Skip to main content

วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม

ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)


 

ข้าวสาร ๒ กิโล อย่าถามเลยว่าจะหุงได้อีกกี่วัน แค่มื้อเดียวยังไม่พอ

เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้ม...กลุ้มใจ กลุ้มใจ

กลุ้มอยากมีเงินทอง กลุ้มอยากจองที่ดิน กลุ้มอยากมีทรัพย์สิน มีที่ดินซักห้าพันไร่

กลุ้มอยากมีรถเบ๊นซ์ กลุ้มอยากเป็นคนดัง กลุ้มอยากมีสตางค์ ชี้นิ้วนั่งได้เป็นคุณนาย.....

อุ๊ยตาย! เผลอถอนใจเป็นเพลง “คิดแล้วกลุ้ม” ของพุ่มพวง ดวงจันทร์

 

บ้านสี่ขาซื้อข้าวให้หมาเดือนละ ๓-๔ ท่อน(หมายถึงกระสอบ) ท่อนหนึ่งมี ๔๙ กิโล

ไม่นับกับข้าว (โถ คุณขา หมาก็มีหัวใจ จะให้กินข้าวเปล่าๆ อย่างไรได้คะ) กับอาหารเม็ดอีกเดือนละ ๕ ถุง (ถุงละ ๒๐ กิโล)

แล้วก็ยังไม่นับอาหารสำหรับแมวอีกกว่า ๕๐ ตัว

ภาวนาอยู่ทุกวันว่าอย่ามีตัวไหนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ปรากฏว่ามีเกือบทุกวันจนอยากมีสัตวแพทย์ประจำบ้าน จะได้ไม่ต้องอุ้มบ้าง แบกบ้าง ทุลักทุเลไป ๓๐ กว่ากิโลเมตรกว่าจะถึงตัวจังหวัด

โหะโหะ! ทุกวันนี้ทำงานงกๆ หาเลี้ยงลูกหลานสี่ขาแท้ๆ ทีเดียว

 

จริงๆ ก็ไม่กระไรนักหรอก ยังพอมีแรงทำมาหากินด้วยความเต็มใจ แต่บางทีหาไม่ทันก็ได้นั่งกลุ้มใจเล่นบ้าง อย่างเช่นวันนี้เป็นต้น

ความจริงข้าวสารมีขายในตลาดหน้าอำเภอ อาเฮียก็ยินดีอย่างมากที่จะขาย ติดขัดอยู่แค่ฉันไม่มีเงินไปซื้อ (แถมยังต้องมีค่ารถรับจ้างไปแบกกลับมาด้วย เพราะแบกกระสอบข้าวพร้อมขี่จักรยานยนต์เองไม่ไหว)

 

แหม อยากขอร้องจริงๆ นะ คนที่ชอบทิ้งหมาทารุณแมว พอเสียทีเถิด หากไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตใดๆได้ตลอดรอดฝั่ง หรือรู้ว่าตัวเองอดทนไม่พอกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ดั่งใจ ก็อย่าได้คิดเลี้ยงสัตว์ชนิดใดเลย

เลี้ยงครึ่งๆกลางๆ แล้วเผลอ (หรือตั้งใจ?) ทิ้งขว้างซะงั้น

คิดดู๊...ถูกทิ้งมาทั้งที ยังให้เจอคนอุปการะที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีปัญญาซื้ออาหารดีๆ ให้กิน ไม่เคยซื้อของเล่นให้กัด แถมบ่อยครั้งยังเงินขาดมือซื้อข้าวสารไม่ทัน

น่าสงสารพวกมันจะตายไป!

 

แล้วฉันจะทำอย่างไรให้ข้าวสารที่เหลือ ๒ กิโลพอกินทั้งบ้าน พรุ่งนี้อีกล่ะ?

อะโห! ช่างเป็นปัญหาท้าทายยิ่งนัก พุทธศาสนสุภาษิตบอกว่า ปัญหามา ปัญญามี

แต่ตอนนี้ ปัญญายังไม่มี ก็เลยนั่งกุมขมับไปพลางๆ

 

อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง

อยากถามคุณค่ะว่า ถ้ามีเงินอยู่ ๗๐ บาท คุณจะทำอะไรได้บ้างคะ?

 

ช่วงหนึ่งในชีวิต ฉันทำงานเกี่ยวข้องกับโรงเรียนบนภูเขาลูกหนึ่งที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

งานของฉันไม่ใช่ครู แต่เป็นการเก็บข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของเด็กๆ ในภาคอีสาน

โรงเรียนนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในพื้นที่รับผิดชอบและฉันก็มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมเยียนไม่บ่อยนัก เพราะเส้นทางลำบากแสนสาหัส

 

ในวันหนึ่งที่แสนวุ่นวาย มีจำนวนครูอาสาไม่พอสอนเด็ก บางคนวิ่งหลายห้อง

ราวๆ สิบโมงเช้า ฉันกำลังสำรวจเพิงที่สร้างหยาบๆ จากไม้ไผ่ให้เป็นโรงครัว พื้นเป็นดินแข็ง มีไม้ฟืนเหลือกองอยู่ไม่กี่ท่อน ก้นหม้อและกระทะดำปี๋ด้วยเขม่า

ครูสาวคนหนึ่งโผล่หน้ามันๆ มาบอกว่า

พี่อยู่ตรงนี้พอดีเลย ช่วยทำอาหารกลางวันให้หน่อย พวกหนูไม่มีเวลาทำ”

แล้วเธอก็ผลุบออกไป ไวปานกามนิตหนุ่ม

 

