ห้องพิจารณาคดี 904 หลังสิ้นเสียงคำพิพากษาให้จำคุก 10 ปี...
\\/--break--\>
"สุวิชา ท่าค้อ" ซึ่งยืนนิ่งฟังคำพิพากษา ค่อยๆ เอามือข้างหนึ่งถือเชือกที่รั้งไว้กับตรวนที่ข้อเท้า เพื่อยกตรวนขึ้นให้เดินสะดวก เขาและผู้คุมเปิดประตูออกมาจากห้องพิจารณาคดี โดยไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับทัพนักข่าวที่รออยู่ด้านนอก แสงแฟลชวิบวับตลอดเวลาที่เดินออกมา กล้องทีวียังคงจ่อตามนักโทษชายผู้นี้อย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะพยายามใช้มือข้างที่เหลือปิดบังใบหน้าตัวเอง
พ่อ พี่สาวและน้องชาย รีบเดินตามออกมา ผู้เป็นพ่อวัย 70 กว่าร่ำไห้ และพยายามสวมกอดลูกชายก่อนที่จะเข้าประตูส่วนของผู้ต้องขัง ท่ามกลางกล้องทีวีที่ยังตามติด คืนนี้ภาพของเขาคงปรากฏในทีวีหลายช่อง หลังจากที่เขาพยายามปิดบังสภาพตนเองยามถูกคุมขังกับลูกๆ ทั้ง 3 คนของเขาตลอดมา เพราะไม่อาจยินยอมให้ลูกเห็นสภาพ "คนคุก" ได้
พี่สาวของสุวิชาพยายามกลั้นน้ำตาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก ขณะที่ผู้เป็นพ่อยังคงร่ำไห้ เอามือปาดน้ำตา และพยุงตัวไปนั่งที่ม้านั่งข้างๆ ลิฟท์ กลุ่มทนายที่มากันหลายคนได้แต่ยืนนิ่งงันขณะรอติดต่อขอคัดสำเนาคำพิพากษา
ขณะอยู่ในลิฟท์ นักข่าวหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งยังคงพูดคุยกับผู้เป็นพ่อซึ่งเพิ่งหยุดร้องไห้ เขานิ่งเงียบเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ ผ่านไปอึดใจ คำพูดต่างๆ จึงพรั่งพรูออกมาราวกับทำนบที่รองรับน้ำไว้ไม่ไหว
"มันเหมือนผมมีบ้านอยู่ริมโขง น้ำมันเต็มฝั่ง แล้วจู่ๆ บ้านก็พังลงมาทั้งหลัง"
มีแต่ความเงียบในลิฟท์โดยสารนั้น จนกระทั่งลูกชายคนเล็กเอ่ยขึ้นมาว่า "พ่อ ไปพูดริมขง ริมโขงอะไร เขาจะไปนึกออกได้ไง" นักข่าวสาวตอบว่า "นึกออก เคยไปๆ" แล้วทุกคนก็หัวเราะ...กันไปอย่างนั้น จากนั้นจึงตามมาด้วยคำตัดพ้อถึงชะตากรรมและโทษทัณฑ์ที่ลูกชายได้รับ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของชาวต่างชาติ
ที่ใต้ถุนศาล สุวิชาถูกคุมตัวไว้ที่นั่นก่อนที่จะนั่งรถลูกกรงของเรือนจำกลับไปพร้อมนักโทษคนอื่นๆ ในเย็นวันนี้ ภรรยาของเขาซึ่งไม่ยอมขึ้นไปฟังคำพิพากษากำลังเกาะลูกกรงคุยกับเขาอยู่ เธอไม่มีน้ำตาสักหยดให้เห็น หากแต่เป็นสามีที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าอย่างไม่อายใคร นักข่าวไทยและต่างประเทศบางสำนัก รวมถึงเอ็นจีโอที่รณรงค์เรื่อง free speech ทางอินเตอร์เน็ต ยังคงติดตามมาพูดคุยกับเขา
"I never do anything wrong , the whole world please help me, I want to go back to my family." เสียงเขาตะโกนบอกผู้สื่อข่าวซึ่งพยายามฟังอย่างยากลำบาก ทั้งจากอาการสะอื้น และเสียงผู้ต้องหาและญาติคนอื่นๆ ที่ดังเซ็งแซ่ในบริเวณเยี่ยมนั้น
"ผมอยากกลับไปหาครอบครัว ไปเป็นชาวไร่ชาวนาก็เอา ขอให้ผมอาศัยอยู่ในประเทศนี้ต่อไปเถอะ ผมไม่มีที่ไปแล้ว ผมแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอาวุธ ไม่มีเครือข่ายอะไรจริงๆ"
"ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ขนาดอยู่ในคุก ของโดนขโมยเกือบทุกวันผมยังอโหสิเลย แต่อยู่ในสังคมไทย ความเชื่อแตกต่าง ผมกลายเป็นคนเลว" สุวิชาตัดพ้อพร้อมอธิบายว่า ระหว่างอยู่ในเรือนจำ เขาได้เขียนขอพระราชทานอภัยโทษต่อในหลวงแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาออกมาต่อต้านการรัฐประหาร และเข้าใจผิดจึงได้ก้าวล่วงพระองค์ ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ได้อธิบาย เขาจึงเข้าใจ และรู้สึกเสียใจ
ในบรรดาญาติและผู้สื่อข่าว ยังมีใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักกับสุวิชามาก่อน แต่เป็นคนติดตามข่าวสารและมาร่วมฟังการพิจารณาคดีด้วยรู้สึกเห็นใจ สงสาร เขาเป็นคนที่คอยพยุงพ่อของสุวิชาเดินลงบันไดศาลราวกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่คุ้นเคย จากนั้นจึงมาเกาะลูกกรงให้กำลังใจสุวิชา
"ถ้าผมไม่ได้ออกจากประตูคุกไปพบลูก ผมก็คงไม่ได้พบลูกตลอดไป เพราะผมไม่ยอมให้ลูกมาเยี่ยม ผมทำใจให้ลูกเห็นในสภาพนี้ไม่ได้"
"ถามคนทั้งโลกให้ทีว่า ลูกผมสามคนจะอยู่ยังไง"
นอกเหนือจากเสียงตะโกนที่ขาดเป็นห้วงๆ สุวิชายังตะโกนบอกภรรยาให้เอารูปครอบครัวให้กับนักข่าวที่สนใจ ภรรยาของเขารีบค้นข้าวของในกระเป๋า หยิบอัลบั้มรูปขึ้นมา แล้วเปิดหารูปถ่ายครอบครัวยื่นให้นักข่าวอย่างลนลาน
เธออธิบายว่า ในภาพมีลูกชายคนโตอายุ 16 ปี เพิ่งจบ ม.3 เพิ่งบวชให้พ่อเมื่อสัปดาห์ก่อน ลูกสาวคนรองอายุ 14 ปี และลูกชายคนเล็กอายุ 7 ปี
"นี่ไม่ใช่บวชธรรมดานะ เป็นการบวชในพระราชกุศล เผื่อจะได้ไถ่โทษให้พ่อเขาได้บ้าง" เธอละล่ำละลักบอกถึงการบวชของลูกชายในโครงการถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ณ วัดสระโบสถ์ จังหวัดร้อยเอ็ด
"เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย ทำไมทำกับเขาเหมือนเป็นผู้ก่อการร้าย"
"เขาบอกว่า ถ้าเขาออกมาได้จะลาออกจากงานไปอยู่บ้านนอกกัน เราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา มาบอกทำไมล่ะว่าให้ปากคำแล้วจะปล่อยแฟนหนูกลับบ้าน" ภรรยาตัดพ้อถึงกระบวนการสอบสวนแบบไทยๆ
เมื่อถามถึงอนาคตข้างหน้าของเธอผู้เป็นแม่บ้านมาโดยตลอด และกำลังต้องเป็นหัวเรือใหญ่ของบ้าน เธอส่ายหัวช้าๆ "ยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง"
โชคดีที่ลูกชายคนโตซึ่งเรียนโรงเรียนอินเตอร์จบการศึกษาพอดี ส่วนลูกสาวคงต้องให้ลาออกจากโรงเรียนในกรุงเทพฯ ไปเรียนต่อในต่างจังหวัดภูมิลำเนาของปู่ย่า อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นเรื่องยากลำบากที่จะให้เธอคาดคะเนชะตากรรมทั้งหมดของครอบครัว หลังสามีซึ่งเป็นวิศวกรเงินเดือนสูงในบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งถูกจับกุมเมื่อต้นเดือนมกราคม และถูกไล่ออกจากงานโดยไม่ได้เงินชดเชยใดๆ
ก่อนที่พี่สาวของเธอจะพาพ่อกลับภูมิลำเนาที่นครพนม เธอลงมายังใต้ถุนศาลแสดงความวิตกกังวลถึงข่าววันนี้ "นักข่าวทีวีเต็มไปหมดเลย" ทุกคนพยักหน้า และไม่มีใครว่าอะไรต่อ คาดเดาได้ว่าเธอคงกลัวเด็กๆ จะได้รับผลกระทบจากสังคมรอบข้างอย่างที่เธอประสบ "คนอื่นๆ พอเขารู้ว่าเป็นญาติกับสุวิชา เขาก็รังเกียจ คิดว่าเราคิดเหมือนกัน ผิดเหมือนกัน เป็นอาชญากร"
ล่วงเลยเวลาอาหารเที่ยงมามากแล้ว ทุกคนขอตัวลากลับ... กลับไปสู่โลกใบเดิม คงเหลือแต่เขานั่งนิ่งบนม้านั่ง เบื้องหลังกรงขังพร้อมโซ่ตรวนที่ไม่มีใครคะเนน้ำหนักได้.
