Skip to main content

ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว


ฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง


ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง”

ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ

กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”


รถประจำทางคลานผ่านไปช้าๆ ใบหน้าเหน็ดเหนื่อยของผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่ในนั้นชวนให้นึกถึงความอึดอัด อบอ้าว ผสานกับกลิ่นเหงื่อไคลในรถที่ปิดทั้งประตูหน้าต่าง ประสบการณ์เป็นลมบนรถคราวก่อนทำให้ฉันขยาดที่จะขึ้นไปทรมานตัวเอง


แต่การนั่งจับเจ่าอยู่บนรถสักคันคงดีกว่ายืนหนาวฝนอยู่ริมถนนมืดเปลี่ยว คำนวณเงินในกระเป๋าแล้วจึงตัดสินใจโบกรถแท็กซี่ สามคันแรกส่ายหน้าเมื่อฉันบอกปลายทาง


ความจริงผมไม่อยากไปหรอกนะเส้นนั้น” คนขับคันที่สี่พูดเมื่อรับฉันขึ้นไปนั่ง “รถติดบรรลัย ผมเพิ่งจะหลุดมาหยกๆ”

แล้วทำไมถึงยอมไปล่ะคะ”

อ้าว ไม่งั้นเมื่อไหร่คุณจะได้ไปล่ะ” เขาย้อนห้วนๆ แต่มีน้ำใจอยู่ในถ้อยคำ

ฉันขยับเข้ามุม นึกอยากได้ผ้าห่มสักผืน แต่พยายามจะไม่หลับในรถแท็กซี่

รถนี่ใช้แก๊สคงไม่แย่เท่าใช้น้ำมันใช่ไหม” ฉันชวนคุยแก้ง่วง

โอย ค่าแก๊สไม่ขึ้น แต่ค่าข้าวแกงขึ้นนี่ครับ ตอนบ่ายผมเพิ่งกินข้าวมันไก่จานละสามสิบ มีข้าวอยู่ทัพพีนึงมั้ง กินก็ไม่อิ่มต้องต่ออีกจานเป็นหกสิบ วันหนึ่งถ้ากินนอกบ้านสามมื้อก็เกือบสองร้อยเข้าไปแล้ว ทุกวันนี้ผมซื้อข้าวสารโลละสี่สิบสองแล้วนะคุณ”


สำเนียงคุ้นๆ ของคนขับทำให้ฉันถามว่า “โชเฟอร์คนที่ไหนคะ”

ผมคนนครสวรรค์ อยู่ท่าตะโก”

ว้าว เหรอคะ” ฉันรู้สึกอุ่นใจคล้ายๆ เจอญาติ “นี่คนปากน้ำโพนะ”

อ้าว คนบ้านใกล้กันเหรอเนี่ย ดีๆๆ ปากน้ำโพผมไปบ่อย” คราวนี้เขาหัวเราะ

แล้วที่บ้านทำอะไรคะ ขอโทษ ทำไมมาขับแท็กซี่ อยู่ท่าตะโกไม่ดีเหรอ”

เมื่อก่อนผมก็ทำไร่ ข้าวโพดบ้างถั่วบ้าง ที่ดินผมก็มีนะ พ่อแม่แบ่งให้ก่อนตายคนละไร่สองไร่ แต่ผมยกให้พี่ชายไปหมด เพราะทำไปก็ไม่พอกิน”


แล้วมาอยู่ที่นี่ดีกว่าเหรอ”

มาขับรถกรุงเทพฯ ดีไม่ดีก็ยังพอมีกิน พอมีหนี้มีสินติดตัว”เขาหัวเราะอีก

สมัยนี้มีสักกี่คนกันที่ไม่มีหนี้” พูดไปใจก็นึกถึงตัวเลขเงินกู้ในธนาคาร

อย่างน้อยก็ลูกผมคนนึงละ เอ๊ะ แต่ต่อไปก็ไม่แน่” เขาพูดแบบไม่ร้อนอกร้อนใจ


แล้วกลับไปบ้านเดิมบ้างไหมคะ”

กลับสิครับ ญาติพี่น้องก็อยู่ สงกรานต์ปีใหม่ บางทีเข้าพรรษาก็กลับ”

กลับรถนี่เหรอ”

ก็คันนี้แหละ ค่าแก๊สมันก็พอสู้ เมียกับลูกอีกสองคน ไปกลับสี่คนแค่ค่ารถทัวร์ก็ไม่ไหวแล้ว”

แล้วนี่ขับรถกะกลางคืนใช่ไหมคะ” ตัวเลขนาฬิกาในรถเขาบอกเวลาสองทุ่มเศษ

ผมมันคนไม่มีกะ ทำงานไม่เป็นเวล่ำเวลา ตื่นก็ขับ หลับก็จอด”


ฝนแรงขึ้นอีกครั้งจนได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคารถ ฉันนึกถึงเสียงกราวๆ ยามฝนหล่นบนหลังคาสังกะสีที่บ้านนอก


