Skip to main content
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย"
ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา


แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีต

ฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง
.......

"บ้านฉันอยู่บางม่วง ขอเป็นน้องสาวของพี่นะคะ"
ถ้อยคำในจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งมาถึงฉันเมื่อยี่สิบปีก่อน รอยหมึกบนตราไปรษณียากรบอกว่ามาจากตะกั่วป่า

เวลาเนิ่นนานจนฉันจำไม่ได้ว่าเรารู้จักกันได้อย่างไร อาจเป็นคอลัมน์หาเพื่อนใหม่ ในหนังสือวัยหวานสักเล่มหนึ่ง เธออายุน้อยกว่าฉันห้าปี

"ขอบคุณที่พี่ตอบจดหมาย ฉันดีใจที่สุดในโลก"
ทุกสัปดาห์จะมีจดหมายจากบางม่วง สอดมาในซองหลากสีที่พิมพ์ลายการ์ตูน ถ้อยคำของเธอตรงและซื่อ บางครั้งสดใส แต่บางครั้งก็แฝงความเศร้าบางอย่าง ฉันไม่อาจตัดสินความเป็นไปในครอบครัวของเธอ จึงได้แต่ปลอบโยนและให้กำลังใจ เราคุยกันอยู่นานนับปี เธอเขียนถึงฉันมากกว่าฉันเขียนถึงเธอ

วันหนึ่งเธอคร่ำครวญมาว่าต้องออกจากโรงเรียน
"ไม่มีใครอยากส่งฉันเรียนหนังสือ ไม่มีใครถามว่าฉันอยากทำอะไร"
"ก็แล้วน้องอยากทำอะไรเล่า" ฉันถามกลับไป
"ไม่รู้สิ ฉันแค่อยากมีความสุข" เธอตอบ
ในเวลานั้น เรายังไม่รู้จักอินเตอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีวิทยุติดตามตัว ถ้อยสนทนาระหว่างเรา ใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด 7 วันในการเดินทางถึงกัน แต่บางครั้งก็นานนับเดือน

"พี่ทำไมหายเงียบไป รู้ไหมฉันใจคอไม่ดี ฉันรอจดหมายพี่ทุกวัน"
ฉันเลือกที่จะไม่ใส่ใจถ้อยคำตัดพ้อ เพราะกำลังวุ่นวายกับการเรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย และตื่นเต้นกับเรื่องใหม่ๆ ในชีวิต ที่ดูเหมือนจะสำคัญกว่าการเฝ้ารออ่านและเขียนจดหมายถึงคนที่ยังไม่เคยพบหน้า

หนังสือเล่มหนึ่งเขียนว่า จงยิ้มให้คนอื่นเสมอ เพราะนั่นอาจเป็นยิ้มแรกและยิ้มเดียวที่ใครบางคนได้รับ แต่ในครั้งนั้น ฉันยังไม่ตระหนักกับความหมายของมัน

เธอหายไปนานหลายเดือน ก่อนจะส่งข่าวมาพร้อมรอยประทับตราไปรษณีย์ที่เปลี่ยนไป
"ตอนนี้ฉันมาสมัครทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงแรม... แถวๆ หาดป่าตอง ต้องปูที่นอนเก็บที่นอนทุกวัน แขกบางคนสกปรกมากเลยพี่ แต่ก็ต้องทน ฉันจะไม่กลับบ้านอีกแล้ว"

เธอทำงานหนักอยู่นานปี เหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดกับความฝันหลายๆ อย่างที่ไม่เป็นจริง  
"ฉันมีข่าวจะบอก ฉันแต่งงานแล้วนะ ไม่มีพิธีอะไร แค่ผูกข้อมือ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันรักเขาไหม แต่เขาบอกว่ารักฉันมาก ฉันควรพอใจใช่ไหมพี่"

