Skip to main content

 

ในชีวิตนี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกเพื่อนเก่าพยายาม "ขายตรง" เลยสักครั้ง แม้จะมีเรื่องร่ำลือกันในหมู่เพื่อนฝูงอยู่เป็นระยะว่า ให้ระวังคนนั้นคนนี้ให้ดี เขาจะมาขายตรงกับมึง และแม้เพื่อนนักขายตรงจะใช้วิธีโทร.ชวนเพื่อนเก่าไปกินข้าวเรียงตัวครบกันทั้งวงแล้ว แต่ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุผลใด ผมจึงเป็นคนที่จะถูก "เว้นวรรค" เสมอ 
 
ยิ่งพอมีเรื่องมาเล่ากันว่า เพื่อนเก่าหลายคนเปลี่ยนไปหลังได้เข้า "ลัทธิขายตรง" พูดจาคนละภาษากับสิ่งที่เขาเคยเชื่อเคยเป็นมาตลอด ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย อยากรู้ว่า ลัทธิพวกนี้เขาทำได้อย่างไร ในใจก็อยากให้เพื่อนลองมาพยายามขายเราบ้าง จะได้หาโอกาสซักถามให้หายสงสัย ทั้งที่รู้อยู่ว่าอาจจะไม่ได้คำตอบอะไรก็ตาม แต่เพื่อนก็ไม่เคยมาขายเสียที ความสงสัยจึงยังค้างคาอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งวันนั้น โทรศัพท์จากหมายเลขปลายทางที่ไม่รู้จักโทร.เข้ามา
 
"สวัสดีค่าาาา น้องป๋าวววว นี่พี่... น้าาา จำได้ไหมคะ" (นึกในใจ เชี่ย! นี่มันใครวะ)
 
"พี่มีโปรเจ็คใหญ่อยากมาชวนน้องเป๋าทำค่ะ เป็นโปรเจ็คใหม่ที่ร่วมมือกันหลายสิบประเทศเลยนะคะ ขอถามหน่อยว่า ถ้าโปรเจคนี้จะทำให้น้องเป๋ามีรายได้ ห้าหรือหกหลักต่อเดือน และทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น น้องเป๋าสนใจไหมคะ"
 
เสร็จ! แค่นี้ก็รู้แล้วว่า ปลายสายต้องการอะไร เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเท่านั้น ถ้าเพื่อนเก่าจะมาพยายามขายตรงก็อาจจะอึดอัดลำบากใจ แต่ถ้าเป็นคนหน้าไหนไม่รู้ คงไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจกัน
 
วันนั้นตอบกลับไปได้ความว่า "ผมไม่สนใจว่าจะได้รายได้เท่าไรครับ แต่สนใจว่าต้องทำอะไร ถ้าเป็นงานที่อยากทำก็ทำครับ" จากนั้นก็จัดแจงนัดหมายวันเวลา หลายคนคงคิดว่าผมบ้าที่ไปเสียเวลาให้อะไรแบบนี้ ก็เป้าหมายแรกตั้งแต่นาทีที่รับสาย คือ การเดินทางไปเรียนรู้โลกใบใหม่ เพื่อหวังหาคำตอบของคำถามบางอย่างในใจ และตั้งใจว่าอยากจะลองเขียนเรื่องราวต่อไปนี้เนี่ยแหละ 
 
 
บทที่หนึ่ง ขั้นตอนการหลอกล่อเมื่อเจอกันครั้งแรก ฉบับ Unicity
 
เราได้เจอกันที่ร้านกาแฟในช่วงสายของวันหนึ่ง เธอแนะนำตัวว่าเราเคยคุยกันครั้งหนึ่งหน้าลิฟท์ที่อพาร์ทเม้นต์ การเจอกันแบบนี้ใครจะไปจำได้?? แต่ก็เนียนคุยกันไป เธอทำงานกับบริษัท Unicity ซึ่งผลิตและขายยา ผมถามคำถามแรกทันทีว่า จะให้ผมทำอะไร เธอเริ่มจากอธิบายว่า ต้องเริ่มจากเข้าใจหลักคิดก่อน แล้วเปิดคลิปผ่าน iPad ให้ดู เป็นคลิปอดีตดาราอย่างพอล ภัทรพล มาบรรยายหลักคิดขึ้นพื้นฐาน
 
พอลสอนว่า การมีความสุขในชีวิตต้องอาศัยสามปัจจัย 1.) เงิน 2.) เวลา 3.) สุขภาพ ทุกวันนี้ผู้คนทำงานเหนื่อยมากเพื่อหาเงิน แต่ก็ไม่มีความสุขเพราะไม่มีเวลา เมื่อแก่จนเกษียณแล้วก็มีเงินเก็บ มีเวลา แต่ไม่มีความสุขเพราะสุขภาพไม่ดี วัฏจักรการหาเงินแบบนี้เรียกว่า แบบ active income คือ ต้องใส่แรงใส่เวลาไปถึงจะได้เงินกลับมา หยุดทำเมื่อไรก็ไม่มีเงิน ไม่มีทางทำให้ชีวิตเรามีความสุขที่แท้จริงได้ เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ย้ายจากฝั่ง active มาหาเงินด้วยวิธีแบบ passive income เพื่อให้สุดท้ายเราจะมีทั้งเงิน เวลา และสุขภาพ ไปพร้อมๆ กันได้
 
ดูคลิปคุณพอลพูดเรื่องนี้ได้ที่
 
 
คุณพอล อธิบายได้ดี และเข้าใจง่าย ชัดเจนตรงประเด็น แต่ผมก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด ผมลองโยนคำถามกลับไปว่า สมการนี้ยังไม่ครบ เพราะการจะมีความสุขได้นอกจากสามปัจจัยนี้แล้ว คนเรายังต้องการความรู้สึกยอมรับนับถือในตัวเองด้วย ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ามีเงินแล้วนอนเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ เธอตอบสวนทันควันว่า "ใช่ค่ะ น้องพูดถูก ดังนั้นถ้าเรามีเงิน เวลา สุขภาพ ครบเมื่อไร ยิ่งมีเร็วเราก็จะยิ่งมีเวลาไปทำสิ่งที่เราอยากทำไงคะ" 
 
ในช่วง 15 นาทีแรก ผมถามเธอรวมสามครั้งว่า งานที่ต้องทำคืออะไร เธอไม่ยอมตอบแต่ยังคงพยายามอธิบายหลักคิดเรื่อง passive income อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน หลังจากนั้นผมจึงไม่พยายามถามอีก แล้วปล่อยเธอบรรยายฝ่ายเดียว เธอยกตัวอย่างบุคคลที่เรียกว่า "ผู้สำเร็จ" เพื่อแสดงความร่ำรวยอย่างละเอียดมากขึ้น เธอเปิด powerpoint ผ่าน ipad ให้ดูเป็นขั้นเป็นตอนอย่างช่ำชอง ประกอบไปด้วยรูปผู้คนจำนวนมากยืนเต๊ะท่าใส่แว่นดำคู่กับรถสปอร์ต ยี่ห้อแลมโบกินีสีเหลือง ฉากหลังเป็นทะเลสาบเมืองทองธานี (ใครช่วยบอกเธอทีว่ารูปพวกนี้เชยมาก) เธอเล่าถึงชีวิตของหลายคนที่เคยยากจนมาก่อน บางคนเป็นถึงทายาทธุรกิจยักษ์ใหญ่ ยังมีดารานักแสดงมากมาย แต่สุดท้ายพวกเขาเปลี่ยนชีวิตได้ด้วยการเริ่มจากเปลี่ยน "หลักคิด"
 
 
เธอเล่าว่า การหา passive income ตามปกติจะต้องเป็นเจ้าของกิจการ หรือต้องมีเงินลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ แต่การทำงานกับ Unicity ไม่ต้องมีเงินลงทุนอะไรมาก เพราะ Unicity มีเครื่องมือและระบบพร้อมให้เริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง
 
การทำงานกับ Unicity นั้นจะไม่ปล่อยให้เราทำงานคนเดียว มีองค์ประกอบที่สนับสนุนสี่เสาหลักด้วยกัน 1.) ตัวเราเองที่จะเป็นคนลงมือทำ 2.) บริษัท Unicity ที่จะคอยผลิตและส่งยาอย่างมีมาตรฐาน 3.) ระบบ Unipower คือ ระบบที่ออกแบบมาให้ชักชวนต่อกันเป็นเครือข่ายและแบ่งรายได้เป็นเปอร์เซ็นต์ 4.) ทีมพี่เลี้ยงที่จะช่วยกันสอนงาน ซึ่งทั้งสี่อย่างจะช่วยสนับสนุนให้เราประสบความสำเร็จ เธอเล่าว่า Network Marketing เป็นเทรนใหม่ของการทำธุรกิจ ขอให้ดูการเปิดสาขาของเซเว่นเป็นตัวอย่าง คือ กิจการที่เจ้าของไม่ต้องทำงานเอง แต่ต้องให้เครือข่ายไปหารายได้มาให้ และเธอก็ชี้ไปยังร้านค้ารายรอบตัว เธอยืนยันว่าสมัยนี้ต้องทำธุรกิจแบบนี้เท่านั้น โดยเรียกวิธีการทำกำไรจากเครือข่ายว่าระบบ "คานผ่อนแรง" หรือ leverage
 
หลักอีกอย่างหนึ่งที่สนใจ เธอบอกว่า การสมัครทำงานกับ Unicity สิ่งที่จะได้ทันที 1.) เป็นหุ้นส่วนในกิจการของ บริษัท Unicity 2.) เป็นหุ้นส่วนในสิทธิบัตรยาของ Unicity 3.) ได้มีสิทธิใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของ Unicity 4.) ได้มีกิจการเป็นของตัวเองและมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
 
45 นาทีแรกผ่านไปด้วยการสอน "หลักคิด" การชักจูงใจให้เลิกคิดหาเงินด้วยวิธี "แบบเก่า" คือ active และเปลี่ยนเป็น passive ที่ทำให้มี "เงินไหล" เข้าบัญชีโดยไม่ต้องทำอะไร ซึ่งไม่เรียกว่ารวย แต่เรียกว่า "มีอิสรภาพทางการเงิน" หลังจากโน้มน้าวใจด้วยความร่ำรวยและภาพรถหรูๆ บ้านหรูๆ วนกลับไปกลับมาหลายรอบ เธอใช้เวลาประมาณ 10 นาทีพูดเรื่องยาต่างๆ ของบริษัทว่ามีสรรพคุณดีอย่างไรบ้าง ส่วนนี้เธออาจไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจมากนัก เพราะคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพไม่น่าจะฟังรู้เองได้เลย
 
5 นาทีสุดท้าย เธอยกกราฟรายได้มาให้ดู เป็นตารางละเอียดยิบๆ ที่จะบอกว่าทำอะไรแล้วได้ค่าตอบแทนอย่างไร เธอพูดอย่างรวดเร็วมาก 3-4 วินาทีเธอก็ปราดไปถึงท้ายตารางในวันที่มีรายได้หลักล้านต่อเดือน ไม่ให้โอกาสเราหยุดครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวเลขค่าตอบแทนแถวๆ ที่จะได้ตอนลงทุนใหม่ๆ โดยเธอก็ยังไม่ได้บอกว่าเราต้องทำอะไร เธอเปิดไปที่หน้ารายได้แล้วบอกว่าถ้าเลือกแบบ 100PV เราจะได้ส่วนแบ่ง 3% เลือกแบบ 200PV เราจะได้ 5% และดีสุดๆ คือ ถ้าเลือกแบบ 500PV เราจะได้ 20% โดยยังไม่ได้บอกว่าเราต้องทำอะไร 
 
