต่างมากันอย่างครบครันเช่นเดิม
ชิ สุวิชาน
เขาเดินลงไปท้ายหมู่บ้าน พร้อมกับบทเพลง" อย่าให้น้ำตาไหลริน"ของ ฉ่า เก โดะ ที  แม่จ๋า อย่าปล่อยให้น้ำตาได้มีโอกาสไหล            บัดนี้อายุลูกครบ สิบหกบริบูรณ์แล้วดั่งกฎของชายชาติทหารทุกประทศมี                  ลูกต้องทำหน้าที่เพื่อการปฏิวัติพ่อได้สละชีพจนแม่เลี้ยงลูกอย่างกำพร้า             อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ลำเค็ญ แม่ทนถึงคราวลูกชายคนโตต้องไปทำหน้าที่ต่อ     …
ชิ สุวิชาน
สงครามตามชายแดนไทย-พม่าริมแม่น้ำเมยได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ทางการพม่าออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนกับสงครามที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันเอง คือระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ผลของการสู้รบทำให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วยกันเองที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ ต้องหนีภัยจากการสู้รบ หลายชุมชนต้องฝ่าเสียงกระสุนปืน หลายชุมชนต้องฝ่าดงและเสียงระเบิด ในขณะที่เดินฝ่าความตายเพื่อหนีตายนั้น ต้องทำด้วยความเงียบ ความรวดเร็ว ต้องเก็บแม้กระทั่งเสียงร้องไห้
ชิ สุวิชาน
เพลงต่อเพลง ถูกเล่น ถูกร้อง ถูกเล่า ถูกถ่ายทอดออกมาล้วนมีที่มาที่ไปไม่แตกต่างจากเจตนารมณ์ของพ้อเหล่ป่าที่ทำตอนที่ยังชีวิตอยู่ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง อาจารย์ลีซะกับพี่นนท์ก็โยนเวทีมาให้ผม ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการสับสนเพราะไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี สิ่งที่เตรียมเล่นเตรียมพูดในขณะที่เดินทาง เล่นไม่ได้พูดไม่ได้ มันเป็นประเด็นเปราะบางสำหรับพื้นที่นี้ งานนี้อีกครั้งหนึ่ง!
ชิ สุวิชาน
จังหวะที่ผมลุกขึ้นและตามเจ้าของบ้านเพื่อไปกินข้าว สายตาผมแวบไปมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเหมือนคุ้นเคยกันมานาน ทั้งที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาก็จ้องหน้าผมเหมือนรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี  "โพโดะ (หลาน) คืนนี้มีการขับธาไหม?" เขาถามผมเหมือนรู้ว่าใจผมต้องการอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนแสดงอาการไม่มั่นใจในบางอย่างออกมา"โอ้โห ต้องมีซิ" ผมตอบโดยไม่ต้องเดาว่าเขาคือโมะโชะคนหนึ่งแน่นอน
ชิ สุวิชาน
ทุกครั้งที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแม่แฮใต้ ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีครั้งไหนที่เลยผ่านร้านขายของชำเล็กๆริมทาง ที่มีผู้เฒ่าปากแดงด้วยน้ำหมากนั่งเฝ้าอยู่ มีของที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคนภูขายซึ่งมักเป็นอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวและยารักษาโรคเบื้องต้น  แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย