Skip to main content

(เนื้อหาในบทความนี้อาจจะบอกความลับของหนัง)

ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้ายของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า

ทำไมฆาตกรถึงดูไม่น่ากลัวแบบในหนังฮอลลีวู้ด

ครับ คำถามนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเพราะหลายคนไม่คิดว่าฆาตกรในชีวิตจริงนั้นจะเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆนี่ล่ะ บางคนใส่สูทผูกไทด์เสียด้วยซ้ำ บางคนหน้าตาหล่อเหลาจนไม่น่าเชื่อว่า เขาเหล่านี้จะเป็นฆาตกรสุดโหดได้ ซึ่งต้องโทษภาพจำจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่สร้างภาพของตัวละครเหล่านี้ให้เราชินชาว่า ฆาตกรต่อเนื่องจะต้องเป็น ชายร่างยักษ์ใหญ่ ใส่หน้ากากบ้างล่ะ หน้าโหดๆบ้างล่ะแบบนี้ อิทธิพลของภาพยนตร์ก็ครอบคลุมทุกอย่างไปเกือบหมดแม้แต่เวลาจับผู้ร้ายมาแถลงข่าวได้และเห็นหน้าตาอ่อนๆราวกับนักร้องเพลงเกาหลีก็พลางให้คิดว่า จับแพะมาหรือเปล่า

การตั้งคำถามเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ของเกาหลีเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของวงการภาพยนตร์เกาหลีสายโหดยุคใหม่ภายหลังหมดยุคของไตรภาคการล้างแค้นอย่าง Old boy ของผู้กำกับปัก ชาน วุค

เรื่องราวของจุงโฮ แมงดาอดีตตำรวจคนหนึ่งที่ออกจากราชการมาทำงานส่งผู้หญิงไปขายบริการทางเพศให้แก่คนที่ต้องการใช้บริการ ทว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมาเขาพบว่าเด็กของเขาหลายคนหายไป ซึ่งในคราวแรกเขาเชื่อว่า เด็กพวกนั้นหนีตามแขกไปทำให้เด็กไม่พอจนต้องไปตามหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่กำลังไม่สบายให้ไปทำงานแล้วพบว่า คนที่เรียกไปใช้บริการนั้นเป็นคนคนเดียวกับที่พาหญิงคนอื่นไปด้วยความเชื่อว่า ไอ้หมอนี่เอาเด็กของเขาไปขายต่อ จุงโฮจึงวางแผนให้หญิงบริการคนนี้เป็นนกต่อสืบที่อยู่ของหมอนี่ทว่า เธอก็หายไปเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นานจุงโฮได้พบกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งก่อนจะจับตัวเขาได้และส่งให้ตำรวจไป ทว่าเขาก็เปิดปากสิ่งที่น่าตกตะลึงออกมานั้นก็คือ ผู้หญิงที่หายไปเขาไม่ได้เอาไปขายแต่เอาไปฆ่าทิ้งต่างหากและน่าจะมีถึง 12 ศพด้วยซ้ำ คำพูดอันน่าตกตะลึงและไม่สะทกสะท้านของชายคนนี้ทำให้ตำรวจต้องเข้ามายุ่งกับคดีนี้ ทว่า นอกจากปากคำของคนร้ายแล้วก็ไม่มีหลักฐานอื่นๆอีกซึ่งอาจจะทำให้ตำรวจต้องปล่อยตัวของเขาออกไปในช่วงเที่ยงวันของวันต่อมา ความหวังเดียวคือ จุงโฮต้องหาตัวของหญิงสาวที่เขาส่งไปให้เจอเพื่อใช้มัดตัวฆาตกรรายนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากแฟ้มคดีจริงของฆาตกรต่อเนื่องในเกาหลีที่ปัจจุบันถูกประหารชีวิตไปแล้ว ทว่าการกระทำของเขานั้นยังคงสั่นประสาทหลอนชาวเกาหลีใต้ทุกคนเสมือนแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ กลับชาติมาเกิด (น่าสังเกตว่าเหยื่อของเขาที่เป็นการสังหารด้วยตัวเองนั้นเป็นโสเภณี) ซึ่งแน่นอนว่า ตัวหนังนั้นอุดมไปด้วยความรุนแรงแบบเต็มขั้นทั้งการฆ่าที่เลือดเย็นและอำมหิตผิดมนุษย์ (แต่ก็ไม่มีฉากฆ่าใดเห็นจะๆที่ยิ่งส่งเสริมให้หนังสร้างจินตนาการกับคนดูให้มากไปอีก) ถึงจะเป็นเช่นนั้นหนังก็มีความแตกต่างกับไตรภาคของปักชานวุคอย่างสิ้นเชิง เพราะแทนจะพูดถึงการแก้แค้นของแมงดาจุงโฮนั้น หนังกลับพูดถึงความล้มเหลวของระบบยุติธรรมเกาหลีได้อย่างถึงแก่น

สิ่งที่เป็นผู้ร้ายตัวจริงของหนังกลับไม่ใช่ตัวฆาตกรที่เลือดเย็นแต่เป็นระบบยุติธรรมที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ของกฎหมายเต็มไปหมดจนส่งผลให้เกิดการฆ่าในศพต่อมาอีก ซึ่งสิ่งที่บ่งบอกถึงความง่อยเปลี้ยของระบบยุติธรรมนั้นก็มีหลายอย่างเช่น การที่เราได้เห็นว่า ฆาตกรสารภาพไปแล้วก็น่าจะใช้ในการควบคุมตัวไว้ได้ ทว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ระบบยุติธรรมนี้ต้องการหลักฐานมากกว่าจนทำให้ต้องปล่อยฆาตกรไป(และเกิดการฆ่าขึ้นอีก) ยังไม่รวมการสร้างภาพของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างตำรวจให้ดูไร้ความสามารถที่ประชาชนจะพึ่งพาได้ หนังฉายให้เห็นถึงหน้าที่ตำรวจที่ดูแล้วได้แต่ส่ายหัวอย่างการไปนั่งเฝ้าคุ้มครองนักการเมืองที่มีพฤติกรรมเลวๆจนถูกอึปาใส่หน้า การไม่สนใจฟังเหตุผลใดๆและถือตัวเองมีอำนาจทางกฎหมายและเบียดเบียนประชาชน พฤติการณ์รับสินบน รวมไปถึงภาพที่แสนจะน่าเวทนาของตำรวจที่นอนหลับในขณะลาดตระเวนตรวจตราจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากหญิงสาวที่โทรขอความช่วยเหลือ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการฉายให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบนี้ ระบบนี้ทำให้ตำรวจสืบสวนคนหนึ่งอย่าง จุงโฮ ต้องกลายเป็นแมงดาไป(ซึ่งสาเหตุของการกลายพันธุ์มาเป็นแมงดานั้นหนังไม่ได้เล่าให้ฟัง)ยิ่งเราดูพฤติกรรมของตำรวจยิ่งทำให้ต้องส่ายหน้าทั้งการสืบสวนที่แสนล่าช้าและไม่มีเซ็นต์ทางการสืบสวนยิ่งทำให้เราไม่อาจจะฝากความหวังกับพวกเขาได้ในการเอาตัวคนร้ายที่นั่งอยู่ตรงหน้ามาลงโทษ ผลคือ เราเทสายตามองไปยัง จุงโฮ แมงดาหนุ่มให้คลี่คลายคดีนี้ทั้งที่เขาไม่ใช่ตำรวจอีกแล้ว แต่เรากลับไปหวังพึ่งพิงเขา

ดังนั้นคำว่า คนจับฆาตกรไม่ใช่ผู้รักษากฎหมาย จึงเป็นคำที่เสียดแทงลงไปกลางใจของระบบตำรวจเกาหลีได้เป็นอย่างดี เพราะนิยามของตำรวจ อาชีพที่มีไว้ปกป้องประชาชนหรือคำที่เรียกพวกเขาว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั้น ทว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้พวกเขาก็เป็นได้สุนัขรับใช้นักการเมืองที่มีหน้าที่คอยดูแลพวกนั้นและปล่อยชาวบ้านตาดำๆไว้โดยไม่สนใจว่า พวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอะไรต้องช่วยนักการเมืองก่อนเสมอ ในขณะที่ประชาชนโดนสับไปแล้ว ซึ่งต้องมานั่งคิดว่า ฉากที่สารวัตรถูกนักการเมืองบีบให้ปล่อยตัวคนร้ายนั้นก็แสดงภาพอำนาจอันน้อยของตำรวจในเมืองของนักการเมืองอยู่แล้ว (จนคิดว่าการที่คนร้ายหลุดออกไปและฆ่าคนบริสุทธิ์อีกนั้น นักการเมืองคนนั้นจะต้องรับผิดชอบหรือไม่) แน่นอนมันสะท้อนไปถึงฉากจบของเรื่องว่า ถ้าจุงโฮไม่มาซัดกับคนร้ายก่อน ตำรวจที่มาช้าแบบนี้จะทำจับฆาตกรได้หรือไม่

ช่างดูแล้วหดหู่กับระบบจริงๆนะครับ

ทว่าท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืนนั้นก็ยังมีแสงสว่างอ่อนเริ่มสาดแสงมา จุงโฮได้พบแสงสว่างเหล่านั้นในเด็กผู้หญิงที่เป็นลูกของโสเภณีคนนั้นที่พอจะทำให้เขายังพอมีความหวังต่อโลกสีเทาอันนี้ ภาพที่เขาไปนั่งอยู่ข้างเตียงของเด็กคนนี้พร้อมๆกับที่แสงอาทิตย์ยามเช้ากำลังจะสาดส่องมาถึงได้บอกให้เขารับรู้และเชื่อในความหวังอีกครั้งหนึ่ง