ผมต้องเอ่ยปากถามไปว่า PV คือ อะไร และได้คำตอบกลับมาว่า PV เป็นหน่วยมูลค่าของสินค้าที่ Unicity คิดขึ้นใช้เองซึ่งใช้เป็นค่ากลางทั่วโลก 1 PV=ห้าสิบบาทเศษๆ การเลือก 100 PV หมายถึง ต้องซื้อยามาบริโภคเองได้มูลค่ารวมแล้วห้าพันบาทเศษๆ โดยมียาของบริษัทให้เลือกกว่า 400 ชนิด แต่ละชนิดมีมูลค่าไม่เท่ากัน อยากใช้ตัวไหนก็เลือกตัวที่ชอบให้รวมกันแล้วราคาถึง 100 PV และระหว่างนี้ก็ออกหาเครือข่ายไปด้วย ชวนคนใหม่ๆ เข้ามาเป็นเครือข่ายทำธุรกิจนี้ด้วยกัน หาเครือข่ายได้เท่าไรเราก็รับส่วนแบ่งสัดส่วน 3% เป้าหมาย คือ ให้ทุกคนหาเครือข่ายได้ห้าคน และเครือข่ายไปหาอีกคนละห้าคนละคน เราก็จะมีเครือข่ายทำงานให้ 25 คน และมีกิจการเป็นของตัวเอง แต่ถ้าหาไม่ได้ก็กินยาไปเรื่อยๆ รักษาสุขภาพตัวเองไป เมื่อพอเห็นภาพก็เลยขอถ่ายรูปไว้เสียเลย เธอทำหน้างงๆ ผมก็กดมาเบลอๆ
 
 
 
 
ผมยืนยันว่าถ้าจะให้ทำกิจการอะไรก็ต้องมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เธอหยิบสัญญาแบบสำเร็จรูปตัวหนังสือเล็กจิ๋วขึ้นมาให้หนึ่งฉบับด้วยความลังเล เธอบอกว่ายังไม่ต้องรีบตัดสินใจวันนี้ก็ได้ เธอชวนคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยๆ ก็เอาของวางทับๆ กระดาษแผ่นนั้นไว้ 
 
เธอขายฝันต่อไปว่า วิธีการทำธุรกิจแบบนี้จะทำให้ประสบความสำเร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว จะมีสิ่งที่เรียกว่า "เงินไหล" เข้ามาแบบ passive income หลังจากนั้นเราก็จะมีความสุขจริงๆ จึงเรียกงานแบบนี้ว่า Happy Life Project ซึ่งเธอในฐานะ "ผู้มาก่อน" พบเห็นแล้วความสุดยอดของธุรกิจนี้แล้วจึงอยากชวนทุกคนมาทำ เพราะอยากให้ทุกคนในสังคมมีความสุขและสังคมจะได้ดีขึ้น
 
พอถึงตรงนี้ รู้สึกคันๆ แล้วก็เลยลองโยนหมัดกลับไปหน่อย 
 
ผมบอกว่า เรื่องนี้ผมไม่เชื่อ เพราะทรัพยากรในโลกนี้มีจำกัด เงินมีจำกัด ทรัพย์สินมีจำกัด คนทุกคนรวยพร้อมกันไม่ได้ ถ้ามีคนรวยมากขึ้นจำนวนเงินในสังคมที่คนอื่นเข้าถึงได้จะลดลง เธอหน้าเสียไปเล็กน้อยแต่ก็สวนกลับได้ทันควันสมกับที่ถูกฝึกมา เธอพูดวนไปเรื่องอื่นก่อนจนเมื่อตั้งหลักได้ เธอยอมรับว่า ใช่ คนในสังคมทุกคนรวยพร้อมกันไม่ได้ ดังนั้น จึงอยู่ที่ใครคว้าโอกาสได้ก่อน ตอนนี้โอกาสมาแล้วถ้าเราช้าก็จะคว้าไม่ทันคนอื่น
 
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ หลังจากจุดนี้เป็นต้นไป เธอจะไม่สามารถปริปากอ้างว่ากำลังทำเพื่อคนอื่นในสังคมให้ผมต้องได้ยินอะไรแบบนี้อีก
 
เป็นเวลาเกินชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งฟังหลักคิดเรื่องความรวยแบบ passive และรถแลมโบกินี่สีเหลือง วนไปวนมา เลยตัดสินใจต้องขอตัวกลับ ก่อนลุกขึ้นผมคว้าเอากระดาษสัญญากลับมาดูเล่นๆ ด้วย เธอยื่นแผ่นซีดีให้สองแผ่นบอกให้เอาไปศึกษาต่อด้วยตัวเอง 
 
"ระหว่างนี้ขออย่าเพิ่งไปคุยกับใคร และอย่าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนะคะ ถ้าสงสัยอะไรให้ถามพี่" เธอ “ผู้มาก่อน” กล่าว
"ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจเราต้องศึกษาข้อเท็จจริงก่อน จริงไหมคะ? แต่สิ่งที่คนอื่นพูดเป็นแค่ความคิดเห็น อย่าได้หลงเชื่อ น้องมีหน้าที่ต้องหาข้อเท็จจริงด้วยตัวเองนะคะ" น่าจะเป็นบทสำเร็จรูปที่เธอต้องพูดทุกครั้ง
 
หลังเข้าสู่ห้องเรียนบทที่หนึ่ง สัมผัสได้แต่ว่ามีความพยายามใช้ความร่ำรวย หรือที่เขาเรียกว่า "อิสรภาพทางการเงิน" มาเป็นเป้าในการหลอกล่อ ผมเดินจากมาด้วยหัวสมองที่มึนงง หนักหน่วง และความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ที่ต้องฝืนนั่งอยู่ต่อหน้าคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่พูดจาเหมือนสนิทสนมเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยรู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน
 
 
 
บทที่สอง เยือนสำนักงานใหญ่ รับฟังความร่ำรวยแบบรวมหมู่
 
หลังจากวันแรกที่เจอกัน เธอยังคงโทรมาหาอีกหลายครั้งและกำชับให้เปิดดูซีดีให้ได้ จนวันหนึ่งผมก็เปิดดู เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มาเล่าเรื่องตัวเอง อายุน่าจะเกิน 45 ร่างสูงโปร่งรักษาหุ่นอย่างเป๊ะ เธอมีฉายาที่เรียกกันว่า Presidential Ruby ในซีดีเธอขับรถแลมโบกินีสีเหลืองเข้าไปกลางเวทีคอนเสริ์ตขนาดใหญ่ ไฟส่องสว่างและดนตรีเปิดตัวดังกระหึ่ม แฟนคลับกลุ่มใหญ่ถือป้ายไฟเป็นชื่อเธอและส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดคล้ายกลุ่มแฟนคลับดาราเกาหลี เธอเปิดประตูลงจากรถ เดินโบกมือทักทายแฟนๆ ออกไปหน้าเวทีด้วยชุดสีทองอร่ามทั้งตัว และเริ่ม "เล่าเรื่องตัวเอง"
 
จับใจความได้ไม่ยาก เธอเคยเป็นพนักงานธนาคารสักแห่ง มีความรู้เรื่องการบัญชีการเงิน เคยประสบความยากลำบากมานานัปการ จนเจอโปรเจ็คนี้ ตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่พอได้ศึกษาและเริ่มลงมือทำก็เห็นข้อเท็จจริง ภายใน 1-2 ปีก็ประสบความสำเร็จและมีความสุขเพราะหลักคิดแบบ passive income มาจนทุกวันนี้
 
 
 
 
 
เธอ "ผู้มาก่อน" ของผมพยายามชักชวนให้ไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท เพื่อไป "หาข้อเท็จจริง" เพิ่มเติมหลายครั้ง ผมก็ยอมรับนัด และเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท Unicity ซึ่งตั้งอยู่ติดกับเซ็นทรัลพระรามเก้า เป็นตึกสูงสิบกว่าชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก ติดป้าย Unicity ใหญ่โต ใครผ่านไปเซ็นทรัลพระรามเก้า ถ้าลองแอบสังเกตก็จะเห็นแน่นอน
 
 
เวลาหนึ่งทุ่มตรงตามนัด ตึกนี้ไม่มีท่าทีว่าจะเลิกงาน ผู้คนเดินเข้าออกกันพลุกพล่านตลอดเวลา บรรยากาศภายในอัดแน่นไปด้วยคนจากหลากหลายที่มา มีเค้าท์เตอร์ที่ยังเปิดทำงานอย่างแข็งขันสำหรับรับสมัครคนมาลงทะเบียนเริ่ม "ทำธุรกิจ" มีโต๊ะเก้าอี้มากมายที่คนหลายสิบนั่งจับกลุ่มสุมหัวคุยกันยุกยิกๆ เต็มไปหมด หลายคนแต่งตัวดี ผู้ชายใส่สูทโก้เก๋เซ็ตผมมันแผล่บ ผู้หญิงแต่งชุดคล้ายๆ จะไปออกงานกลางคืนได้ คนต่างชาติเดินกันทั่วไปหมด ดูหน้าตาและการแต่งตัวน่าจะมาจากตะวันออกกลาง ด้านในเป็นจุดรับส่งสินค้า มีคนกดบัตรคิวนั่งรอรับยาที่เป็นสินค้าของบริษัทเต็มไปหมด พร้อมช่องให้เปลี่ยนสินค้าได้ถ้าไม่พอใจ
 
 
 
 
 
เธอ "ผู้มาก่อน" ยืนรออยู่ตรงนั้น แต่งหน้าทาปากสดใสคล้ายว่าการทำงานวันนี้เพิ่งเริ่มต้น เธอทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรียิ่งกว่าเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานหลายปี เธอพาเข้าไปนั่งในห้องด้านหน้าสุดที่ติดป้ายว่า "ห้อง VIP" ขณะที่ด้านในมีห้องประชุมขนาดใหญ่อีกอย่างน้อยสองห้องที่จุคนได้ห้องละมากกว่าหนึ่งร้อยคน เธอบอกว่าห้องนั้นสำหรับคนที่ Advance แล้ว เธอใช้คำว่า "ห้องป.2" "ห้องป.3"
 
ห้อง VIP น่าจะเป็นห้องสำหรับคนมาใหม่ ข้างในอัดแน่นด้วยเก้าอี้มากกว่า 150 ตัว และมีเวทีฉายไสลด์อยู่ตรงกลาง พื้นพรมและผนังห้องค่อนข้างเก่า มันน่าจะถูกใช้งานอย่างหนักมามากกว่า 5 ปีแล้ว ตอนพิธีกรเดินขึ้นเวทีในห้องมีคนนั่งอยู่ประมาณ 30-40 คน หลายคนดูแววตาเหม่อลอยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก พวกเขาคงถูกลากมาในลักษณะเดียวกัน
 
ผู้บรรยายในวันนี้เป็นหญิงสาวอายุไม่น่าเกิน 30 ปี ท่าทางทะมัดทะแมงใส่สูทที่รีดมาอย่างเรียบกริบ แนะนำตัวเองว่าเป็นหนึ่งในคนที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ผมหันไปถามคนที่พามาว่าเธอเป็นวิทยากรประจำหรือเปล่า เธอตอบว่า ไม่ใช่ วิทยากรจะเปลี่ยนไปทุกวัน โดย "ผู้สำเร็จ" จะหมุนเวียนกันมา "เล่าประสบการณ์" ให้ฟัง เพราะที่นี่ต้องการให้เรา "เรียนรู้จากประสบการณ์จริง"
 