หน้าเพิงมีแม่ๆ ยืนอยู่ ๓-๔ คน ล้วนแต่ยังสาว ทุกคนเป็นชาวถิ่นกับชาวลัวะ และเป็นแม่ของเด็กในโรงเรียนที่ผู้ใหญ่บ้านให้ผลัดกันมาช่วยงานครู

คนหนึ่งอายุราว ๒๐ ปี มีลูกเล็กมัดผ้าขาวม้าไว้ข้างหลัง กำลังหลับคอพับคออ่อน

อีกคนวัยพอๆ กัน มีลูกอ่อนมัดไว้ข้างหน้า กำลังดูดนมแม่อยู่อย่างเอาจริงเอาจัง

ฉันมองหน้าเธอทั้งหลาย พวกเธอก็มองหน้าฉันอย่างซื่อๆ ท่าทางรอว่าฉันจะสั่งอะไร

ทำไงดีเนี่ย” ฉันเผลอรำพึงเสียงดัง

แม่คนหนึ่งชี้ไปที่ไม้กระดานแผ่นเล็กที่ตอกอยู่ในครัว เขียนด้วยชอล์กว่า “วันพุธ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า”

แล้วฉันจึงเห็นว่าบนพื้นดินกลางครัว มีห่อใบตองใส่เส้นก๋วยเตี๋ยววางอยู่ราวๆ ๓ กิโล กับน้ำมันหมูเป็นถุงๆ และน้ำตาลทรายสีตุ่นๆ ถุงหนึ่ง

ข้างเพิงมีผักกองหนึ่ง เป็นพืชไร่ที่ชาวบ้านเก็บมาให้ เป็นความร่วมมือในการหาอาหารกลางวัน ใครมีอะไรก็เอามา ผักกองนั้นจึงมีทั้งกะหล่ำ มะเขือ ฟักเขียว บวบ แตงร้าน และผักป่าที่ฉันไม่รู้จักชื่ออีก ๒-๓ ชนิด

ทำเป็นกันไหมคะ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า” ฉันถาม

ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง!

 

อึ้งอยู่ครึ่งนาที จึงวิ่งไปตามหาครูอาสาคนที่มอบหมายงานอันทรงเกียรติให้ฉัน พบเธอกำลังจับปูใส่กระด้งอยู่ในชั้นเด็กเล็กที่จับรวมกับชั้นป.

ทำไมมีแค่นั้นล่ะคะ เด็กเกือบสองร้อยนะ” ฉันถามแบบยังไม่หายอึ้ง

ก็มีแค่นั้นแหละค่ะพี่” เธอเงยหัวฟูขึ้นมาตอบอย่างซื่อๆ

เหรอ..เออ..แล้วทำราดหน้ากับอะไรล่ะ ไม่เห็นมีเนื้อหมู” ฉันหลุดปากถามโง่ๆ ออกไป เธอก็อธิบายซื่อๆ อีกว่า

งบประมาณอาหารกลางวันหมดค่ะ เหลือแค่ ๗๐ บาท เงินเดือนครูพวกหนูก็ยังไม่ได้รับ ไม่มีจะซื้อหมูค่ะพี่ ลงไปหล่มเก่าซื้อมาได้แค่นั้น ยังดีมีเส้นก๋วยเตี๋ยว เด็กๆ ยังไม่เคยกินราดหน้าเลย ก็เลยอยากกินกัน”

 

..แสงเรืองๆ ที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง

เหนื่อยยากอย่างไรไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง ครูนั้นยังลำพองในเกียรติของตนเสมอมา...

 

ฉันอยากตะโกนร้องเพลง “แม่พิมพ์ของชาติ” ของวงจันทร์ ไพโรจน์ เพื่อแสดงความชื่นชมครูอาสาตัวเล็กๆ ทั้งหลายที่ตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างไม่ย่อท้อ แถมรับสภาพความจริงอย่างเป็นเรื่องธรรมดาอีกด้วย

 

แต่แหม..ไม่มีโปรตีนเลยนะ เสียดายอาหารไม่ครบ ๕ หมู่” ฉันอดบ่นงึมงัมไม่ได้

เออ โปรตีนก็มีเหมือนกันแหละพี่” เธอพยักหน้าไปอีกด้าน ฉันมองตามไป เจอหมาภูเขาผอมๆ หน้าตาซื่อๆ ๒-๓ ตัวนอนผึ่งแดดอยู่ใกล้เสาธงไม้ไผ่ เห็นแล้วคิดถึงบรรดาสี่ขาที่บ้าน

อืม จริงด้วย แต่อย่าไปรบกวนมันเลย พี่ว่ามันคงไม่เต็มใจมั้ง” ฉันรู้ใจหมา

หนูก็ว่างั้นแหละ” เธอหัวเราะ ฉันก็หัวเราะ

 

ใกล้เที่ยงแล้ว ฝากด้วยนะคะพี่” เธอมองหน้าฉันอย่างเชื่อมั่น (ยิ่งกว่าตัวฉันเองเสียอีก)

 

เอาละ(วะ) ปัญหามา ปัญญามี ฉันผงกหัวหงึกหงัก ถึงแม้ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าจะไม่ใช่บะหมี่ปรุงสำเร็จ ที่ปรุงเสร็จตั้งแต่ในซอง แต่ฉันผู้ถนัดทำกับข้าวให้หมา จะไม่มีปัญญาทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้าให้คนกินก็ให้มันรู้ไป

 

เดินกลับไปโรงครัวอย่างมุ่งมั่นที่จะทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้าราคา ๗๐ บาทให้เด็กดอยเกือบ ๒๐๐ คนได้อร่อย ถึงแม้จะยังนึกไม่ออกว่าจะใช้สูตรไหนก็เถอะ

โปรดติดตาม(พร้อมเอาใจช่วย) ในตอนต่อไป!

 


..ฝันเอาค่ะ ราดหน้าจานนี้

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…