ภายหลังจากศรัทธาได้สูญสิ้นไปนานแล้ว

บล็อกของ Mister American

Mister American
           ความสำเร็จครั้งมโหฬารของภาคที่สี่ของแฟรนไชส์ Jurassic Park อย่าง Jurassic World นั้นเรียกได้ว่า เป็นการหักปากกานักสังเกตที่คาดเดาว่า ภาคต่อของไดโนเสาร์ภาคนี้อาจจะทำเงินได้ไม่มากนัก ทว่า การเปิดตัวในอเมริกากว่า 200 ล้านเหรียญในเวลาเพียงสามวันจนทำลานสถิติของ
Mister American
              ท่ามกลางความเงียบงันสถาวะเงินฝืดที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยปีนี้มีสภาพเรียกว่า ย่ำแย่ที่สุดในหลายปี ผู้คนไม่ยอมจับจ่ายใช้สอยกันยกเว้นเพียงจำเป็นทำให้สถาวะของประเทศค่อนข้างเงียบ บริษัทหลายบริษัทต่างเจ็บตัวเข้าเนื้อกันไปตาม ๆ กันทำให้หลายคนคาดการณ์ว
Mister American
            “บางระจัน บางระจัน บางระจัน ไม่อาจยืนอยู่ทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง บางระจัน บางระจัน บางระจัน ไม่อาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง”
Mister American
                ถ้าให้พูดล่ะก็นี่ก็เป็นเวลาครบรอบสามปีแล้วกระมั้งครับนับจากการล่มสลายของค่าย Bliss publishing  ค่ายหนังสือยักษ์ใหญ่ที่ปิดตัวลงไปและทำให้กระแสหนังสือเล่มเล็กอย่างไลท์โนเวลนั้นกลายเป็นหนังสือกระแสหลักที่หลายค่ายพากันกระโจนเข้ามาร่วมสมรภูม
Mister American
            เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้นวงการภาพยนตร์ไทย ไม่สิ ต้องบอกว่า วงการภาพยนตร์เมอร์เชียลอาร์ตของโลกนั้นต้องสูญเสียปรมาจารย์ สุดยอดนักสู้ของโลกไปอย่างไม่มีวันกลับ แม้ว่า ชื่อเสียงของชายคนนั้นจะแทบไม่เป็นที่สนใจของสื่อหรือคนไทยมากนัก หลายคนถึงกับงุนงงว่
Mister American
            ย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เราคงได้เห็นนโยบายคืนความสุขให้กับประชาชนของ คสช อย่างการเปิดโรงภาพยนตร์เมเจอร์ให้ชมภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคที่ 5 กันไปบ้างแล้ว  แน่ล่ะว่า หลายคนคงจดจำภาพของบรรดาผู้คนที่พากันยื้อแย่งก
Mister American
        ต้องบอกว่า นี่คือ อนิเมะที่มาแรงแซงทางโค้งที่สุดในซีซั่นที่ผ่านมาเลยทีเดียว ท่ามกลางกระแสอนิเมะฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมามากมายและหลายคนคาดว่า อนิเมะที่ถูกดัดแปลงมาจากไลท์โนเวลชื่อเดียวกันของ ยู คามิยะ นักเขียนการ์ตูนที่อ
Mister American
              ท่ามกลางความวุ่นวายของการเมืองไทยที่ถึงจุดพลิกพันอีกครา หลังเกิดการัฐประหารขึ้นอีกครั้งได้ส่งผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์โดยรวม แน่ล่ะว่าภาพยนตร์ไทยที่สามารถทำรายได้มหาศาลในตอนนี้นั้นคงไม่พ้นหนังอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคที่ 5 ยุทธหัตถีที่กวาดร
Mister American
          ถ้าพูดถึงหนังซัมเมอร์บล็อกบัสเตอร์ในปีนี้ที่ผมอยากดูใจจะขาดชนิดว่า แทบคลั่งแบบรอไม่ไหวแล้วที่จะต้องไปดูให้ได้นั้นย่อมไม่มีหนังเรื่องไหนทำให้ผมเกิดอาการคลั่งได้มากพอ ๆ กับหนังเรื่อง ก็อตซิลล่า (Godzilla) ของ กาเรธ เอ็ดเวิร์ด ที่เป็นการนำก็อตซิลล่
Mister American
        ถ้าพูดถึงหนังสือที่ขายดีมาแรงแซงทางโค้งในช่วงเวลาที่แสนซบเซาและน่าเบื่อนี้ แน่นอนว่า ชื่อของไลท์โนเวล หนังสือนิยายแปลไทยจากญี่ปุ่นที่กลายเป็นหนังสือกระแสแรงในงานหนังสือที่ผ่านมาสองสามปีนี้ แน่นอนว่า สาเหตุที่มันเข้าถึงคนอ่านได้ง่ายจนกลายเป็นหนังสือชายดีในทุกงานหนังสือน
Mister American
                สิ่งที่คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้ทิ้งเอาไว้ในไตรภาคหนังซุปเปอร์ฮีโร่ The Dark Knight  นั้นก็คือ การตั้งคำถามว่า การมีแบ๊ทแมน หรือ ซุปเปอร์ฮีโร่นั้นคือ สิ่งที่ควรจะมีอยู่ในสังคมต่อไปหรือไม่ แน่นอนว่า ประเด็นนี้ตัวโนแลนได้ตอบไ