หญิงสาวเปิดสไลด์อันเดียวกับที่ผมได้ดูผ่าน iPad วันก่อน ทั้งรถแลมโบกินีสีเหลืองข้างทะเลสาบเมืองทองธานี การอ้างดาราผู้มีชื่อเสียงอย่างคุณพอล ภัทรพล หลักคิดว่าด้วย passive income, ความสุขประกอบด้วย เงิน เวลา สุขภาพ, ความร่วมมือสี่เสาหลัก ฯลฯ แล้วปราดเดียวก็โยนไปที่รายได้เลข 7 หลัก หญิงสาวใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงสิบนาทีลำดับเรื่องและยกตัวอย่างเหมือนที่ผมได้ฟังวันก่อนแทบทุกประการ โดยไม่เอ่ยแม้สักคำว่าคนที่จะทำธุรกิจนี้ต้องใช้ต้นทุนอะไรบ้าง 
 
 
 
 
หญิงสาวมีเทคนิคการบรรยายที่มีอรรถรส มีมุขตลกสอดแทรกเล็กน้อย และกระตุ้นผู้ฟังให้มีส่วนร่วมได้ 
 
"ไหนใครอยากทำได้แบบนี้บ้างขอมือหน่อยค่ะ..." เธอมักถามอะไรแบบนี้
 
"ได้เกษียณเร็วขึ้นแบบนี้ใครชอบบ้าง..." อีกหนึ่งตัวอย่างคำถาม
 
ทุกครั้งที่เธอโยนคำถามให้ผู้ฟังจะมีเสียงตอบเซ็งแซ่กลับมา เช่น "แบบนี้อยากได้ไหมคะ?" ก็จะมีเสียงตอบว่า "อยาก...." ซึ่งต้นเสียงไม่ได้มาจากกลุ่มคนที่มีแววตาสงสัยและเหม่อลอย แต่มาจากกลุ่มคนที่แต่งตัวสวยงามรอยยิ้มเต็มใบหน้าที่นั่งอยู่ข้างๆ กันนั้น เธอคนที่พาผมมาก็ช่วยส่งเสียงตอบสร้างบรรยากาศสนุกสนานด้วยตลอดเวลา พวกเขาช่วยกัน "ทำมาหากิน" ได้อย่างจัดเจน 
 
ผู้บรรยายคนที่สองเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกิน 30 อีกเช่นกัน ท่าทางทะมัดทะแมงพูดจาฉะฉาน ยิ้มแย้มแจ่มใส ใส่สูทสีน้ำเงิน ลงแว็กซ์ผมมันแผล่บ รองเท้าหนังหัวแหลมเฟี้ยว พร้อมนาฬิกาทองเรือนโต ชายหนุ่มเล่าถึงชีวิตตัวเองว่าก่อนหน้านี้ก็รวยมากแล้วเพราะมีธุรกิจของครอบครัว แต่พอได้มาทำงานกับ Unicity แล้วรู้ได้ว่าเมื่อก่อนนั้นแค่รวย แต่ยังไม่ใช่ความสุขจริงๆ ทุกวันนี้เขามี "อิสรภาพทางการเงิน" ซึ่งต่างจาก "รวย" รวยนั้นแปลว่าเงินเยอะ แต่อิสรภาพทางการเงินคือมีเงินไหลเข้าตลอด โดยไม่ต้องทำอะไร
 
"เมื่อเรามีอิสระภาพทางการเงิน เวลาดูเมนูอาหารที่ไหน เราไม่ต้องดูด้านขวามือ ดูแค่รายการที่อยากสั่งก็พอ" ชายหนุ่มเล่าอย่างภาคภูมิใจ พร้อมย้ำว่าอยากให้ทุกคนมีอิสรภาพทางการเงินจึงขอชวนมาทำธุรกิจนี้ด้วยกัน
 
 
ชายหนุ่มใช้เวลาบรรยายความร่ำรวยของตัวเองประมาณสามสิบนาที พอพูดจบบรรดาหน้าม้าแต่งตัวสวยงามนำปรบมือเกรียวกราว ผมลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ เห็นคนเข้ามาอัดแน่นกันจนเต็มห้อง เก้าอี้กว่า 150 ตัวที่เคยว่างมีคนนั่งเต็มหมด ด้านหลังห้องมีคนกลุ่มใหญ่ยืนฟังแถมยังมีที่ล้นออกนอกประตู
 
คนค่อยๆ ทยอยเดินออกแล้วไปหาที่นั่งจับกลุ่มกันต่อนอกห้อง ใครพาใครมาก็พาไปนั่งคุยกันต่อเผื่อมีข้อสงสัยอะไรที่ยังคาใจ พี่คนที่พาผมมาเล่าว่ามีการบรรยายอย่างนี้ทุกวันและมีคนมาฟังมากขนาดนี้ทุกวัน ว่างวันไหนก็มาฟังวันนั้นได้ตอลด ผมถามว่าเนื้อหาเหมือนกันหมดทุกวันเหรอ เธอตอบว่า ใช่แต่ "ผู้สำเร็จ" ที่มา "แบ่งปันประสบการณ์" จะเปลี่ยนกันไป 
 
หลังจากนั้นเธอชวนผมขึ้นไปดูบรรยากาศที่ชั้น 14 เธอบอกว่าเป็นชั้นสำหรับระดับผู้บริหารใช้คุยงานกัน ผมก็ตามไป ชั้น 14 ดูโอ่โถ่ง ไม่จอแจ ตกแต่งหรูหรากว่าชั้นล่าง มีห้องย่อยๆ แบ่งซอย แต่ละห้องมีคน 7-8 คนนั่งล้อมวง วาดแผนผังบนกระดาน และพูดคุยออกแบบธุรกิจกันอย่างขะมักเขม้น 
 
 
ตอนลงมาแล้วสังเกตป้ายหน้าลิฟท์เห็นว่า จริงๆ แล้วตึกแห่งนี้ไม่ใช่ของ Unicity ทั้งหมด แต่ Unicity เช่าไว้บางชั้น ส่วนชั้นอื่นบริษัทต่างๆ ก็มาเช่าทำออฟฟิศกันตามปกติ
 
ก่อนแยกย้ายกลับในวันที่สอง เธอ "ผู้มาก่อน" ยังฝากซีดีมาให้ดูอีกสองแผ่น และฝากย้ำคำเดิมว่าอย่าเพิ่งไปคุยกับใคร ขอให้ "หาข้อเท็จจริง" ด้วยตัวเอง
 
 
 
บทที่สาม เรียนรู้ ‘How to’ 8 ขั้นตอนง่ายๆ ในการ “ทำธุรกิจ”
 
ห้าง Paladium ตั้งอยู่ตรงสี่แยกประตูน้ำ เป็นห้างร้างที่แทบไม่มีคนเดินซื้อของ ชั้นใต้ดินเป็นสำนักงานอีกสาขาหนึ่งของ Unicity เธอพยายามนัดให้ผมไปที่นั่นหลายครั้ง ผมบอกเธอว่าถ้าให้ฟังแบบเดิมไม่อยากฟังแล้วเพราะเข้าใจหมดแล้ว ผมบ่ายเบี่ยงเรื่อยมาเพราะขี้เกียจไปฟังเรื่องเดิม แต่สุดท้ายก็ไปดูเผื่อว่าจะได้รู้อะไรเพิ่มเติมอีก 
 
คราวนี้ไปสายเล็กน้อย การบรรยายเริ่มไปได้สักสิบนาทีแล้ว ผู้หญิงตัวเล็ก อายุไม่เกิน 30 ปี ผมสั้นใส่สูทท่าทางคล่องแคล่วกำลังบรรยายเดี่ยวประกอบสไลด์ โดยมีผู้ช่วยเขียนสไลด์ขณะเธอพูดไปเรื่อยๆ ทั้งผู้บรรยายและผู้ช่วยประสานงานรู้จังหวะกันอย่างคล่องแคล่ว วิธีการบรรยายอย่างเป็นระบบของคนคู่นี้น่าประทับใจมาก ในวงการอื่นจะหาวิทยากรเรียบเรียงความคิดและพรีเซ็นต์ดีดีแบบ "ผู้สำเร็จ" ทั้งหลายของบริษัทนี้ยากเหลือเกิน
 
บทเรียนคราวนี้มีเนื้อหาแตกต่างจากการฟังบรรยายสองครั้งก่อน และเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ผู้บรรยายเล่าถึงหลัก 8 ขั้นตอน ในการทำงานกับ Unicity โดยบอกว่า แค่ทำ 8 ขั้นตอนนี้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ก็รับรองว่าประสบความสำเร็จแน่นอน เท่าที่จะจำและจดออกมาได้ 8 ขั้นตอน ก็มีประมาณนี้ 
 
1. ใช้สินค้าของเขา (ขั้นตอนนี้มีชื่อเรียกเฉพาะแต่ไปไม่ทันฟัง)
เท่าที่ทันฟังพอได้ความว่า  ถ้าอยากพูดเก่งเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จแล้วขอให้ซื้อแผ่นซีดีไปฟัง หนึ่งชุดมี 4 แผ่น เรียกว่า BOP ได้ยินแว่วๆ ว่า 900 บาท ซีดีเหล่านี้จะมีคาราโอเกะให้ฝึกพูดด้วย ข้างในจะขึ้นภาพและคำคาราโอเกะให้หัดพูดตาม "เปิดแล้วพูดตามไปสัก 9 รอบ จะพูดไม่ได้ มีเหรอคะ?" เธอตั้งคำถามใส่ผู้ฟัง 
 
นอกจากซีดีก็ยังมีหนังสือคู่มือว่าด้วยการปฏิบัติตาม 8 ขั้นตอนนี้ขายอีกเหมือนกัน เป็นหนังสือเล่มบางๆ ข้างในมีเนื้อหาไม่มาก ข้าวของคู่มือการทำงานเหล่านี้ไม่ได้วางขายอยู่ในตู้โชว์หน้าบริษัท แต่สามารถติดต่อซื้อได้จาก "คนที่แนะนำให้คุณมา"
 
2. ความฝันและเป้าหมาย
เธอสอนให้เรากำหนดเป้าหมายในชีวิต ให้ได้ก่อนว่า คืออะไร แล้วกรอกแบบฟอร์มในสมุดคู่มือเพื่อแจกแจงออกมาว่าการจะไปถึงเป้าหมายนั้นต้องใช้เงินเท่าไร แล้วสังเกตให้ดีว่าการหารายได้แบบ active ในปัจจุบัน ทำให้ความฝันมีแต่หดเล็กลง แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีคิดเป็น passive ได้ก็จะทำให้ความฝันขยายใหญ่ขึ้น และแทนค่าวิธีการหารายได้ใหม่เพื่อไปสู่เป้าหมายให้เร็วขึ้น (ฟังรอบเดียวยังไม่ได้ซื้อคาราโอเกะมาฝึก เลยจำได้แค่นี้เอง)
 