000
ลำดับเหตุการณ์คดีสุวิชา ท่าค้อ
14 ม.ค. 2552 สุวิชา อายุ 34 ปี ทำงานตำแหน่งวิศวกรเครื่องจักร ของบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว หน้าร้านสุวรรณการช่าง อ.เมือง จ.นครพนม คำร้องของพนักงานสอบสวนระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 27 เม.ย.-26 ธ.ค.2551 ผู้ต้องหากระทำผิดกฎหลายบท หลายกรรม ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลรูปภาพ ซึ่งเป็นการกระทำดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท พนักงานสอบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 92/2552
16 ม.ค. 2552 สุวิชาถูกควบคุมตัวจาก นครพนมมายังศาลอาญา รัชดาภิเษกกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เจ้าพนักงานยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งแรก 12 วัน ไปจนถึงวันที่ 27 มกราคม โดยระบุว่า ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาจนครบกำหนดแล้ว แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอสอบปากคำพยานอีก 15 ปาก รอผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์จำนวน 3 เครื่อง แผ่นซีดี และเอกสารอีกจำนวนหลายรายการ จึงขอฝากขังไว้ หลังจากนั้น ทนายความของสุวิชาได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งประกันตัว 2ครั้ง แต่ศาลยกคำร้อง
26 มี.ค. 2552 อัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนายสุวิชา ท่าค้อ เป็นจำเลยฐานกระทำความผิดโดยร่วมกับพวกที่หลบหนี หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กโทรนิกส์หรือวิธีการอื่นใดโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย อัยการขอให้ลงโทษตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83,91 และ 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14 และ 16
30 มี.ค. 2552 จำเลยให้การรับสารภาพต่อศาลในระหว่างนัดชี้สองสถาน และศาลนัดฟังคำตัดสินในวันที่ 3 เม.ย. 2552 เวลา 9.00 น.
3 เม.ย.2552 เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญา ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินคดีที่พนักงานอัยการ โจทก์ ฟ้องนายสุวิชา ท่าค้อ เป็นจำเลยฐานกระทำความผิดโดยร่วมกับพวกที่หลบหนี หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กโทรนิกส์หรือวิธีการอื่นใดโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย อัยการขอให้ลงโทษตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83,91 และ 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14 และ 16
ตัดสินว่ามีความผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1), 83,91 และ 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2) และ 16(1) เนื่องจากเป็นความผิดหลายบท ให้ลงโทษตามมาตราที่มีโทษสูงสุด และความที่จำเลยกระทำความผิด 2 กระทง ให้ตัดสินให้ลงโทษ กระทงละ 10 ปี รวม 20 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กระทงละ 5 ปี คงเหลือโทษจำคุก 10 ปี ไม่รอลงอาญา และให้ริบของกลาง
.........
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดใจจากคุก สุวิชา ท่าค้อ
http://www.prachatai.com/05web/th/home/15329
ศาลยกคำร้องขอประกันตัว ‘สุวิชา ท่าค้อ' ทนายเตรียมอุทธรณ์ต่อสัปดาห์นี้
http://www.prachatai.com/05web/th/home/15349
สุวิชา ท่าค้อ รับสารภาพ ศาลนัดฟังคำพิพากษา 3 เม.ย. นี้
http://www.prachatai.com/05web/th/home/16074
ศาลตัดสินจำคุก 10 ปี "สุวิชา ท่าค้อ" ตามมาตรา 112