"อยากให้พี่มาหาจังเลย วันไหนเจอหน้าพี่ ฉันคงตื่นเต้นจนคุยอะไรไม่ออก"
ฉันกำลังทุ่มเทให้กับการทำงานอาสาพัฒนาในชนบทอีสาน เกาะภูเก็ตช่างอยู่ไกลแสนไกลในความรู้สึก อีกทั้งค่าเดินทางยังเป็นตัวเลขที่น่าตกใจสำหรับฉัน(ในตอนนั้น)

"เมื่อไหร่พี่ถึงจะมาเยี่ยมฉันล่ะคะ พี่คงไม่ได้รังเกียจฉันใช่ไหม"
เรื่องราวมากมายในชีวิตช่วงหนึ่ง ทำให้ฉันห่างเหินการคุยทางจดหมาย เธอยังส่งข่าวมาสม่ำเสมอ บางฉบับมีความน้อยใจเจือปนมาด้วย ฉันได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองด้วยเหตุผลว่า "ไม่ค่อยมีเวลา" แต่เมื่อคิดทบทวนภายหลัง ก็เห็นว่าเป็นแค่ข้ออ้างให้กับเรื่องที่เราไม่ให้ความสำคัญ

"ลูกฉันไม่สบายอีกแล้ว ฉันปวดหัวจนทำอะไรไม่ถูก ถ้ามีพี่อยู่ใกล้ๆ ฉันคงสบายใจกว่านี้"
วันหนึ่งเธอหอบลูกย้ายกลับมาอยู่ที่ตะกั่วป่า ไม่มีถ้อยคำใดกล่าวถึงพ่อของลูก และฉันก็ไม่ได้ถาม เธอเลิกพูดถึงตัวเอง จดหมายทุกฉบับมีแต่เรื่องของลูก ฉันคิดว่าพังงาก็ยังใกล้กว่าภูเก็ต สักวันฉันคงมีโอกาสไปหาเธอ ไปเยี่ยมลูกของเธอ ไปขอโทษที่ปล่อยให้เธอรอนาน แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็ยังไม่ได้ไป มีอะไรที่ฉันเห็นว่าสำคัญกว่าในตอนนั้น ฉันเองก็ลืมไปแล้ว

ปลายปี 2547 คลื่นยักษ์สาดซัดเข้ามาใน 6 จังหวัดภาคใต้ หมู่บ้านของเธอเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เสียหายรุนแรงที่สุด ทั้งบ้านเรือนและชีวิตผู้คน

ฉันลุกขึ้นมาค้นหาเธออย่างตื่นตระหนก ไล่ตามดูหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ไม่มีชื่อและนามสกุลของเธอ พยายามคิดว่าเธอคงปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง 

เวลาผ่านไป ฉันพยายามหัดใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาเธอ เมื่อไม่พบ ก็ค้นเฉพาะนามสกุล ฉันโทรศัพท์ไปยังหมายเลขของคนที่มีนามสกุลพ้องกัน แต่ก็คว้าน้ำเหลว ส่งจดหมายไปตามที่อยู่ครั้งสุดท้าย แต่ไม่มีคำตอบกลับ เธอหายไปเหมือนไม่มีตัวตน เหมือนผู้สูญหายอีกนับพันคนที่ยังค้นหาไม่พบ

ตู้ไปรษณีย์สีขาวที่รั้วบ้านเก่าผุไปตามเวลา ฉันไม่ได้เปลี่ยนตู้ใหม่ และยังคงเฝ้ารออย่างใจจดจ่อ แต่จนถึงวันนี้ไม่มีจดหมายจากบางม่วงอีกเลย

"ในโลกนี้ พี่เป็นพี่สาวคนเดียวของฉัน"
ประโยคนี้ในความทรงจำ ทำให้ฉันมีน้ำตาทุกครั้ง

วันเวลาเหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ หลายเรื่องราวเราไม่มีโอกาสแก้ไขใหม่ บทเรียนนี้บอกฉันว่า อย่าลังเลหรือรีรอที่จะลงมือทำในสิ่งที่อยากทำ หรือสิ่งที่คิดว่าควรจะทำ

เพราะเพียงเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง กว่าจะรู้สึก เราอาจทำคนสำคัญบางคนหล่นหายไปจากชีวิต

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…