3. ลิสต์รายชื่อ
ขั้นตอนนี้ คือ ต้องเขียนรายชื่อคนที่เรารู้จักออกมาก่อนว่าจะไปชวนใครมาเป็นเครือข่ายบ้าง โดยแบ่งประเภทให้ชัดว่าแต่ละรายชื่อเป็นคนประเภทไหนในสามประเภท 1) ความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีเครดิตต่อกันดี ถือว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานง่ายที่สุด 2) ความสัมพันธ์ไม่ใกล้ชิด แต่เครดิตต่อกันดี ยังถือว่าเป็นกลุ่มที่ง่ายอยู่ 3) ความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่เครดิตต่อกันไม่ดี เป็นกลุ่มที่ทำงานยากที่สุด โดยมือใหม่ไม่ควรไปทำงานกับกลุ่มที่ 3) ทันทีเพราะจะถูกปฏิเสธได้ง่ายแต่ให้ปรึกษาทีมพี่เลี้ยงให้ดีก่อน
 
ขั้นตอนการลิสต์รายชื่อนี้ หญิงสาวสอนว่า เทคนิคสำคัญมีข้อเดียว คือ "อย่าคิดแทน" อย่าไปคิดแทนว่าคนนี้คงไม่สนใจ คนนี้รวยแล้วคงไม่อยากทำ คนนี้จะไม่มีเวลาฟังเรา แต่ขั้นตอนที่ลิสต์นั้นคิดได้กี่ชื่อกี่เบอร์ให้ลิสต์มาให้เยอะที่สุดก่อน ส่วนชื่อไหนจะยากหรือง่ายค่อยมาปรึกษากับทีมพี่เลี้ยงแล้ววางแผนร่วมกันอีกที
 
4. ทำนัด
คือ การโทรศัพท์ไปนัดออกมาคุย เทคนิค คือ ให้ใช้เวลาโทรศัพท์ให้น้อย เริ่มจากทักทายสั้นๆ ถามวันว่าง และเข้าสู่ส่วนสำคัญ คือ ส่วนที่เรียกว่า "คัดคุณภาพ" ซึ่งเป็นการโยนโจทย์ที่ผู้รับสายน่าจะสนใจ เช่น ถ้าผู้รับสายยังไม่มีงานทำชัดเจน ก็บอกไปว่ามีโปรเจคที่รายได้ 6 หลัก ถ้าผู้รับสายเป็นคนมีงานมีเงินแต่ไม่มีเวลา ก็บอกไปว่าจะมีโปรเจคที่ทำให้มีเวลาว่างอยู่กับครอบครัวมากขึ้น และเกษียณเร็วขึ้น สุดท้ายก็คือนัดหมายเวลามาเจอกัน
 
พอมาถึงตรงนี้ ผู้บรรยายและผู้ช่วยทดลองเล่นบทบาทสมมติให้ดู โดยให้ผู้เข้าร่วมช่วยกันคิดคาแรกเตอร์ของคนที่จะโทรไป "ทำนัด" และลองทำให้ดูเป็นตัวอย่างเหมือนว่าโทรศัพท์ไปชวน
 
เธอสอนกฎกติกาอีกอย่างที่น่าสนใจ เธอบอกว่า อย่าใช้เครดิตหรือความเกรงใจส่วนตัวในการนัดหมายมาเจอ เพราะจะทำให้ผู้รับสายอึดอัดใจ แต่ทุกครั้งต้องบอกให้ชัดเจนว่า จะนัดมาคุยเรื่องการทำธุรกิจ
 
5. STP แสดงแผน
ผมไม่รู้ว่า STP ย่อมาจากอะไร แต่เท่าที่จับใจความได้ ขั้นตอนนี้คือการซักซ้อม โดยให้พี่เลี้ยงสาธิตการโทรศัพท์ให้ดูสามรอบ และให้ทดลองทำเองกับพี่เลี้ยงสามรอบก่อนเริ่มทำจริง
 
6. ติดตามผล
หญิงสาวผู้บรรยายเปรียบเทียบว่า ให้นึกถึงคนจีบกัน ต้องทำให้คนรับสายรู้สึกว่าเราให้ความสำคัญและใส่ใจจริงๆ ถ้าโทร.ไปหาครั้งเดียวคงไม่มีทางจีบใครติด ถ้าวันนึงโทร.ไปแล้วยังไม่สำเร็จก็ค่อยโทร.ใหม่ เพื่อให้คนรับสายรู้ว่าเราต้องการคุยด้วยจริงๆ
 
7. เข้าระบบ
คือ การพาเข้าไปเห็นข้อเท็จจริง โดยพามาที่สำนักงานของบริษัทเพื่อให้เห็นระบบการทำงาน ให้เห็นว่าคนจำนวนมากกำลังทำธุรกิจนี้อยู่ ผู้บรรยายเปรียบเทียบกับ การทำการค้าขายทั่วไป ถ้าจะให้ไว้ใจกันก็ต้องพาไปดูโรงงานผลิตว่ามีความสามารถจริงๆ เวลาชวนใครมาทำ Unicity ก็ให้พามาดูที่บริษัทนี้ ซึ่งมีสาขาอยู่หลายจังหวัดทั่วประเทศไทย
 
8. วางแผนกับทีม
ขั้นตอนสุดท้าย คือ การทำงานเป็นทีมร่วมกับพี่เลี้ยง 
 
มาถึงตรงนี้ผู้บรรยายอธิบายต่อว่า การอยู่ร่วมกันใน Unicity นั้นอยู่กันเป็นทีมมีระบบชัดเจน คนที่ชวนเรามาทำนับขึ้นไปหนึ่งชั้นเรียกว่า Upline คนที่เราไปชวนมาทำนับลงไปหนึ่งชั้นเรียกว่า Downline ส่วนคนที่อยู่สายงานเดียวกันมี Upline คนเดียวกันเรียกว่า Sideline (ชื่อตำแหน่งนี้ตลกนิดหน่อย) ทั้งหมดจะทำงานเป็นทีมเดียวกัน วางแผนกำหนดเป้าหมายร่วมกัน 
 
 

กฎเหล็กของการอยู่ร่วมกันที่ Unicity มีสามข้อ 
1. "เรื่องดีให้บอกลง เรื่องร้ายให้บอกขึ้น" หมายถึง ถ้าเจอปัญหาอะไรในการทำงานให้บอก Upline ขึ้นไปข้างบน แล้วข้างบนจะช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหา ถ้า Upline แก้ไขปัญหาไม่ได้ก็จะบอกให้ Upline ของ Upline ช่วยกันแก้ขึ้นไปอีกทอด ส่วนถ้ามีเรื่องดีดีมาเล่าให้บอก Downline ลงไปข้างล่าง 
2. อย่า Cross Line อย่าข้ามเส้นระหว่าง Line กัน 
3. ห้ามยืมเงิน และห้ามชู้สาว เพราะว่าหากจีบกันใน Line หรือ ข้าม Line แล้ววันหนึ่งมีเหตุให้เลิกกัน อาจทำให้มีคนต้องออกจาก Unicity ไปก็จะเสียหายสำหรับ Line นั้น หรือถ้ายืมเงินกันแล้วมีปัญหากันก็เช่นกัน จะกระทบความสัมพันธ์ในการทำงาน
 
 
รู้จักทีม ทุกคนใส่ใจกันและกัน
 
หลังจากเสร็จการบรรยาย เธอ "ผู้มาก่อน" พาผมไปแนะนำให้รู้จักกับ Downline ของเธออีกสองคน นัยว่าจะได้เป็น Sideline ที่ต้องร่วมงานกับผมต่อไป ว่าที่ Sideline ของผมยิ้มกว้างชนิดผิดหูผิดตาสำหรับคนเจอกันครั้งแรก เริ่มแนะนำตัวและเปิดบทสนทนาเพื่อจะรู้จักกัน เธอ “ผู้มาก่อน” บอกว่าวันนี้ได้นัดให้ Presidential Ruby คนที่เคยเห็นในซีดี ซึ่งเป็น Upline โดยตรงของเธอมานั่งคุยกับเราแบบเป็นการส่วนตัวด้วย และขอให้ผมอยู่คุยให้ได้
 
President ผู้มี Downline มากมายนับไม่ถ้วน ประสบความสำเร็จจนได้รับตำแหน่งที่เรียกกันว่า Diamond มี "เงินไหล" เจ็ดหลักต่อเดือนแต่งตัวด้วยชุดราตรีสีดำ กระโปรงยาวเสื้อเป็นลูกไม้โปร่ง นั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของหนุ่มสาวสิบกว่าชีวิต เธอกำลังพูดชักจูงใจอะไรบางอย่าง และไม่ว่างแม้จะหันหน้ามารับไหว้เรา 
 
ระหว่างรอ President ว่าง ผมเดินดูสำนักงานสาขานี้โดยรอบ คนจำนวนมากแต่งตัวดีผิดปกติเหมือนกับที่สาขาพระรามเก้า ชาวต่างชาติตะวันออกกลางก็มากมาย ที่นี่ไม่เห็นมีช่องจ่ายยา นอกจากห้องประชุมใหญ่สองห้องก็มีโต๊ะเก้าอี้ท่ามกลางบรรยากาศหรูหราไว้ให้นั่งจับกลุ่มคุยกัน และมีห้องเล็กๆ ซอยเป็นห้องประชุมเรียงรายกันแน่น ข้างในห้องเล็กๆ คน 4-8 คนก็จับกลุ่มเขียนกระดาน วาดแผนผัง วางแผนอะไรกันวุ่นวายสารพัด "ผู้มาก่อน" ของผมบอกว่า นี่คือเครื่องมือที่ Unicity มีพื้นที่สวยๆ ให้เรามาใช้นั่งทำงาน คุยงาน ได้เต็มที่ตามสบาย
 
ส่วนที่เตะตาของสำนักงานสาขาแห่งนี้ คือ ร้านกาแฟ ใช้ชื่อว่า Freedom Cafe ซึ่ง Freedom ในที่นี้ก็คือ "อิสรภาพทางการเงิน" นั่นเอง
 
 
 
 
วนกลับมายังโต๊ะหนึ่งในร้านกาแฟแห่งอิสรภาพ Presidential Diamond ยังคงง่วนอยู่กับคนมากมาย ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้านหลังเธอขณะที่เธอไม่ทันสังเกต พยายามเงี่ยหูฟังว่าคนกลุ่มนี้เขาคุยอะไรกันเป็นจริงเป็นจังนักหนา ทันทีที่เธอลุกจากเก้าอี้ไปคุยกับสาวน้อยคนหนึ่ง พี่ผู้พยายามจะเป็น Upline ของผม บรรจงหมุนเก้าอี้ที่เธอนั่งกลับด้าน 180 องศาให้หันหน้ามาทางผม และเมื่อเธอเดินกลับมาที่เก้าอี้ เธอทำหน้าตกใจ
 
"นี่น้องเป๋าค่ะ" ผู้แนะนำยิ้มกว้าง ผายมือมาทางผม
 
"สวัสดีครับ" นาทีนี้ยกมือไหว้ไว้ก่อน
 
President หน้าถอดสีเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าผมเป็นใคร 
 
"น้อง"-"เป๋า"-"ค่ะ" ผู้แนะนำย้ำคำเดิม
 
"อ้าาาา...." President ระดับ Diamond หนึ่งในไม่กี่คนของประเทศนี้ ไม่รู้ว่าผมเป็นใครแต่นึกออกแล้วว่าจังหวะนี้ต้องทำอะไร เธอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่หัน 180 องศาแล้ว ฉีกยิ้มกว้างมาทางผม หันหลังให้สิบกว่าชีวิตที่ยังคุยอะไรไม่รู้ค้างไว้อยู่ บรรจงจับมือผมเบาๆ "พี่ถามตรงๆ มีอะไรยังกังวลอยู่ไหมคะ บอกพี่ได้" 
 