ถ้าน้ำท่วมกรุงเทพฯ จริงๆ โชเฟอร์จะทำยังไงคะ คงขับรถลำบากเนาะ”

โอ๊ย ถ้าน้ำท่วม ผมก็ออกเรือหางยาวแทนสิ จะไปกลุ้มทำไม ชีวิตมันมีทางออกเสมอแหละ ไม่ได้มีไว้ให้นั่งกลุ้ม”


ต้นไม้ที่ยืนอยู่ริมถนนเปียกฝนจนใบลู่ลง อยู่ๆ ฉันก็คิดถึงต้นมะม่วงที่บ้าน

มะม่วงต้นใหญ่ที่บ้านนะ อยู่ๆ มันก็ผุ พอพายุฝนมาก็โค่นเลย น่าเสียดายจริงๆ”

ไม่มีอะไรเสียเปล่าหรอกคุณ เสียไอ้นั่นก็ต้องได้ไอ้นี่ คุณเคยกินไหม เหมือนเห็ดนางฟ้าแต่ดอกเล็กๆ เขาเรียกเห็ดขอนขาว ขึ้นกับไม้มะม่วงผุๆ นี่แหละ หรือถ้ามีปลวกขึ้นต่อไป คุณก็อาจจะได้กินเห็ดปลวก ที่เขาเรียกเห็ดโคนไง แม่ผมแกงเห็ดโคนสุดยอดเลย”

ที่บ้านก็มีจอมปลวกนะ แต่ไม่เห็นมีเห็ดโคนสักดอก ในตลาดก็ไม่มี”

มันของธรรมชาติให้มา ถึงได้หากินยาก ต่อไปจะมีให้กินไหมก็ไม่รู้ คุณเอ๊ย โลกมันร้อนขึ้นทุกวัน” เขาพูดอย่างคนที่สนใจข่าวสารรอบตัวมากกว่าการทำมาหากินเพียงอย่างเดียว

 

ใต้ชายคาร้านค้าที่ปิดแล้วร้านหนึ่ง ฉันเห็นคนนั่งกอดเข่าหลบฝน ข้างตัวเขามีหาบที่ใส่เขียงไม้ขนาดต่างๆ ดูผิดที่ผิดทางเมื่ออยู่บนถนนสายที่เต็มไปด้วยร้านสินค้าฟุ่มเฟือย

เขาจะขายได้วันละเท่าไหร่นะ เขียงไม่ใช่ของที่ต้องซื้อทุกวันสักหน่อย” ฉันรำพึงดังๆ

ก็ไม่แน่ อาจมีคนซื้อทุกวันก็ได้” เสียงคนขับบอกให้รู้ว่าเขาก็มองเห็นภาพเดียวกัน “เขียงสมัยนี้มันทนที่ไหนล่ะ แผ่นบางๆ เจออีโต้สับลงไปก็แตกแล้ว ใช้ไม้แผ่นๆ มันไม่ทน มันต้องเขียงแบบตัดขวางลำต้น แล้วก็ต้องไม้มะขามนะ เขียงดีๆ บางทีใช้จนลูกโตโน่นเลย”


มีเขียงใหญ่ในครัวของคุณยาย ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเห็นคุณยายเปลี่ยนเขียง หั่นเนื้อ สับหมู ขูดปลา ซอยหอม ทุบกระเทียม แถมเวลาโม่แป้งทำขนม คุณยายก็ยังใช้เขียงอันนั้นทับน้ำแป้งอีกด้วย ฉันเพิ่งนึกได้ว่า เขียงดีก็มีส่วนทำให้อาหารอร่อย


คิดถึงคุณยาย คิดถึงกับข้าวของคุณยาย แล้วก็คิดถึงชีวิตวุ่นวายที่ไม่มีโอกาสแตะต้องเขียงในครัวมานานนักหนา


ไม่ได้ทำกับข้าวเองเลย ป่านนี้สงสัยเขียงผุ ขึ้นราหมดแล้วมั้ง”

เขียงผุๆ ขึ้นรา อย่าไปทิ้งนะคุณ ปล่อยไว้ เผื่อจะได้กินเห็ด” เสียงกลั้วหัวเราะบอกให้รู้ว่าพูดเล่น

นั่นสิ ไม่มีเห็ดโคน ก็อาจมีเห็ดเขียง” ฉันรับมุข แล้วคนขับกับผู้โดยสารก็หัวเราะด้วยกัน


ฝนยังคงตกหนักจนมองเห็นแต่แสงสีแดงพร่าๆ จากไฟท้ายของรถคันหน้า น้ำเอ่อท่วมถนนจนดูเหมือนเรากำลังนั่งอยู่ในเรือ ฉันรู้สึกรื่นรมย์กับเสียงหัวเราะในรถแท็กซี่ บางทีกำลังใจก็หาได้ง่ายๆ จากคนแปลกหน้า


ใช่แล้ว ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม!

 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…