"อ่าา.... ก็ไม่กังวลครับ แค่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำงานกันยังไง" ความอึกอักทำให้คำพูดพิกลพิการ 
 
หลังจากนั้นสาวใหญ่ ผู้เป็นเจ้าของรถแลมโบกินีสีเหลืองเริ่มต้นเล่าชีวิตการเข้าสู่วงการนี้ของเธอเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ความลังเลใจในอดีตของเธอ จนถึงวันที่เธอตัดสินใจลาออกจากงานเดิมที่ธนาคารสักแห่ง และพลิกชีวิตมาเป็นคนที่มีความสุขที่สุด โดยทิ้งหนุ่มสาวสิบกว่าชีวิตให้นั่งรอต่อไปอย่างรู้หน้าที่ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องรอ
 
เป็นยี่สิบนาทีที่อึดอัด เพราะมีสิบกว่าชีวิตกำลังถูกลัดคิว แต่ท่าน President ไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับไปทำหน้าที่เดิมต่อ ผมตัดบทด้วยการยอมรับว่า เดี๋ยวจะไปเจอกันอีกวันเสาร์อาทิตย์นี้
 
 
 
บทที่สี่ เริ่มแล้วต้องไปให้สุด สู่เวทีใหญ่ระดับโลก
 
ตามที่พี่ "ผู้มาก่อน" เอ่ยปากไว้นานแล้วว่า ทุกหนึ่งเดือน Unicity จะจัดงานใหญ่หนึ่งครั้งที่ Impact Arena เมืองทองธานี เป็นงาน "สัมมนา" ระดับโลกที่คนกว่า 20 ประเทศเดินทางมาเข้าร่วมรวมกว่าสองหมื่นคน งานนี้จะมีค่าตั๋ว ค่าเข้าวันแรกสามร้อย วันที่สองหกร้อย เนื้อหาวันแรกเป็นเรื่อง "ทั่วๆ ไป" ส่วนวันที่สองลงรายละเอียดว่าจะทำได้อย่างไรและไขข้อข้องใจให้ทุกคน
 
ผมบ่ายเบี่ยงด้วยความที่ต้องเสียเงินค่าเข้างาน ไม้ตายของเธอที่จูงใจผมสำเร็จ คือ เธอบอกว่างานนี้คือที่สุดของที่สุดแล้ว ต้องไปให้เห็นเอง ถ้าไปงานนี้แล้วไม่ยังไม่อยากทำ Unicity เธอก็จะไม่ตื๊ออะไรอีก (และผมจะเป็นอิสระ) ผมตอบตกลงว่าจะไปแค่วันเดียว
 
อาคาร Arena ขนาดใหญ่โตคล้ายสนามแข่งกีฬา ผู้ชายใส่สูทแฟนชั่น ผู้หญิงใส่ชุดออกงานเดินกันขวักไขว่ ชาวตะวันออกกลางก็แน่นไปหมด ฝรั่งก็มี คนหน้าจีนๆ ก็เยอะ ปริมาณคนมาร่วมงานทำให้ที่นั่งภายใน Hall เกือบเต็มทั้งสามชั้น แต่ยังพอมีเก้าอี้ว่างให้สอดแทรกตัวได้อยู่บ้าง ถ้าใครจะโม้ว่ามีคนมางานสองหมื่นคนก็เป็นไปได้
 
 
 
งานเป็นเวทีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่เวทีเดียว ทั้ง Hall ปิดไฟมืดหมดยกเว้นแสงจากเวที เครื่องเสียงดังกระหึ่มจนคุยกันลำบากมาก Production แสงสีเสียงใหญ่โตระดับมืออาชีพ ภาพงานเหมือนกับภาพที่ได้เห็นในแผ่นซีดี ในงานมีบริการหูฟังสำหรับการแปลสดเป็นหลายภาษา อย่างน้อยเท่าที่เห็น คือ มีแปลเป็นภาษาอังกฤษ พม่า กัมพูชา ฯลฯ 
 
งาน "สัมมนา" นี้เรียกว่า UPS หรือ Unipower Seminar ชั่วโมงแรกของงานเป็นการพูดเรื่องสุขภาพโดยคุณหมอที่แต่งตัวสวยงาม พูดอย่างมีศิลปะชักจูงใจ และการบรรยายสรรพคุณของสินค้า Unicity โดยผู้ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์แล้วพบความเปลี่ยนแปลงสามรายมาเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง เช่น เมื่อก่อนหน้าเป็นสิวทำยังไงก็ไม่สวย แต่หลังทานยาได้ไม่กี่เดือน ตอนนี้ "สวยมั๊ยค้าาาา...."
 
 
 
เมื่อมองไปยังคนที่นั่งฟังอยู่รอบตัว ส่วนใหญ่ก็นั่งหาวๆ เบื่อๆ หลับๆ บ้าง ตอนที่บนเวทีถามว่า "ไหนใครมาครั้งแรกบ้างค้าาาาา...." มีคนยกมือราวๆ 25-30% ซึ่งดูเร็วๆ ก็ยังเชื่อไม่ได้เท่าไร เพราะบรรดาหน้าม้าที่ช่วย "ทำมาหากิน" ก็ขยันทำหน้าที่กันไม่ใช่น้อย
 
หลังจากพูดเรื่องยา ก็เป็นช่วง “แบ่งปันประสบการณ์” โดย "ผู้สำเร็จ" จากการร่วมงานกับ Unicity แต่ละคนมี VTR เปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ มีดนตรีประกอบตอนเดินขึ้นเวที พร้อมมีกลุ่มแฟนคลับหน้าเวทีประมาณ 40-50 คน คอยส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด ชูป้ายไฟ ลูกโป่ง ธงชาติ และสารพัดพร๊อพ
 
คนแรก เป็นสาวใหญ่จากมหาสารคาม เธอเคยเป็นข้าราชการกรมที่ดินอยู่หลายปี ทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่วันหนึ่งแม่ป่วย เธอพาแม่ไปโรงพยาบาลไม่ได้เพราะต้องไปต้อนรับผู้บังคับบัญชาที่มาตรวจราชการ เธอเสียใจมากที่เป็นลูกที่ไม่ดี เธอหลั่งน้ำตากลางเวทีให้กับเรื่องราวในอดีต พอมีคนมาชวนทำ Unicity ตอนแรกก็ไม่ชอบการขายตรง แต่พอบอกว่าจะทำให้มีเวลา มีชีวิตเกษียณเร็วขึ้น เธอก็เข้าไปทำและประสบความสำเร็จ
 
คนที่สอง เป็นชาวสิงคโปร์ เล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ เคยเป็นนักธุรกิจด้านวิศวกรรมไอที ทำธุรกิจหลายอย่างประสบความสำเร็จและร่ำรวยมาแล้ว พอเพื่อนมาชวนทำก็ไม่อยากทำ แต่พอเริ่มทำแล้วเห็นจริงว่าความรวยแบบเดิมนั้นไม่ใช่คำตอบ เพราะความรวยแบบเดิมแลกมากับการทำงานเครียด และหยุดทำไม่ได้ หากหยุดก็จะไม่รวย แต่การทำธุรกิจแบบ Unicity เป็นอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง
 
คนที่สาม เป็นชาวบาห์เรน เคยทำงานให้กับธนาคารขนาดใหญ่ประสบความสำเร็จถึงขนาดได้เป็นทูตของธนาคาร ต่อมาแม่และภรรยาของเขาอยากสร้างบ้าน เขากู้เงินธนาคารมาหนึ่งก้อนแต่พบว่าไม่พอ จึงเอาไปลงทุนในตลาดหุ้น แล้วก็เจ๊งเพราะพิษเศรษฐกิจ เขาเสียใจมากที่ไม่สามารถสร้างบ้านให้แม่และภรรยาได้จึงหันหน้ากลับไปทำงานธนาคารต่อ โดยตั้งใจจะทำงานให้หนักขึ้น จนวันหนึ่งแม่ของเขาบอกว่าแม่ไม่อยากได้บ้านแล้วแต่อยากได้ลูกชายกลับมา เขาเสียใจมาก จนได้มาพบกับธุรกิจนี้ของ Unicity ...
 
เมื่อหนุ่มบาห์เรนพูดจบ ตอนดนตรีดังขึ้นและแฟนคลับลุกขึ้นโบกธงชาติ เขาชี้มือไปยังผู้ฟังรอบๆ Hall สลับกับชี้มายังจุดที่เขายืนอยู่บนเวที คล้ายกับจะบอกว่า ขอให้ทุกคนมายืนอยู่ตรงนี้ ทุกคนจะมายืนตรงนี้แบบเขาได้
 
คนสุดท้าย เรียกตัวเองว่า Presidential Yaya เป็นระดับ Diamond อีกคนหนึ่ง มีสโลแกนประจำตัวว่า "จากถุงปุ๋ย ถึงหลุยส์วิคตอง" เคยเป็นผู้จัดการส่วนตัวนักแสดง และลงทุนกับธุรกิจหลายอย่างมาก่อน จนกระทั่งได้พบกับ "อิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง" คนนี้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่และพูดยาวนานมาก สาระสำคัญ คือ ขอให้ทุกคนสมัครเลย ทุกคนทำได้ เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนจะมีอิสรภาพทางการเงิน อย่ากลัวว่าจะทำไม่ได้เพราะระบบของ Unicity โดยพี่เลี้ยงและทีมงานจะช่วยคุณเอง
 
งานเริ่มประมาณบ่ายโมงและจบประมาณห้าโมงเย็น พอเวทีปิดผู้คนทยอยกันเดินแยกย้ายไปคนละทิศละทางอย่างรีบเร่ง และพี่ "ผู้มาก่อน" ก็ชักชวนชนิดแทบจะลากคอกันให้ผมเข้าสู่บทเรียนต่อไป
 
 
บทที่ห้า พบกับ "ทีม" ที่เติมพลังให้กันและกัน 
 
หลังออกจาก Hall ใหญ่ ทุกคนแยกย้ายไปตามห้องย่อยซึ่งแบ่งกันตามสายงาน ใครเป็น Downline Sideline ที่อยู่ใต้แม่ข่ายคนเดียวกันก็จะแยกไปเข้าห้องเดียวกัน เขาเรียกว่าการไป Bonding
 
ห้องที่ผมต้องเข้าร่วม อยู่ใต้แม่ข่ายของ Presidential Ruby คนเดิม ซึ่งวันนี้เธอและสามีขับแลมโบกินีสีเหลืองและสีเทามาจอดเป็นสง่าไว้ด้านหน้า Hall ให้คนถ่ายเซลฟี่เล่น การเข้าห้อง Bonding ต้องเสียเงินด้วย แอบเห็นพี่ "ผู้มาก่อน" ควักให้ไปร้อยกว่าบาท ในห้องนี้มีเก้าอี้ประมาณ 100 ตัว คนมากันเต็มจนล้นห้องต้องนั่งพื้นกันเหมือนเดิม
 
 
ลักษณะการพูดในห้อง Bonding เป็นการปลุกใจ มีผู้ดำเนินรายการใส่สูทมาดเท่คอยกระตุ้นอารมณ์ มีการใช้สูตรรวมพลังเรียกขวัญกำลังใจ เช่น ผู้นำตะโกนว่า "ใครจะเป็น Diamond" คนอื่นรับตามว่า "ฉันจะเป็นฉันจะเป็น" หรือ ผู้นำตะโกนว่า "ยูนิซิตี้" คนอื่นรับตามว่า "เฮ่" สามครั้ง "ยูนิพาวเว้ออออออ" "เฮ่ๆๆๆ วู้วววววววว" พอผู้ดำเนินรายการตะโกนนำทั้งห้องก็ตะโกนรับพร้อมท่าทางประกอบกันอย่างเซ็งแซ่และคึกคัก
 
Presidential Ruby ในชุดเดรสสีขาว ทับด้วยเสื้อคลุมยาวแขนกุดประดับด้วยอุปกรณ์ส่องแสงวิบวับ เดินขึ้นเวทีพร้อมเสียงกรี๊ดต้อนรับ เธอเอากระดาษฟลิปชาร์ตมาวาดแผนผังอธิบายเรื่องเดิมๆ สาระสำคัญ คือ ต้องเปลี่ยน “หลักคิด” เริ่มจากตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจนเป็นสมการ X=Y X คือ สิ่งที่ต้องทำ Y คือ เป้าหมาย แล้วลองแทนค่าดูว่างานที่ทำอยู่จะสร้าง Y ที่เป็นเป้าหมายได้จริงหรือไม่ ถ้าไม่ได้ ให้เปลี่ยนหลักคิดแทนค่า X เสียใหม่ "ย้ายฝั่ง" จาก active มาหาเงินแบบ passive ไม่ต้องลงแรงก็มี "เงินไหล"
 
"แลมโบกีนี่ที่จอดอยู่ข้างหน้านั่น ไม่ได้เช่ามา! ของจริง!" เธอกล่าวหนักแน่น พร้อมเสียงตอบรับครึกครื้น
 
"ไหนใครฟังวันนี้แล้วได้แรงบันดาลใจ อยากจะทำให้ได้บ้าง" เธอเรียกความพร้อมเป็นระยะ
 
ในการ Bonding ยังมีส่วนที่ขอให้ผู้ที่มางาน UPS ครั้งแรกออกมาแชร์ความรู้สึก อาสาสาสมัครทั้งสิบคนแชร์ความรู้สึกว่ามางานวันนี้แล้วรู้สึกยิ่งใหญ่ ได้รับถึงพลังจากคนที่เคยทำได้มาก่อน ทำให้เชื่อว่าเราก็ทำได้ แต่เราต้องพยายามทำให้หนักขึ้น มีคนหนึ่งพูดออกมาว่า "แม้จะโดนปฏิเสธ เราก็ต้องสู้"
 
พอ President พูดจบก็ยังไม่จบวัน เธอ "ผู้มาก่อน" ในฐานะเจ๊ใหญ่ที่มี Downline ไม่น้อย ก็ชวน Downline ของเธอทั้งหมดล้อมวงคุยต่ออีก เป็นวัฒนธรรมของ Unicity ที่จะเห็นคนประมาณ 7-8 คน ยืนล้อมวงคุยกัน หรืออาจจะมากกว่านั้นก็แล้วแต่วง นั่นก็คือทีมที่เป็น Downline Sideline ของ Upline คนเดียวกันที่ตัวแม่เรียกมาคุยเพื่อ "สร้างพลัง"
 
ในวงของเธอวันนี้มีคนประมาณ 13-15 คน เธอต้องการให้ทุกคนได้รู้จักและทำงานร่วมกัน หลายคนเพิ่งสมัครเข้าทำมางานนี้ครั้งแรก หลายคนก็ยังไม่ได้สมัคร สามารถสังเกตว่าใครเป็นคนกลุ่มหลังได้จากแววตาเหม่อลอยและการมีส่วนร่วมน้อย พูดเสียงเบากว่า ปรบมือน้อยกว่า ทุกคนในวงแชร์ความรู้สึกและสิ่งที่ได้รับจากวันนี้ คนใหม่บางคนยังลังเลอยู่บ้างแต่คนเก่าก็ช่วยกันทำให้บรรยากาศโดยรวมสนุกคึกคักและดูมีความหวัง
 
เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าทุกคนถึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้จะไม่ได้สมัครทำกับเขาด้วย แต่กิจกรรมสุดท้ายนี้ก็ให้ความรู้สึกที่พอสัมผัสได้ว่า สำหรับคนที่เข้ามาด้วยความหวังแบบเดียวกัน ที่นี่ทุกคนมีเพื่อน มีคนที่กำลังต่อสู้กับอุปสรรคเดียวกัน เพื่อไปถึงเป้าหมายเดียวกัน และเนื่องจาก Upline มีผลประโยชน์เป็นส่วนแบ่งร่วมกัน จึงมีบรรยากาศมั่นใจได้ว่า ทุกคนจะอยู่กันแบบเป็นทีมเดียวกัน มีมิตรไมตรีให้กัน เพื่อช่วยกันไปให้ถึงเป้าหมายนั้น 
 
 
"ใครจะเป็น Diamond" 
“ฉันจะเป็น ฉันจะเป็น” 
เสียงนี้ยังดังก้องหูจนกลับถึงบ้าน
 
 
ว่าที่ Upline ของผมโทรตามมาตื๊อให้ไปร่วมงานใหญ่ในวันรุ่งขึ้นแต่ผมยืนยันไม่ไป เธอนัดผมถัดจากนั้นอีกวัน แต่ผมก็บ่ายเบี่ยงเพราะความเหนื่อยล้า "ข้อเท็จจริง" ที่เธอพยายามพาไปเห็นครั้งแล้วครั้งเล่านั้นมันเยอะเหลือเกิน การได้เห็นอะไรแต่ละครั้งนั้นไม่เพียงแค่ "เห็น" ด้วยตา แต่ต้องใช้จ่าย "ความรู้สึก" จำนวนมากไปกับการพยายามซึมซับทำความเข้าใจโดยไม่อคติ และก็ต้องคอยคุยกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไรจะถูก "ล้างสมอง" ให้ยินดีไปกับความร่ำรวยจนเกินพอดีเหล่านั้นด้วย 
 
หลังทบทวนเล็กน้อยผมตัดสินใจแล้วว่า ถึงจุดนี้ก็ได้เรียนรู้มามากเกินกว่าที่คาดหวังในตอนแรกแล้ว คงถึงเวลาต้องบอกลากันเสียทีเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อกันไปมากกว่านี้ ผมจึงลอง "ทำนัด" เพื่อคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว
 
 
 
บทที่หก ปฏิเสธ เพราะเราเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน
 
เธอ "ผู้มาก่อน" ของผม เป็นหญิงอายุ 37 ปี เริ่มทำธุรกิจนี้มาได้ประมาณสามปี ก่อนหน้านี้เธอทำธุรกิจค้าขายของที่บ้านมาก่อน บ้านของเธออยู่กันแบบครอบครัวขยายกับพ่อแม่ที่อยู่ในวัยวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาล เธอยังไม่แต่งงาน แต่มีพี่น้องห้าคนและมีหลานเก้าคนต้องดูแล เธอเคยคิดคำนวนแล้วว่าถ้าจะไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง คือ ให้คนทั้งครอบครัวอยู่สบาย เธอต้องมีรายได้เดือนละ 5 ล้านบาท ซึ่งเธอเห็นแล้วว่างานที่ทำอยู่เดิมพาเธอไปไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาทำ Unicity
 
ช่วงสายของอีกวันหนึ่ง ผมนัดกับเธอที่ร้านกาแฟที่เราเคยเจอกันครั้งแรก เราทักทายกันเล็กน้อย แล้วผมก็เริ่มยิงคำถามเพื่อต่อจิ๊กซอว์บางตัวที่ยังขาดหายไปให้เต็ม
 
ผมถามเธอว่า เมื่อเริ่มทำแล้วหากเราต้องการส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ไปตลอด ก็ต้องซื้อสินค้าให้ได้ยอด PV ไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่ เธอตอบว่าใช่ แล้วก็บรรยายสรรพคุณยาชนิดต่างๆ ว่าอย่างไรเสียเราก็จำเป็นต้องกินเพื่อสุขภาพ
 
ผมถามเธอว่า ถ้า Downline ของเราเลิกทำ เราก็จะสูญเสียรายได้ เพราะฉะนั้นธุรกิจนี้ก็ไม่ได้มั่นคงใช่หรือไม่ เธอตอบว่า ก็ถูก แต่ระบบของ Unicity และ Unipower จะมีเครื่องมือต่างๆ นานาที่คอยช่วยเหลือเรา มีการอบรม มีทีมพี่เลี้ยง เพื่อให้ Downline ของเราที่เข้าระบบแล้วยังคงอยู่
 
ผมถามเธอว่า จริงๆ แล้วงานแบบนี้ก็มีอะไรต้องทำเยอะเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะสบายกว่างานอื่นใช่หรือไม่ เธอตอบว่า ไม่ใช่ แล้วเธอก็วนกลับไปบรรยายเรื่องหลักคิด passive income กับอิสรภาพทางการเงินอีกครั้ง 
 
หลังนั่งฟังเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ผมก็แสดงความคิดเห็นบ้าง
 
ผมเล่าด้วยความสัตย์จริงว่า ผมมีเพื่อนที่เคยทำ Network Marketing อยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีเพื่อนมาขายผมเลย พอพี่มาขายผมอยากรู้ว่าเป็นยังไง ผมก็ตามไปเรียนรู้เท่าที่ไปไหว พยายามไม่ปิดกั้นไม่อคติ ตอนนี้ก็ได้รู้และเข้าใจแล้วว่า ธุรกิจนี้ไม่ใช่การหลอกลวง ผมเชื่อว่าถ้าเราทำได้ก็มีรายได้ระดับนั้นได้จริง ผมขอบคุณที่เสียเวลามาให้ผมได้เรียนรู้ แต่ผมจะไม่ทำธุรกิจนี้ เพราะผมเองมีเป้าหมายในชีวิตของผมที่แตกต่างไป ผมเชื่อเรื่องความเท่าเทียมทางสังคมมากกว่าความร่ำรวยส่วนบุคคล ตามสมการ X=Y นั้น บังเอิญว่า Y ของผม ไม่ใช่ Y แบบที่พี่และบริษัท Unicity กำลังวิ่งหน้าตั้งไปหา ดังนั้นผมจึงต้องแทนค่า X ของผมอีกแบบ
 
เธอยืนยันว่า Happy life project นั้นมุ่งจะทำให้ทุกคนในสังคมมีความสุข เราแลกเปลี่ยนกันอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับมุมมองต่อสังคมในประเด็นนี้แต่ไม่ได้ลงลึกมากนัก
 
เธอยิ้มกว้างไม่มีออกอาการหน้าเสีย เธอแสดงความเข้าใจว่าผมมีเป้าหมายไม่เหมือนคนอื่น เธอเรียกผมว่า "นักเรียนรู้" เธอพยายามไปต่อด้วยคำสอนที่ร่ำเรียนมา เธอบอกว่า ผมยังไม่มีโอกาสได้รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด สิ่งที่ผมรู้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนเดียว เธออยากให้ผมได้มีโอกาสคุยกับคนอื่น ได้ไปฟังงานอบรมเพิ่ม ได้คุยส่วนตัวกับ Presidential Ruby แล้วผมอาจจะได้คิดได้เปิดมุมมองมากกว่าที่ผ่านมาได้ 
 
ผมรับในหลักการว่า ผมยังรู้เพียงเล็กน้อยมากเท่านั้น หลังได้ไปเปิดโลกทัศน์มาแล้ว ผมพบว่าธุรกิจนี้ช่างยิ่งใหญ่ มีแง่มุมและมีพื้นที่ให้ลงไปสำรวจได้อีกมาก แต่วันนี้ผมเหนื่อยแล้วจึงอยากพอแค่นี้ ไม่อยากให้ต้องเสียเวลากันไปทุกฝ่ายกว่านี้ และขอขอบคุณมากสำหรับโอกาสที่ผ่านมา
 
หลักการสุดท้ายที่ผมได้เรียนรู้ เธอย้ำว่า ธุรกิจนี้จำเป็นต้องรีบ และจำเป็นต้องเร็ว เพราะคนทั่วโลกทุกวันนี้ connect ถึงกันหมด connection ของเราย่อมเป็น connection ของคนอื่นด้วย ถ้าเราช้ากว่าแล้วคนอื่นมาเอา connection ของเราไปเป็น downline ก่อน เราจะเสียหายมาก ผมยิ้มกว้างให้แบบที่ฝึกฝนตัวเองมาแล้วย้ำว่า นั่นไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของผม 
 
วันนี้เราแยกจากกันด้วยอารมณ์สลับขั้วกับวันก่อนๆ ผมรู้สึกโล่งสบายใจ แต่เธอคงมีเรื่องให้เก็บกลับไปคิดหนักไม่ใช่น้อย สำหรับความสัมพันธ์ของเราสองคน เรากำลังถือ Y คนละก้อน จึงต้องแทนค่า X คนละอย่าง สำหรับผมมันจบลงแล้ว และหลังจากนี้ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันจบ แต่สำหรับเธอคงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อติดต่อผมและชวนผมไปร่วมกิจกรรมให้ได้อีก
 
ผมหันหลังจากออกมาด้วยความรู้สึกที่มี “อิสระภาพ” เป็นอิสรภาพที่สดชื่นมากเมื่อชีวิตไม่ได้ต้องการแค่เงิน
 
 
 
..............................
 
 
หลังจากนี้จะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่มีข้อเท็จจริงเจือปน
 
วิเคราะห์เทคนิคที่ใช้จูงใจของ Unicity คล้ายการ "หลอกลวง" แต่ยังไม่ผิดกฎหมาย
 
ลองสังเกตเทคนิคการนำเสนอของ Unicity เท่าที่พบเห็นมาด้วยตัวเอง พบว่า ไม่มีอะไรที่ชัดเจนว่าเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชน ลักษณะแก๊งต้มตุ๋นหรือมิจฉาชีพ เพียงแต่ใช้วิธีการเลือกประเด็นนำเสนอ การเลือกวิธีพูดนั้นฉลาดเฉลียวและฝึกหัดกันมาอย่างดีเยี่ยม ดังนี้
 
1. ไม่พูดถึงส่วนที่เป็นต้นทุนที่ต้องจ่าย สิ่งที่บอกกันตลอด คือ การเริ่มต้นทำธุรกิจนี้ เสียค่าสมัครเพียง "500 บาท ตลอดชีวิต" แต่ไม่มีการพูดเรื่องต้นทุนส่วนที่ต้องซื้อสินค้าอย่างน้อย 100 PV หรือห้าพันกว่าบาททุกเดือน และไม่มีการพูดว่าต่อให้หาเครือข่ายได้เยอะแค่ไหนแล้ว เราก็ต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าไปเรื่อยๆ ถึงจะยังได้ส่วนแบ่งอยู่
 
2. ไม่พูดถึงส่วนที่ต้องลงมือทำงานหนักกว่าจะได้ผลสำเร็จ เพราะการหาเครือข่ายจริงๆ แล้วก็ไม่ง่าย และหากได้เครือข่ายมาแล้วก็ยังต้องทำงานหนักต่อไปอีกเรื่อยๆ เพื่อรักษาเครือข่ายให้ยังทำธุรกิจนี้ต่อไปและให้เครือข่ายไปหาเครือข่ายต่อได้เรื่อยๆ ทั้งที่ "ผู้มาก่อน" ทุกคนล้วนทราบเป็นอย่างดี บริษัทจึงต้องมีการจัดฝึกอบรมกันตลอดเวลา 
 
3. ไม่พูดถึงคนส่วนใหญ่ที่ลงมือทำแล้วล้มเหลว ในธุรกิจนี้มีคนไม่ประสบความสำเร็จอยู่อีกมากมาย แต่จะไม่มีทางได้ยินเรื่องราวของพวกเขาเราจะได้รับรู้เฉพาะตัวอย่างของคนที่ร่ำรวยประสบความสำเร็จเท่านั้น โดยเรื่องเล่าเกี่ยวกับความฟุ้งเฟ้อ การใช้จ่ายอย่างไร้ขีดจำกัดจะทำหน้าที่เป็นเรื่องเล่าหลักแทน พี่ผู้มาก่อน บอกว่า หลัง Unicity บุกเบิกธุรกิจในไทยมา 13 ปี ในประเทศไทยมีตัวเลขคนที่ลงทะเบียนทำธุรกิจนี้แล้วถึงสองล้านคน แต่บางคนก็เลิกไป เท่าที่เหลือก็คือที่เห็นทำงานกันอยู่ในงาน UPS ซึ่งประมาณเอาโดยสายตาคาดว่า คนแต่งตัวดีผิดปกติเหล่านั้นน่าจะมีประมาณหลักหลายๆ พัน เธอเคยบอกด้วยว่า อย่าไปฟังคนที่เคยทำแล้วเลิกเพราะคนเหล่านั้น ยังไม่รู้จริงจึงไม่สำเร็จ
 
4. ไม่พูดถึงข้อเสียที่ทำให้คนอื่นรำคาญ ธุรกิจลักษณะนี้ มีชื่อเสียงมานานแล้วเรื่องการทำให้เพื่อนที่คบหากันมาเลิกคุยกันไป ซึ่งข้อกังวลนี้ไม่เคยถูกยกมาพูดถึงและให้ข้อแนะนำว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เสียความสัมพันธ์ ดังนั้น ต้นทุนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่ผู้ทำธุรกิจนี้อาจต้องใช้จ่ายไป จึงเป็นต้นทุนส่วนตัวที่ต้องแบกรับเอง และทาง Unicity ไม่ได้ร่วมรับผิดชอบด้วย
 
ผู้คนของธุรกิจนี้สามารถใช้เทคนิคการพูดข้ามจุดเสียของธุรกิจไปได้ โดยวิธี เอา “หลักคิด” นำหน้า ซึ่งทุกคนในธุรกิจนี้มีความสามารถสูงในการอธิบาย “หลักคิด” ได้ชัดเจน และเมื่อเจอกันก็จะพูดเรื่องเหล่านี้กันวนไปวนมา คล้ายการเติมพลังให้กันและกัน และชักจูงคนใหม่ๆ ไปด้วยในตัว
 
และเมื่อบริษัท Unicity จ่ายผลประโยชน์ตามแทนตามโครงสร้างที่โฆษณาไว้จริง แม้จะใช้เทคนิคการนำเสนอจูงใจหลายอย่าง แต่ก็ยังไม่อาจนับว่าเป็นการฉ้อโกงที่ผิดกฎหมายได้
 
 
ปัจจัยของธุรกิจนี้ ตั้งอยู่บนความทุกข์ของสังคมที่ทางเลือกอื่นหยิบยื่นทางออกให้ไม่ได้
 
เครื่องมือต่างๆ ที่ระบบ Unicity พัฒนาขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งและใช้ดึงดูดคนเข้าระบบ เช่น หลักคิดเรื่อง passive income, หลักคิดเรื่ององค์ประกอบหนุนเสริมสี่เสาหลัก, หลักคิดเรื่องคานผ่อนแรง, การหยิบยื่นโอกาสมีธุรกิจเป็นของตัวเอง, การโฆษณาผลลัพธ์สวยหรูจากการกินยา, กิจกรรมปลุกใจว่าทุกคนทำได้, ระบบการสร้างเพื่อนร่วมงานกลุ่มใหม่, ระบบการเทรนนิ่ง การเสริมสร้างพลังใจ การบรรยายฟรีทุกวัน การสัมมนาใหญ่คล้ายคอนเสิร์ต, พี่เลี้ยงแต่งตัวดี สำนักงานและห้องประชุมหรูหรา, การสอนว่าธุรกิจ Network Marketing จะช่วยเหลือสังคมให้มีความสุข สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจจะเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำหน้าที่เพียงสร้างคำอธิบายเท่ๆ ขึ้นมาสร้างความชอบธรรมให้ธุรกิจเท่านั้น
 
หลักการ "ความสุขที่แท้จริง = เงิน+เวลา+สุขภาพ" ที่ Unicity จับมาเป็นหัวใจของการชักจูงผู้คน โดยยกขึ้นมาพูดถึงเป็นสิ่งแรกในการเปิดบทสนทนาเสมอๆ ต่างหาก ที่เป็นอาวุธสำคัญในการดึงคนเข้าสู่ธุรกิจนี้ 
 
ดูตัวอย่างจากสาวใหญ่อดีตข้าราชการกรมที่ดิน แม้จะเป็นข้าราชการอยู่แล้วแต่เธอก็ยังต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว เช่นเดียวกับนักธุรกิจสิงคโปร์ และหนุ่มบาห์เรน ทุกคนต่างมีปมหนักๆ ฝังอยู่ในใจอยู่แล้ว ว่างานที่ทำอยู่นั้นแม้จะมีรายได้เยอะแต่ก็ไม่มีทางจะเยอะขนาดที่ไม่ต้องเครียดอีกต่อไป
 
เนื่องจากสังคมที่อยู่ในปัจจุบันมีความฟุ้งเฟ้อให้เลือกมากมายหลายแบบ บริการต่างๆ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล โรงแรม โรงหนัง ฯลฯ มีพื้นที่พิเศษสำหรับคนมีรายได้มากเป็นพิเศษ คนจำนวนมากจึงรู้สึกว่าต้องทำงานให้หนักจนไม่มีเวลาว่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถในการจับจ่ายสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนต่อสู้ดิ้นรนแล้วสุดท้ายจะได้มา เมื่อระบบสังคมขับเคลื่อนไปโดยฝังปัญหาเหล่านี้เอาไว้  Unicity จึงขับเคลื่อนไปโดยยื่นทางออกมาให้เป็นความหวังว่าทุกคนจะมี เงิน + เวลา + สุขภาพ อย่างไม่จำกัด
 
หลายคนจึงนิยามว่า ระบบธุรกิจแบบนี้ตั้งอยู่บนฐานความโลภ เพราะคนอยากมีอยากได้ อยากรวยเร็วๆ โดยทำงานน้อยๆ 
ในอีกมุมหนึ่ง ระบบธุรกิจแบบนี้ตั้งอยู่บนฐานความทุกข์ ของคนที่ต้องทำงานหนักแทบตายแต่ไม่มีทางรวยได้เหมือนคนอื่น ความทุกข์ที่มีอยู่ทุกหัวระแหงแต่ทางเลือกอื่นในสังคมพาไปหาทางออกไม่ได้
 
ตราบใดที่ผู้คนยังมีความฝันในชีวิตที่ตั้งต้นจากเงินก้อนโต เช่น ฝันจะมีบ้านหลังใหญ่ๆ ฝันจะได้ขับรถยนต์สปอร์ตสุดหรู ฝันว่าจะได้เที่ยวรอบโลก ฝันว่าจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือแม้แต่ฝันว่าจะมีเวลาว่างไปทำเพื่อสังคมก็ตาม ในมุมหนึ่งระบบ Network Marketing จึงเป็นระบบที่หยิบยื่น "ความหวัง" มาให้คนได้แวะมาลองวิ่งตามหาความฝันชั่วครั้งชั่วคราว ก่อนที่จะเหลือผู้ที่แข็งแรงหลุดพ้นขึ้นมายืนอยู่บนยอดพีระมิดได้ไม่กี่คน
 
ในสังคมปัจจุบัน "ความหวัง" ก็หายากพอๆ กับ "ความสำเร็จ" ไม่ใช่เหรอ และในบางจังหวะของชีวิต ถ้า "ความหวัง" หาซื้อกันได้ เงินไม่กี่หมื่นบาทก็อาจจะเป็นราคาที่จ่ายได้สำหรับบางคน
 
ก่อนหน้านี้ผมเคยมีคำถามอยู่จากมุมมองไกลๆ ว่า “ลัทธิขายตรง" เขา "ล้างสมอง" เพื่อนๆ ที่เข้าไป ให้คิดให้พูดเหมือนกันหมดได้อย่างไร หลังจากได้เข้าไปเรียนรู้มานิดๆ หน่อยๆ ก็อยากจะลองตอบว่า จริงๆ แล้วเขาทำไม่ได้ หรือไม่ได้พยายามจะล้างสมองใครด้วยซ้ำ เขาแค่ยื่นข้อเสนอมาให้ถูกจุด แล้วส่วนที่เหลือเหล่าผู้ซื้อความหวังก็ลงมือทำมันด้วยตัวเอง
  
เพื่อนเก่าของเราทั้งหลาย จริงๆ เขาก็อาจไม่ได้ถูก “ล้างสมอง” หรือถูกระบบ “ขายตรง” กลืนกินตัวตนไป เขาเพียงแต่กำลังทดลองตามหาทางออกจากความทุกข์ที่มีอยู่เท่านั้น และไม่มีเหตุอะไรที่ความสัมพันธ์เพื่อนเก่าจะต้องสูญเสียไป 
 
 
จะทดแทนระบบ "ขายตรง" ได้ ต้องกล้าฝันถึงสังคมที่เข้มแข็งกว่าที่เป็นอยู่
 
แน่นอนว่า เราคงรู้สึกเศร้าใจถ้าเห็นเพื่อน หรือคนใกล้ตัวเดินเข้าไปทำ "ขายตรง" แล้วสุดท้ายขาดทุนกลับออกมา 
แต่จะโทษว่าเป็นความผิดของธุรกิจ "ขายตรง" อย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะเพื่อนๆ ของเราอาจจะเดินเข้าไปด้วยความหวังที่จะออกจากความทุกข์ เพราะต้องการ เงิน เวลา สุขภาพดี และความสุขในชีวิต เมื่อธุรกิจขายตรงจับจุดนี้ได้ ธุรกิจขายตรงก็จึงขโมยเพื่อนไปจากเราได้ 
 
เราผู้ซึ่งถูกขโมยเพื่อนไปต่างหาก ที่ควรตั้งคำถามกับตัวเองให้มากกว่านี้ว่า หากเพื่อนเรามีความทุกข์เพราะเงิน เวลา สุขภาพ และความสุขของเขาไม่เพียงพอในสังคมยุคปัจจุบัน ใช่หรือไม่ว่า เราเองไม่สามารถหยิบยื่นความหวังไปสู่ทางออกของชีวิตที่ดีกว่าให้เพื่อนของเราได้เลย และใช่หรือไม่ว่า เราเองก็เป็นคนหนึ่งนั่นแหละที่ใช้พลังส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการไล่ไขว่คว้าหา เงิน เวลา สุขภาพ และความสุข จนไม่มีพลังเหลือพอจะใส่ใจเพื่อนหรือคนรอบตัว
 
ดีกว่าการนั่งบ่นธุรกิจขายตรงว่า น่ากลัวบ้าง เลวร้ายบ้าง ก็ลองพยายามทำความเข้าใจสาเหตุที่คนหลายหมื่นคนต่อเดือนต้องเข้าไปอยู่ในระบบนี้ และสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ ให้ได้จะดีกว่า
 
ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งพอจะสามารถต่อกรกับ "ความหวัง" ที่ธุรกิจขายตรงเอามาใช้ดึงเงินออกจากกระเป๋าของเรา เพื่อนของเรา หรือคนอีกอย่างน้อยสองล้านคนได้ เราคงต้องฝันถึงสังคมที่ทุกคนอยู่ร่วมกัน โดยแบ่งปันเงิน เวลา และสุขภาพ ด้วยกันได้
 
เราฝันได้ไหมถึงสังคมที่มีสวัสดิการสำหรับคนตกงาน เพียงพอสำหรับปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต
เราฝันได้ไหมถึงสังคมที่มีบำนาญสำหรับทุกคนในวันที่แก่จนทำงานไม่ไหว
เราฝันได้ไหมถึงสังคมที่คนทำงานจะมีวันลาเพียงพอสำหรับอยู่กับครอบครัว และท่องเที่ยวพักผ่อน 
เราฝันได้ไหมถึงสังคมที่คนเลือกที่ทำงานไม่ไกลจากบ้านได้ และมีขนส่งสาธารณะที่ดีพอ
เราฝันได้ไหมถึงสังคมที่เมื่อมีคนเดือดร้อน จะมีคนพร้อมสละเวลาเข้าช่วยเหลือ โดยไม่ต้องห่วงแต่เวลางานของตัวเอง
เราฝันได้ไหมถึงสังคมที่ระบบสาธารณสุขจะเปิดรับรักษาทุกคนในราคาที่ไม่ต่างกัน และคุณภาพไม่ต่างกัน
เราฝันได้ไหมถึงสังคมที่คนรวยคนจนไม่ต่างกันจนเกินไป สังคมที่ไม่มีคนขับแลมโบกินี่มาโฉบอวดผ่านหน้าคนที่ยังง่วนเครียดอยู่กับการจ่ายหนี้ให้ทันสิ้นเดือน
แน่นอนว่าเป็นอะไรที่ยากและระยะยาว แต่เราฝันได้ไหม .... 
 
ถ้าฝันแล้ว เราลงมือทำได้ไหม ก็แค่หาเครือข่ายคนที่คิดเหมือนกันอีกห้าคน แล้วเครือข่ายก็ไปหาคนที่คิดเหมือนกันอีกห้าคน และในเวลาไม่นานเราก็จะมีกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมของเราเองอยู่ทั่วไปหมด
 
การลงมือทำก็ไม่น่ายาก มีแปดขั้นตอน 1) ศึกษาข้อมูลจนเข้าใจ 2) กำหนดความฝันและเป้าหมายให้ชัด 3) ลิสต์รายชื่อ 4) ทำนัด 5) ซักซ้อมหลักการให้แม่นยำ 6) ติดตามผล 7) พาคนคิดเหมือนกันมาเจอกัน 8) วางแผนร่วมกันกับทีม
 
รัฐส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นก็จัดให้มีห้องประชุมส่วนกลาง สำหรับคนที่เคยลงมือทำได้สักช่วงหนึ่งมา "แบ่งปันประสบการณ์" เพื่อให้คนอื่นได้เรียนรู้ต่อยอดออกไปอีกเรื่อยๆ จัดสนามกีฬาขนาดใหญ่เปิดเวทีคอนเสิร์ตให้คนที่สนใจจ่ายค่าบัตรคนละนิดละหน่อยแล้วเข้ามาเสริมสร้างพลังด้วยกันสักเดือนละครั้ง พร้อมพาคนใหม่ๆ เข้ามาเรียนรู้ไปด้วยกัน
 
ผลตอบแทนก็ไม่ยากอะไร ถ้าทุกคนลงมือทำโดยส่งผลลัพธ์กระจายออกไปในสังคม ตัวเราเองก็จะได้ผลประโยชน์ 0.0001% ของทุกการกระทำทันที โดยไม่ต้องมีค่าสมัครสมาชิกเริ่มต้น ไม่ต้องซื้อสินค้ามาบริโภคเองทุกๆ เดือน ไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็น Upline Downline Sideline หรือ Crossline ของใคร เพราะต่างคนต่างทำแล้วทุกคนก็ได้ผลประโยชน์แชร์ร่วมกันหมด
 
ถ้าทุกคนมี “ความหวัง” ถึงสังคมภาพใหญ่ที่ดีกว่า ไม่ได้ฝันเพียงชีวิตของตัวเองที่ดีกว่า ธุรกิจขายตรงก็คงไม่เหลือเครื่องมือจะไปชักจูงใจใครได้
 
หลังวิ่งวุ่นไปเรียนรู้เรื่อง "ขายตรง" มา ก็เขาสอนว่าเราทุกคนมีศักยภาพจะทำอะไรก็ได้
เลยขอฝันสักหน่อยได้ไหม....
 

 

บล็อกของ นายกรุ้มกริ่ม

นายกรุ้มกริ่ม
  นาทีที่ผมยืนอยู่ข้างเวที ห่างจากจุดที่แสงไฟสารพัดจะสาดส่องเป็นระยะหนึ่งก้าวเต็มๆ ผ้าม่านสีดำผืนบางๆ เท่านั้นที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างริมฝีปากของผมกับแสงไฟด้านนอก บริเวณที่ยืนอยู่นั้นปิดมืดหมด มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่คนที่ยืนข้างๆ และความคิดความฝันของตัวเอง ระหว่
นายกรุ้มกริ่ม
  
นายกรุ้มกริ่ม
 ชั้น 10 ของอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียวบนชั้นนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง แต่วันนี้เขาขี้เกียจไปเรียน จึงนั่งเล่นคอม แชทคุยกับสาวๆ อยู่ที่บ้าน
นายกรุ้มกริ่ม
เห็นด้วยกับไอเดียคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาวส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล 22 พฤษภาคม 2558 วันคร
นายกรุ้มกริ่ม
ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ “คฑาวุธ” มาก่อนเลย จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2557  ในเช้าวันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับจำนวนคนถูกเรียกและถูกจับโดยคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวการรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการยึดอำนาจท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงสุด จึงคาดหมายได้ว่าแรงต้านจากประชาชนฝ่ายป
นายกรุ้มกริ่ม
17 เมษายน 2557 เป็นวันสุดท้ายที่มีบุคคลอ้างว่าว่าพบเห็นนาย “บิลลี่” หรือพอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องสิทธิที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือบางคนนิยามว่าเขาคือ “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” การหายตัวไปของคนคนหนึ่งที่ตั้งตัวเป็นฝ่
นายกรุ้มกริ่ม
ผมได้ยินชื่อลุงครั้งแรกตามสื่อ ได้อ่านเรื่องราวผ่านๆ ดูคลิปของลุง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูนัก ผมได้ยินว่าลุงเป็นนักแปล และเป็นนักเขียนด้วย โดนคดี 112 แต่ไม่รู้ว่าลุงทำอะไร ผมได้ยินคนตั้งฉายาลุงว่า "กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ" ผม
นายกรุ้มกริ่ม
 มาเยือนเมือง “สตูล สะอาด สงบ” เป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปีกว่าๆ ที่แล้วติดสอยห้อยตามเพื่อน NGO มาดูกิจกรรม “สัญญาประชาคม” ที่คนสตูลร่วมกันแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา แต่ครั้งนี้สดใสกว่าเดิม มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมที่อาจารย์พานักศึกษาจากม.ทักษิณ มาลง